คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บันทึกบทที่ 11: เวลาที่ย้อนกลับ (เตรียมพิมพ์)
โจแถบไม่เชื่อหูตัวเอง ตอนนี้ที่ๆเขาอยู่คือโรงพยาบาลบ้าที่ไหนสักแห่งงั้นหรือ ชายคนนี้กำลังจะบอกอะไรกัน ถ้าไม่เป็นเพราะคนๆนี้ช่วยโจตอนแรก โจคงคิดว่าเขาคือคนบ้าแน่นอน
แสงไฟจากทางขึ้นตึก สะท้อนใบหน้าชายคนนั้นอย่างชัดเจน แววตาของเขาดูไม่เหมือนคนล้อเล่นหรือแววตาของคนเสียสติเลยแม้แต่น้อย สายตาเขาจับจ้องโจเพื่อรอคำตอบ หรือว่าหูโจจะเพี้ยนไป เขาเริ่มไม่แน่ใจตัวเองและสิ่งที่ได้ยิน โจจึงตัดสินใจถามอีกทีนึง
“เออ ขอโทษครับ คุณถามว่าอะไรนะ”
“คุณฟังไม่ผิดหรอก ผมถามว่าคุณสนใจจะย้อนเวลาไหม” น้ำเสียงชายคนนี้จริงจังและย้ำถึงความชัดเจนของคำถามในตอนแรกเช่นเดิม โจนั้นถึงกับอึ้งบอกไม่ถูกกับสิ่งที่ได้ยิน
“คือว่าจริงอยู่ที่ผมอยากย้อนเวลา แต่ว่าผมก็ไม่ถึงขั้นบ้าจนกระทั้งหลุดโลกจากความเป็นจริงนะ คุณอย่าถามคำถามอะไรแบบนี้เลย” โจยักไหล่ เหม่อมองทิวทัศน์ในยามค่ำ ที่มีแสงไฟจากตึกระยิบ เหมือนกับดาวในยาวค่ำคืน
ชายคนนั้นหัวเราะ “ ผมเข้าใจเป็นใครก็ยากจะเชื่อ ผมว่าถึงผมจะอธิบายตรงนี้คุณก็คงไม่เชื่ออยู่เหมือนเดิมน่ะแหละ เออจริงสิผมนี่เสียมารยาทมากเลย ผมชื่อ โจนาธาน วิสลี่ครับ “ เขายื่นมือมาทักทาย
โจลังเลเล็กน้อยว่าควรจะทำอย่างไรต่อกับคนๆนี้ดี แต่เขาก็ยื่นมือสัมผัสตอบ เขาจับมือแน่นจนโจมีความรู้สึกว่าฝ่ามือของชายคนนี้เหมือนกับมีเข็มหรือของแหลมอะไรสักอย่างมาสัมผัสกับฝ่ามือเขา โจรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ฝ่ามือเหมือนกับไฟข้อตแต่ก็เป็นความรู้สึกที่ชั่ววูบนึงเท่านั้น จากนั้นความรู้สึกมึนๆ อยากจะหลับเสียให้ได้ เริ่มมาแทนที่อาการเจ็บเมื่อครู่
“นี่คุณ ทำอะ...” เสียงขาดหายไปในลำคอโจ ในหัวของเขาก็เริ่มเบลอไปหมด
“ถือว่าคุณสนใจแล้วกันนะ มิสเตอร์ นพภัทร” ชายคนนั้นคลายมือและพูดขึ้นราวกับไม่มีอะไร “ขอโทษที่ต้องทำเช่นนี้ แล้วคุณจะเข้าใจ” นี่คือเสียงสุดท้ายที่โจได้ยิน....
