คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บันทีกบทที่ 1: ความฝัน (เตรียมพิมพ์)
บันทึกบทที่ 1 :
คืนอันมืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงดาวสักดวง บรรยากาศวันนี้ดูหนาวเย็นกว่าทุกวัน แม้จะไม่มีหิมะตกลงมาก็ตาม แต่ความเงียบนั้นย่อมเย็นกว่าทุกสิ่งเสมอ ลมหนาวที่พัดเข้ามาอย่างแผ่วเบา ทำให้เกิดเสียงหน้าต่างไม้กระทบขอบหน้าต่างเป็นระยะๆ คือเสียงเพียงหนึ่งเดียวที่มีในที่แห่งนี้ โจมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ตัวเขาเองก็นึกไม่ออก แม้จะสลัดศีรษะเพื่อไล่อาการปวดหัวจากการนึกหลายสิบตลบแล้วก็ตาม เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลเขาจึงมองสำรวจโดยรอบอย่างไร้ความหมายก็พบเพียงกำแพงหินที่ถูกสะท้อนด้วยแสงจากคบไฟสองดวง หน้าต่างที่กำลังถูกลมพัดตีขอบส่งเสียงเป็นจังหวะ และโต๊ะที่ทำจากไม้ขนาดเท่ากับโต๊ะเขียนหนังสือ แต่เต็มไปด้วยกองเอกสารต่างๆมากมายจนสูงท่วมหัวเป็นเพื่อนเขาภายในห้องเท่านั้น แล้วนี่เขามาทำอะไรกันแน่ โจพยายามคิดอีกที
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้โจตื่นจากห้วงความคิด “ขออนุญาตครับ” สิ้นเสียงประตูก็เปิดออกมา เป็นคนผู้หนึ่งใส่หมวกเหล็กปิดหน้ากาก ชุดเกราะสีเงินมีตราดาบคู่อยู่ตรงกลางอกเดินเข้ามา พร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งหน้าตาสะสวย ผมยาวประบ่า คิ้วและผมสีดำสนิท ผิวขาวอมชมพู อยู่ในขุดสีเหลืองกระโปงลายลูกไม้ เหมือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์โบราณแถบยุโรป อายุไม่น่าห่างจากโจเท่าไรนัก ผู้หญิงคนนี้ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่งนักราวกับรู้จักเธอมานานแสนนาน แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอเธอที่ใดมาก่อน
เธอยื่นมือมาสัมผัสหน้าของโจ ความอบอุ่นที่ฝ่ามือเธอทำให้อากาศที่หนาวเย็นตอนนี้อุ่นขึ้นทันตา เมื่อเธอมองตาโจ พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา ก็ทำให้เขารู้สึกเศร้าและร้องไห้ไปกับเธอด้วย ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมเพียงผู้หญิงคนนี้มองและร้องไห้ เขาถึงอินไปด้วยขนาดนี้ แล้วอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเสียใจมากมายนัก เขาไปทำให้เธอเศร้าตอนไหนกันหรือ ถึงมาร้องไห้กับเขา ตอนนี้เขามีความรู้สึกเหมือนถูกมีดกรีดแทงเจ็บแปล็บปวดตรงหัวใจที่เห็นเธอน้ำตานองเช่นนี้ เขาอยากให้เธอหยุดน้ำตานองหน้าเสียทีและถามว่าเป็นอะไร แต่ปากและร่างของเขาก็ไม่อาจจะขยับได้ ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยปากพูดกับโจอะไรบางอย่างนั้นเอง เสียงแสบแก้วหูเสียงหนึ่งได้ดังขึ้น....
