คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บันทึกบทที่ 4: วันอันแสนเหนื่อยล้า (เตรียมพิมพ์)
to be continue
บันทึกบทที่ 4
โจได้นั่งอยู่แถวกลางรองสุดท้ายข้างเด็กผู้หญิงที่มีออร่าความคงแก่เรียนอย่างยิ่ง เธอใส่แว่น มัดเปียสองข้าง ผิวขาวอมชมพู แว๊บแรกที่เห็นเธอโจได้แต่ลอบแลบลิ้นในใจ เพราะตัวเขาเองไม่ค่อยถูกกับคนประเภทบ้าเรียนเท่าไรนัก เนื่องจากโจเป็นคนขี้เกียจเรียนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้การพยายามอ่านหนังสือสักบรรทัดหนึ่ง ยังสามารถเป็นยานอนหลับได้อย่างดีสำหรับเขา ถ้าไม่อาศัยที่มีความจำดี พอสอบเอาตัวรอด มีเพื่อนคอยทำงานส่งให้ บวกกับความสามารถทางกีฬาละก็ อย่าหวังได้เข้าโรงเรียนนี้เลย
ตลอดคาบโจถูกกดดันด้วยรังสีคงแก่เรียนของเพื่อนข้างโต๊ะ ยิ่งสังเกตก็ยิ่งเห็นว่าเธอสีหน้าดูไร้ความรู้สึก แม้แต่การกระพริบตา ถ้าจะบอกให้ถูกคือตั้งใจอย่างไม่กระพริบตามากกว่า นอกจาก คำทักทาย “หวัดดี เราชื่อเกดนะ” ที่ดูให้ความรู้สึกเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาแล้ว เธอก็ไม่คุยไม่มองโจแม้แต่นิดเดียว มีแต่เพิ่มรังสีแห่งความคงแก่เรียนมากยิ่งขึ้น แต่โจก็ไม่ใส่ใจอะไรเธอเท่าไหร่ ว่าเธอจะเป็นมิตรด้วยหรือเปล่าเพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ถูกกับเด็กเรียนแบบนี้อยู่แล้ว และตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่ทั้งเกดและเสียงที่อาจารย์สอนอยู่เลย เพราะโจกำลังกังวลถึงการแข่งที่กำลังจะมีขึ้น คนที่กำลังจะโดนไล่ออกมิไล่ออกแหล่อยู่แล้ว จะสนใจเรียนไปทำไม โจถอนหายใจ จากนั้นภาพความคิดก็เปลี่ยนมาเป็นเด็กผู้หญิงที่เขาเจอเมื่อเช้าลอยมา พลางคิดว่าหากเขาได้รู้จักเธอมากกว่านี้ก็คงดีไม่น้อยเลย โจยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
โป๊ก! ช้อกลอยมากระทบหัวโจทำให้โจตื่นจากความคิด
“นายคนนั้นน่ะ ยิ้มอะไรอยู่ ห้องเรียนนะทำไมไม่ตั้งใจเลย ฮึ๊”