ช่วงค่ำที่มืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากตึกส่องสว่างทั่ว แต่บนท้องฟ้าเหนือโรงพยาบาลกลับมีวัตถุทรงกลมประหลาดนวลเหมือนกับแสงจากดวงจันทร์ โจนาธาน พูดขึ้นกับสิ่งที่เหมือนกับนาฬิกาที่เขาใส่อยู่
“พิโกโร่”
แสงจากวัตถุประหลาดนั้น ส่องลงมาที่โจนาธานและโจที่นอนสลบอยู่ข้างๆ เขาทั้งสองคนจางหายไปกับแสงที่ส่องลงมา ท้องฟ้าที่สว่างวาบในตอนแรกบัดนี้มืดสนิทเหมือนเดิม
ชายคนหนึ่งกำลังสูบบุหรี่อยู่บนดาดฟ้าไม่ไกลจากโรงพยาบาลเท่าไหรนัก งงกับสิ่งที่เขาเห็น วงกลมประหลาดอธิบายได้อย่างเดียวคือ ยูเอฟโอ แน่นอน นี่เขากำลังเห็นในสิ่งที่ได้ยินมานานตั้งแต่สมัยเด็กหรือนี่ เขารีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป แต่เมื่อเขาถ่ายมือถือของเขากลับควันขึ้น หน้าจอมืดสนิท
“ไอโฟนลูกพ่อ เป็นอะไรไปตอนนี้เนี่ย” เขาสบถ อย่างหัวเสีย ถ้าเขาเอาภาพนี้ไปขายให้นักข่าวละก็ คงได้เงินหลายตังเป็นแน่....
แม้โจจะสติเลือนลาง แต่เขาก็รู้ตัวทุกอย่าง เพียงแต่ว่าตาของโจลืมไม่ขึ้นและร่างกายของเขาขยับไม่ได้เลย โจรู้สึกว่าร่างของเขาหลังจากที่ล้มไปก็เหมือนกับมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างทำให้ตัวเขาลอยคว้างกลางอากาศดึงไปยังที่สูงมาก ไม่รู้แรงนี้จะดึงเขาสูงขึ้นขนาดไหนแต่เขาก็ภาวนาให้หยุดเสียที เพราะรู้สึกทรมานเหลือเกิน ไม่นานร่างของโจก็หยุดและเคลื่อนไปยังที่นอนนุ่มๆแห่งหนึ่ง อากาศในห้องอุ่นสบาย ซึ่งเขาไม่รู้เหมือนกันว่านี่อยู่ที่ไหนเพราะเขาลืมตาไม่ขึ้น การที่รู้สึกตัวแต่ขยับตัวไม่ได้เป็นความรู้สึกที่ชวนอึดอัดยิ่งกว่าโดนขังในห้องมืดเสียอีก
“มิสเตอร์นพภัทร ผมรู้ว่าคุณรู้สึกตัวแต่คงขยับไม่ได้สินะ” เสียงโจนาธานกล่าวข้างหูโจเหมือนกับเป็นลำโพงอะไรซักอย่างด้านข้าง โจอยากจะถามอะไรแต่ก็ไม่สามารถพูดได้
“ระหว่างที่คุณเป็นผู้ฟังที่ดีผมจะเล่าทุกอย่างให้ฟังแล้วกัน ก่อนอื่นผมแน่นำคร่าวๆก่อน ผมเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งขององค์กรที่จะทำให้ฝันคุณเป็นจริง องค์กรเราทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ของโลกนี้ มีหลายสิ่งที่ยังไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ด้วยเหตุผลบางประการ หนึ่งในเรื่องที่เรากำลังค้นคว้าอยู่คือ กระบวนการถอยหลังของเวลา หรือการย้อนเวลานั่นแหละ เราได้วิจัยและพัฒนาโครงการนี้ตามความรู้ที่ไอซไตน์ได้ทิ้งไว้ให้ จนในที่สุดโครงการนี้ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ด้วยการวิจัยนานเกือบครึ่งศตวรรษ ความฝันของมวลมนุษยชาติกำลังจะเป็นจริงในอีกไม่ช้านี้แล้ว มิสเตอร์นพภัทรคุณจะได้รับเกียรตินี้เป็นคนแรกนะ ถ้าสำเร็จคุณอยากจะย้อนเวลาไปแก้ไขช่วงไหนในชีวิตก็ได้ ไม่ใช่เรื่องยากเลย อีกประมาณสิบนาที เราจะถึงห้องทดลอง เดี๋ยวคุณจะรู้รายละเอียดที่นั่น ขอให้คุณหลับให้สบาย...(ซ่า)”
