คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : บันทึกบทที่ 13: เสียงชื่นชม (เตรียมพิมพ์)
บันทึกบทที่ 13 :
ความเจ็บปวดที่เหมือนกับร่างจะแยกเป็นเสี่ยงๆได้อันตรธานหายไปพร้อมกับสติที่ดับวูบของโจ ภาพเครื่องที่หมุนจนมองไม่ออกว่ารอบข้างเป็นเช่นไร คือภาพสุดท้ายที่ตัวเขานึกออก
ระหว่างที่เครื่องนั้นหมุน
ภาพที่โจเห็นในอดีตค่อยๆผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ราวกับว่าเขากำลังดูภาพยนต์เรื่องหนึ่ง เริ่มตั้งแต่ตัวเขาได้มายังที่แห่งนี้ได้อย่างไร การแข่งขันที่เขาพ่ายแพ้โดยไม่ได้ลงแข่งแม้แต่น้อย เวลาที่อยู่ที่โรงเรียน ภาพเพื่อนของเขาผุดขึ้นมาทีละคน ไม่ว่าจะเป็นชัย เกด เพื่อนๆที่เรียนในห้องด้วยกัน และสุดท้าย ....มิ้น ภาพที่เธอน้ำตานองหน้าในวันที่สายฝนโปรยลงมาราวกับร่ำไห้ ภาพที่เธอสวมกอดรุ่นพี่บอลอย่างแนบแน่นท่ามกลางสายฝนที่โปรยกระหน่ำ ภาพที่เจอมิ้นกันวันแรก และรอยยิ้มอันสดใสน่ารักยิ้มให้โจเมื่อชนกับเขาอย่างจังหน้าโรงเรียน ภาพเหล่านั้นค่อยๆย้อนไปราวกับว่าภาพเหล่านี้พึ่งเกิดกับโจเมื่อไม่นานนี้เอง แต่ภาพทั้งหมดยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ภาพที่ผุดขึ้นมาได้ย้อนต่อไปราวกับเครื่องเล่นภาพยนต์กำลังเล่นย้อนกลับอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตอนนี้ภาพได้ย้อนมาถึงตอนที่ตัวเขากำลังสอบเข้าโรงเรียน... ตอนที่เรียน ม.ต้นสมัยอยู่ต่างจังหวัด ภาพได้ย้อนไปเรื่อยๆ จนกระทั้งถึงตอนที่โจเกิดออกมา เป็นทารกยังไม่ถึงเดือน ซึ่งเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นอย่างไร ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ในความทรงจำของโจตลอดทั้งๆที่เหตุการณ์ที่เขาเห็นทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดผ่านมาแล้วสิบกว่าปี เพียงแต่เขาไม่เคยนึกออกเท่านั้นเอง
ตอนนี้ภาพเคลื่อนเร็วขึ้นๆ จนภาพที่โจเห็นไม่ใช่ภาพของตัวโจเองแล้ว แต่เป็นภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่โจเคยเรียนและเคยเห็นนำมาสร้างภาพยนต์บ่อยๆ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ไทย สมัยรัตนโกสินทร์ อยุธยา สุโขทัย ภาพบ้านเมืองต่างๆชัดเจนราวกับโจนั้นได้ไปอยู่ในที่นั้นจริงๆ ซึ่งก็น่าแปลกใจไม่ใช่น้อยที่บ้านเรือนเหล่านั้นดูแตกต่างจากที่โจได้เห็นในภาพยนต์และสารคดีต่างๆนัก แต่เขาก็ไม่สามารถประหลาดใจได้นานเพราะภาพเริ่มหมุนไปอีกครั้ง จากภาพประวัติศาสตร์ไทยโจได้เห็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นสงครามที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของมวลมนุษยชาติ
อดอฟ ฮิตเลอร์ ก่อตั้งพรรคนาซี ทำสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ภาพอเมริกาใช้ระเบิด ปรมณูทิ้งใส่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ ภาพผู้คนทุกข์ทรมานจากไฟสงครามและความตาย
การก่อตั้งเอมริกา การเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส ภาพที่เขาเห็นแม้จะผ่านมาอย่างรวดเร็วแต่โจกลับรับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เขาเห็นและจำได้จนติดตา ตอนนนี้ประวัติศาสตร์ได้มาถึงช่วงการล่มสลายของจักรวรรดิ์โรมัน ชนเผ่าอานารยชนได้ยึดโรมและประเทศที่อยู่ในปกครองก็ต่างแยกตัวเป็นอิสระ
ในบรรดาภาพทั้งหมดโจได้เห็นคนๆหนึ่ง ท่าทางเป็นนักรบในชุดเกราะเงิน มีสัญลักษณ์ตราดาบคู่ไขว้กันอยู่กลางอก ยื่นดาบสองคมเป็นประกายทองอร่ามมาทางเขา โจไม่เคยเห็นดาบอะไรที่งดงามเช่นนนี้มาก่อนเลย เมื่อโจพยายามจะยื่นมาไปสัมผัส ภาพเหล่านั้นล้วนอันตรธานหายไปสิ้น และกลายเป็นแสงสว่างขาวโพลนราวกับว่าตัวโจหลุดออกจากอุโมงค์มืดและพบทางออก
โจรู้สึกว่าตัวเองดิ่งลงจากที่สูง ด้านล่างเขาได้ยินเสียงโห่ร้องดังกึกก้องราวกับเสียงโห่ร้องของสนามกีฬาสักแห่ง ตัวของเขาดิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักโจก็รู้สึกว่าก้นของเขากระแทกของแข็งอะไรบางอย่างแรงมาก สติที่เลือนลางในตอนแรกนั้นตอนนื้มืดดับสนิทแล้ว
.
แม้สติของโจจะดับไป แต่เขารู้สึกราวกับว่าเขานั้นหลับไปแป๊บเดียวเท่านั้น ตอนนี้เขาอยากลืมตาและลุกเพื่อดูว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ร่างกลับไม่ยอมเชื่อฟังเขาเลย...
โจหลับไปนานเท่าไหร่ตัวเขาเองก็ไม่ทราบได้ แต่ตอนนี้เปลือกตาอันหนักอึ้งของเขาสามารถเปิดออกได้แล้วหลังจากพยายามอยู่นานแสนนาน
หลังจากลืมตาภาพแรกที่เขาเห็นคือเพดานที่สูงราวกับห้องโถงวังปราสาทที่ไหนสักแห่ง โคมไฟที่มีเทียนหลายสิบเล่มลายวิจิตรแขวนอยู่ตรงกลางให้แสงสว่าง เตียงที่นอนก็นุ่มสบาย ผ้าที่ห่มก็ทำมาจากหนังสัตว์ให้ความรู้สึกอบอุ่นกำลังดี
เมื่อสำรวจตนเองก็พบว่าเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าชุดนักกีฬาที่สวมมาตอนแรก แต่เขาได้ใส่ชุดคลุมยาวสีน้ำตาลเหมือนกับชุดกระโปรงของผู้หญิงแทน ซึ่งเป็นชุดที่เขาไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อนว่าเป็นของที่ไหนเขาใส่กัน