วิชานี้เป็นวิชาของอาจารย์วิทวัฒน์ อาจารย์สอนเลข ไว้ผมทรงปัดขวา แต่งตัวเนียบทุกอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า อายุราวๆ 30 ปี แม้จะเป็นอาจารย์หนุ่มแต่ว่าเนียบกว่าอาจารย์อวุโสบางคนเสียอีก แค่เพียงนักเรียนนทำท่าไม่สนใจในสิ่งที่แกสอนก็จะหงุดหงิดทันทีและปาช้อกใส่ นอกจากโจแล้วยังมีอีกสองสามคนที่โดนแบบเดียวกัน ห้องเรียนในวิชานี้ทุกคนจึงตั้งใจเป็นพิเศษ แม้จะไม่อยากเรียนก็ตามเพราะไม่อยากโดนช้อกบิน แต่ถึงกระนั้นโจก็ยังคงโดนปาช้อกใส่สองสามโป๊ก เพราะเผลอสับปะงกหนึ่งครั้ง และหาวอีกหนึ่งครั้ง โจได้แต่บ่นด่าในใจว่าทำไมอาจารย์ถึงรู้ทุกครั้งที่เขาหลุดนะ หากไม่เป็นอาจารย์ล่ะก็เขาคงรวบรวมช้อกที่คว้างมาปากลับไปแล้ว
ครั้งหนึ่งโจแอบหันไปมองเกดก็เห็นว่าเธอยิ้มเหมือนกันที่เขาโดนช้อกปา แต่เธอก็สลายรอยยิ้มทันทีเมื่อเห็นโจเหลือบมาทางเธอ เธอขยับแว่นและกระแอมเล็กน้อยก่อนจะกลับสู่โหมดตั้งใจเรียนอีกครั้งราวกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น และโจเองก็เหม่อมองเกดโดยไม่รู้ตัวเหมือนกันเมื่อเห็นเธอยิ้ม พลางคิดว่าหากเกดยิ้มอย่างงี้ตลอดก็คงน่ารักน่าคบกว่านี้อีกหลายเท่า ตอนแรกคิดว่าคนคนนี้จะยิ้มไม่เป็นเสียอีก
โป๊ก! อาจารย์ยังคงมีเรดาไวไม่เคยเปลี่ยน แม้เพียงสายตาโจแวบไปที่อื่นนอกจากกระดานเรียนเพียงนิดเดียวก็ไม่รอดพ้นเรดานี้ เขากุมหัวที่โดนช้อก พร้อมกับบ่นเบาๆ “สงสัยที่บ้านไม่เคยมีช้อกปาเล่น” เพียงเท่านั้นช้อกอีกหลายอันตามมาเป็นพลวน แต่คราวนี้โจหลบไปใต้โต๊ะทันหวุดหวิดทำให้ช้อกที่ปามาถูกคนด้านหลังอีกสองคนเต็มๆ
“วิธีแบบเดิมใช้กับผมได้แค่ครั้งเดียวนะครับ” โจพูดออกมาอย่างเหลืออด
“เธอว่าไงนะ พูดอีกทีสิ๊” อาจารย์เริ่มมีน้ำโห ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่อาจารย์เริ่มสอน เพราะนี่คงเป็นครั้งแรกเช่นกันที่มีนักเรียนมาท้าทายอำนาจแก
“ผมบอกว่าแค่ทีเดียวก็จำแล้วครับ ขอโทษครับอาจารย์” โจพลิกลิ้นโดยพลันพร้อมกับยกมือไหว้ เมื่อมีสตินึกได้ว่าแค่สิ่งที่เขาโดนคาดโทษก็หนักพอแล้วจึงไม่อยากหาเรื่องเพิ่มอีก
เกดไม่อาจเก๊กได้ต่อไป เธอฟุบกับโต๊ะทำท่าเหมือนกับพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่ และแอบค้อนมาทางโจพูดด้วยเสียงกระซิบว่า
“ร้ายนักนะ” โจได้แต่ยิ้มแหยงๆตอบ
“เธอ ไม่ต้อง...”