โจนาธานพูดจบ โจก็ได้กลิ่นหอมๆอะไรบางอย่างที่ไม่เคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อน หลังจากที่โจสูดกลิ่นไปแล้วสติของโจก็หลุดหายไปทันที
นานเท่าไหร่กันนะที่เขาหลับไป เป็นการหลับที่หลับที่โจไม่ได้ฝันอะไรเลย ราวกับว่าเวลาที่เขาหลับนั้นผ่านไปแป๊บเดียวเท่านั้น ไม่นานนักโจก็รู้สึกตัว เขาลืมตาขึ้นก็เห็นเพดานสีขาวสว่างเรืองแสงขึ้นมา โจไม่เคยหลับและตื่นขึ้นมาสนชื่นเช่นนี้มาก่อนเลย ความเมื่อยล้าและเหนื่อยล้วนหายเป็นปลิดทิ้ง เตียงที่โจนอนอยู่ก็เป็นเตียงนุ่มสบายอย่างที่ไม่เคยนอนที่ไหนมาก่อน ทั้งๆที่เตียงนี้ก็เป็นเตียงไม้ธรรมดาเท่านั้น เมื่อมองไปรอบๆก็พบว่าตัวเขาอยู่ในห้องสีขาวเล็กๆห้องหนึ่ง ภายในห้องมีเพียงประตูเหล็กและเตียงตัวนี้เท่านั้น แต่โจกลับไม่รู้สึกอึดอัดเพราะอากาศในห้องเย็นสบาย
โจลงจากเตียง พื้นสีขาวก็เรืองแสงนวลให้ความสว่างไปทั้งห้อง นี่เขาอยู่ที่ไหนนะหรือว่าจะเป็นห้องทดลองที่ได้ยินก่อนที่จะหลับไปโจกล่าวกับตนเอง เขาเดินดูรอบๆ ห้องแต่ก็ไม่มีอะไรนอกจากเตียง เมื่อโจเดินไปเปิดประตู พอเดินไปใกล้ ประตูก็เลื่อนเปิดออกทางด้านบน
ทางเดินในตอนแรกที่มืดสนิทค่อยๆสว่างขึ้นเป็นทางทรงกลมสีขาวทอดยาวไปไกลสุดลุกหูลุกตา ทอดยาวไปถึงไหนก็ไม่อาจทราบได้ โจค่อยๆเดินออกจากห้องอย่างช้าๆ ซึ่งตลอดทางจะมีห้องเรียงกันเป็นระยะๆ เมื่อเขาผ่านห้องใด ฝาผนังที่ทึบขาว ก็จะโปร่งใส เห็นถึงห้องด้านใน โดยที่แต่ละห้องล้วนเป็นห้องที่ปราศจาคผู้คนมีเพียงเครื่องคอมพิวเตอร์และหลอดทดลองต่างๆ ทำงานอยู่ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เขาไม่เคยเห็นนอกจากในหนังเท่านั้น นี่เรากำลังฝันอยู่รึเปล่า โจพยายามหยิกตัวเอง เขาเดินไม่นานนัก ก็ถึงห้องห้องหนึ่งซึ่งผู้คนเดินกันอย่างขวักไขว่นับร้อยคน แต่ละคนใส่ชุดนักวิจัยสีขาวทั้งหมด มีทั้งผู้หญิงและชาย ฝรั่งและชาวเอเซีย เขาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าแต่ละคนชาติอะไรกันบ้าง เพราะทุกคนดูมาจากทุกชาติทุกภาษาจนลายตาคละกันไม่ซ้ำหน้าแม้แต่น้อย หน้าห้องนี้เขียนว่า
“ห้องทดลองที่ 13 Project EVENT “ โจเพียงแต่ดูจากฝาผนังด้านนอกเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้เข้าไป หลังจากที่ดูอยู่พักนึง ฝ่ามือหนึ่งก็มาวางบนไหล่ของเขา
“เป็นยังไงบ้าง ขอโทษด้วยนะที่ต้องพามาในลักษณะนี้” ชายคนนั้นพูดเสียงเรียบๆ เมื่อโจหันกลับไปก็พบชายศีรษะล้านเกลี้ยง มีใบหน้าที่แม้จะเต็มไปด้วยริ้วรอยจากความเครียด แต่ก็มองและยิ้มให้โจด้วยสายตาเป็นมิตร เขาพูดภาษาไทยราวกับเป็นคนไทยก็ไม่ปาน
“เออนี่ผมอยู่ที่ไหน แล้วคุณคือ..”
