ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    EVENT : เก่งทะลุฟ้าล่าทะลุมิติ

    ลำดับตอนที่ #5 : บันทึกบทที่ 4: วันอันแสนเหนื่อยล้า (เตรียมพิมพ์)

    • อัปเดตล่าสุด 30 ส.ค. 52



    to be continue

    บันทึกบทที่ 4

             โจได้นั่งอยู่แถวกลางรองสุดท้ายข้างเด็กผู้หญิงที่มีออร่าความคงแก่เรียนอย่างยิ่ง  เธอใส่แว่น  มัดเปียสองข้าง   ผิวขาวอมชมพู   แว๊บแรกที่เห็นเธอโจได้แต่ลอบแลบลิ้นในใจ เพราะตัวเขาเองไม่ค่อยถูกกับคนประเภทบ้าเรียนเท่าไรนัก  เนื่องจากโจเป็นคนขี้เกียจเรียนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว   แม้การพยายามอ่านหนังสือสักบรรทัดหนึ่ง  ยังสามารถเป็นยานอนหลับได้อย่างดีสำหรับเขา  ถ้าไม่อาศัยที่มีความจำดี พอสอบเอาตัวรอด มีเพื่อนคอยทำงานส่งให้ บวกกับความสามารถทางกีฬาละก็ อย่าหวังได้เข้าโรงเรียนนี้เลย   

     ตลอดคาบโจถูกกดดันด้วยรังสีคงแก่เรียนของเพื่อนข้างโต๊ะ   ยิ่งสังเกตก็ยิ่งเห็นว่าเธอสีหน้าดูไร้ความรู้สึก  แม้แต่การกระพริบตา ถ้าจะบอกให้ถูกคือตั้งใจอย่างไม่กระพริบตามากกว่า นอกจาก คำทักทาย หวัดดี  เราชื่อเกดนะที่ดูให้ความรู้สึกเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาแล้ว เธอก็ไม่คุยไม่มองโจแม้แต่นิดเดียว มีแต่เพิ่มรังสีแห่งความคงแก่เรียนมากยิ่งขึ้น    แต่โจก็ไม่ใส่ใจอะไรเธอเท่าไหร่ ว่าเธอจะเป็นมิตรด้วยหรือเปล่าเพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ถูกกับเด็กเรียนแบบนี้อยู่แล้ว      และตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่ทั้งเกดและเสียงที่อาจารย์สอนอยู่เลย  เพราะโจกำลังกังวลถึงการแข่งที่กำลังจะมีขึ้น คนที่กำลังจะโดนไล่ออกมิไล่ออกแหล่อยู่แล้ว จะสนใจเรียนไปทำไม โจถอนหายใจ    จากนั้นภาพความคิดก็เปลี่ยนมาเป็นเด็กผู้หญิงที่เขาเจอเมื่อเช้าลอยมา พลางคิดว่าหากเขาได้รู้จักเธอมากกว่านี้ก็คงดีไม่น้อยเลย โจยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

    โป๊ก!  ช้อกลอยมากระทบหัวโจทำให้โจตื่นจากความคิด

      นายคนนั้นน่ะ ยิ้มอะไรอยู่  ห้องเรียนนะทำไมไม่ตั้งใจเลย ฮึ๊ 

    วิชานี้เป็นวิชาของอาจารย์วิทวัฒน์  อาจารย์สอนเลข ไว้ผมทรงปัดขวา  แต่งตัวเนียบทุกอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า  อายุราวๆ 30 ปี   แม้จะเป็นอาจารย์หนุ่มแต่ว่าเนียบกว่าอาจารย์อวุโสบางคนเสียอีก   แค่เพียงนักเรียนนทำท่าไม่สนใจในสิ่งที่แกสอนก็จะหงุดหงิดทันทีและปาช้อกใส่    นอกจากโจแล้วยังมีอีกสองสามคนที่โดนแบบเดียวกัน    ห้องเรียนในวิชานี้ทุกคนจึงตั้งใจเป็นพิเศษ     แม้จะไม่อยากเรียนก็ตามเพราะไม่อยากโดนช้อกบิน    แต่ถึงกระนั้นโจก็ยังคงโดนปาช้อกใส่สองสามโป๊ก   เพราะเผลอสับปะงกหนึ่งครั้ง  และหาวอีกหนึ่งครั้ง โจได้แต่บ่นด่าในใจว่าทำไมอาจารย์ถึงรู้ทุกครั้งที่เขาหลุดนะ หากไม่เป็นอาจารย์ล่ะก็เขาคงรวบรวมช้อกที่คว้างมาปากลับไปแล้ว

