ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    EVENT : เก่งทะลุฟ้าล่าทะลุมิติ

    ลำดับตอนที่ #14 : บันทึกบทที่ 12: วีรบุรุษจากฟากฟ้า (เตรียมพิมพ์)

    • อัปเดตล่าสุด 31 ส.ค. 52


     

    บันทึกบทที่ 12 : วีรบุรุษจากฟากฟ้า

               ย้อนกลับไปอดีตแถบคาบสมุทรเมดิเตอเรเนียน ประมาณ 1600 ปีจากปีปัจจุบัน   อาณาจักรมิดแลนด์ รัชสมัยพระราชาโซโลมอน(คิงโซโลมอน)  ภายหลังการล่มสลายของอาณาจักรโรมและการแยกตัวเป็นอิสระของอาณาจักรต่างๆในยุคกลาง

             ท้องฟ้าปลอดโปร่งไม่มีแม้แต่เมฆสักก้อน   สายลมโชยเอื่อยให้ความรู้สึกเย็นสบาย  แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องกระทบต้นไม้ใบหญ้าสะท้อนเป็นประกาย  เหล่านี้ล้วนแต่เป็นบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกสดใสทั้งสิ้น   แต่ทว่าสิ่งนี้กลับตรงกับบรรยากาศที่เป็นอยู่ในเมืองลอเลซ
           ซึ่งเมืองนี้  ได้รับขนานนามจากบรรดาพ่อค้าและผู้คนที่เดินทางผ่านมาว่า  เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับ  แม้จะเป็นเวลากลางคืนก็สว่างไสวไปด้วย แสงเทียนจากบ้านเรือน  และมักมีการเฉลิมฉลองกันอยู่เสมอ  ที่เป็นเช่นนี้เพราะลอเลซเป็นเมืองที่ติดกับเมืองท่าที่สำคัญถึงสองแห่ง ในราชอาณาจักรมิดแลนด์   คือ  “ อารีน่าและ  “ซานตามาเรียโน   ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

       ลอเลซจึงเป็นเมืองที่ผู้คนเดินทางผ่านมาอย่างมากหน้าหลายตา  และหลากพื้นที่   โดยเฉพาะเหล่าพ่อค้าวาณิชย์ทั้งหลาย   ที่ต้องการขนสินค้าจากแดนไกลมาขายยังราชอาณาจักรแห่งนี้   ในเมืองจึงแทบบอกได้เลยว่าผู้คนที่อยู่ในเมืองมีน้อยมากที่จะเป็นชาวเมืองลอเลซแต่กำเนิด  ส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างถิ่นเดินทางมาเพื่อทำการค้า และแต่งงานกับชาวเมืองที่นี่   

           แม้ลอเลซจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ ไม่เคยหลับ และหลากหลายไปด้วยผู้คนแต่วันนี้กลับตรงกันข้ามกับวันก่อนๆอย่างสิ้นเชิงไม่สมกับเป็นลอเลซแม้แต่น้อย   บรรยากาศในเมืองดูเงียบเหงา  ผู้คนที่เคยสัญจรไปมาอย่างคึกคักบัดนี้กลับไม่มีแม้สักคนที่เดินไปมาบนท้องถนน   ไม่ว่าจะเป็นสียงพ่อค้าที่คอยด่าทอพวกทาสที่ขนสินค้า   เสียงเร่ขายสินค้าต่างๆ  สิ่งเหล่านี้ล้วนอัตรธานหายไปหมดสิ้น  ทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยเสียงเดินตรวจไปมาของกองอัศวินแห่งราชอาณาจักรและเหล่าทหารประจำเมืองลอเลซแทน     บ้านเรือนแต่ละหลังในเมืองแทบทุกบ้านล้วนปิดสนิท  ราวกับว่าลอเลซเป็นเมืองร้างก็ไม่ปาน  

            ใจกลางเมืองลอเลซเป็นที่ว่าการของผู้ว่าประจำเมือง   ลักษณะที่ว่าการเป็นแบบตัวปราสาทและป้อมปราการในแบบเดียวกัน   แม้ที่ว่าการนี้จะดูเล็กสำหรับปราสาททั่วไป  แต่ก็ถือเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งไม่แพ้ที่อื่นๆ   ว่ากันว่าที่ว่าการปราการแห่งนี้เป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งอันดับสามแห่งราชอาณาจักรเลยทีเดียว 
            