“ที่นี่คือห้องทดลองที่จะทำให้ฝันคุณเป็นจริงยังไงล่ะ มิสเตอร์นพภัทร ผมชื่อ ไอแซก เซเนฟอน เป็นผู้ดูแลโครงการนี้” ชายคนนั้นยิ้มให้พร้อมกับส่งมือมา
โจลังเลไม่กล้าที่จะจับมือกับเขา ไอแซกเห็นดังนั้นก็หัวเราะ
“ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มียาสลบแน่นอน” โจจึงยื่นมาสัมผัส ทั้งคู่จับมือกันแน่น
“จริงสิพวกคุณทำไมถึงพูดภาษาผมได้ล่ะ” โจนึกสงสัยตั้งแต่ชายที่ชื่อโจนาธานพูดกับเขาแล้วแต่ไม่มีโอกาสถาม
“จริงๆแล้วต้องบอกว่าผมพูดภาษาคุณไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ที่คุณสามารถคุยกับผมรู้เรื่อง เพราะสิ่งนี้ไงล่ะ “ ไอแซกยื่นเครื่องมือหนึ่งขนาดเล็กจิ๋ว ให้โจดู เครื่องนี้ลักษณะเหมือนกับลำโพงเล็กๆขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ “เครื่องนี้เรียกว่าเครื่องแลงเกอร์แฮนด์ หรือเครื่องแปลภาษาขนาดพกพานั่นแหละ มนุษย์โดยพื้นฐานแล้วเวลาสื่อสารจะพูดสิ่งเดียวกันแต่คนละภาษาเท่านั้น เครื่องนี้จะช่วยเปลี่ยนคลื่นเสียงจากผู้พูด แปลเป็นภาษาที่เราเข้าใจส่งคลื่นไปยังผู้รับก็คือผมนั่นเอง “
โจอ้าปากค้าง “นี่ถ้ามีเครื่องนี้ขายผมก็คงไม่ต้องลำบากเรียนอังกฤษสิเนี่ย”
ไอแซกยิ้ม “ถ้าเครื่องนี้ขายตามท้องตลาดรับรองว่า โลกคงปั่นป่วนไม่น้อยเลยล่ะ ระบบภาษาจะเปลี่ยนหมดคนจะพึ่งแต่เครื่องมือนี้ไม่ใช้ความพยายาม การเรียนภาษาก็เหมือนกับการพัฒนาสมองไปในตัวน่ะแหละ หากขาดส่วนนี้ไปสมองคงฝ่อไปเยอะ เครื่องนี้เลยถูกห้ามเปิดเผยสู่ภายนอก นี่มันจำเป็นผมถึงนำมาใช้ ผมให้คุณอันนึง “ ไอแซกยื่นให้โจ “แค่คุณเปิดสวิตและติดไว้ที่ข้อมือก็พอ ไม่ต้องห่วงเรื่องแบตเตอรี่หรอกมันใช้คลื่นความร้อนของร่างกายเป็นพลังงาน”
“ขอบคุณครับ “ โจรับไปสวม
“ฉันรู้ว่าเดี๋ยวเธอต้องถามอะไร เดี๋ยวเราเข้าไปด้านในกันก่อนเถอะ” ไอแซกเดินนำหน้าโจเข้าไปยังห้องทดลองที่ 13 โจก็เดินตามไปด้านในด้วย ห้องนี้กว้างใหญ่กว่าที่โจเห็นจากภายนอกมาก เพดานที่สูงจนไม่เห็น ห้องกว้างขนาดใหญ่กว่าสนามฟุตบอลสองสนามรวมกัน ภายในห้องเป็นสีขาวทั้งหมด วางเรียงรายไปด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หลายสิบเครื่องวางล้อมเป็นวงกลมชั้นๆ ใจกลางของห้องมีเครื่องรูปทรงกลมเหมือนลูกฟุตบอลขนาดใหญ่กว่าคนเท่าหนึ่งวางอยู่ มีสายไฟโยงเรียงเต็มไปหมด คนในชุดวิจัยสีขาวเดินไปมาอย่างขวักไขว่ และง่วนอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละครื่อง
ไอแซก เดินนำโจมาด้านในห้อง เขานั่งชี้ให้โจนั่งตรงเครื่องคอมที่อยู่รอบนอกสุด
