คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บันทึกบทที่ 12: วีรบุรุษจากฟากฟ้า (เตรียมพิมพ์)
บันทึกบทที่ 12 : วีรบุรุษจากฟากฟ้า
ย้อนกลับไปอดีตแถบคาบสมุทรเมดิเตอเรเนียน ประมาณ 1600 ปีจากปีปัจจุบัน อาณาจักรมิดแลนด์ รัชสมัยพระราชาโซโลมอน(คิงโซโลมอน) ภายหลังการล่มสลายของอาณาจักรโรมและการแยกตัวเป็นอิสระของอาณาจักรต่างๆในยุคกลาง
ท้องฟ้าปลอดโปร่งไม่มีแม้แต่เมฆสักก้อน สายลมโชยเอื่อยให้ความรู้สึกเย็นสบาย แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องกระทบต้นไม้ใบหญ้าสะท้อนเป็นประกาย เหล่านี้ล้วนแต่เป็นบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกสดใสทั้งสิ้น แต่ทว่าสิ่งนี้กลับตรงกับบรรยากาศที่เป็นอยู่ในเมืองลอเลซ
ซึ่งเมืองนี้ ได้รับขนานนามจากบรรดาพ่อค้าและผู้คนที่เดินทางผ่านมาว่า เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับ แม้จะเป็นเวลากลางคืนก็สว่างไสวไปด้วย แสงเทียนจากบ้านเรือน และมักมีการเฉลิมฉลองกันอยู่เสมอ ที่เป็นเช่นนี้เพราะลอเลซเป็นเมืองที่ติดกับเมืองท่าที่สำคัญถึงสองแห่ง ในราชอาณาจักรมิดแลนด์ คือ “ อารีน่า” และ “ซานตามาเรียโน” ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ลอเลซจึงเป็นเมืองที่ผู้คนเดินทางผ่านมาอย่างมากหน้าหลายตา และหลากพื้นที่ โดยเฉพาะเหล่าพ่อค้าวาณิชย์ทั้งหลาย ที่ต้องการขนสินค้าจากแดนไกลมาขายยังราชอาณาจักรแห่งนี้ ในเมืองจึงแทบบอกได้เลยว่าผู้คนที่อยู่ในเมืองมีน้อยมากที่จะเป็นชาวเมืองลอเลซแต่กำเนิด ส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างถิ่นเดินทางมาเพื่อทำการค้า และแต่งงานกับชาวเมืองที่นี่
แม้ลอเลซจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ ไม่เคยหลับ และหลากหลายไปด้วยผู้คนแต่วันนี้กลับตรงกันข้ามกับวันก่อนๆอย่างสิ้นเชิงไม่สมกับเป็นลอเลซแม้แต่น้อย บรรยากาศในเมืองดูเงียบเหงา ผู้คนที่เคยสัญจรไปมาอย่างคึกคักบัดนี้กลับไม่มีแม้สักคนที่เดินไปมาบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นสียงพ่อค้าที่คอยด่าทอพวกทาสที่ขนสินค้า เสียงเร่ขายสินค้าต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนอัตรธานหายไปหมดสิ้น ทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยเสียงเดินตรวจไปมาของกองอัศวินแห่งราชอาณาจักรและเหล่าทหารประจำเมืองลอเลซแทน บ้านเรือนแต่ละหลังในเมืองแทบทุกบ้านล้วนปิดสนิท ราวกับว่าลอเลซเป็นเมืองร้างก็ไม่ปาน