ขณะที่อาจารย์กำลังจะด่าอะไรต่อเสียงระฆังช่วยชีวิตก็ดังพอดี
ติ๊ง ต๊อง! เสียงสัญญาณบอกเวลาพักกลางวันดังขึ้น อาจารย์วิทวัฒน์ จึงเปลี่ยนมาเป็นสั่งการบ้านขนานใหญ่เรื่อง “เซท” โดยให้ไล่ทำแบบฝึกหัดในหนังสือท้ายบททั้งหมด ให้ส่งในเวลาเช้า จนนักเรียนร้อง “อื้อ หือ” พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“อยากทำล่วงหน้าอีกบทไหมล่ะ” อาจารย์วิทวัฒน์ ออกอาการฉุนขึ้นอีกครั้ง เสียงงึมงำในห้องจึงเงียบกริบ แกดูเหมือนจะรีบเร่งไปไหนสักอย่าง โจเลยรอดตัวไปครั้งนี้
หลังจากอาจารย์ไปแล้ว เพื่อนด้านหลังก็มาสะกิดโจ
“เออ ทีหลังนายจะหลบหัดให้สัญญาณมั้งนะ”
โจหันไปมองหน้าเพื่อนด้านหลัง ทำเอาเขาเกือบหลุดขำออกมา เพราะทั้งสองคนด้านหลังต่างหัวขาวโพลนไปด้วยฝุ่นช้อก เขาจึงต้องขอโทษยกใหญ่พร้อมกับบอกว่าจะเลี้ยงขนมเป็นการไถ่โทษให้
เพื่อนในห้องทะยอยกันมาทำความรู้จักกับโจ
“ ว่าแต่นายมาวันแรกก็ดังเลยนะ ไม่คิดเลยว่าจะกล้าลองของกะผ.อ. น่ะ” ชายหน้าตาคมขำ ทรงผมสกินเฮด นั่งหลังหลังโจ กล่าวขึ้น คนนี้แนะนำตัวว่าชื่อชัยดูท่าทางเป็นมิตรสุดในห้องก็ว่าได้
“ไม่ได้ลองของนะ แต่เรียกว่าซวยมากกว่า” โจส่ายหน้า
นอกจากชัย คนอื่นในห้องก็มาคุยทำความรู้จักกับโจ ซึ่งแต่ละคนทักเรื่องเมื่อตอนเข้าแถวเหมือนกันทุกคน จนเขารู้สึกเบื่อที่จะคุย เพราะคุยก็พูดแต่เรื่องเดิมซ้ำๆเท่านั้น เมื่อคุยกันพักใหญ่ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปหาอะไรกิน ปล่อยให้โจนั่งทำงานในห้องคนเดียวเพื่อส่งในตอนเย็น ช่างเป็นวันเปิดเรียนวันแรกที่ดีจริงๆ เขากล่าวประชดในใจ เมื่อมองหาเกดปรากฏว่าเธอหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่โจก็ไม่ทราบ เขาได้แต่ส่ายศีรษะบอกกับตัวเองว่าทำไมเราต้องมองหาด้วยนะ ยังไงเราก็คงเข้ากับเด็กเรียนแบบนี้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมเขาถึงมองหาเธอ
หลังจากเปิดหนังสือประวัติศาสตร์ยุโรป โจก็รู้สึกท้อขึ้นทันทีเพราะหนักหนากว่าที่เขาคิดไว้มาก เนื่องจากคำถามท้ายบทที่อาจารย์สั่งแม้จะมีเพียงยี่สิบข้อ แต่ว่าแต่ละข้อต้องตอบอย่างน้อยครึ่งหน้าขึ้นไปทั้งนั้น ไม่ใช่คำถามแบบถามแล้วตอบเป็นคำๆจบ เขาต้องใช้เวลาตลอดช่วงกลางวันในการทำงานแต่กระนั้นก็ยังไม่เสร็จ ท้องเจ้ากรรมก็ร้องเอาๆ ข้อความที่จะตอบก็กลายเป็นภาพอาหารที่อยากกินลอยมาแทน