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงง โจสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง ภาพผู้หญิงที่โจเห็นยังคงติดตาเขา โดยเฉพาะใบหน้าที่เศร้าของเธอ เขายังคงมึนงงกับเหตุการณ์เมื่อคืนไม่รู้ว่าความฝันหรือจริงกันแน่ แต่ถ้าเป็นฝันก็เป็นฝันที่สมจริงมาก เมื่อโจมองนาฬิกา บอกเวลา 07.50 และตรงหัวเตียงมีโน้ตที่ตัวเขาเองเขียนขึ้นว่า “เปิดเรียนวันนี้” ก็ทำเอาเขาต้องสปริงลุกจากที่นอนโดยเร็ว เพราะตัวเขาเองไม่รู้ว่าโรงเรียนใหม่นั้นจะเข้มมากน้อยเพียงไร
โจก็เหมือนกับเด็กต่างจังหวัดอื่นๆที่สอบชิงทุนนักกีฬาโรงเรียนนี้ได้ ซึ่งทางโรงเรียนจะมีหอพักนักกีฬาให้สำหรับคนที่ไม่มีญาติอยู่ในเมือง ปกติแล้วห้องพักห้องนึงจะให้นักเรียนอยู่กันสองคน แต่ช่วงก่อนเปิดเรียนจะยังไม่ค่อยมีคนมาพัก เพราะเขาเองนั้นย้ายมาอยู่หอก่อนวันเปิดเรียนหนึ่งวัน ทำให้ยังไม่มีเพื่อนร่วมห้อง
การสอบชิงทุนนักกีฬาโรงเรียนนี้ถือว่าหินที่สุดในประเทศ เพราะชื่อเสียงของโรงเรียนนี้เรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนแห่งนักกีฬาก็ว่าได้ นักกีฬาโรงเรียนเกินกว่าครึ่งล้วนติดทีมชาติทั้งสิ้น
สำหรับโจนั้นสอบชิงทุนด้วยกีฬาเทนนิส คะแนนทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติ ก็อยู่ในคะแนนระดับต้นๆ โดยเฉพาะฟอร์มการเล่นของโจเป็นที่น่าจับตามองมาก เพราะเป็นคนแรกในรอบ 2 ปี ที่สามารถเอาชนะนักกีฬาเทนนิสอันดับ 1 ของโรงเรียน ได้หนึ่งเกม แม้ในการแข่งเซตนั้นโจจะแพ้ แต่ก็ไม่มีใครในโรงเรียนนี้สามารถได้หนึ่งเกมจากคนๆนี้ได้เลย แม้จะเป็นฝ่ายเสิร์ฟก็ตาม
หอพักนักกีฬานั้นจะมี 2 หอพัก แยกเป็นหญิงและชาย ซึ่งแต่ละหลังมีทั้งหมด 7 ชั้น ที่พักจะเต็มตลอดเพราะจะรับนักเรียนที่สอบชิงทุนจากต่างจังหวัดเป็นจำนวนมากทุกปี แม้สภาพหอจะไม่ถือว่าหรูหรา แต่ก็เป็นหอสะดวกสบายพอสมควร ในห้องแต่ละห้องจะมีสองเตียง มีห้องน้ำส่วนตัวให้ มีตู้เสื้อผ้า ขาดเพียงทีวีและแอร์ก็จะจัดเป็นคอนโดดีๆได้เลย หอพักหญิงจะอยู่ติดกับโรงเรียนที่สุดเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึงหน้าโรงรียน ส่วนหอพักชายจะอยู่ห่างออกไปประมาณ 2 ช่วงตึก ใช้เวลาอย่างน้อยห้านาทีถึงจะถึงหน้าโรงเรียน
โจพักอยู่ชั้นที่ห้าของหอพัก ซึ่งยิ่งพักห้องสูงๆเท่าไหร่ก็ยิ่งเหนื่อยในการขึ้นลงมากเท่านั้น เพราะที่หอนี้ไม่มีลิฟต์ พวกเด็กใหม่ทั้งหมดถูกจัดพักชั้นบนๆ ส่วนระดับรุ่นพี่ก็จะได้ห้องที่อยู่ในชั้นล่างๆ โจโชคดีที่สอบชิงทุนได้คะแนนระดับต้นๆ จึงได้พักชั้น 5 เพราะปกติเด็กใหม่จะให้ไปพักชั้นบนสุด
หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว โจก็รีบวิ่งลงจากหอพัก ซึ่งมีแต่ความเงียบเพราะได้เวลาเรียกเข้าแถวช่วงเช้าแล้ว เมื่อมองนาฬิกาข้อมือ ก็พบว่าเหลือเวลาไม่ถึงสามนาทีก่อนที่จะถึงเวลาเข้าแถว เขาจึงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตหรืออะไรทั้งนั้น
ขณะที่เหลือเพียงไม่ถึงร้อยเมตรโจก็จะถึงหน้าโรงเรียนนั่นเอง เขาเห็นประตูหน้าโรงเรียนมีอาจารย์หน้าเหี้ยมคนหนึ่งกำลังดูเวลาเพื่อที่จะปิดประตูพอดี จึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีก พลางคิดในใจว่าตนโชคดีที่ทันเวลาอย่างหวุดหวิด แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เมื่อโจผ่านหอพักนักกีฬาหญิง มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกมาตัดหน้าโจกระทันหัน เขาเบรกไม่ทันทั้งคู่จึงชนกันดัง พลั๊ก! เขาล้มกลิ้งไปข้างหน้า ห่างจากประตูไม่ถึงสิบก้าว เมื่อเขามองไปที่ประตูก็พบภาพสโลว์โมชั่น ที่อาจารย์หน้าเหี้ยมคนนั้นกำลังเลื่อนปิดประตูโรงเรียนอย่างช้าๆ ต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้เลย
“โธ่วันแรกของเรา” โจบ่นอุบกับตัวเอง ก่อนจะหันไปด้วยความโมโห “นี่ เธอ ดูทะ..”