ใจกลางเมืองลอเลซเป็นที่ว่าการของผู้ว่าประจำเมือง ลักษณะที่ว่าการเป็นแบบตัวปราสาทและป้อมปราการในแบบเดียวกัน แม้ที่ว่าการนี้จะดูเล็กสำหรับปราสาททั่วไป แต่ก็ถือเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งไม่แพ้ที่อื่นๆ ว่ากันว่าที่ว่าการปราการแห่งนี้เป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งอันดับสามแห่งราชอาณาจักรเลยทีเดียว
ผู้ว่าการเมืองนี้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางบุกเบิกแผ่นดินแห่งราชอาณาจักร จึงได้รับความไว้วางใจให้มาปกครองเมืองที่สำคัญแห่งนี้ ซึ่งคนคนนี้แม้ไม่เคยมีใครดูออกว่าเป็นคนเช่นไร เพราะเป็นคนที่พูดน้อยและดูลุ่มลึก แต่การที่เขาเป็นผู้ให้สร้างที่ว่าเป็นปราสาทที่สามารถดัดแปลงเป็นป้อมปราการได้แทนที่จะเป็นปราสาทสวยหรู นั่นย่อมบ่งบอกถึงความสามารถในการมองการณ์ไกลของคนคนนี้ไม่น้อย
ที่ด้านในที่ว่าการ ขณะนี้ผู้ว่าและเหล่าขุนนางทั้งมวลแห่งลอเลซกำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องประชุมของปราสาท ซึ่งอยู่ชั้นล่างสุด ลักษณะห้องประชุมเป็นแบบห้องโถงโล่ง มีโต๊ะยาววางอยู่ใจกลางห้อง ในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเพียงโคมไฟแขวนให้ความสว่าง และมีเพียงภาพรูปใหญ่แขวนฝาผนังอยู่เพียงสองภาพประดับให้ความสวยงามเพียงเท่านั้น
แม้ในห้องประชุมจะเต็มไปด้วยผู้คนแต่ทว่ากลับเงียบงันไม่มีผู้ใดกล่าวอะไรทั้งสิ้น ทั้งหมดต่างจ้องมองกันอย่างอับจนปัญญาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ทางด้านพวกไซบีเรียนมีการเคลื่อนไหวไหม” เสียงผู้ว่ากล่าวขึ้นทำลายความเงียบลง
“ยังเลยครับท่านผู้ว่า เราไม่รู้ว่าพวกมันจะเอายังไงกันแน่ พวกมันตั้งค่ายอยู่ที่ทิศตะวันตกตรงป่าทะเลสาบเดดซี นอกนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย” นักรบหนุ่มในชุดเกราะเงินรายงาน
“เจ้าพวกนี้ไม่รู้จักความเจริญเลยหรือไงกันนะ มารบกับเราได้ไม่จบไม่สิ้น” ขุนนางแก่ด้านข้างส่ายหน้าอย่างหัวเสีย
“พวกมันต้องการดินแดนแทบนี้ เพราะประเทศมันไม่มีทางออกทางทะเล คราวที่แล้วที่มันยกมาตีเราถ้าไม่ได้แผนการของท่านผู้ว่าทำให้พวกมันล่าถอยกลับไปละก็ ไม่อยากจะคิด” ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ข้างผู้ว่าการกล่าวขึ้น พร้อมกับจดบันทึกอะไรบางอย่างลงกระดาษที่ยาวจรดพื้น
“ยังไงถ้าไม่แก้ปัญหาที่ต้นตอละก็ เหตุการณ์แบบนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ ปัญหาคือแม่ทัพของไซบีเรียน หากไม่มีคนๆนี้ละก็ ทางพระราชาไมเนอร์ คงไม่กล้ายกทัพมาตีเรา” ผู้ว่าตบโต๊ะ
“แต่ว่าทหารทั้งกองทัพของเราไม่สามารถทำอะไรคนๆนี้ได้เลย คราวที่แล้วแม้ทหารของเราจะล้อมมันถึง พันต่อหนึ่ง ก็ยังทำอะไรมันไม่ได้” ชายที่ยืนอยู่ข้างผู้ว่ากล่าวเสียงเครียด