    ครั้งหนึ่งโจแอบหันไปมองเกดก็เห็นว่าเธอยิ้มเหมือนกันที่เขาโดนช้อกปา  แต่เธอก็สลายรอยยิ้มทันทีเมื่อเห็นโจเหลือบมาทางเธอ  เธอขยับแว่นและกระแอมเล็กน้อยก่อนจะกลับสู่โหมดตั้งใจเรียนอีกครั้งราวกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น และโจเองก็เหม่อมองเกดโดยไม่รู้ตัวเหมือนกันเมื่อเห็นเธอยิ้ม  พลางคิดว่าหากเกดยิ้มอย่างงี้ตลอดก็คงน่ารักน่าคบกว่านี้อีกหลายเท่า   ตอนแรกคิดว่าคนคนนี้จะยิ้มไม่เป็นเสียอีก

    โป๊ก!  อาจารย์ยังคงมีเรดาไวไม่เคยเปลี่ยน แม้เพียงสายตาโจแวบไปที่อื่นนอกจากกระดานเรียนเพียงนิดเดียวก็ไม่รอดพ้นเรดานี้    เขากุมหัวที่โดนช้อก พร้อมกับบ่นเบาๆ  “สงสัยที่บ้านไม่เคยมีช้อกปาเล่น”  เพียงเท่านั้นช้อกอีกหลายอันตามมาเป็นพลวน  แต่คราวนี้โจหลบไปใต้โต๊ะทันหวุดหวิดทำให้ช้อกที่ปามาถูกคนด้านหลังอีกสองคนเต็มๆ

    “วิธีแบบเดิมใช้กับผมได้แค่ครั้งเดียวนะครับ” โจพูดออกมาอย่างเหลืออด

    “เธอว่าไงนะ พูดอีกทีสิ๊” อาจารย์เริ่มมีน้ำโห ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่อาจารย์เริ่มสอน  เพราะนี่คงเป็นครั้งแรกเช่นกันที่มีนักเรียนมาท้าทายอำนาจแก 

    “ผมบอกว่าแค่ทีเดียวก็จำแล้วครับ ขอโทษครับอาจารย์” โจพลิกลิ้นโดยพลันพร้อมกับยกมือไหว้  เมื่อมีสตินึกได้ว่าแค่สิ่งที่เขาโดนคาดโทษก็หนักพอแล้วจึงไม่อยากหาเรื่องเพิ่มอีก

    เกดไม่อาจเก๊กได้ต่อไป เธอฟุบกับโต๊ะทำท่าเหมือนกับพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่ และแอบค้อนมาทางโจพูดด้วยเสียงกระซิบว่า

    “ร้ายนักนะ”  โจได้แต่ยิ้มแหยงๆตอบ  

    “เธอ ไม่ต้อง...”

    ขณะที่อาจารย์กำลังจะด่าอะไรต่อเสียงระฆังช่วยชีวิตก็ดังพอดี

    ติ๊ง ต๊อง!  เสียงสัญญาณบอกเวลาพักกลางวันดังขึ้น   อาจารย์วิทวัฒน์ จึงเปลี่ยนมาเป็นสั่งการบ้านขนานใหญ่เรื่อง เซท    โดยให้ไล่ทำแบบฝึกหัดในหนังสือท้ายบททั้งหมด ให้ส่งในเวลาเช้า  จนนักเรียนร้อง อื้อ หือ  พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย 