เด็กผู้หญิงคนนั้นเก็บของที่กระจายอยู่ตรงพื้น และปัดฝุ่นที่กระโปงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เราขอโทษน้า ไม่คิดเลยว่าจะมีคนวิ่งมาน่ะ” เธอกล่าวด้วยเสียงใสพร้อมกับยื่นมือฉุดโจให้ลุกขึ้น
ความโกรธของเขาแทบจะสลายไปทันที เธอคนนี้เป็นใครกันนะน่ารักมั๊กมากเลย เขาชมเธอในใจอย่างลืมตัว เธอมีผมออกน้ำตาลหน่อยๆมัดหางม้าข้างหลัง คิ้วเข้ม หน้าตาคม แม้จะไม่ได้ขาวสวย แต่มองแล้วให้ความรู้สึกสดใสน่ารักไปอีกแบบ เธออยู่ในชุดนักเรียนกระโปงสีดำ เสื้อแขนยาวสีขาว ทั้งหมดล้วนเข้ากันอย่างลงตัว
“นี่นาย หน้าฉันมีอะไรติดอยู่เหรอ” เธอทำหน้าบึ้งใส่ โจสะดุ้งตื่นจากอาการเคลิ้ม
“อะ ออ เปล่า แค่คิดอะไรเพลินๆน่ะ “ เขาหัวเราะกลบเกลื่อนด้วยความเขิน
โจเคยสาบานกับตัวเองไว้ว่าถ้าไม่จบม.ปลายตัวเขาจะไม่จีบหญิงที่ไหนเด็ดขาด แต่ว่าสงสัยคำสาบานนั้นคงต้องลบล้างเพราะเธอคนนี้แล้ว “ใจเย็นๆ โจ รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เธอ เอ๊ย มุ่งแต่เรียน” เขาพูดกับตัวเองในใจ
“มัวแต่นิ่งเงียบอยู่นั่นแหละไม่คิดจะพูดอะไรนอกจาก ฮะๆ แล้วเหรอ นายใบ้ ชิ” เธอเชิดใส่
ถึงเธอจะหน้าบึ้ง แต่ไม่รู้เป็นอะไรโจกลับชอบมองเธอเสียจริง เขาอยากควบคุมสายตาให้ดีกว่านี้ แต่ว่ามันไม่ยอมทำตามที่เขาคิด แม้แต่ปากของโจเองก็รู้สึกหนัก อยากจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก ตอนนี้แม้เขาอยากจะถามชื่อและทำความรู้จักแต่ปากก็คุมไม่ได้อีก
“เออ คือว่า เรามาสายแล้วนะ ทำไงต่อดีล่ะ” ในที่สุดเขาก็ชนะความแข็งของปากได้ แต่ก็นึกเจ็บใจตัวเอง ว่าแทนที่จะถามว่า“ชื่ออะไรครับ” กลับกลายเป็นเรื่องนี้แทน
เธอยิ้มหวาน หัวเราะเล็กน้อย “พูดก็เป็นนี่ โชคดีนะที่ฉันเรียนที่นี่ตั้งแต่ ม.ต้นแล้ว เธอคงเป็นเด็กใหม่สิ เดี๋ยวจะพาไปทางลับ ถือเป็นการไถ่โทษละกันน้า” เธอขยิบตาให้ ทำเอาสติโจหลุดจากวงจรความเป็นจริงทันที เขามองเหม่อเธอราวต้องมนต์สะกดอยู่เช่นนั้น
ตัวเขานั้นไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมวันนี้ร่างของเขาถึงไม่ค่อยยอมทำตามคำสั่งเท่าไรนัก ถ้าเทียบตัวเขาเป็นเครื่องคอมตัวเขาคงโดนไวรัสแน่นอน และไวรัสที่ว่านี้คงเป็นไวรัสที่ชื่อว่า”รัก” แม้จะมีไฟล์วอร์แต่เจ้าไวรัสรักนี้กลับทะลายกำแพงหัวใจของโจได้อย่างหมดสิ้น “สงสัยต้องไปอัพเดทแอนตี้ไวรัสใหม่ซะหน่อยแล้ว “ โจบอกตัวเองในใจ
“เห้ จะ ยืนทื้ออีกนานป่าว มานี่สิ” เธอกวักมือเรียกไปด้านข้างประตูหน้าโรงเรียน ซึ่งมีพุ่มไม้ปลูกอยู่
“นี่ แล้วจะพามาทำไมประตูอยู่นั่นนะ” โจถามขึ้น
“เป็นนายใบ้ไม่พอ จะเป็นนายเซ่อซ่าอีกเหรอ ทางลับที่ไหนจะอยู่หน้าประตูกันเล่า “ เธออดขำไม่ได้กับอาการ เซ่อซ่าของโจและคำถามที่ไม่น่าถามเลยซักนิด