เมื่อมองได้ปรอบๆ ก็พบว่าห้องนี้เป็นห้องที่กว้างใหญ่ที่อย่างน้อยก็นอนด้วยกันได้หลายสิบคน ห้องทั้งห้องล้วนทำด้วยหินขนาดใหญ่ ที่โจเคยเห็นในรายการสารคดี ปราสาทยุคกลาง มีคบไฟตรงกำแพง ให้ความสว่างตลอด ทั้งสี่ด้าน และมี ชุดเกราะอัศวินยืนเรียงอยู่นับสิบตัวตลอดสองข้างกำแพง บนท้ายเตียงที่โจนอนเป็นหน้าต่างไม้บานใหญ่ปิดอยู่ และมีประตูห้องทำจากเหล็ก อยู่สุดทางเดินของห้อง
“นี่แสดงว่าการทดลองประสบความสำเร็จสินะ” โจบิดขี้เกียจอย่างแช่มช้า การนอนอยู่บนเตียงเช่นนี้ทำเอาเส้นของเขายึดไปตามๆกัน
“ที่นี้ก็แค่หาสมุดบันทึกแล้วก็กลับยุคตัวเองดีกว่า ใช่แล้วสมุดบันทึก” โจราวกับพึ่งนึกเรื่องสำคัญที่สุดได้ “สมุดบันทึกล่ะ” โจมองหาโดยรอบ เขาเปิดผ้าห่มออก ลงไปมุดดูใต้เตียง ค้นทุกซอกทุกมุมแล้วก็ไม่พบวีแววของสมุดบันทึกแม้แต่น้อย คงเป็นช่วงที่เขาหมดสติเป็นแน่ แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ เขาพยายามข่มใจให้เย็นลงเพื่อคิดหาทางแก้ไขต่อไป
แกร๊ก! เสียงเปิดประตูเหล็กอย่างแผ่วเบา
“ตื่นแล้วหรอ” เสียงหญิงสาวสดใสเสียงหนึ่งดังขึ้นทักทายหลังจากมีเสียงเดินเข้ามา
ทำเอาโจที่กำลังควานหาสมุดบันทึกใต้เตียงหันชนขอบเตียงดังสนั่น ทำให้หญิงสาวผู้มาเยือนอดขำไม่ได้กับท่าทางของโจ หญิงสาวผู้นี้อยู่ในชุดสีเหลืองลายลูกไม้ ผมหยิกยาวประบ่าสีดำสนิท ดวงตาสะท้อนเปลวไฟที่สาดส่องออกสีฟ้าสดใส แม้แสงไฟจากคบเพลิงและโคมไฟด้านบนจะส่องมาไม่ชัดนัก แต่เธอก็จัดได้ว่าเป็นหญิงที่สวยน่ารักแบบตะวันตกคนหนึ่ง คะเนอายุของเธอแล้วไม่น่าจะห่างจากโจเท่าไรนัก
แว๊บแรกที่โจเห็นเธอคนนี้กลับมีความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นแว๊บนึงไม่ใช่เป็นเพราะตะลึงในความงาม แต่เป็นเพราะ เขารู้สึกราวกับเคยเห็นเธอคนนี้ที่ใดมาก่อนแต่ตอนนี้เขากลับนึกไม่ออก
เธอเดินมาหาโจพร้อมด้วยสีหน้ามึนงงสงสัย ที่เห็นเขานั่งนิ่งอยู่ที่พื้นเช่นนั้น
ทั้งคู่ประสานสายตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันนิ่ง ทำให้เป็นภาพที่ดูประหลาดพิลึก
ในที่สุดหญิงผู้นั้นก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ ปล่อยขำออกมา เอามือปิดปาก หัวเร่องอหาย หลังจากจ้องมองโจอยู่พักใหญ่
“นี่ ท่าน เตียงดีๆมีทำไมไม่นอนล่ะ” เธอยื่นมือดึงโจขึ้นอย่างไม่ถือตัว
ที่ข้อมือโจนั้นใส่เครื่องแลงค์เกอร์แฮนด์ที่ได้จากศาสตราจารย์ไอแซก เครื่องนี้จะทำการแปลงคลื่นสัญญาณภาษาไปยังสมองผู้รับโดยตรง ทำให้ไม่ว่าจะพูดภาษาอะไรมาก็ตามก็จะเข้าใจได้ทั้งหมด รวมทั้งเวลาผู้ใส่พูดออกไปก็เช่นกัน
