คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บันทึกบทที่ 3: คำตัดสินโทษ (เตรียมพิมพ์)
บันทึกบทที่ 3
ผ.อ.ยิ้มต้อนรับโจอย่างเป็นมิตร เขาอายุราว ห้าสิบปี ผมหงอกทั้งหัว ไว้หนวดเข้ม ใบหน้าให้ความรุ้สึกน่ายำเกรง “เดี๋ยวให้จักรกฤษกล่าวอะไรให้พวกเราฟัง ว่ารู้สึกอย่างไรกับการได้รับรางวัล”
โจอ้าปากค้าง ในใจของเขาตอนนี้ความคิดตีกันอยู่สองอย่างคือ ผสมโรงไปเลยไหนๆก็ไหนแล้ว กับบอกความจริงตรงนี้ ซึ่งความคิดอันหลังนี้ดูจะยากซักหน่อย เพราะหากเขาบอกความจริงไปอาจจะเจอโทษหนักก็ได้ และตอนนี้ตัวเขาก็มาอยู่หน้าเวทีแล้ว
เมื่อมองลงไปด้านล่างนักเรียนจำนวนมากที่เข้าแถวเต็มลานกว้างต่างจ้องโจเป็นสายตาเดียว ซึ่งให้ความรู้สึกที่กดดันยิ่งนัก ถ้าเปรียบก็คงเหมือนตัวเขาเป็นนักแสดงแต่ลืมว่าตัวเองต้องแสดงอะไรเมื่อขึ้นเวทีแล้ว
สิ่งที่โจทำได้เพียงอย่างเดียวคือยิ้มแห้งๆ และเดินไปหา ผ.อ. ในใจคิดว่าจะบอกตอนนี้หรือตอนไหนคงมีค่าเท่ากันเพราะเขาคงเดินกลับไปด้านล่างไม่ได้เสียแล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะบอกความจริงให้ ผ.อ.ได้รับรู้
“ผ.อ. ครับ “ โจพยายามข่มเสียงให้เป็นปกติที่สุด “ความจริงแล้วนี่เป็นการขะ.”
ผ.อ.เดินมาโอบไหล่โจพร้อมกับพูดออกไมด์ว่า “เอาล่ะเดี๋ยวครูจะให้จักรกฤษพูดแล้วนะ” ผ.อ.ยื่นไมด์ให้โจ และส่งยิ้มให้ โจนั้นไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะว่าพอจะบอกว่านี่เป็นการเข้าใจผิด แต่ผ.อ.ก็ยื่นไมด์มาให้สะงั้น เขาพยายามมอง ผ.อ. แต่ ผ.อ.เองทำท่าให้โจพูดและไม่สนใจท่าทีเขาเลย
“ผ.อ.ครับผมไม่ใช่” โจใช้ความพยายามอีกครั้งหนึ่ง
นักเรียนข้างล่างต่างทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไปตามกัน เพราะเห็นโจทำท่ายึกยักไม่ยอมกล่าวอะไร เสียงจ็อกแจกเริ่มดังขึ้นหนาหู ทั้งหมดมองกดดันโจเป็นสายตาเดียวว่าเมื่อไหร่เขาจะพูดเสียที ส่วน ผ.อ. เองก็เริ่มหมดความอดทนที่โจไม่ยอมพูด จึงเดินมาเอาไมด์จากโจคืน พลางหัวเราะกล่าวขึ้นแก้สถานการณ์
“สงสัยว่าจักรกฤษของเราจะเหนื่อย ไม่เป็นไรเดี๋ยวครูทำหน้าที่สัมภาษณ์เองและกันนะ “
“ไงจักรกฤษ เรียนที่โน่นยากไหม” ผ.อ.มองมาทางโจ
โจพยายามบอกว่าไม่ใช่จักรกฤษ พร้อมกับส่ายหน้าอีกครั้ง “ผม ไม่.”