“เธออยากถามใช่รึเปล่าล่ะ ว่าทำไมมีคนมากมายทำไมถึงเป็นเธอ” ไอแซกยื่นเท้ามาพาดโต๊ะคอม
โจพยักหน้า “จริงๆแล้วฉันก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าต้องเป็นเด็กเช่นเธอเลย แต่ว่าถ้าเราไม่พบสมุดบันทึกเล่มนี้ล่ะก็ เราก็ไม่พาเธอมาหรอก หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่เธอเขียนขึ้น เมื่อประมาณ 1600 ปีมาแล้ว “
โจอ้าปากค้าง นี่เขากำลังจะบอกอะไรกัน “พูดง่ายๆคือ ตัวเธอน่ะได้ไปยังอดีตมาแล้วไงล่ะ และคงเป็นคนแรกด้วยที่ประสบความสำเร็จในการย้อนเวลา” ไอแซกยื่นสมุดบันทึกที่ดูเก่า หน้าปกของสมุดแห้งกรอบ รวมทั้งกระดาษข้างในสมุดบันทึกด้วย โจรับมาดูเปิดอย่างระมัดระวัง เขาแทบไม่เชื่อเลยว่าในหน้าแรกจะมีชื่อของเขาอยู่ และเขียนถึงการที่เขาร่วมโครงการนี้ด้วย เมื่อเปิดไปหน้าถัดไป ตัวหนังสือดูจางและไม่ชัดจนดูไม่ออกว่าเขียนว่าอย่างไรต่อไป แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่โจเห็นในหน้าแรกก็ทำให้เขาตะลึกจนแทบตกจากเก้าอี้แล้ว เพราะลายมือนี้เป็นของเขาไม่ผิดแน่นอน
“ฉันต้องขอโทษด้วยนะ ที่ส่งคนไปติดตามเธอและพาเธอมาในลักษณะนี้น่ะ เป็นใครก็ไม่มีทางเชื่อหรอกเลยต้องพามาให้เห็นกับตา เธอไม่คิดเหรอว่าหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จจะทำให้เป็นประโยชน์กับผู้คนมากแค่ไหนกัน รวมทั้งเธอด้วย เธอไม่อยากจะกลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตหรอกหรือ” ไอแซกจ้องโจอย่างลึกซึ้ง
เมื่อไอแซกพูดถึงการแก้ไขอดีต ภาพของมิ้น และเสียงที่อาจารย์อ่านคำพิพากษาก็ลอยเข้ามาในหัวโจอีกครั้ง อา ถ้าไปแก้ไขอดีตได้หรือ โอกาสนี้คงเป็นโอกาสที่ฟ้าได้ประทานให้ตัวเขาแล้วเป็นแน่
ไม่รู้ว่าอะไรในใจของโจทำให้เขาพูดออกไปว่า “ผมตกลงเข้าโครงการนี้”
ไอแซกยิ้ม และหัวเราะดังลั่น “ มันต้องอย่างนี้สิ ๆ จะรอช้าอยู่ทำไมกันล่ะ เรามาเริ่มกันเลยมั๊ย”
โจลังเลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ ไอแซกเดินนำโจไปยังเครื่องที่เป็นลูกบอลขนาดใหญ่ใจกลาง นักวิจัยทั้งหมดยืนก้มหัวให้ไอแซก “ ศาสตราจารย์” พวกเขากล่าว
ไอแซกกดรหัสข้างประตูเป็นที่เรียบร้อย เครื่องรูปทรงลูกบอลได้เปิดฝาออกช้าๆ ด้านในไฟสีฟ้าอ่อนส่องสว่าง มีเก้าอี้เอนเหมือนกับเก้าอี้หมอฟัน ไอแซกชี้ให้โจนั่งที่ตรงนั้น