    อยากทำล่วงหน้าอีกบทไหมล่ะ อาจารย์วิทวัฒน์ ออกอาการฉุนขึ้นอีกครั้ง   เสียงงึมงำในห้องจึงเงียบกริบ แกดูเหมือนจะรีบเร่งไปไหนสักอย่าง โจเลยรอดตัวไปครั้งนี้

     หลังจากอาจารย์ไปแล้ว  เพื่อนด้านหลังก็มาสะกิดโจ

    “เออ ทีหลังนายจะหลบหัดให้สัญญาณมั้งนะ”  

    โจหันไปมองหน้าเพื่อนด้านหลัง ทำเอาเขาเกือบหลุดขำออกมา เพราะทั้งสองคนด้านหลังต่างหัวขาวโพลนไปด้วยฝุ่นช้อก    เขาจึงต้องขอโทษยกใหญ่พร้อมกับบอกว่าจะเลี้ยงขนมเป็นการไถ่โทษให้  

     เพื่อนในห้องทะยอยกันมาทำความรู้จักกับโจ

      ว่าแต่นายมาวันแรกก็ดังเลยนะ  ไม่คิดเลยว่าจะกล้าลองของกะผ.อ. น่ะ   ชายหน้าตาคมขำ ทรงผมสกินเฮด นั่งหลังหลังโจ  กล่าวขึ้น คนนี้แนะนำตัวว่าชื่อชัยดูท่าทางเป็นมิตรสุดในห้องก็ว่าได้  

    ไม่ได้ลองของนะ   แต่เรียกว่าซวยมากกว่า  โจส่ายหน้า   

    นอกจากชัย    คนอื่นในห้องก็มาคุยทำความรู้จักกับโจ ซึ่งแต่ละคนทักเรื่องเมื่อตอนเข้าแถวเหมือนกันทุกคน จนเขารู้สึกเบื่อที่จะคุย เพราะคุยก็พูดแต่เรื่องเดิมซ้ำๆเท่านั้น    เมื่อคุยกันพักใหญ่ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปหาอะไรกิน  ปล่อยให้โจนั่งทำงานในห้องคนเดียวเพื่อส่งในตอนเย็น  ช่างเป็นวันเปิดเรียนวันแรกที่ดีจริงๆ เขากล่าวประชดในใจ    เมื่อมองหาเกดปรากฏว่าเธอหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่โจก็ไม่ทราบ  เขาได้แต่ส่ายศีรษะบอกกับตัวเองว่าทำไมเราต้องมองหาด้วยนะ ยังไงเราก็คงเข้ากับเด็กเรียนแบบนี้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมเขาถึงมองหาเธอ   

    หลังจากเปิดหนังสือประวัติศาสตร์ยุโรป  โจก็รู้สึกท้อขึ้นทันทีเพราะหนักหนากว่าที่เขาคิดไว้มาก   เนื่องจากคำถามท้ายบทที่อาจารย์สั่งแม้จะมีเพียงยี่สิบข้อ  แต่ว่าแต่ละข้อต้องตอบอย่างน้อยครึ่งหน้าขึ้นไปทั้งนั้น  ไม่ใช่คำถามแบบถามแล้วตอบเป็นคำๆจบ  เขาต้องใช้เวลาตลอดช่วงกลางวันในการทำงานแต่กระนั้นก็ยังไม่เสร็จ ท้องเจ้ากรรมก็ร้องเอาๆ ข้อความที่จะตอบก็กลายเป็นภาพอาหารที่อยากกินลอยมาแทน 

    “โอ้ย อยากกินข้าวจัง” โจพูดกับตัวเอง แต่ทว่าจะลงไปตอนนี้ก็คงไม่ทัน  แถมไม่ได้ฝากใครซื้อขนมขึ้นมาให้อีก วันนี้เขาคงอดเข้าแล้วแน่นอน   แม้แต่งานก็ทำไปได้เพียงหนึ่งในสี่เท่านั้นเอง การเรียนคงไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดจริงๆ โจบิดขี้เกียจเป็นรอบที่สิบ แต่บิดได้นิดเดียวก็ต้องกุมท้องเพราะแสบท้อง