“ครูก็ว่างั้นแหละ สมเป็นเธอนะไปเรียนถึงเยอรมันยังบอกไม่ยาก ครูทางโน่นยังชมเลย”
ผ.อ.ยังคงพูดน้ำลายแตกฟองโดยที่โจก็พยายามส่ายหน้าว่าตัวเขาไม่ใช่คนที่ ผ.อ.พูดถึง แต่แม้เขาจะพยายามอย่างไรผ.อ.ก็ไม่ใส่ใจกับท่าทีที่โจแสดงออกมา และตีความทุกครั้งว่าสิ่งที่โจทำคือคำตอบที่ ผ.อ.ถาม จนกระทั้งอาจารย์หญิงคนที่พาโจมา ขึ้นเวทีไปกระซิบบอกผ.อ. หลังจากกระซิบอยู่พักใหญ่ ผ.อ.จึงมองมาทางเขาจากสายตาที่เป็นมิตรกลายเป็นมีรังสีอัมหิตออกมาแทน จนเขาเห็นสายตานั้นถึงกับขนลุกสู้ และเดาเหตุการณ์ตามมาได้อย่างไม่ยากนัก
ตัวเขานั้นคงจะโดนไล่ออกแน่ๆ ชีวิต ม.ปลายเราจะมาจบโดยที่ไม่ได้เริ่มเลยหรือ โจจิตนาการไปสารพัดเรื่องเท่าที่ใจจะจิตนาการผลเลวร้ายที่ตามมาออก
“เอาล่ะ” ผ.อ.กลับมาพูดไมด์อีกครั้งหลังจากอาจารย์หญิงลงจากเวที “คือเกิดการเข้าใจผิดกันนิดหน่อยนะ พอดีจักรกฤษตัวจริง ไม่สบายตัวเขาพึ่งออกจากหลังเวทีเมื่อไม่นานมานี้เอง ทำให้สลับตัวกับนักเรียนคนนี้ เอาเป็นว่าเดี๋ยวพวกเราแยกย้ายกันเรียนแล้วกัน “ ผ.อ.กล่าวเรียบๆ ก่อนเดินผ่านโจพร้อมกับฉุดแขนเขาให้เดินลงไปด้วยกัน
“นี่เธอจะเล่นตลกอะไรกัน ทำไมไม่บอกว่าผิดคนปล่อยให้พูดอยู่ได้ตั้งนาน จะแอบอ้างใช่มั๊ย” ผ.อ. พูดเสียงเข้ม
“คือผมพยายามบอกแล้ว” โจพูดด้วยน้ำเสียงอุบอิบ แต่พอเหลือบตาขึ้นไปสบสายตา ผ.อ. แล้ว ทำให้เขารู้สึกใจแป้วขึ้นมา เพราะรังสีที่แผ่ซ่านออกมาทางสายตา ผ.อ.นั้น บ่งบอกว่า ต่อให้เขาพูดอะไรออกมาก็คงยากที่จะแก้ตัวได้
“เธอไม่ต้องแก้ตัวหรอก” หนวดบนใบหน้าผ.อ. กระตุก “ถ้าเธอพยายามบอกแล้วทำไมถึงตอบคำถามฉันล่ะ”
“แต่ว่าผมจะบอก ผ.อ. ก็...” แม้จะรู้ว่าเปล่าประโยชน์แต่โจก็ไม่ละความพยายามแก้ข้อกล่าวหา
“ไม่มีคำแก้ตัวสำหรับคนทำผิด เดี๋ยวเธอไปที่ห้องฉันเราจะมาพิจารณาโทษเธอกัน” ผ,อ.คลายมือจากแขนโจ พร้อมกับเดินนำไปด้านหน้า เขาถูกนำมายังตึกอำนวยการที่เขาผ่านมาในตอนแรก ความจริงสีเหลือแสบตาของตึกให้ความรู้สึกสดใส แต่ตอนนี้สีที่เขาเห็นที่ตึกกลับเป็นสีเหลืองหม่นหมองเสียมากกว่า เมื่อนึกถึงอนาคตอันไม่น่าโสภาที่กำลังจจะตามมาไม่ช้า
เมื่อขึ้นบันไดเข้ามาด้านในตึก ก่อนทางเข้าชั้นหนึ่งจะมีลิฟต์ที่เขียนไว้ว่า “สำหรับ ผ.อ.” และข้างลิฟต์จะมีบันไดไปยังชั้นถัดไป
“ขึ้นไปชั้น 3 ใช้บันไดนะเดี๋ยวฉันจะรอในห้อง ให้เวลาหนึ่งนาที” ผ.อ.กล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปในลิฟต์