โจจับมือเธอไว้เหนี่ยวตัวยืนขึ้น พร้อมกับยิ้มขอบคุณ สัมผัสจากมือเธอชั่งนุ่มและอุ่นเสียจริงเขาคิดในใจ
“มือของท่านหยาบกร้าน ราวกับผ่านการรบมานับครั้งไม่ถ้วนเลยนะ” เธอกล่าวพร้อมกับนั่งลงข้างเตียง
โจนึกขำในใจ ที่มือเขาดูหยาบเป็นผลมาจากการซ้อมเทนนิสต่างหาก
“ท่านสลบไปตั้ง 3 วันแน่ะ ตอนแรกคิดว่าจะเป็นอะไรไปแล้ว” เธอแลบลิ้นขึ้นราวกับพึ่งนึกอะไรออก
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะ ฉันชื่อ เมธิล วลาดิเมียร์ ท่านชื่ออะไร “
“ผมชื่อ นพภัทร ชิงชิดดี เรียก โจ เฉยๆ ก็ได้” โจยิ้มพร้อมกับเดินมานั่งข้างๆ
“ชื่อ แปลกดีนะ ฉันไม่เคยได้ยินชื่อแบบนี้มาก่อนเลย ท่านโจ ” เธอมองโจพร้อมกับส่งยิ้มให้ ทำเอาเขาหน้าแดงขึ้นมาแวบหนึ่ง
“อย่าเรียกท่านโจเลย เรียกโจธรรมดาแหละ ว่าแต่ที่นี่ที่ไหนแล้วทำไมผมมาอยู่นี่ล่ะ”
เธออมยิ้ม “ฮิๆ ท่านนี่นะ เอ้ย โจนี่นะ สงสัยหัวท่านเอ้ย โจจะกระแทกแรง ตอนนี้โจอยู่ที่เมืองลอเลซ ปราสาทท่านผู้ว่าหรือท่านพ่อของข้าเอง ท่านพึ่งช่วยเมืองนี้ให้พ้นจากภัยครั้งใหญ่นะ” เมธิลยิ้มเขินๆที่พูดตะกุกตะกัก
แม้โจ งุนงงกับสิ่งที่เมธิลได้พูด แต่ก็อดขำกับการตะกุกตะกักของเธอไม่ได้ แล้วตัวเขาเองก็พึ่งมาจากอนาคตแล้วไปสร้างวีรกรรมอะไรตอนไหนกัน
“ผมทำอะไรเหรอ”
เมธิลมองหน้าโจอย่างงๆ “โจคงจะหัวกระแทกแรงจริงๆ สิ่งที่ตัวเองทำยังนึกไม่ออก ก็อัซลานแม้ทัพฝ่ายศัตรูได้ถูกโจจัดการยังไงกันล่ะ สงครามจึงยุติลง”
คราวนี้โจยิ่งงงเป็นไก่ตาแตกเข้าไปใหญ่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่เกิดสงคราม แล้วเขาไปจัดการแม่ทัพศัตรูยังไงกัน โจอยากจะถามอะไรต่อ ก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น เป็นชายผู้หนึ่งเดินเข้ามา หน้าตาของชายผู้นั้นคมเช้ม คิ้วและตาของเขามีส่วนคล้ายเมธิลอยู่มาก ผิวหน้าหยาบกร้าน ไว้เครา อยู่ในชุดเกราะเงิน มีสัญลักษณ์ดาบคู่ไขว้อยู่ตรงกลาง ซึ่งโจรู้สึกคุ้นเคยกับตราสัญลักษณ์นี้แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ใดมาก่อน ชายคนนั้นเดินมาอย่างช้าๆ ทุกท่าก้าวให้ความรู้สึกสง่าและดูเป็นผู้นำยิ่งนัก
เมธิลวิ่งไปกอดชายที่เดินเข้ามา “ท่านพ่อ วีรบุรุษของเราฟื้นแล้วล่ะ”
ชายคนตั้นลูบหัวเมธิลอย่างเอ็นดู “ โตแล้วยังมาอ้อนเป็นเด็กๆอีก ข้าคือ เอดเวิร์ด วลาดิเมียร์ ผู้ว่าของเมืองนี้ ท่าน..”