                   ผู้ว่าการเมืองนี้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางบุกเบิกแผ่นดินแห่งราชอาณาจักร     จึงได้รับความไว้วางใจให้มาปกครองเมืองที่สำคัญแห่งนี้   ซึ่งคนคนนี้แม้ไม่เคยมีใครดูออกว่าเป็นคนเช่นไร เพราะเป็นคนที่พูดน้อยและดูลุ่มลึก  แต่การที่เขาเป็นผู้ให้สร้างที่ว่าเป็นปราสาทที่สามารถดัดแปลงเป็นป้อมปราการได้แทนที่จะเป็นปราสาทสวยหรู นั่นย่อมบ่งบอกถึงความสามารถในการมองการณ์ไกลของคนคนนี้ไม่น้อย
                          
               ที่ด้านในที่ว่าการ  ขณะนี้ผู้ว่าและเหล่าขุนนางทั้งมวลแห่งลอเลซกำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องประชุมของปราสาท     ซึ่งอยู่ชั้นล่างสุด  ลักษณะห้องประชุมเป็นแบบห้องโถงโล่ง มีโต๊ะยาววางอยู่ใจกลางห้อง   ในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย  มีเพียงโคมไฟแขวนให้ความสว่าง   และมีเพียงภาพรูปใหญ่แขวนฝาผนังอยู่เพียงสองภาพประดับให้ความสวยงามเพียงเท่านั้น    
                         แม้ในห้องประชุมจะเต็มไปด้วยผู้คนแต่ทว่ากลับเงียบงันไม่มีผู้ใดกล่าวอะไรทั้งสิ้น  ทั้งหมดต่างจ้องมองกันอย่างอับจนปัญญาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น                  

    สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง   ทางด้านพวกไซบีเรียนมีการเคลื่อนไหวไหม  เสียงผู้ว่ากล่าวขึ้นทำลายความเงียบลง 

    ยังเลยครับท่านผู้ว่า  เราไม่รู้ว่าพวกมันจะเอายังไงกันแน่   พวกมันตั้งค่ายอยู่ที่ทิศตะวันตกตรงป่าทะเลสาบเดดซี นอกนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย   นักรบหนุ่มในชุดเกราะเงินรายงาน

    เจ้าพวกนี้ไม่รู้จักความเจริญเลยหรือไงกันนะ  มารบกับเราได้ไม่จบไม่สิ้น  ขุนนางแก่ด้านข้างส่ายหน้าอย่างหัวเสีย

    พวกมันต้องการดินแดนแทบนี้  เพราะประเทศมันไม่มีทางออกทางทะเล  คราวที่แล้วที่มันยกมาตีเราถ้าไม่ได้แผนการของท่านผู้ว่าทำให้พวกมันล่าถอยกลับไปละก็ ไม่อยากจะคิดชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ข้างผู้ว่าการกล่าวขึ้น พร้อมกับจดบันทึกอะไรบางอย่างลงกระดาษที่ยาวจรดพื้น

    ยังไงถ้าไม่แก้ปัญหาที่ต้นตอละก็  เหตุการณ์แบบนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ  ปัญหาคือแม่ทัพของไซบีเรียน   หากไม่มีคนๆนี้ละก็  ทางพระราชาไมเนอร์ คงไม่กล้ายกทัพมาตีเรา   ผู้ว่าตบโต๊ะ

    แต่ว่าทหารทั้งกองทัพของเราไม่สามารถทำอะไรคนๆนี้ได้เลย   คราวที่แล้วแม้ทหารของเราจะล้อมมันถึง  พันต่อหนึ่ง  ก็ยังทำอะไรมันไม่ได้   ชายที่ยืนอยู่ข้างผู้ว่ากล่าวเสียงเครียด