“โอ้ย อยากกินข้าวจัง” โจพูดกับตัวเอง แต่ทว่าจะลงไปตอนนี้ก็คงไม่ทัน แถมไม่ได้ฝากใครซื้อขนมขึ้นมาให้อีก วันนี้เขาคงอดเข้าแล้วแน่นอน แม้แต่งานก็ทำไปได้เพียงหนึ่งในสี่เท่านั้นเอง การเรียนคงไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดจริงๆ โจบิดขี้เกียจเป็นรอบที่สิบ แต่บิดได้นิดเดียวก็ต้องกุมท้องเพราะแสบท้อง
ตึง ตึ่ง ตึ๊ง! “ประกาศ ขอให้นักเรียน นพภัทร ชิงชิดดี ไปยังสนามเทนนิสหลังเลิกเรียนด้วยค่ะ”
“อะไรกันมากมายนี่ งานก็ต้องส่งและโดนเรียกตัวอีก” โจบ่นให้กับความซวยของตัวเอง เรียกได้ว่าเมื่อมีเรื่องร้ายๆแล้วสิ่งร้ายๆมักจะตามมาเป็นพลวนจริงๆ
“อ๊ะ ยังไม่ได้กินไรไม่ใช่เหรอ เลยซื้อมาเผื่อ” เกดสะกิดโจ ยื่นขนมปังไส้ถั่วแดงให้ โจยื่นรับมาด้วยมือที่สั่นด้วยความที่ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เขามองเธออย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงที่ดูเคร่งเครียดคนนี้จะเป็นคนที่มีน้ำใจเหมือนกัน ตอนนี้เขาต้องมองเธอใหม่แล้ว
“ขอบคุณนะ เกด “ โจยิ้มให้ ก่อนจะรับขนมปัง
“ยี่สิบ บาท คิดค่าเดินด้วย” เกดขยับแว่น
“โห คิดว่าเลี้ยง” โจทำหน้าบู้ ก่อนจะหยิบเงินในกระเป๋าให้
เธอมองค้อนก่อนจะรับเงินจากโจ “ของฟรีมีในโลกเหรอ นี่ปรานีแล้วนะไม่คิดค่าเสียเวลารวมไปอีก”
“จ้าๆ ขอบคุณมากนะ ฉันคิดว่าเธอจะเป็นคนเครียดๆเสียอีก แต่ก็ไม่คิดว่าคนเครียดจะงกนะ” โจพูดติดตลก
ทั้งคู่คุยกันอย่างออกรสในช่วงเวลาพักที่เหลืออยู่อีกห้านาที เกดเป็นนักเรียนทุนเรียนดี ลักษณะภายนอกของเธอตรงข้ามกับสิ่งที่โจได้คุยกับเธอมากมาย ถึงภายนอกเธอจะดูเคร่งเครียดแต่เธอกับเป็นกันเองและมีอารมณ์ขัน โรงเรียนเก่าของเธอไม่ค่อยมีใครอยากคุยด้วย เพราะเธอดูจริงจังกับการเรียนมาก
“มันเป็นลักษณะนิสัยที่แม่ปลูกฝังมา” เกดบอก แต่เวลาปกติเธอจะไม่ใช่คนที่เครียดอะไร ถึงกระนั้นเพื่อนก็ไม่กล้าเข้าใกล้อยู่ดี
“เธอเหมือนคนสองบุคคลิกเลยนะ” โจเอ่ยขึ้น
“ฮะ ฮะ ไม่รู้สิ แต่ฉันว่าตัวฉันก็เป็นแบบนี้แหละ” เกดยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไร “แต่ปกติฉันไม่ใช่คนที่มาชวนใครคุยหรอกนะ”
“โหยถือเป็นพระคุณเลยนะ แล้วทำไมมาชวนเราคุยล่ะ แถมซื้อหนมมาฝากอีก” โจจ้องเกด
เธอหลบตา และเงียบไปนิดนึง “ก็แค่เห็นนายน่าสงสารเท่านั้นแหละ และก็ขนมที่ซื้อสามารถหากำไรได้ไง “ เธอยิ้ม