“โจ ค่ะท่านพ่อ” เมธิลพูดแทรก
“ท่านสลบไป 3 วัน พระเจ้าคุ้มครองคนดี เห็นท่านแข็งแรงเช่นนี้ข้าก็ดีใจ วันพรุ่งนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงขอบคุณและฉลองชัยชนะ โปรดไปร่วมงานด้วยนะ” ผู้ว่ายิ้มกล่าวพร้อมกับตบไหล่โจ “เดี๋ยวเราสองคนไม่รบกวนท่านแล้วล่ะ ข้ากับลูกสาวขอตัวก่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยฟังเรื่องราวจากท่าน”
เมธิล กระตุกแขนผู้ว่าเบาๆ ทำหน้าไม่อยากจากไปเท่าไรนัก “ท่านพ่อ แต่ว่าข้ายังคุยไม่เสร็จเลย”
ผู้ว่ายกมือห้าม แต่ก็อดขำไม่ได้ “ลูกข้านี่ไม่ไหวเลยทำตัวเป็นเด็กเรื่อย”
แม้เมธิลจะอ้อนวอนเช่นไร แต่ผู้ว่าก็คงฉุดดึงสาวน้อยให้จากไป แต่แล้วโจราวกับนึกเรื่องสำคัญได้อย่างหนึ่ง จึงพูดโพล่งขึ้นว่า
“เออ ท่านครับ ขอถามอย่างนึง ท่านเห็นหนังสือที่ข้างตัวผมหรือเปล่า"
“อ้อ หนังสือที่เขียนด้วยภาษาแปลกๆเล่มนั้นน่ะหรือ” ผู้ว่าหันกลับมา ลูบเคราเข้มของตน “ท่านถามไปทำไมกันล่ะ”
“คือเล่มนั้นเป็นของสำคัญสำหรับผมมากเลย ถ้าอยู่ที่ท่านก็ขอคืนด้วยเถอะ”
“โธ่เรื่องแค่นี้เองความจริงไม่ใช่เรื่องยากหรอก แต่ว่าทางเราได้ส่งหนังสือเล่มนั้นไปยังหน่วยตรวจสอบหลักฐานที่ราชอาณาจักรแล้วล่ะ ขอโทษจริงๆ เราคิดว่าเป็นหนังสือลับของไซบีเรียน เพราะไม่คุ้นภาษาที่เขียนเลย”
โจอ้าปากค้าง ส่งไปที่อื่นงั้นหรือ แล้วทีนี้เขาจะทำเช่นไรดีล่ะ
“ถ้าจะเอาหนังสือเล่มนั้น ท่านต้องไปที่ราชอาณาจักร และต้องเป็นคนที่มีตำแหน่งระดับสูงทางกองทัพเท่านั้นที่จะไปยังหน่วยแห่งนั้นได้ พูดง่ายๆคือท่านต้องเข้าร่วมกองทัพน่ะแหละ แม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ “
ผู้ว่าส่ายหน้าอย่างหนักใจ ส่วนโจได้แต่ฝืนยิ้ม
ตอนนี้เมธิลและผู้ว่าได้เดินจากไปแล้ว ปล่อยให้โจยังคงว้าวุ้นใจกับเรื่องสมุดบันทึก เขาจะทำอย่างไรต่อไปดีนะ หากไม่มีสมุดบันทึกเขาก็ไม่สามารถกลับยุคตัวเอง และคงต้องอยู่ที่ยุคนี้ตลอดไป แล้วก็ยังเรื่องที่เขาเป็นวีรบุรุษอะไรนั่นอีก โจได้แต่นอนคิดทั้งคืน
เอ๊ะ อิ เอ๊ก! เสียงไก่ขัน เช้าตั้งแต่เมื่อไหร่โจก็ไม่ทราบได้ แสงจากดวงอาทิตย์ลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามา ดวงไฟจากโคมไฟ และตามกำแพงตอนนี้มอดดับหมดแล้ว โจลืมตาและตื่นจากความคิด เขาไม่ได้หลับเลยตลอดคืนที่ผ่านมา หลังจากที่ลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ โจก็เดินไปเปิดหน้าต่างตรงหัวเตียง
เมื่อเปิดบานหน้าต่าง ออก แสงแดดยามเช้าได้ส่องสว่างไล่ความมืดในห้องไป ลมเย็นจากภายนอกก็ได้พัดผ่าน เข้ามาพร้อมกับนำพาเสียงผู้คนสนทนาและร้องขายสินค้าลอยมาแต่ไกล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคึกคักของเมืองได้เป็นอย่างดี ภาพตึกปรากฏที่เรียงรายอยู่ภายนอกสร้างขึ้นอย่างเป็นระเบียบเรียงแถวกันเป็นส่วนๆ มีถนนตัดผ่าน