เขานึกเจ็บใจตัวเองอีกครั้งว่าทำไมถามคำถามได้งี่เง่าแบบนี้ ปากหนอปาก
“นี่ไง เจอและ มันเป็นทางที่ฉันใช้ตั้งแต่ม. ต้นเลยนะ” เธอแหวกพุ่มไม้ข้างรั้วโรงเรียน ซึ่งมีรอยแยกอยู่ข้างล่างพอให้คนมุดเข้าไปได้ “เดี๋ยวนายเข้าไปก่อนนะ เราดูต้นทางให้ “ เธอยิ้มพร้อมกับแหวกพุ่มไม้ให้โจ
โจมองหน้าเธอจนเกือบเหม่ออีกครั้ง ก่อนที่เธอจะกระตุ้นให้รีบ “เร็วเข้า” เขาจึงสลัดใบหน้าเรียกสติค่อยๆมุดไปยังช่องนั้น เมื่อมุดผ่านออกมาก็เป็นบริเวณโรงอาหาร แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ เพราะว่าไปบริเวณลานกว้างโรงเรียนกันหมด เนื่องจากได้เวลาเรียกประชุมแถวแล้ว ไม่นานนักเธอก็มุดตามโจมา
“เป็นไงทางลับ อย่าไปบอกใครเข้าล่ะให้รู้กันแค่นี้นะ” เธอตบไหล่โจ
โจยิ้มรับ เอาล่ะคราวนี้สติได้กลับมาแล้ว เขาจะถามเรื่องสำคัญให้ได้ “ว่าแต่ เธอชะ..”
แต่พอเขากำลังจะเอ่ยถามชื่อนั่นเอง เธอกลับฉุดแขนโจดึงให้หลบไปตรงพุ่มไม้ และจุ๊ปากให้โจเงียบลง เขามองด้วยความสงสัยว่าเกิดไรขึ้น ก็ปรากฏว่ามีอาจารย์หน้าเหี้ยมที่อยู่หน้าประตู เดินผ่านโรงอาหารมาพอดี เมื่ออาจารย์คนนั้นผ่านไปแล้ว เธอก็เอ่ยขึ้นว่า
“เราคงต้องแยกกันตรงนี้แล้วนะ นายเองก็รีบไปเถอะตอนนี้สายมากแล้ว บ๊ายบาย จ้า” เธอลุกขึ้นหันมาส่งยิ้มให้โจ ก่อนจะวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เขายืนงงตัวแข็งอยู่เช่นนั้น
“ทำไมการถามชื่อคนถึงได้ยากเย็นอย่างนี้นะ” โจบ่นอุบในใจ เขานึกเสียดาย ว่าอย่างน้อยขอแค่ชื่อเล่นก็ยังดี ไม่อย่างนั้นจะไปตามหาตัวเธอจากไหนล่ะ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาคิดเรื่องนี้ เขาสะบัดหัวไล่ความคิด เพราะปัญหาตอนนี้คือตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าต้องเดินไปทางไหนต่างหาก เนื่องจากโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนที่กว้างมาก แม้โจจะเคยสำรวจก่อนเปิดเรียนแล้วรอบนึงก็ตามเขาก็รู้จักแต่เพียงสนามเทนนิสและตึกเรียน ยังมีตรอกซอกซอยที่เขายังไม่รู้อีกมาก โดยเฉพาะเบริเวณนี้เอง เขาไม่มีความคุ้นเคยแม้แต่น้อย
แต่โจก็ต้องคลำทางเอา เขาเดินเลาะไปตามรั้วโรงเรียน ผ่านหน้าโรงอาหารที่ใหญ่โรงหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เขาเคยเห็นมา ข้างในเป็นลักษณะตึกใต้ถุน เพื่อให้ลมจากภายนอกพัดผ่าน มีโต๊ะอาหารใหญ่ยาววางเรียง และมีร้านอาหารข้างในมากมาย แต่ว่าตอนนี้ร้านปิด เพราะร้านทั้งหมดจะเปิดตอนช่วงเวลาพักเท่านั้น