ช่วงบ่ายเรียนอีกสองวิชา เป็นวิชาที่น่าเบื่อที่สุดในการเรียนของโจ วิชาแรกของภาคบ่ายคือภาษาอังกฤษ เป็นอาจารย์หญิงมีอายุ คนหนึ่ง มีผมหงอกทั้งหัว ไว้ทรงผมสั้น เธอแต่งตัวเรียบในชุดสีเหลือง ในการสอนของเธอก็จะพูดไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้สนว่าจะมีนักเรียนจะฟังหรือไม่ ทางโรงเรียนก็ช่างจัดตารางสอนได้ดีเสียจริง วิชาง่วงๆหลังอาหารนี่สุดยอดเลย โจทำท่าเคลิ้ม
เสียงอาจารย์ที่สอนเรื่อง “past perfect” และ”past simple “ เป็นเสียงที่เรื่อยๆเหมือนคนอ่านสารคดีก็ไม่ปาน นักเรียนบางส่วนได้ฟุบหลับไปแล้ว หลังจากหนังท้องพึ่งตึงมา แม้กระนั้นแกก็ยังคงสอนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น โจเองก็ เริ่มตาหนักมากแล้ว เมื่อเหลือบไปทางเกด ก็พบว่าเธอยังคงแน่วแน่แบบสุดๆในการเรียน เหมือนกับการตั้งใจเรียนเมื่อเช้าไม่มีผิด สมกับที่เป็นเด็กเรียนจริงๆ เพราะขนาดบรรยากาศแบบนี้ยังตั้งใจได้อีก โจนับถือในใจ เสียงของอาจารย์พูดเอื่อยๆ เริ่มลอยผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาโจ เบาลงทุกทีๆ จนกระทั้งภาพห้องเรียนถูกแทนที่ด้วยม่านสีดำสนิทปกคลุมแทน...
“ท่านโจ ท่านโจ “ มีเสียงหนึ่งเรียกโจขึ้น พร้อมกับเขย่าตัว เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเขาเองนอนอยู่บนพื้นศิลาเย็นๆ ซึ่งเวลานี้น่าจะเป็นเวลากลางคืน เพราะมืดสนิทจนเห็นดาวสว่างไสวไปเต็มท้องฟ้า ลมหนาวพัดโชยมาเบาๆ ทำให้โจรู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง ทำให้เขาต้องขดตัวเอามือกอดอกหาไออุ่น แต่ก็พบว่าเขาอยู่ในชุดเกราะสีเงินที่หนักชุดหนึ่งเคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวกนัก และมองไปทางคนที่เขย่าตัวก็พบทหารสวมชุดอัศวินปิดหน้ากากเหล็กไว้ ใจกลางหน้าอกมีตราดาบคู่อยู่ตรงกลาง ความคิดโจเริ่มสับสนว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เพราะเมื่อครู่เขายังอยู่ห้องเรียนเตรียมหลับอยู่เลย
“ทางสายที่เราส่งไปรายงานมาว่า อีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว และอาจจะมาโจมตีเราในคืนนี้” อัศวินคนนั้นรายงาน โจพยุงกายลุกขึ้นมองโดยรอบ ก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่บนกำแพงเมืองของที่ไหนสักที่ บนกำแพงมีทหารนอนเรียงกันอยู่ แสงจากคบไฟให้ความสว่างเป็นระยะ ระหว่างป้อมต่อป้อมที่ทำด้วยหินใหญ่วางเรียง ด้านหลังของกำแพง มีบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมาก เหมือนกับของยุโรปโบราณในหนังสือที่โจทำแบบฝึกหัดอยู่ ซึ่งบ้านเรือนด้านล่างนั้นมีเพียงคบไฟให้ความสว่างเพียงเล็กน้อย เป็นจุดๆ เหมือนดาวเล็กๆด้านล่าง