              บรรยากาศที่ประชุมที่ตึงเครียดอยู่แล้วกลับยิ่งทำให้เลวร้ายลงไปอีก  ทุกคนต่างนึกถึงภาพเหตุการณ์น่าสยดสยองนั้น    เหล่าทหารแห่งลอเลซและราชอาณาจักรสามารถไล่ต้อนพวกไซบีเรียน  แตกพ่ายอย่างไม่เป็นท่า   และทำการล้อมแม่ทัพของฝ่ายศัตรู    แม้ทางฝ่ายนั้นจะมีเพียงสิบเอ็ดคน  ฝ่ายนี้มีทหารเกือบพัน  แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้   แม้ทหารของ ลอเลซและราชอาณาจักรจะจู่โจมเข้าไปเพียงไร  ก็เหมือนกับนำไข่ไปกระทบกับหิน  เพราะทหารของฝ่ายลอเลซและราชอาณาจักรนั้นตายราวกับใบไม้ร่วงเหมือนถูกฆ่าฟันอยู่ฝ่ายเดียว  ส่วนทั้งสิบเอ็ดคนกลับฆ่าคนราวปิศาจเทพสงคราม  ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องบอกว่าพอฆ่าจนหนำใจแล้วก็ฝ่าทะลวงหายอย่างไร้ร่องรอยมากกว่า  เหมือนกับเมื่อครู่ได้เกิดพายุแห่งการฆ่าฟันก็ไม่ผิดนัก  
          
             ทหารฝ่ายลอเลซและราชอาณาจักรสูญเสียทหารไป เป็นจำนวนนับร้อยคน   แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน   หากทหารของไซบีเรียน มีคนเก่งเยี่ยง
     สิบเอ็ด คนนี้สักร้อยคน   อย่าว่าแต่ลอเลซเลย  แม้แต่ทั้งอาณาจักรคงไม่อาจต้านทานกองกำลังเช่นนี้ได้เป็นแน่

        ผู้คนถูกปลุกจากภวังค์   ด้วยเสียงเปิดประตูที่ผลักโคลมเข้ามา มีทหารผู้หนึ่งวิ่งมาด้วยความกระหืดกระหอบ

    แย่แล้วครับท่านผู้ว่า  ทางประตูเมืองทิศเหนือรายงานมาว่า  ไซบีเรียน  เคลื่อนทัพมาแล้ว มีกำลังกว่าสองหมื่น 

    ว่าไงนะ  สองหมื่น เหรอ!    ทุกคนอ้าปากค้างพูดขึ้นพร้อมกัน

           หากรวมกับทหารแห่งราชอาณาจักรแล้ว ลอเลซมีกำลังเพียงพันห้าร้อยคนเท่านั้น  เพราะกำลังส่วนใหญ่ถูกส่งไปยังเมืองหลวงหมดจากการจัดงานคัดเลือกอัศวินประจำปี แม้จะส่งสาสน์ไปขอกำลังจากเมืองด้านข้างก็ต้องใช้เวลาอีกสองสามวันกว่าจะมาสมทบ     และครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ไซบีเรียนส่งทหารออกมามากที่สุดก็ว่าได้ 
         แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าไม่ใช่จำนวนทหาร  แต่กลับเป็นการเคลื่อนทัพของฝ่ายนั้น   เพราะเป็นการเคลื่อนทัพที่ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย   เพราะจากที่สืบมา กำลังทางฝ่ายนั้น น่าจะมีไม่เกินห้าพัน แต่ทำไมที่รายงานตอนนี้กลับเป็นสองหมื่นคน กองกำลังที่เหลือเพิ่มมาได้อย่างไรมาเสริมเมื่อไหร่

    ตอนนี้ทางราชอาณาจักรคงไม่สามารถส่งทหารมาช่วยเราได้ทันแล้ว   แต่ไม่เป็นไรลอเลซยังมีป้อมปราการอยู่   หากเรามุ่งรักษาอยู่ที่กำแพงอย่างแข็งขัน  เชื่อวันมันไม่สามารถบุกได้ง่ายๆ และสามารถถ่วงเวลารอกำลังเสิรมได้อีกด้วย ผู้ที่ยืนข้างผู้ว่าการกล่าวขึ้น

    บอกทุกฝ่ายเตรียมออกศึก เราต้องผ่านอุปสรรค์ครั้งนี้ไปให้ได้ ผู้ว่าลุกขึ้นยืนประกาศเสียงดังลั่นด้วยเสียงอันทรงพลัง...