หากเปลี่ยนเป็นตึกสูงทันสมัย โจคงคิดว่าตัวเองอยู่ในโลกปัจจุบันคงไม่ผิดนัก เพราะระบบการสร้างเมืองนี้นับว่าไม่ต่างจากปัจจุบันเลย เพียงแต่ตึกที่นี่เป็นตึกเล็กโบราณเท่านั้นเอง ภาพบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถม้าและผู้คนเดินสัญจรไปมา อย่างขวักไขว่ ทำให้อดคิดถึงกรุงเทพฯเมืองอันแสนวุ่นวายด้วยรถติดไม่ได้ เขามองอย่างเพลินจนไม่รู้แม้แต่ว่ามีใครเดินเข้ามาในห้อง
มือหนึ่งสะกิดโจที่ด้านหลังอย่างแผ่วเบา เมธิลอยู่ในชุดกระโปรงสีเหลืองสดใสลายลูกไม้เหมือนเมื่อคืนวาน เพียงแต่ชุดต่างกันเล็กน้อยนั่นเอง
“โจมาจากต่างถิ่น เป็นยังไงบ้างล่ะมองจากบนนี้” เมธิลยิ้มหวาน
"ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย" โจยิ้มตอบ “เป็นอะไรที่แปลกตาไปหมด”
"ว่าแต่ว่าโจมาจากที่ใดกันล่ะ" เมธิลยิงคำถามมาดื้อๆ ทำเอาโจอึกอักตอบไม่ถูก ถึงจะบอกเรื่องของตัวเองไปคนในยุคนี้คงจะหาว่าเขาบ้าหรือไม่ก็เป็นพ่อมดเวทมนต์สะเปล่าๆ
“บอกไปเธอก็คงไม่รู้จักหรอก ฉันจำเรื่องราวของตัวเองไม่ได้เลย เธอจะช่วยเล่าได้รึเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่ฉันสลบไปได้มั๊ย” โจตอบเลี่ยงๆ
“ข้าเองก็ไม่ได้เห็นกับตาตัวเองหรอก เพียงแต่ท่านพ่อเล่าให้ช้าฟังอีกที ระหว่างสงครามระหว่างลอเลซและอาณาจักรไซบีเรียน แม่ทัพทั้งสองฝ่ายคือ อัซลาน อับบราฮิม และ ท่านพ่อข้า ได้ดวลกันตัวต่อตัว ท่ามกลางทัพของทั้งสองฝ่าย แต่ว่า อัซลาน ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของไซบีเรียน ฝีมือเหนือกว่าพ่อข้าอยู่ขั้นนึง ขณะที่ท่านพ่อข้ากำลังจะพลาดพลั้งนั้น แสงประหลาดก็เจิดจ้าจนไม่มีใครเห็นว่าอะไรเกิดอะไรขึ้น พอเห็นอีกทีก็เห็นอัซลาน แม่ทัพอีกฝ่ายได้ล้มลงแล้ว และท่านก็ปรากฏตัว ที่ข้ารู้ทั้งหมดก็มีแค่นี้แหละ” เมธิลยักไหล่
โจเริ่มพอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้บ้างแล้ว ตัวเขาคงโผล่มาผิดที่ผิดเวลา โผล่ที่ไหนไม่โผล่ดันมาโผล่ท่ามกลางศึกระหว่างสองอาณาจักร และความเป็นวีรบุรุษนี้ตัวเขาก็ได้มาด้วยความบังเอิญ เขานั้นจะบอกไปได้อย่างไรกันล่ะ ว่าตัวเขามาจากอานาคตด้วยเครื่องย้อนเวลา และบังเอิญตกลงมาทับแม่ทัพอีกฝ่ายตาย หากเขาต้องการจะกลับสงสัยว่าเขาต้องเลยตามเลยไปก่อน นี่คงเป็นวิธีเดียวที่ดีกว่าการมานั่งคิดว่าทำอย่างไร หรือมานั่งร้องไห้สิ้นหวัง
“จริงสิ ข้าจะมาชวนโจให้ไปเดินเล่นในเมืองกัน สนใจไหมล่ะ”
โจพยักหน้าเห็นด้วย เมธิลจึงฉุดมือโจเดินนำไปทันที