โจได้แต่มองตาปริบๆคิดในใจว่า ผ.อ.คนนี้คงแค้นเขามากกว่าที่คิด ซึ่งยิ่งทำให้เขามั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคาดเดาได้ แต่ว่าการขึ้นบันไดแค่สามชั้นในเวลาหนึ่งนาที สำหรับโจที่วิ่งเป็นประจำย่อมไม่ใช่เรื่องยากอยู่แล้ว จะแกล้งกันหรือลงโทษเรื่องแค่นี้คง จิ๊บๆ สำหรับเขา
เมื่อเริ่มวิ่งได้ถึงจุดพักบันไดชั้นแรก ความเมื่อยล้าที่ขาก็เริ่มเกิดขึ้น เพราะบันใดแต่ละขั้นชันกว่าที่โจคิด และช่วงห่างแต่ละชั้นสูงกว่าตึกทั่วไป กว่าจะขึ้นแต่ละขั้นจะใช้แรงมากกว่าบันไดขึ้นตึกธรรมดาทั่วไปเป็นสามเท่า ยิ่งขึ้นสูงความรู้สึกที่อยากจะก้าวไปยังขั้นต่อไปก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆตามความเมื่อยล้าของขาที่มากขึ้นทุกที หากไม่ใช่เขาวิ่งเป็นประจำคงจอดตั้งแต่ทางขึ้นชั้นหนึ่งแล้วแน่นอน
ทางขึ้นแต่ละชั้นจะมีที่พักบันไดสองที่ และจะมีป้ายบอกเป็นระยะว่า “ออกกำลังกายวันละนิดจิตแจ่มใส” เมื่อขึ้นไปอีกก็จะมีป้ายลักษณะแบบนี้อีก “วิ่งกันแจ๋วจริง ลองดิ” แม้ข้อความเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นข้อความที่ให้กำลังใจ แต่สำหรับโจแล้วเปรียบเหมือนกับข้อความเย้ยหยันหรือสมน้ำหน้าที่ต้องมาวิ่งเสียมากกว่า ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยมากยิ่งขึ้น บวกกับความกังวลในเรื่องเวลา เพราะตัวเขานั้นยิ่งวิ่งความเร็วก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ จนตอนนี้ตัวเองแทบอยากจะคลานขึ้นอยู่แล้วอย่าว่าแต่ก้าวต่อเลย หากไม่ใช่เพราะมีความผิดเป็นชะนักติดหลังละก็ โจเองคงนอนแผ่หลาไปนานแล้ว
ด้วยแรงใจที่กลัวความผิดและโทษจะเพิ่มมากกว่าเดิมได้หอบเอาสังขารอันแทบสิ้นเรี่ยวแรงมาถึงห้อง ผ.อ.จนได้ ซึ่งถือว่าเป็นความรู้สึกที่เป็นการขึ้นบันไดสามชั้นที่นานที่สุดและทรมานที่สุดในชีวิตเขา ตึกนี้ออกแบบไว้ฆ่าคนขึ้นบันไดแท้ๆโจพึมพัมในใจ พร้อมกับเดินโซซัดโซเซไปถึงประตู ที่มีเพียงประตูเดียวบนชั้นตรงสุดทางเดิน มีป้ายเขียนบอกว่า
“ห้องผู้อำนวยการ”
เมื่อโจเคาะประตู ก็มีเสียงข้างในตอบทันที “เข้ามา”
พอเปิดประตูออก ผ.อ.นั่งอยู่ตรงในสุด โดยมีโต๊ะไม้สำหรับนั่งทำงาน บนโต๊ะมีเอกสารกองอยู่หลายกองจนไม่มีพื้นที่ว่างบนโต๊ะ ภายในห้องมีชั้นหนังสือวางอยู่ริมกำแพงทั้งสามด้าน ทุกชั้นจะมีหนังสือวางเรียงอยู่เต็ม ด้านหลังของผ.อ. แขวนรูป ผ.อ. รุ่นก่อน และรูปโรงเรียนสมัยก่อตั้ง ส่วนเพดานทำเป็นสกายไลท์เพื่อให้แสงส่องถึงโดยไม่ต้องใช้ไฟในเวลากลางวัน
ผ.อ.ชี้ให้โจนั่งตรงกันข้าม ข้างในห้องเมื่อสังเกตดูแล้วยังมีอาจารย์หญิงอีกคนซึ่งเป็นคนดียวกับที่ฉุดแขนเขาขึ้นเวทีนั่นเอง แต่ครั้งนี้มาในมาดเจ้าระเบียบ ถือหนังสือเล่มหนายืนอยู่ข้างผ.อ. เธอเอานิ้วชี้ดันแว่นขึ้นเป็นระยะ พร้อมกับมองเขาด้วยสายตาที่รู้สึกทะลุไปถึงรูขุมขน จนโจรู้สึกเหมือนโดนอะไรกำลังทิ่มแทงทั่วร่าง