นี่ตัวเขาคงกังวลเรื่องทำแบบฝึกหัดไม่ทันจนเก็บมาฝันเชียวหรือ โจพยายามบอกกับตัวเอง
ฟึ่บ! เสียงแหวกอากาศของวัตถุลอยมาจากนอกกำแพง ตึง! เมื่อหันไปมองอีกทีป้อมทางด้านขวาก็ลุกเป็นไฟแล้ว
ฟึ่บ ฟึ่บ! เสียงแหวกอากาศของวัตถุดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เสียงตะโกนดังขึ้นว่า “ข้าศึกบุกแล้ว ข้าศึกบุกแล้ว” ดังลั่น ไปทั่วกำแพงเมือง พร้อมกับแสงไฟสว่างวาบ วัตถุที่ลุกไหม้ไปด้วยไฟตกลงมาอย่างไม่ขาดสายเหมือนสายฝนที่ตกเป็นไฟ โจมองอย่างทำอะไรไม่ถูก เมื่อหันไปมองด้านล่าง ก็เห็นบ้านเรือนเมื่อครู่ลุกไปด้วยทะเลเพลิงแดงฉาน ทหารบนกำแพงก็วิ่งวุ่นกันเป็นการใหญ่
“เตรียมอาวุธ เอาน้ำไปดับตรงป้อม” อัศวินคนหนึ่งสั่งการ
ขณะที่โจมัวแต่มองสภาพโดยรอบอยู่นั้น ก็มีวัตถุที่ลุกไหม้ด้วยไฟลูกหนึ่งตกลงมาตรงมาทางโจ กว่าโจจะเห็นก็คงไม่ทันเสียแล้ว วัตถุลูกนี้ราวกับลูกไฟบัลลัยกัลป์ก็ไม่ปาน ตัวเขาคงมอดไหม้เช่นเดียวกับบ้านเรือนด้านล่างเป็นแน่
“อ๊า!!!”
“ถูกต้อง เธอเข้าใจแล้วนิ มันต้องเติม are ประโยคนี้” อาจารย์กล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม
โจยังคงงกงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น นี่มันห้องเรียนนิ แล้วสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่คืออะไรกันแน่นะ ช่วงนี้รู้สึกตัวเขาจะฝันที่อะไรที่เกี่ยวกับยุโรปโบราณเหลือเกิน เขาคงมีดวงสมพงศ์กับเรื่องพวกนี้จริงๆ ไม่เว้นแม้แต่การทำงานส่ง
เพี้ย! เกดตีมือโจเบาๆ พร้อมกับขยับปากว่า “ละเมอแล้วตอบถูกนะ” เธอมองค้อนโจ
โจยิ้มแหยงๆ ดูเหมือนว่าเกดจะแสดงท่าทีไม่เคร่งครึมเหมือนเมื่อเช้า ดูเป็นกันเองกับโจมากขึ้น ซึ่งทำให้เขามองเธอดีกว่าเดิม ไม่ใช่มองเป็นเด็กเรียนไม่น่าคบเหมือนเมื่อเช้า
หลังจากเรียนวิชาสุดท้ายของวันเสร็จ โจต้องรีบปั่นงานที่อาจารย์สั่งให้ส่งเย็นนี้ ซึ่งเขารู้ตัวดีว่าคงยาก เพราะเขาไม่ถนัดทำงานแบบนี้อยู่แล้ว และเขายังถูกเรียกตัวให้ไปสนามเทนนิสในช่วงเลิกเรียนต่ออีก จะไปทันได้อย่างไร
“อ๊ะ เห็นว่าน่าสงสารนะ” เกดยื่นสมุดให้โจ
เขารับมาด้วยอาการงงๆ ว่าสมุดนี้คืออะไร
“จะบอกรักเราด้วยวิธีนี้หรอ” โจพูดแซว
“บ้าหรอ ลองเปิดดูก่อนสิ” เธอตีแขนและค้อนเขาวงหนึ่ง
สมุดนี้เป็นสมุดการบ้านที่เกดทำเสร็จแล้วของบทที่โจโดนสั่งให้ทำ เพราะเธอชอบอ่านและทำแบบฝึกหัดล่วงหน้าเป็นนิสัย การที่จะทำบทที่โจโดนให้ทำอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขารับมาด้วยความลิงโลดและดีใจจนออกนอกหน้า