    ตึง ตึ่ง  ตึ๊ง!  ประกาศ  ขอให้นักเรียน  นพภัทร  ชิงชิดดี  ไปยังสนามเทนนิสหลังเลิกเรียนด้วยค่ะ 

    อะไรกันมากมายนี่ งานก็ต้องส่งและโดนเรียกตัวอีกโจบ่นให้กับความซวยของตัวเอง เรียกได้ว่าเมื่อมีเรื่องร้ายๆแล้วสิ่งร้ายๆมักจะตามมาเป็นพลวนจริงๆ 

    อ๊ะ  ยังไม่ได้กินไรไม่ใช่เหรอ  เลยซื้อมาเผื่อ  เกดสะกิดโจ  ยื่นขนมปังไส้ถั่วแดงให้   โจยื่นรับมาด้วยมือที่สั่นด้วยความที่ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า   เขามองเธออย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง  เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงที่ดูเคร่งเครียดคนนี้จะเป็นคนที่มีน้ำใจเหมือนกัน     ตอนนี้เขาต้องมองเธอใหม่แล้ว    

    ขอบคุณนะ เกด   โจยิ้มให้  ก่อนจะรับขนมปัง

    ยี่สิบ บาท  คิดค่าเดินด้วย  เกดขยับแว่น

    โห คิดว่าเลี้ยง   โจทำหน้าบู้   ก่อนจะหยิบเงินในกระเป๋าให้

    เธอมองค้อนก่อนจะรับเงินจากโจ   ของฟรีมีในโลกเหรอ  นี่ปรานีแล้วนะไม่คิดค่าเสียเวลารวมไปอีก 

    จ้าๆ   ขอบคุณมากนะ  ฉันคิดว่าเธอจะเป็นคนเครียดๆเสียอีก  แต่ก็ไม่คิดว่าคนเครียดจะงกนะ   โจพูดติดตลก

    ทั้งคู่คุยกันอย่างออกรสในช่วงเวลาพักที่เหลืออยู่อีกห้านาที   เกดเป็นนักเรียนทุนเรียนดี  ลักษณะภายนอกของเธอตรงข้ามกับสิ่งที่โจได้คุยกับเธอมากมาย    ถึงภายนอกเธอจะดูเคร่งเครียดแต่เธอกับเป็นกันเองและมีอารมณ์ขัน   โรงเรียนเก่าของเธอไม่ค่อยมีใครอยากคุยด้วย  เพราะเธอดูจริงจังกับการเรียนมาก  

    มันเป็นลักษณะนิสัยที่แม่ปลูกฝังมา เกดบอก     แต่เวลาปกติเธอจะไม่ใช่คนที่เครียดอะไร  ถึงกระนั้นเพื่อนก็ไม่กล้าเข้าใกล้อยู่ดี

    เธอเหมือนคนสองบุคคลิกเลยนะ  โจเอ่ยขึ้น

    ฮะ ฮะ ไม่รู้สิ  แต่ฉันว่าตัวฉันก็เป็นแบบนี้แหละ  เกดยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไร แต่ปกติฉันไม่ใช่คนที่มาชวนใครคุยหรอกนะ

    โหยถือเป็นพระคุณเลยนะ แล้วทำไมมาชวนเราคุยล่ะ แถมซื้อหนมมาฝากอีกโจจ้องเกด

    เธอหลบตา และเงียบไปนิดนึง ก็แค่เห็นนายน่าสงสารเท่านั้นแหละ   และก็ขนมที่ซื้อสามารถหากำไรได้ไง         เธอยิ้ม

       ช่วงบ่ายเรียนอีกสองวิชา  เป็นวิชาที่น่าเบื่อที่สุดในการเรียนของโจ  วิชาแรกของภาคบ่ายคือภาษาอังกฤษ  เป็นอาจารย์หญิงมีอายุ คนหนึ่ง   มีผมหงอกทั้งหัว ไว้ทรงผมสั้น  เธอแต่งตัวเรียบในชุดสีเหลือง    ในการสอนของเธอก็จะพูดไปเรื่อยๆ  โดยไม่ได้สนว่าจะมีนักเรียนจะฟังหรือไม่   ทางโรงเรียนก็ช่างจัดตารางสอนได้ดีเสียจริง วิชาง่วงๆหลังอาหารนี่สุดยอดเลย โจทำท่าเคลิ้ม  