      
         ที่นอกกำแพงประตูทิศเหนือ   ที่แห่งนี้ปกติจะเป็นที่ที่เหล่าพ่อค้าใช้เป็นเส้นทางเดินทางผ่านจากเมือง
    ซานตามาเรียโน เมืองท่า  มายังลอเลซ  แต่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยกองทัพเกราะดำของไซบีเรียน     แค่มองเห็นภาพนี้เหล่าหทารรักษาเมืองก็ขยาดแล้วอย่าว่าแต่จะให้สู้เลย 

          เสียงโห่ร้องและเสียงเคาะอาวุธของไซบีเรียนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง   แสดงให้เห็นถึงกำลังที่มากมายมหาศาลเพียงไหน  ทำเอาผู้ที่ได้ยินต่างอกสั่นขวัญแขวนตามๆกัน   และ เสียงนี้ยังคงก้องกังวาลไปไกลราวกับว่าให้ฟ้ารับรู้ถึง                            ความน่าสะพึงกลัวนี้ด้วย  

             หลังจากเสียงดังอยู่อึดใจใหญ่   เสียงก็เงียบกริบราวกับป่าช้า  เมื่อมีชายรูปร่างสูงใหญ่ขี่ม้าสีดำ  ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ   
             เหล่าขุนนางและทหารลอเลซบนกำแพงต่างเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าตามๆกัน  เขาไม่คิดเลยว่าประเทศที่ป่าเถื่อนเช่นไซบีเรียนจะมีกองทัพที่เป็นระเบียบเรียบร้อยเยี่ยงนี้  ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการบุกครั้งที่แล้วอย่างสิ้นเชิง    
            

    “เอิดเวิล์ด วาลาดิเมียร์! หากเจ้ายังเป็นชายชาตินักรบ ก็จงมาดวลกับข้า  หากข้าใช้กำลังบุกเข้าไปได้ข้าจะฆ่าล้างเมืองไม่ให้เหลือแม้แต่สัตว์เลี้ยง

      ใช่แล้วชายคนนั้นก็คือ อาซลาน อับบราฮิม นั่นเอง  แม่ทัพผู้เป็นตำนานแห่งไซบีเรียนและเป็นสุดยอดนักรบแห่งยุค

    อย่านะครับท่าน หากท่านเป็นอะไรไป เราก็ต้องโดนมันยึดแน่ๆ ถ้าเราช่วยกันรับรองว่าต้องสู้ได้แน่  เหล่าทหารและขุนนางในเมืองต่างช่วยกันทัดทาน 

    ผู้ว่าต้องยกมือเพื่อให้เสียงเงียบลง   ข้าตัดสินใจแล้ว  ไม่คิดเหรอว่าครั้งนี้มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่   ด้วยกำลังเพียงเท่านี้จริงอยู่ถ้ารักษาที่เมือง ยังพอจะถ่วงเวลาได้บ้าง   แต่หากทางนั้นทุ่มกำลังเอาจริงๆล่ะก็  ด้วยกำลังทหารที่มากกว่าและถูกฝึกมาอย่างดีต่างกับคราวที่แล้วอย่างสิ้นเชิง  ย่อมไม่อาจรับรองว่าจะสามารถต้านทานได้พ้นสองวันหรือไม่ เมื่อกี้ข้าเห็นลักษณะการเคลื่อนของทหารและเสียงโห่ร้องแล้วจึงตัดสินใจเช่นนี้  
                 
                  ต่อให้อัซลานไม่มาท้า  เพียงเขาใช้กำลังที่มากมายกว่าหลายเท่า ก็เพียงพอแล้วที่จะถล่มลอเลซให้ราบเป็นหน้ากลอง  แต่ว่าอัซลานเป็นผู้ที่รักในการต่อสู้และมั่นใจในฝีมือมาก  จึงท้าประลองแทนที่ใช้กำลังบุกลอเลซโดยตรง        

     เอิดเวล์ด วาลาดิเมียร์  ผู้ที่ไม่มีใครมองออกว่าเป็นคนเช่นไร  มีฝืมือด้านการรบเพียงไหน  กำลังจะแสดงฝีมือในที่นี้แล้ว