“กอดทีดิ” โจพูดพร้อมจะโผเข้ากอดอย่างลืมตัว
“เข้ามาดิ เจอกำปั้น” เกดทำหน้าขรึม
โจเลยแลบลิ้นออกมาแก้เก้อ
“แหมพูดไปงั้นแหละใครจะไปกอดลง”
เกดไม่อาจเก๊กหน้าขรึมได้อีกจึงหัวเราะงอหายตรงนั้น พร้อมกับหยิกแขนโจเบาๆหนึ่งที
“มัวแต่เล่น ไม่เสร็จเดี๋ยวพรุ่งนี้ได้ดูละครอีกฉากหรอก”
“ละคร? “ โจงง
“ละครเศร้าเคล้าน้ำตา เพราะโดนทำโทษไง ไปล่ะ ทีหลังนะรู้ว่าปากเก่งงี้ไม่ช่วยก็ดี” เกดค้อนอีกวงพร้อมกับเชิดใส่อีกหนึ่งที
ทุกคนในห้องทยอยกลับกันหมดเหลือเพียงโจนั่งปั่นงานอยู่คนเดียวเท่านั้น เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปเรื่อยๆ ช่างเป็นเวลาที่ยาวนานและทรมานสำหรับเขายิ่งนัก แต่อย่างน้อยได้สมุดเกดมาลอกก็ช่วยให้งานไหลลื่นและมีโอกาสเสร็จมากกว่าเดิม
ตึ๊ง ตึง ตึ่ง “ขอให้นักเรียน นพภัทร ชิงชิดดี ไปสนามเทนนิสด่วนค่ะ ขี้เกียจประกาศแล้วนะคะ” เสียงประกาศยังคงดังต่อไปเป็นรอบที่ 2
“เสร็จซะที” โจตะโกนออกมาดังๆ ก่อนจะวิ่งไปส่งงานยังห้องพักชั้นล่าง โชคดีที่ห้องพักอาจารย์อยู่ตึกเดียวกับที่โจเรียนจึงไม่เสียเวลามากนัก เวลาตอนนี้ก็เกือบๆ 5 โมงแล้ว ตัวเขาคงโดนด่าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมาสาย แต่เขาก็เริ่มชินกับโรงเรียนนี้แล้ว ว่าคำแก้ตัวไม่สามารถใช้ในโรงเรียนนี้ได้ต่อให้มีเหตุผลเพียงพอก็ตาม ดังนั้นโจจึงเตรียมใจอย่างเต็มที่ เขาเดินผ่านลานกว้าง ไปยังด้านหลังของโรงเรียน ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นโรงยิม สนามบอล และสนามเทนนิสอยู่ติดกัน
เมื่อไปถึงสนามเทนนิส โจได้พบว่ามีชายในชุดวอร์ม สวมหมวกแก๊บสีแดง หน้าตาซีด รออยู่ เขาจำได้ว่าคนนี้คือหนึ่งในผู้คุมสอบเข้านั่นเอง
“เธอมาสายนะนพภัทร” ชายคนนั้นจับปีกหมวกขยับให้กระชับ
“ชั้นคือโค้ชของเธอที่จะช่วยเธอฝึกซ้อมเตรียมแข่งในอีกอาทิตย์กว่าๆ นี้ คนเราน่ะต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ถ้าไม่มีความรรับผิดชอบแล้วจะทำอะไรดีๆ และสำเร็จนั้นคงยาก เรานั้นต้อง...” โค้ชได้ร่ายยาวทันที โดยที่โจไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว การพูดของโค้ชนั้นทำท่าจะไม่หยุดง่ายๆ จนกระทั้ง เวลาในนาฬิกาข้อมือโค้ชดังขึ้น “อ่าวหกโมงแล้ว เดี๋ยวโค้ชต้องไปก่อน แต่ว่า เธอต้องวิ่งรอบสนาม 100 รอบ โทษฐานที่มาสาย ปฏิบัติ”
“หา 100 รอบเหรอครับ” นี่คือคำพูดแรกที่โจได้พูดตั้งแต่เจอหน้าโค้ชมา ....
ความคิดเห็น