บรรยากาศที่ประชุมที่ตึงเครียดอยู่แล้วกลับยิ่งทำให้เลวร้ายลงไปอีก ทุกคนต่างนึกถึงภาพเหตุการณ์น่าสยดสยองนั้น เหล่าทหารแห่งลอเลซและราชอาณาจักรสามารถไล่ต้อนพวกไซบีเรียน แตกพ่ายอย่างไม่เป็นท่า และทำการล้อมแม่ทัพของฝ่ายศัตรู แม้ทางฝ่ายนั้นจะมีเพียงสิบเอ็ดคน ฝ่ายนี้มีทหารเกือบพัน แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ แม้ทหารของ ลอเลซและราชอาณาจักรจะจู่โจมเข้าไปเพียงไร ก็เหมือนกับนำไข่ไปกระทบกับหิน เพราะทหารของฝ่ายลอเลซและราชอาณาจักรนั้นตายราวกับใบไม้ร่วงเหมือนถูกฆ่าฟันอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนทั้งสิบเอ็ดคนกลับฆ่าคนราวปิศาจเทพสงคราม ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องบอกว่าพอฆ่าจนหนำใจแล้วก็ฝ่าทะลวงหายอย่างไร้ร่องรอยมากกว่า เหมือนกับเมื่อครู่ได้เกิดพายุแห่งการฆ่าฟันก็ไม่ผิดนัก
ทหารฝ่ายลอเลซและราชอาณาจักรสูญเสียทหารไป เป็นจำนวนนับร้อยคน แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน หากทหารของไซบีเรียน มีคนเก่งเยี่ยง สิบเอ็ด คนนี้สักร้อยคน อย่าว่าแต่ลอเลซเลย แม้แต่ทั้งอาณาจักรคงไม่อาจต้านทานกองกำลังเช่นนี้ได้เป็นแน่
ผู้คนถูกปลุกจากภวังค์ ด้วยเสียงเปิดประตูที่ผลักโคลมเข้ามา มีทหารผู้หนึ่งวิ่งมาด้วยความกระหืดกระหอบ
“แย่แล้วครับท่านผู้ว่า ทางประตูเมืองทิศเหนือรายงานมาว่า ไซบีเรียน เคลื่อนทัพมาแล้ว มีกำลังกว่าสองหมื่น “
“ว่าไงนะ สองหมื่น เหรอ!” ทุกคนอ้าปากค้างพูดขึ้นพร้อมกัน
หากรวมกับทหารแห่งราชอาณาจักรแล้ว ลอเลซมีกำลังเพียงพันห้าร้อยคนเท่านั้น เพราะกำลังส่วนใหญ่ถูกส่งไปยังเมืองหลวงหมดจากการจัดงานคัดเลือกอัศวินประจำปี แม้จะส่งสาสน์ไปขอกำลังจากเมืองด้านข้างก็ต้องใช้เวลาอีกสองสามวันกว่าจะมาสมทบ และครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ไซบีเรียนส่งทหารออกมามากที่สุดก็ว่าได้
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าไม่ใช่จำนวนทหาร แต่กลับเป็นการเคลื่อนทัพของฝ่ายนั้น เพราะเป็นการเคลื่อนทัพที่ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย เพราะจากที่สืบมา กำลังทางฝ่ายนั้น น่าจะมีไม่เกินห้าพัน แต่ทำไมที่รายงานตอนนี้กลับเป็นสองหมื่นคน กองกำลังที่เหลือเพิ่มมาได้อย่างไรมาเสริมเมื่อไหร่
“ตอนนี้ทางราชอาณาจักรคงไม่สามารถส่งทหารมาช่วยเราได้ทันแล้ว แต่ไม่เป็นไรลอเลซยังมีป้อมปราการอยู่ หากเรามุ่งรักษาอยู่ที่กำแพงอย่างแข็งขัน เชื่อวันมันไม่สามารถบุกได้ง่ายๆ และสามารถถ่วงเวลารอกำลังเสิรมได้อีกด้วย” ผู้ที่ยืนข้างผู้ว่าการกล่าวขึ้น
“บอกทุกฝ่ายเตรียมออกศึก เราต้องผ่านอุปสรรค์ครั้งนี้ไปให้ได้” ผู้ว่าลุกขึ้นยืนประกาศเสียงดังลั่นด้วยเสียงอันทรงพลัง...