    เปิดประตูเมือง เดี๋ยวข้าจะออกไป  ผู้ว่าการเมืองประกาศลั่น 

                เหล่าทหารและขุนนางต่างเงียบกริบ   แม้ตอนนี้ผู้ว่าแห่งลอเลซจะยังไม่ชนะในการประลองแต่ทว่า  เขาได้ชนะใจเหล่าขุนนางและทหารสิ้น    ทุกคนต่างภาวนาให้ผู้ว่าของเขาประสบกับชัยชนะและปลอดภัย

     

               เอี๊ยด! เสียงประตูเปิดออก ท่ามกลางสายตาอันห่วงใยทุกคู่  ผู้ว่าการแห่งลอเลซขี่ม้าสีน้ำตาลออกมาคนเดียว พร้อมชุดเกราะประจำตระกูล ที่มีตราแห่ง วาลาดิเมียร์ประทับอยู่ที่ตัวเกราะ เป็นรูปที่กษัตริย์พระราชทานให้ในฐานะที่เป็นขุนนางบุกเบิกแผ่นดิน   ชุดเกราะสีเงินของเจ้าเมือง สะท้อนแสงแดดเป็นประกาย  ควบม้ามาอย่างช้าๆมาหยุดอยู่ห่างจาก  ทัพของฝ่ายไซบีเรียนร้อยก้าว   

    ทุกอย่างเงียบกริบ  ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง  ต่างฝ่ายต่างจดจ้องการดวลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องแต่รบกันมาของสองอาณาจักรและจะเป็นการดวลที่จะตัดสินอาณาคตของลอเลซต่อไป 

    ข้าขอชมในความกล้าของเจ้า   เอาดาบข้ามา  อัซลาน กล่าวขึ้น  

    ทหารสามคนช่วยกันแบกดาบขนาดใหญ่ออกมา อย่างทุลักทุเล    ทางฝ่ายลอเลซเห็นดังนั้นจึงรู้สึกเสียวสันหลังแทนท่านผู้ว่า  เพราะต้องแต่รบมายังไม่เคยเห็นใครถือดาบที่ขนาดใหญ่และหนักเช่นนี้มาก่อน  ครั้งที่แล้วผู้ที่เคยเห็นดาบของอัซลาน  ยังไม่เคยมีผู้ที่รอดชีวิตได้เห็นเลยสักคนเดียว พึ่งจะได้เห็นของจริงกับตาก็วันนี้เอง

    อาซลาน  ข้าขอให้ท่านสาบานด้วยเกียร์ตินักรบ  หากข้าชนะท่านต้องถอนทัพกลับไป และจะไม่รุกรานที่นี่อีก  ผู้ว่ากล่าวขึ้น

    ตกลง  แต่ข้าไม่มีวันแพ้หรอก" อัซลานหัวเราะลั่น   " หากเจ้าแพ้ละ  อาซลานกล่าว

    ข้าขออพยพชาวเมืองออกไป และยกเมืองนี้ให้ท่านโดยไม่มีการต่อต้าน   เรามาสะสางเรื่องที่สมควรทำเถอะ  ผู้ว่าการชักดาบขึ้นมาและลงจากหลังม้า   หากเทียบกันแล้วขนาดของดาบผู้ว่ากับอาซลานช่างเหมือนไม้จิ้มฟันกับท่อมซุงเสียนี่กระไร 

    อาซลานหยิบดาบขึ้นมาพาดบนบ่า  และลงจากหลังม้า      ต่างฝ่ายต่างไม่ขยับ  ความรู้สึกกดดันทำเอาผู้ที่ชมการประลองลืมหายใจไปตามๆกัน  เวลานี้ดูเป็นช่วงเวลาที่เนิ่นนานราวกับเวลาผ่านไปเป็นปี  

    หากไม่เข้ามาข้าจะเข้าละนะ กล่าวจบ อัซลานวิ่งเข้ามา  พร้อมกับเงื้อดาบ

    ผู้ว่าตะลึงชั่วขณะ  ไม่คิดว่าขนาดแบกดาบที่ใหญ่ขนาดนี้ อัซลานผู้นี้ยังสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วอีก    อัซลานมาถึงตัวผู้ว่าอย่างรวดเร็วพร้อมกับฟาดดาบลงมาหมายจะให้ผู้ว่าขาดเป็นสองท่อนในดาบเดียว    