“ช้าไปสิบห้าวิ” ผ.อ.กล่าวทำลายบรรยากาศอึมครึม โจได้แต่ยิ้มแหยงๆรับ พลางคิดว่าแค่ขึ้นมาได้ก็ขอบคุณสวรรค์แล้วยังจะเอาอะไรนักหนา
“เดี๋ยวฉันและอาจารย์วรภา ฝ่ายปกครองจะพิจารณาโทษเธอนะ “ ผ.อ.กระตุกหนวด หันไปมองอาจารย์อีกคน
“นักเรียนนพภัทร ชิงชิดดี ทำความผิดดังต่อไปนี้” อาจารย์หญิงขยับแว่น ก่อนจะเปิดหนังสือหนาเล่มที่เธอถืออยู่ “ หนึ่งมาสาย ในวันเปิดเรียนวันแรก ผิดข้อบังคับหน้า หนี่ง ข้อ สาม สองหลบอาจารย์ไม่ยอมมารายงานตัว ผิดข้อบังคับหน้าหนึ่ง ข้อแปด สามแอบอ้างตัวเป็นผู้อื่นผิดข้อบังคับหน้าที่ สาม ข้อ สี่ โทษทั้งหมดรวม สาม กระทง กระทงที่หนึ่งมีโทษให้ทำทัณฑ์บนไว้ กระทงที่สองให้ตัดคะแนนความประพฤติ และกระทงสุดท้ายแอบอ้างตัวเป็นผู้อื่นมีทั้งโทษทางอาญาตามกฏหมายและโทษขั้นสูงสุดของโรงเรียน อนึ่งเนื่องจากเหตุเกิดในโรงเรียนจึงตัดสินให้พ้นสภาพนักเรียนแทน ทางโรงเรียนจะไม่นำเรื่องนี้แจ้งความแต่อย่างใด” อาจารย์วรภาปิดหนังสือ พร้อมกับเอานิ้วชี้ดันแว่นขึ้น เธอทำราวกับพึ่งอ่านหนังสือตามร้านหนังสือเสร็จ สีหน้าเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โจนั้นฟังคำพิจารณาโทษอย่างเหม่อลอย แม้จะคาดเดาผลที่ตามมาอยู่แล้ว แต่ตัวเขาเองก็พึ่งเจอกับเหตุการณ์ที่ซวยที่สุดในชีวิตแบบนี้ครั้งแรก พลางคิดในใจว่าเรื่องไร้เหตุผลและซวยแบบนี้มันยังมีอยู่ในโลกด้วยหรือ นี่เกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้กันแน่นะ อุตส่าห์ได้เข้าเรียนตามที่ตนใฝ่ฝันมานาน อยากเป็นนักกีฬาเทนนิสที่ทำชื่อเสียงให้ประเทศ แต่ทั้งหมดจะมาจบลงง่ายๆที่นี่วันนี้น่ะหรือ เขาเองยังไม่ได้เริ่มเรียนในโรงเรียนนี้เลย หากเป็นเพราะเขาทำตัวเลวร้ายก็ว่าไปอย่าง แล้วนี่เขาจะทำอย่างไรต่อไปดีหนอ
“อะ แฮ่ม ตามกฏโรงเรียนควรที่จะลงโทษตามที่อาจารย์วรภาอ่านให้ฟังน่ะแหละ” ผ.อ.กระตุกหนวด พร้อมกับหยิบเอกสารบางอย่าง ออกมาจากกองหนังสือ “ฉันรู้สึกเสียดายความสามารถเธอ ตะกี้ฉันยังคิดอยู่ถ้าเธอไม่วิ่งมาล่ะก็คงลงโทษตามกฏ แต่เห็นแก่ที่เธอสำนึกผิดวิ่งมาเพื่อให้ทันเวลาให้ได้ แม้จะช้าไปก็เถอะ แต่ถือว่ามีความพยายามดี ฉันจึงคิดว่าจะให้เธอลองแก้ตัว เพราะฉันถือว่าการแก้ไขในสิ่งผิดย่อมดีกว่าเสมอ”
อะไรกัน ผ.อ.คนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่คิดนี่นา ถึงแม้จะดูโหดไปหน่อยตอนแรก เขาเริ่มใจชื้นขึ้นหน่อย “จะ จริงเหรอครับ” เสียงโจดีใจจนออกนอกหน้า