ที่นอกกำแพงประตูทิศเหนือ ที่แห่งนี้ปกติจะเป็นที่ที่เหล่าพ่อค้าใช้เป็นเส้นทางเดินทางผ่านจากเมือง”ซานตามาเรียโน” เมืองท่า มายังลอเลซ แต่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยกองทัพเกราะดำของไซบีเรียน แค่มองเห็นภาพนี้เหล่าหทารรักษาเมืองก็ขยาดแล้วอย่าว่าแต่จะให้สู้เลย
เสียงโห่ร้องและเสียงเคาะอาวุธของไซบีเรียนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงกำลังที่มากมายมหาศาลเพียงไหน ทำเอาผู้ที่ได้ยินต่างอกสั่นขวัญแขวนตามๆกัน และ เสียงนี้ยังคงก้องกังวาลไปไกลราวกับว่าให้ฟ้ารับรู้ถึง ความน่าสะพึงกลัวนี้ด้วย
หลังจากเสียงดังอยู่อึดใจใหญ่ เสียงก็เงียบกริบราวกับป่าช้า เมื่อมีชายรูปร่างสูงใหญ่ขี่ม้าสีดำ ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ
เหล่าขุนนางและทหารลอเลซบนกำแพงต่างเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าตามๆกัน เขาไม่คิดเลยว่าประเทศที่ป่าเถื่อนเช่นไซบีเรียนจะมีกองทัพที่เป็นระเบียบเรียบร้อยเยี่ยงนี้ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการบุกครั้งที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
“เอิดเวิล์ด วาลาดิเมียร์! หากเจ้ายังเป็นชายชาตินักรบ ก็จงมาดวลกับข้า หากข้าใช้กำลังบุกเข้าไปได้ข้าจะฆ่าล้างเมืองไม่ให้เหลือแม้แต่สัตว์เลี้ยง”
ใช่แล้วชายคนนั้นก็คือ อาซลาน อับบราฮิม นั่นเอง แม่ทัพผู้เป็นตำนานแห่งไซบีเรียนและเป็นสุดยอดนักรบแห่งยุค
“อย่านะครับท่าน หากท่านเป็นอะไรไป เราก็ต้องโดนมันยึดแน่ๆ ถ้าเราช่วยกันรับรองว่าต้องสู้ได้แน่” เหล่าทหารและขุนนางในเมืองต่างช่วยกันทัดทาน
ผู้ว่าต้องยกมือเพื่อให้เสียงเงียบลง “ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่คิดเหรอว่าครั้งนี้มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ ด้วยกำลังเพียงเท่านี้จริงอยู่ถ้ารักษาที่เมือง ยังพอจะถ่วงเวลาได้บ้าง แต่หากทางนั้นทุ่มกำลังเอาจริงๆล่ะก็ ด้วยกำลังทหารที่มากกว่าและถูกฝึกมาอย่างดีต่างกับคราวที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ย่อมไม่อาจรับรองว่าจะสามารถต้านทานได้พ้นสองวันหรือไม่ เมื่อกี้ข้าเห็นลักษณะการเคลื่อนของทหารและเสียงโห่ร้องแล้วจึงตัดสินใจเช่นนี้“
ต่อให้อัซลานไม่มาท้า เพียงเขาใช้กำลังที่มากมายกว่าหลายเท่า ก็เพียงพอแล้วที่จะถล่มลอเลซให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่ว่าอัซลานเป็นผู้ที่รักในการต่อสู้และมั่นใจในฝีมือมาก จึงท้าประลองแทนที่ใช้กำลังบุกลอเลซโดยตรง