    เสียงอาจารย์ที่สอนเรื่อง past perfect  และpast simple    เป็นเสียงที่เรื่อยๆเหมือนคนอ่านสารคดีก็ไม่ปาน  นักเรียนบางส่วนได้ฟุบหลับไปแล้ว  หลังจากหนังท้องพึ่งตึงมา   แม้กระนั้นแกก็ยังคงสอนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น   โจเองก็ เริ่มตาหนักมากแล้ว   เมื่อเหลือบไปทางเกด  ก็พบว่าเธอยังคงแน่วแน่แบบสุดๆในการเรียน เหมือนกับการตั้งใจเรียนเมื่อเช้าไม่มีผิด   สมกับที่เป็นเด็กเรียนจริงๆ  เพราะขนาดบรรยากาศแบบนี้ยังตั้งใจได้อีก โจนับถือในใจ   เสียงของอาจารย์พูดเอื่อยๆ เริ่มลอยผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาโจ เบาลงทุกทีๆ  จนกระทั้งภาพห้องเรียนถูกแทนที่ด้วยม่านสีดำสนิทปกคลุมแทน...

    ท่านโจ  ท่านโจ   มีเสียงหนึ่งเรียกโจขึ้น  พร้อมกับเขย่าตัว   เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเขาเองนอนอยู่บนพื้นศิลาเย็นๆ  ซึ่งเวลานี้น่าจะเป็นเวลากลางคืน  เพราะมืดสนิทจนเห็นดาวสว่างไสวไปเต็มท้องฟ้า   ลมหนาวพัดโชยมาเบาๆ   ทำให้โจรู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง ทำให้เขาต้องขดตัวเอามือกอดอกหาไออุ่น   แต่ก็พบว่าเขาอยู่ในชุดเกราะสีเงินที่หนักชุดหนึ่งเคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวกนัก    และมองไปทางคนที่เขย่าตัวก็พบทหารสวมชุดอัศวินปิดหน้ากากเหล็กไว้   ใจกลางหน้าอกมีตราดาบคู่อยู่ตรงกลาง    ความคิดโจเริ่มสับสนว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เพราะเมื่อครู่เขายังอยู่ห้องเรียนเตรียมหลับอยู่เลย

    ทางสายที่เราส่งไปรายงานมาว่า อีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว  และอาจจะมาโจมตีเราในคืนนี้   อัศวินคนนั้นรายงาน   โจพยุงกายลุกขึ้นมองโดยรอบ   ก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่บนกำแพงเมืองของที่ไหนสักที่  บนกำแพงมีทหารนอนเรียงกันอยู่     แสงจากคบไฟให้ความสว่างเป็นระยะ  ระหว่างป้อมต่อป้อมที่ทำด้วยหินใหญ่วางเรียง ด้านหลังของกำแพง  มีบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมาก  เหมือนกับของยุโรปโบราณในหนังสือที่โจทำแบบฝึกหัดอยู่   ซึ่งบ้านเรือนด้านล่างนั้นมีเพียงคบไฟให้ความสว่างเพียงเล็กน้อย  เป็นจุดๆ เหมือนดาวเล็กๆด้านล่าง     

    นี่ตัวเขาคงกังวลเรื่องทำแบบฝึกหัดไม่ทันจนเก็บมาฝันเชียวหรือ  โจพยายามบอกกับตัวเอง  

    ฟึ่บ! เสียงแหวกอากาศของวัตถุลอยมาจากนอกกำแพง   ตึง!  เมื่อหันไปมองอีกทีป้อมทางด้านขวาก็ลุกเป็นไฟแล้ว 

    ฟึ่บ ฟึ่บ! เสียงแหวกอากาศของวัตถุดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง  