ผ.อ.ยิ้ม พร้อมยื่นเอกสารให้ “จงพิสูจน์ตนเองในการแข่งครั้งนี้ซะ “
โจรับเอกสาร พร้อมกับอ่าน “การแข่งขันเทนนิสเยาวชนระดับประเทศ ครั้งที่ 23 วันที่ 26 มิถุนายน “ โจมองอีกครั้ง “26 มิถุนายน เหรอ ! ผ.อ.ครับ มีเวลาแค่ 2 อาทิตย์เองนะครับ”
“ถ้าเธอทำไม่ได้จะทำตามกฏก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยด้วยไง” ผ.อ.หันไปทางอาจารย์วรภา
“เดี๋ยวก่อนครับ ผมจะลองดูครับ” โจยกมือขึ้น กล่าวอย่างรุกรี้รุกรน
“มันต้องอย่างงี้ ในการแข่งเธอต้องเข้ารอบ 4 คนสุดท้ายให้ได้เป็นอย่างน้อยเท่านั้น โทษเธอถึงจะหมดไป เอาล่ะหมดธุระเธอแล้ว“ ผ.อ.ทำมือเชิญให้โจออกไปนอกห้อง “เออ อีกอย่างนักกีฬามือหนึ่ง ของเราที่ได้แชมป์ปีที่แล้วก็จะลงแข่งด้วย ขอให้โชคดีนะ นพภัทร ครูจะรอดูผลงานของเธอ” ผ.อ.กระตุกหนวด พร้อมกับหัวเราะเบาๆ
โจเดินออกจากห้องพร้อมกับคอตก เมื่อเสียงปิดประตูปิดสนิทไปแล้ว หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง ผ.อ. จึงพูดขึ้น
“ตั้งแต่อยู่นี่ อาจารย์เคยเห็นคนที่ขึ้นบันได ด้วยเวลา หนึ่งนาทีสิบห้าวิรึเปล่า “ผ.อ.หันมามองหน้าอาจารย์หญิง
เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ
โจเดินออกมาจากห้องของผู้อำนวยการ ในใจของเขายังคงคิดถึงเรื่องที่จะแข่งในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้านี้ แม้รายการนี้จะเป็นรายการที่มีเกียร์ติใครๆก็อยากลงแข่ง แต่สำหรับโจนั้น เขาคิดว่ายังเร็วเกินไป เพราะแต่ละคนที่แข่งรายการนี้ต้องเตรียมพร้อมตัวเองเป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่ใช้เวลาเพียงอาทิตย์ สองอาทิตย์ก็แข่งได้ นี่เหมือนเป็นการกลั่นแกล้งชัดๆ อุตส่าห์ดีใจที่คิดว่า ผ.อ.คนนี้ก็มีเหตุผลเหมือนกัน ที่ไหนได้สิ่งที่ให้เขาทำ บางทีการให้วิ่งขึ้นลงบันใดสักร้อยรอบยังดีเสียกว่า คงต้องถือว่าตัวเขาเองโชคร้ายก็แล้วกัน อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีโอกาสแก้ตัว โจคิดขณะเดินลงบันใดจากชั้นสาม ผ่านป้าย “ออกกำลังกายวันละนิด จิตแจ่มใส”
โจต้องเดินไปเพื่อที่เรียนวิชาแรกของวันนี้ ซึ่งได้ล่วงเลยเวลามามากแล้ว เขาเดินผ่านตึกอำนวยการไปยังลานกว้าง ทะลุไปยังด้านตรงข้ามของตึกอำนวยการ ซึ่งตึกเรียนอยู่ไม่ห่างจากลานกว้างนี้มากนัก โชคดีที่ช่วงก่อนเปิดเรียนโจได้สำรวจตึกเรียนมาแล้ว จึงใช้เวลาไม่นานในการเดิน