เอิดเวล์ด วาลาดิเมียร์ ผู้ที่ไม่มีใครมองออกว่าเป็นคนเช่นไร มีฝืมือด้านการรบเพียงไหน กำลังจะแสดงฝีมือในที่นี้แล้ว
“เปิดประตูเมือง เดี๋ยวข้าจะออกไป” ผู้ว่าการเมืองประกาศลั่น
เหล่าทหารและขุนนางต่างเงียบกริบ แม้ตอนนี้ผู้ว่าแห่งลอเลซจะยังไม่ชนะในการประลองแต่ทว่า เขาได้ชนะใจเหล่าขุนนางและทหารสิ้น ทุกคนต่างภาวนาให้ผู้ว่าของเขาประสบกับชัยชนะและปลอดภัย
เอี๊ยด! เสียงประตูเปิดออก ท่ามกลางสายตาอันห่วงใยทุกคู่ ผู้ว่าการแห่งลอเลซขี่ม้าสีน้ำตาลออกมาคนเดียว พร้อมชุดเกราะประจำตระกูล ที่มีตราแห่ง วาลาดิเมียร์ประทับอยู่ที่ตัวเกราะ เป็นรูปที่กษัตริย์พระราชทานให้ในฐานะที่เป็นขุนนางบุกเบิกแผ่นดิน ชุดเกราะสีเงินของเจ้าเมือง สะท้อนแสงแดดเป็นประกาย ควบม้ามาอย่างช้าๆมาหยุดอยู่ห่างจาก ทัพของฝ่ายไซบีเรียนร้อยก้าว
ทุกอย่างเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง ต่างฝ่ายต่างจดจ้องการดวลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องแต่รบกันมาของสองอาณาจักรและจะเป็นการดวลที่จะตัดสินอาณาคตของลอเลซต่อไป
“ข้าขอชมในความกล้าของเจ้า เอาดาบข้ามา” อัซลาน กล่าวขึ้น
ทหารสามคนช่วยกันแบกดาบขนาดใหญ่ออกมา อย่างทุลักทุเล ทางฝ่ายลอเลซเห็นดังนั้นจึงรู้สึกเสียวสันหลังแทนท่านผู้ว่า เพราะต้องแต่รบมายังไม่เคยเห็นใครถือดาบที่ขนาดใหญ่และหนักเช่นนี้มาก่อน ครั้งที่แล้วผู้ที่เคยเห็นดาบของอัซลาน ยังไม่เคยมีผู้ที่รอดชีวิตได้เห็นเลยสักคนเดียว พึ่งจะได้เห็นของจริงกับตาก็วันนี้เอง
“อาซลาน ข้าขอให้ท่านสาบานด้วยเกียร์ตินักรบ หากข้าชนะท่านต้องถอนทัพกลับไป และจะไม่รุกรานที่นี่อีก” ผู้ว่ากล่าวขึ้น
“ตกลง แต่ข้าไม่มีวันแพ้หรอก" อัซลานหัวเราะลั่น " หากเจ้าแพ้ละ” อาซลานกล่าว
“ข้าขออพยพชาวเมืองออกไป และยกเมืองนี้ให้ท่านโดยไม่มีการต่อต้าน เรามาสะสางเรื่องที่สมควรทำเถอะ” ผู้ว่าการชักดาบขึ้นมาและลงจากหลังม้า หากเทียบกันแล้วขนาดของดาบผู้ว่ากับอาซลานช่างเหมือนไม้จิ้มฟันกับท่อมซุงเสียนี่กระไร
อาซลานหยิบดาบขึ้นมาพาดบนบ่า และลงจากหลังม้า ต่างฝ่ายต่างไม่ขยับ ความรู้สึกกดดันทำเอาผู้ที่ชมการประลองลืมหายใจไปตามๆกัน เวลานี้ดูเป็นช่วงเวลาที่เนิ่นนานราวกับเวลาผ่านไปเป็นปี
“หากไม่เข้ามาข้าจะเข้าละนะ “ กล่าวจบ อัซลานวิ่งเข้ามา พร้อมกับเงื้อดาบ
ผู้ว่าตะลึงชั่วขณะ ไม่คิดว่าขนาดแบกดาบที่ใหญ่ขนาดนี้ อัซลานผู้นี้ยังสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วอีก อัซลานมาถึงตัวผู้ว่าอย่างรวดเร็วพร้อมกับฟาดดาบลงมาหมายจะให้ผู้ว่าขาดเป็นสองท่อนในดาบเดียว