    เสียงตะโกนดังขึ้นว่า ข้าศึกบุกแล้ว   ข้าศึกบุกแล้ว  ดังลั่น ไปทั่วกำแพงเมือง  พร้อมกับแสงไฟสว่างวาบ   วัตถุที่ลุกไหม้ไปด้วยไฟตกลงมาอย่างไม่ขาดสายเหมือนสายฝนที่ตกเป็นไฟ   โจมองอย่างทำอะไรไม่ถูก   เมื่อหันไปมองด้านล่าง   ก็เห็นบ้านเรือนเมื่อครู่ลุกไปด้วยทะเลเพลิงแดงฉาน    ทหารบนกำแพงก็วิ่งวุ่นกันเป็นการใหญ่  

    เตรียมอาวุธ  เอาน้ำไปดับตรงป้อม    อัศวินคนหนึ่งสั่งการ

    ขณะที่โจมัวแต่มองสภาพโดยรอบอยู่นั้น  ก็มีวัตถุที่ลุกไหม้ด้วยไฟลูกหนึ่งตกลงมาตรงมาทางโจ  กว่าโจจะเห็นก็คงไม่ทันเสียแล้ว   วัตถุลูกนี้ราวกับลูกไฟบัลลัยกัลป์ก็ไม่ปาน  ตัวเขาคงมอดไหม้เช่นเดียวกับบ้านเรือนด้านล่างเป็นแน่  

    อ๊า!!!

    ถูกต้อง   เธอเข้าใจแล้วนิ  มันต้องเติม are  ประโยคนี้   อาจารย์กล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม

    โจยังคงงกงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น   นี่มันห้องเรียนนิ  แล้วสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่คืออะไรกันแน่นะ   ช่วงนี้รู้สึกตัวเขาจะฝันที่อะไรที่เกี่ยวกับยุโรปโบราณเหลือเกิน  เขาคงมีดวงสมพงศ์กับเรื่องพวกนี้จริงๆ  ไม่เว้นแม้แต่การทำงานส่ง

    เพี้ย! เกดตีมือโจเบาๆ   พร้อมกับขยับปากว่า  ละเมอแล้วตอบถูกนะ  เธอมองค้อนโจ

    โจยิ้มแหยงๆ  ดูเหมือนว่าเกดจะแสดงท่าทีไม่เคร่งครึมเหมือนเมื่อเช้า ดูเป็นกันเองกับโจมากขึ้น ซึ่งทำให้เขามองเธอดีกว่าเดิม ไม่ใช่มองเป็นเด็กเรียนไม่น่าคบเหมือนเมื่อเช้า

    หลังจากเรียนวิชาสุดท้ายของวันเสร็จ  โจต้องรีบปั่นงานที่อาจารย์สั่งให้ส่งเย็นนี้   ซึ่งเขารู้ตัวดีว่าคงยาก เพราะเขาไม่ถนัดทำงานแบบนี้อยู่แล้ว   และเขายังถูกเรียกตัวให้ไปสนามเทนนิสในช่วงเลิกเรียนต่ออีก จะไปทันได้อย่างไร              

    “อ๊ะ เห็นว่าน่าสงสารนะ” เกดยื่นสมุดให้โจ

      เขารับมาด้วยอาการงงๆ ว่าสมุดนี้คืออะไร

    “จะบอกรักเราด้วยวิธีนี้หรอ” โจพูดแซว

    “บ้าหรอ  ลองเปิดดูก่อนสิ” เธอตีแขนและค้อนเขาวงหนึ่ง

    สมุดนี้เป็นสมุดการบ้านที่เกดทำเสร็จแล้วของบทที่โจโดนสั่งให้ทำ   เพราะเธอชอบอ่านและทำแบบฝึกหัดล่วงหน้าเป็นนิสัย การที่จะทำบทที่โจโดนให้ทำอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก  เขารับมาด้วยความลิงโลดและดีใจจนออกนอกหน้า  

      “กอดทีดิ”  โจพูดพร้อมจะโผเข้ากอดอย่างลืมตัว  

       “เข้ามาดิ เจอกำปั้น”  เกดทำหน้าขรึม

       โจเลยแลบลิ้นออกมาแก้เก้อ

        “แหมพูดไปงั้นแหละใครจะไปกอดลง”  