ตึกเรียนของที่นี่จะเป็นตึกของ ม.ปลาย ส่วนตึกม .ต้นจะอยู่อีกแห่งหนึ่ง ตัวตึกจะมีทั้งหมด 5 ชั้น แบ่งเป็นห้องที่เป็นโฮมรูม และห้องเรียนวิชาต่างๆ ม.4 ห้องที่โจเรียนจะอยู่บนสุดของตึก ทุกตึกในโรงเรียนจะมีลักษณะบันไดที่คล้ายตึกอำนวยการ ความห่างของชั้น ต่อชั้นจะมากกว่าตึกธรรมดาหนึ่งถึงสองเท่า และช่วงที่พักของบันไดก็จะมีป้ายติดสนับสนุนให้ออกกำลังกายอยู่ตลอด ซึ่งเจ้าป้ายพวกนี้โจแทบอยากจะดึกทิ้งให้หมดเสียจริงๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งเหมือนมีคนมาสมน้ำหน้ายังไงชอบกล จะส่งเสริมให้ออกกำลังอะไรกันนักหนา โจบ่นในใจ หลังจากวิ่งขึ้นบันไดด้วยความเหนื่อยหอบถึงชั้น 5
ห้องเรียนในชั้นนี้มีอยู่สิบกว่าห้อง โจเดินไล่ไปทีละห้องเพื่อหาห้อง ม.4/7 เดินจนกระทั้งไปจนเกือบสุดทางเดินชั้นห้า จึงพบ
“ขออนุญาตครับ” โจเลื่อนเปิดประตูห้อง ห้องเรียนที่โจเข้ามาเป็นห้องแบบนั่งแยกเป็นคู่ๆ แบ่งเป็นสามแถว ในห้องเรียนมีนักเรียนอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคน ภายในห้องเรียนติดแอร์เย็นสบาย บรรยากาศดีกว่าโรงเรียนที่โจเคยเรียนมาอย่างลิบลับ อาจารย์หญิงมีอายุไว้ทรงผมตั้ง หน้าตาคงแก่เรียนดูจะไม่เข้ากับทรงผม อยู่ในชุดสีชมพูดสดใส ยืนอยู่ตรงหน้าห้องกำลังชี้แผนที่ทวีปยุโรป มองมาทางโจ เสียงในห้องที่คุยจอกแจ็กในตอนแรกเงียบลง นักเรียนในห้องหันมองโจเป็นสายตาเดียวตามเสียงที่เปิดประตูออกมา
“ทำไมมาเอาป่านี้ ไม่มาซะเลิกเรียนเลยล่ะ” อาจารย์กล่าวอย่างเย็นชา “แล้วไปทำอะไรมา”
โจยิ้มแหยงๆ “คือว่าผมไปพบกับผ.อ.มาครับอาจารย์ “ อาจารย์ทำท่าไม่ใส่ใจ “รู้สึกข้ออ้างนี้มันจะเป็นมุขปีมะโว้แล้วนะ คิดว่าฉันไม่รู้หรอ ถ้าผ.อ.จะเรียกใครไปพบจะแจ้งให้อาจารย์ประจำชั้นหรือประจำวิชาทราบก่อน”
โจลอบด่าผ.อ.ในใจ ผ.อ.ทำเรื่องให้เขาอีกแล้ว สงสัยจะจริงที่บอกว่าเมื่อพบเรื่องร้ายๆเรื่องหนึ่งแล้วจะมีเรื่องร้ายตามมาอีกเป็นพลวน
“แต่ว่าจานครับ ผมไปพบมาจริงๆนะครับ” โจอธิบาย
“ไม่ต้องพูดมาก คนเราทำผิดก็ต้องยอมรับสิ จะบอกว่าตื่นสายยังดูดีกว่านี้อีกนะ” เสียงอาจารย์เริ่มฉุน ทั่วทั้งห้องไม่มีสักคนเดียวที่จะส่งเสียงออกมา เพราะรู้ดีว่าบรรยากาศเช่นนี้ถ้าร้องขึ้นมาสักแอ่ะหนึ่งละก็ ไฟที่กำลังปะทุใส่คนหน้าใหม่ จะหันมาแผดเผาคนในห้องแทน
โจทำท่าหัวเสีย นึกในใจดังว่า อาจารย์โรงเรียนนี้เป็นอะไรกันหมดนะไม่เคยฟังนักเรียนอธิบายอะไรเลย
“แนะๆ ยังทำท่าไม่พอใจอีกเหรอ “ อาจารย์เคาะไม้ที่ใช้ชี้แผนที่เสียงดัง ตึง! “เธอไปทำแบบฝึกหัดท้ายบทเรียนนี้ก็แล้วกัน ส่งเย็นนี้นะ ถ้าไม่ส่งเธออย่าหวังผ่านวิชานี้เลย” โจหันหน้าไปด้านหลังอุทานเบาๆ “ยายแก่ไร้เหตุผล”
“ฉันได้ยินนะอยากเพิ่มอีกบทเหรอ”
to be continue
ความคิดเห็น