แต่โจนึกเรื่องสำคัญได้อย่างหนึ่งกระทันหัน “ ศาสตราจารย์ แล้วผมจะกลับมาได้ยังไงกันล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เครื่องนี้จะพาไปตามหลักฐานที่เชื่อมไปยังเวลาของอีกที่หนึ่ง เมื่อต้องการกลับแค่ไปหยิบหลักฐานที่เชื่อมมายังปัจจุบันก็จะกลับได้เอง เครื่องจะทำการเซฟข้อมูลไว้เหมือนกับเมมมูรี่การ์ดไว้ที่หลักฐานที่เราใช้อ่าน พูดง่ายๆคือ อย่าทำสมุดเล่มนี้หายเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นจะกลับมายังปัจจุบันไม่ได้” ไอแซกกล่าว พร้อมกับกดเดินเครื่องข้างเก้าอี้นั้น เมื่อถึงตอนนี้โจอยากจะลุกหรือเปลี่ยนใจก็ไม่ทันการแล้ว เพราะห้องได้ถูกปิดสนิทหมด ขึ้นหน้าจอขนาดใหญ่ด้านหน้าเก้าอี้สว่างขึ้นระบุว่า “Evidence Variace Evolution Natural Time ขอต้อนรับสู่โปรเจคย้อนเวลา EVENT โปรดใส่หลักฐานและระบุเวลาที่ท่านต้องการ Loading”
ไอแซกได้นำสมุดบันทึกไปวางยังช่องที่เครื่องนั้นยื่นออกมา “การอัพเดทข้อมูลเสร็จสิ้น “ เครื่องเปิดช่องที่ใส่หลักฐานออก ไอแซกได้ยื่นสมุดบันทึกให้โจผ่านทางช่องรับด้านนอก
“อย่าลืมนะห้ามหายเด็ดขาด” ไอแซกย้ำอีกครั้งนึง
“หากสำเร็จ ฉันจะให้เธอได้ย้อนเวลาไปยังที่ๆเธอต้องการ “
ไอแซกเดินออกจากเครื่องนั้น เครื่องได้ปิดประตูลงช้าๆ ซึ่งโจรู้สึกราวกับว่าตัวเขากำลังอยู่ในยานอวกาศลำหนึ่ง หน้าจอที่แสดงอยู่ตอนนี้มีข้อความขึ้นมาว่า
“กำลังจะเริ่มดำเนินการโปรดรอสักครู่..”
สิ่งที่กำลังจะเกิดต่อไปนี้ โจก็ไม่รู้ว่าเขาคิดถูกหรือผิด แต่ว่าเขาก็คงไม่สามารถเปลี่ยนใจอะไรตอนนี้ได้ เพราะเครื่องได้ปิดสนิทแล้ว และกำลังจะเดินเครื่องในอีกไม่ช้า เสียงจากภายนอกคราคร่ำไปด้วยเสียงผู้คน กำลังวุ่นวาย อะไรกันสักอย่าง
“เชื่อมระบบไฟฟ้า ดึงพลังงานสำรองทั้งหมดมาใช้ เราจะเดินเครื่องในอีก 3 นาที” เสียงไอแซกสั่งขึ้น
ข้อความจากหน้าจอเปลี่ยนไป เป็นตัวเลข นับถอยหลัง 3.00 2.59 2.58 ตัวเลขเดินถอยหลังเรื่อยๆ ซึ่งโจมองตัวเลขนี้ดูแล้วมันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้ากว่าที่เขาคิดมากนัก กว่าจะผ่านไปวิหนึ่งเขารู้สึกนานราวกับเป็นชาติ
“กำลังเตรียมการขั้นสุดท้าย “ เสียงคอมพิวเตอร์ดังขึ้น ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลง
ภายในห้องที่เป็นทรงกลมเริ่มขยับช้าๆ และเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาพหมุนไม่รู้เรื่องว่ารอบข้างเป็นอะไร หน้าจอที่เห็นในตอนแรกตอนนี้ดูไม่ออกแล้วว่านับถอยหลังถึงเลขไหน แรงหมุนมหาศาลราวกับจะฉีกร่างเขาออกเป็นเสี่ยงๆ โจกรีดร้องออกมาอย่างไม่อาย เขาอยากจะหยุดไอเครื่องนี้เสีย และบอกยกเลิก แต่ว่าตอนนี้คงสายไปแล้ว
“ ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง “ เสียงสุดท้ายที่โจได้ยิน ก่อนที่สติจะวูบดับไป.....
to be continues...
ความคิดเห็น