        เกดไม่อาจเก๊กหน้าขรึมได้อีกจึงหัวเราะงอหายตรงนั้น  พร้อมกับหยิกแขนโจเบาๆหนึ่งที 

        “มัวแต่เล่น ไม่เสร็จเดี๋ยวพรุ่งนี้ได้ดูละครอีกฉากหรอก”

         “ละคร? “ โจงง

         “ละครเศร้าเคล้าน้ำตา เพราะโดนทำโทษไง ไปล่ะ ทีหลังนะรู้ว่าปากเก่งงี้ไม่ช่วยก็ดี”  เกดค้อนอีกวงพร้อมกับเชิดใส่อีกหนึ่งที   

    ทุกคนในห้องทยอยกลับกันหมดเหลือเพียงโจนั่งปั่นงานอยู่คนเดียวเท่านั้น   เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปเรื่อยๆ  ช่างเป็นเวลาที่ยาวนานและทรมานสำหรับเขายิ่งนัก แต่อย่างน้อยได้สมุดเกดมาลอกก็ช่วยให้งานไหลลื่นและมีโอกาสเสร็จมากกว่าเดิม

    ตึ๊ง ตึง ตึ่ง ขอให้นักเรียน นพภัทร ชิงชิดดี ไปสนามเทนนิสด่วนค่ะ  ขี้เกียจประกาศแล้วนะคะ    เสียงประกาศยังคงดังต่อไปเป็นรอบที่ 2     

    เสร็จซะที  โจตะโกนออกมาดังๆ   ก่อนจะวิ่งไปส่งงานยังห้องพักชั้นล่าง   โชคดีที่ห้องพักอาจารย์อยู่ตึกเดียวกับที่โจเรียนจึงไม่เสียเวลามากนัก    เวลาตอนนี้ก็เกือบๆ 5 โมงแล้ว  ตัวเขาคงโดนด่าอย่างไม่ต้องสงสัย  เพราะมาสาย  แต่เขาก็เริ่มชินกับโรงเรียนนี้แล้ว  ว่าคำแก้ตัวไม่สามารถใช้ในโรงเรียนนี้ได้ต่อให้มีเหตุผลเพียงพอก็ตาม  ดังนั้นโจจึงเตรียมใจอย่างเต็มที่   เขาเดินผ่านลานกว้าง  ไปยังด้านหลังของโรงเรียน   ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นโรงยิม  สนามบอล  และสนามเทนนิสอยู่ติดกัน  

    เมื่อไปถึงสนามเทนนิส  โจได้พบว่ามีชายในชุดวอร์ม  สวมหมวกแก๊บสีแดง  หน้าตาซีด   รออยู่  เขาจำได้ว่าคนนี้คือหนึ่งในผู้คุมสอบเข้านั่นเอง   

    เธอมาสายนะนพภัทร  ชายคนนั้นจับปีกหมวกขยับให้กระชับ

     ชั้นคือโค้ชของเธอที่จะช่วยเธอฝึกซ้อมเตรียมแข่งในอีกอาทิตย์กว่าๆ  นี้     คนเราน่ะต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง   ถ้าไม่มีความรรับผิดชอบแล้วจะทำอะไรดีๆ และสำเร็จนั้นคงยาก  เรานั้นต้อง...   โค้ชได้ร่ายยาวทันที  โดยที่โจไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว  การพูดของโค้ชนั้นทำท่าจะไม่หยุดง่ายๆ  จนกระทั้ง  เวลาในนาฬิกาข้อมือโค้ชดังขึ้น   อ่าวหกโมงแล้ว  เดี๋ยวโค้ชต้องไปก่อน  แต่ว่า  เธอต้องวิ่งรอบสนาม 100 รอบ  โทษฐานที่มาสาย ปฏิบัติ

    หา 100 รอบเหรอครับ   นี่คือคำพูดแรกที่โจได้พูดตั้งแต่เจอหน้าโค้ชมา    ....

      

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×