         แต่ทว่าผู้ว่าลอเลซก็หาใช่ผู้ไร้ฝีมือไม่ เขายกดาบขึ้นมารับดาบเล่มยักษ์ของอัซลาน จนเสียงปะทะดังกังวาลไปไกล แม้จะสามารถรับคมดาบนี้ได้  แต่ความรู้สึกของผู้ว่าก็เหมือนกับมีภูเขากดทับลงมาจนแทบจะจมแผ่นดิน   ทำเอาผู้ว่ากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง       แต่ว่าดาบของอัซลานก็หาหยุดเพียงนั้นไม่ อัซลานยังคงเหวี่ยงดาบต่อเนื่องอีก  ผู้ว่าได้แต่ฝืนรับอีกดาบ   แม้รับได้แต่ก็ทำเอาผู้ว่าล้มกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร
                   ทหารฝ่ายไซบีเรียนต่างโห่ร้องอึงมี่เมื่อเห็นผู้ว่าลอเลซกำลังจะเสียที     ตรงข้ามกับฝ่ายลอเลซที่เงียบกริบ   บางคนทนไม่ได้ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา    บางคนที่ทนเห็นผู้ว่าของตนถูกสังหารไม่ได้ ก็เตรียมเปิดประตูเมืองออกไปช่วยแต่ทว่าคงไม่ทันกาลเสียแล้ว

    แววตาอัซลานทอเป็นประกายพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน   “  นี่เป็นครั้งแรกนะนี่ที่มีคนที่รับดาบข้า แล้วยังมีชีวิตอยู่  รับมือ!”  


                  อัซลานไม่รอช้าหมายจะฟาดฟันผู้ว่าที่แน่นิ่งอยู่กับพื้นให้สิ้นชื่อโดยพลัน
      ความเร็วที่อัซลานพุ่งมานั้นรวดเร็วราวกับสายลมพัด    จนผู้คนทั้งสองฝ่ายโดยเฉพาะลอเลซต่างมองจนลืมหายใจกับสิ่งที่จะเกิดต่อไปข้างหน้า  แม้ทหารฝ่ายลอเลซรีบเปิดประตูโดยพลันเพื่อช่วยผู้ว่า แต่ด้วยความเร็วของอัซลาน   พวกเขาก็ได้แต่มองเพียงเท่านั้น

          ขณะที่อัซลานมาถึงตัวผู้ว่าที่กำลังนอนนิ่งอยู่นั้นเอง    สิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ราวกับเวลาทั้งมวลได้หยุดนิ่ง                     ชั่วอึดใจหนึ่งมีแสงประหลาด เกิดขึ้นตรงท้ องฟ้าเหนือสนามรบพอดี  เป็นแสงที่เจิดจ้า เหมือนกับแสงแดดแต่จ้ากว่าแสงแดดสิบเท่า   คนที่นี่ตาพล่ามัวด้วยแสงสีขาว ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น  แม้แต่อัซลานและผู้ว่าการเอง  ภาพที่มองมันขาวไปหมด    หลังจากทุกคนทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่ก็มีเสียงพลั๊ก! เหมือนมีอะไรตกลงมากระทบสักอย่าง   นั่นเป็นเสียงเดียวที่ทุกคนได้ยินขณะนี้

               หลังจากสายตาหายพล่ามัวกันแล้ว  ทั้งสองฝ่ายก็ต้องตกตะลึง  ภาพที่เห็นคือ  ชายหนุ่มผมดำผู้หนึ่งนั่งอยู่บนตัวอัซลาน   ซึ่งนอนหงายหลังแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น   ชายหนุ่มผู้นั้นนั่งอยู่พักนึงก็ล้มลงนอนอยู่ข้างอัซลาน    

    ชายผู้ที่ทหารทั้งกองทัพไม่สามารถทำอย่างไรได้ ล้มลงแล้ว  และเด็กหนุ่มผู้นี้เขาเป็นใคร ผู้คนทั้งสองฝ่ายต่างตั้งคำถามต่างๆนานา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×