ทางเดินของที่นี่เป็นทางเดินทอดยาว และกว้างขวางพอให้คนเดินเรียงหน้ากระดานยี่สิบสามสิบคนสบาย มีชุดเกราะอัศวินวางเรียงรายตลอดเส้นทาง จากห้องของโจไม่นานก็ผ่านห้องโถงกลางขนาดใหญ่ มีโต๊ะไม้ยาว ปูด้วยผ้าสีแดง อยู่ใจกลางห้อง ผู้หญิงหน้าตาหมดจดในชุดสีดำคาดผ้ากันเปื้อนสีขาว กำลังง่วนอยู่กับการยกอาหารเช้าออกมา ทุกคนเมื่อผ่านหน้าเมธิล ก็โค้งทำความเคารพ
โจนึกได้ว่าตัวเขายังอยู่ในชุดนอนเมื่อคืน จึงกระตุกมือเมธิลเบาๆ
“เออ คือฉันยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย”
เมธิลหันมามอง ปิดปากหวอ และระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ตายจริง แหะๆ ขอโทษทีนะ โจ “
โจได้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีคนนำมาวางไว้ที่ห้อง ชุดเป็นเสื้อมีฮูดสำหรับคลุมศีรษะ อุ่นสบาย แม้เขาจะรู้สึกแปลกๆ ไม่ชินกับเสื้อผ้าพวกนี้ก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรใส่ปกปิดร่างกาย เพราะตอนมาก็ไม่ได้จัดกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วย โจคิดติดตลก
หลังจากเปลี่ยนชุดเขาก็ไปที่ห้องโถงอีกครั้งเพื่อรับประทานอาหาร ซึ่งดูเป็นอาหารเช้าที่หรูหราที่สุดมื้อหนึ่งก็ว่าได้ ขนมปังปอน ซุบเห็ด เนื้อหมูย่าง ค่อยๆทะยอยเสิร์ฟออกมาจนลายตา แม้ในห้องมีเพียงโจและเมธิลเท่านั้น แต่อาหารกลับวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะไปหมด จะกินยังไงก็ไม่น่าจะกินหมดไหว ส่วนท่านพ่อของเธอ เธออธิบายว่าพ่อของเธอต้องไปตรวจตรากองทัพจึงฝากขออภัยมา
จากนั้นโจก็สวาปามอย่างไม่เกรงใจ เพราะเมธิลไฟเขียวเต็มที่ว่า ไม่ต้องมีมารยาทใดๆทั้งสิ้นหากอยู่กันแค่สองคน
“ค่อยๆกินก็ได้ ไม่พอมีอีกนะ” เมธิลหัวเราะกับท่ากินโจที่สวาปามอย่างกระหายเหมือนคนอดอยากของโจ
จริงๆแล้วหากจะให้นับ เขาไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้วและทันทีที่ได้รับอาหารรสเลิศนี้ ยิ่งทำให้เขาสวาปามอย่างลืมตัว รู้สึกตัวอีกทีโจก็บรรจงแทะซี่โครงหมูชิ้นสุดท้ายหมดอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว จนเมธิลอดมองด้วยความทึ่งในการกินจุของเขาไม่ได้
“เลี้ยงโจนี่คงเปลืองที่สุดแล้วมั้ง” เมธิลกระทุ้งศอกเบาๆใส่พุงที่กางจนแทบปริของเขา ทำให้โจเกือบพุ่งเอาอาหารที่กินเข้าไปออกมา เพราะตอนนี้ตัวเขาขยับแทบไม่ได้ต้องปลดเสื้อผ้าให้หลวมเข้าไว้ ก่อนกินก็ทรมานหลังกินไม่ประมาณก็ทรมานอีกโจบ่นอุบอิบกับตัวเอง
หลังจากนั่งพักให้อาหารย่อย เมธิลและโจก็เดินออกจากห้อง ด้านหน้าห้องมีนายทหารสวมหมวกเหล็กถือหอก ทำความเคารพเมื่อพวกเขาเดินผ่าน ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงประตูบานใหญ่ ทหารที่เฝ้าอยู่ด้านในสองคนหมุนเฝืองด้านข้างประตู ประตูบานใหญ่จึงค่อยๆเคลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ เสียงครืนๆของประตูค่อยๆเคลื่อนออก ลมเย็นพัดผ่านเข้ามา พร้อมกับแสงแดดอันสดใสในยามเช้า ไล่ความอับชื้นของปราสาทออกไป