แต่ทว่าผู้ว่าลอเลซก็หาใช่ผู้ไร้ฝีมือไม่ เขายกดาบขึ้นมารับดาบเล่มยักษ์ของอัซลาน จนเสียงปะทะดังกังวาลไปไกล แม้จะสามารถรับคมดาบนี้ได้ แต่ความรู้สึกของผู้ว่าก็เหมือนกับมีภูเขากดทับลงมาจนแทบจะจมแผ่นดิน ทำเอาผู้ว่ากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง แต่ว่าดาบของอัซลานก็หาหยุดเพียงนั้นไม่ อัซลานยังคงเหวี่ยงดาบต่อเนื่องอีก ผู้ว่าได้แต่ฝืนรับอีกดาบ แม้รับได้แต่ก็ทำเอาผู้ว่าล้มกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร
ทหารฝ่ายไซบีเรียนต่างโห่ร้องอึงมี่เมื่อเห็นผู้ว่าลอเลซกำลังจะเสียที ตรงข้ามกับฝ่ายลอเลซที่เงียบกริบ บางคนทนไม่ได้ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา บางคนที่ทนเห็นผู้ว่าของตนถูกสังหารไม่ได้ ก็เตรียมเปิดประตูเมืองออกไปช่วยแต่ทว่าคงไม่ทันกาลเสียแล้ว
แววตาอัซลานทอเป็นประกายพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน “ นี่เป็นครั้งแรกนะนี่ที่มีคนที่รับดาบข้า แล้วยังมีชีวิตอยู่ รับมือ!”
อัซลานไม่รอช้าหมายจะฟาดฟันผู้ว่าที่แน่นิ่งอยู่กับพื้นให้สิ้นชื่อโดยพลัน ความเร็วที่อัซลานพุ่งมานั้นรวดเร็วราวกับสายลมพัด จนผู้คนทั้งสองฝ่ายโดยเฉพาะลอเลซต่างมองจนลืมหายใจกับสิ่งที่จะเกิดต่อไปข้างหน้า แม้ทหารฝ่ายลอเลซรีบเปิดประตูโดยพลันเพื่อช่วยผู้ว่า แต่ด้วยความเร็วของอัซลาน พวกเขาก็ได้แต่มองเพียงเท่านั้น
ขณะที่อัซลานมาถึงตัวผู้ว่าที่กำลังนอนนิ่งอยู่นั้นเอง สิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ราวกับเวลาทั้งมวลได้หยุดนิ่ง ชั่วอึดใจหนึ่งมีแสงประหลาด เกิดขึ้นตรงท้ องฟ้าเหนือสนามรบพอดี เป็นแสงที่เจิดจ้า เหมือนกับแสงแดดแต่จ้ากว่าแสงแดดสิบเท่า คนที่นี่ตาพล่ามัวด้วยแสงสีขาว ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่อัซลานและผู้ว่าการเอง ภาพที่มองมันขาวไปหมด หลังจากทุกคนทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่ก็มีเสียงพลั๊ก! เหมือนมีอะไรตกลงมากระทบสักอย่าง นั่นเป็นเสียงเดียวที่ทุกคนได้ยินขณะนี้
หลังจากสายตาหายพล่ามัวกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ต้องตกตะลึง ภาพที่เห็นคือ ชายหนุ่มผมดำผู้หนึ่งนั่งอยู่บนตัวอัซลาน ซึ่งนอนหงายหลังแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มผู้นั้นนั่งอยู่พักนึงก็ล้มลงนอนอยู่ข้างอัซลาน
ชายผู้ที่ทหารทั้งกองทัพไม่สามารถทำอย่างไรได้ ล้มลงแล้ว และเด็กหนุ่มผู้นี้เขาเป็นใคร ผู้คนทั้งสองฝ่ายต่างตั้งคำถามต่างๆนานา
ความคิดเห็น