“เดี๋ยวข้าจะเดินไปกับโจ ไม่ต้องให้ใครติดตามมาหรอก”เมธิลบอกกับทหารที่เฝ้าประตู ทหารคนนั้นอึกอักเล็กน้อย
“นี่เป็นคำสั่งนะ” เมธิลไม่ได้สนใจฉุดมือโจเดินออกจากปราสาท
เมื่อโจหันกลับไปมองโจก็ต้องตะลึงกับความใหญ่โตของปราสาทนี้ แม้จะไม่ใช่เหมือนภาพที่เขาได้จินตนาการไว้ก็ตาม ปราสาทนี้มีลักษณะเป็นรูปทรงแปดเปลี่ยมไม่มียอดเหมือนปราสาททั่วไป ซึ่งน่าจะเรียกว่าเป็นป้อมปราการมากกว่าปราสาท
เมธิลและโจเดินไปยังย่านร้านค้า มีรถม้าและผู้คนแบกสิ่งของเดินผ่านไปมาบนถนน แม้ว่าถนนที่นี่จะกว้างแต่ก็คับคั่งไปด้วยผู้คน จนแทบไม่มีที่โล่งว่างเปล่าเลยแม้แต่นิดเดียว ข้างทางพ่อค้าเปิดร้าน มีตั้งแต่พวกเนื้อสัตว์ ผักผลไม้ เครื่องประดับแปลกๆ และอัญมณีต่างๆ ที่ไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน
“ เมืองพึ่งมาคึกคักวันสองวันนี้เอง ต้องขอบคุณที่สงครามยุติลงได้ และต้องขอบคุณท่านด้วยโจ” เมธิลหันมากระซิบแผ่วเบา
โจยิ้มกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ไม่ทราบว่าจะกล่าวอะไรต่อไปดี เพราะสิ่งที่เกิดไม่ได้เกิดขึ้นเพราะฝีมือเลย
ไม่ทราบว่าตัวโจคิดไปเองหรือไม่ ผู้คนในแทบนั้นมองเขาตลอด จนกระทั้งเด็กชายผมสีน้ำตาลคนหนึ่งวิ่งมาด้านหน้าเขาและเมธิล
“ท่านคือคนที่จัดการอัซลานรึเปล่าครับ” เสียงผู้คนที่ดังในตอนแรก เงียบหายไปเสียเฉยๆ ราวกับจะรอคำตอบจากที่เด็กน้อยถาม
เมธิลเห็นโจนิ่งเงียบจึงตอบแทน “ถูกแล้ว คนนี้นี่แหละ”
ผู้คนตามท้องถนนต่างกรูกันมาหาโจและเมธิล รุมล้อมเต็มไปหมด เพราะทุกคนต่างมาแสดงความขอบคุณ โจนั้นก็กระอักกระอ่วน ได้แต่ยิ้มรับไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร เพราะคำถามยิงเข้ามามากเหลือเกิน และส่วนใหญ่จะไปในทางว่าเขาจัดการกับอัซลานคนนั้นได้อย่างไร การจะโกหกหรือโม้ไปนั้นคงง่ายแต่ตัวเขาไม่ใช่คนนิสัยแบบนั้น จึงนิ่งไว้เสียดีกว่า บางคนก็นำของมาให้ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ หรือเครื่องอัญมณีต่างๆ
ทำให้ทั้งคู่ขยับจากตรงนั้นไม่ได้เลย เพราะถูกรุมไปด้วยฝูงชนเป็นชั้นๆ พ่อค้าแทบนั้นก็ต่างทิ้งร้านเพื่อมาดูโจทั้งสิ้น
ตอนนี้โจเข้าใจความรู้สึกแล้วว่าดาราเป็นอย่างไร เมื่อก่อนเขาก็คิดอยากเป็น แต่เมื่อรู้ว่าต้องเป็นอย่างนี้แล้วเขาไม่อยากเป็นอีกแล้ว
ระหว่างที่โจกำลังยุ่งอยู่กับผู้คนที่กรูเข้ามาหา สายตาหนึ่งจากด้านบนของตึกด้านบนไม่ห่างนัก กำลังจับจ้องเขา ปลายศรธนูจากคนผู้นั้น กำลังเล็งมาที่โจ โดยที่โจไม่รู้เรื่องว่าอันตรายกำลังย่ามกลายเข้ามาเลย หรือว่านี่คือจุดจบของเรื่องนี้....
to be continues
ความคิดเห็น