โจได้ยินเสียงประกาศของอาจารย์อยู่ไม่ไกลจากแถวนี้นักแต่ก็ฟังไม่ออกว่าเขาประกาศอะไร เพราะเสียงไมด์ทุ้ม เขาจึงเดินไปด้านหลังของโรงอาหารตามเสียงที่ได้ยิน ผ่านหน้าตึกที่มีป้ายว่า “ตึกอำนวยการ” ซึ่งเป็นตึกทึบประมาณสามชั้น มีสีเหลืองแสบตา เสียงประกาศก็ดังขึ้นทุกทีๆ โจจึงเดินไปต่อพลางคิดในใจว่าถูกทางแล้ว
“...เดี๋ยวจะมีการประกาศผู้ที่ไปทำชื่อเสียงให้กับโรงเรียนด้านวิชาการมา ขอให้ทุกคนปรบมือด้วย”
เสียงปรบมือดังขึ้น สนั่นหวั่นไหว อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก โจจึงใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่เดินมาถูกตามที่คิด แต่ปัญหาคือเขานั้นจะลอบเข้าไปในแถวยังไงโดยที่อาจารย์ไม่รู้
ที่ด้านหลังตึกอำนวยการนั้นเอง มีลานกว้าง ที่เต็มไปด้วยนักเรียนนับพัน กำลังยืนเข้าแถวอยู่หน้าเวทีประกาศ ซึ่งจากตรงนี้จะโผล่หลังเวทีที่อาจารย์กำลังประกาศอยู่ หากต้องไปเข้าแถวกับคนอื่นๆ ต้องอ้อมไปอีกไกลพอสมควร และทางที่ผ่านไปนั้นไม่มีที่กำบังใดเลย หากเขาเดินไปจะต้องถูกพบแน่นอน ดังนั้นเขาจึงคิดจะเข้าไปหลบด้านหลังของเวทีก่อน เพราะดูไม่ค่อยมีใครสนใจตรงนี้
คิดดังนั้นแล้วโจจึงเดินไปหลังเวที แต่เขากลับพบว่ามีนักเรียนชายคนหนึ่ง ใส่แว่นหนาไว้ผมทรงสกินเฮด วิ่งสวนกับเขาไป
“ขอโทษๆ หลีกหน่อยปวดมากเลย” นักเรียนคนนั้น กล่าวพร้อมกับวิ่งผ่านโจไปอย่างรวดเร็ว โดยที่โจยังคงงงอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ยังคงเดินไปข้างหลังเวทีต่อ
เมื่อมาถึงหลังเวทีโจก็หาที่นั่งแถวนั้น เพื่อที่เวลาเลิกแถวจะได้ผสมโรงได้ เพราะคนจะเยอะอาจารย์อาจไม่สังเกต แต่เขาก็นั่งได้ครู่เดียวเท่านั้น จู่ๆก็มีอาจารย์หญิงคนหนึ่งเดินมาด้านหลังเวที หน้าตาอาจารย์คนนี้ดูโหดไม่เป็นรองอาจารย์ที่อยู่หน้าประตูเลย เธอดูเคร่งเครียดที่มองเห็นโจนั่งอยู่ตรงนี้ เธอตรงดิ่งมาทางโจอย่างรวดเร็วราวกับว่ากำลังจะมาฆ่าแกงกันก็ไม่ปาน โจเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเพราะมัวแต่คิดคำแก้ตัวสารพัดแต่ก็ไม่อาจหาได้ เพราะจนด้วยหลักฐาน เพราะถึงอย่างไรเขาก็ผิดเต็มประตู ขณะที่ยังไม่ทันตั้งตัวนั้นเองเธอก็ฉุดแขนโจให้ลุกขึ้น
ใจโจร่วงไปถึงตาตุ่มแม้จะคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ แต่ยามกระทันหันก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี เขาคงกำลังถูกส่งตัวไปยังฝ่ายปกครองอย่างไม่ต้องสงสัย
“อาจารย์ครับ ผมขอโทษ ผม..” โจพยายามขอโทษอาจารย์ แต่อาจารย์คนนั้นทำท่าทางไม่ใส่ใจ พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “นี่เธอรู้ไหม เขาประกาศตั้งนานแล้ว ครูก็มัวแต่หาตัวเธออยู่”
โจทำสีหน้างงๆ เพราะไม่คิดว่าโรงเรียนนี้จะซีเรียสกับการเข้าแถวขนาดนี้ ขนาดตัวเขาไม่มาเข้าแถวคนเดียว ถึงกับทำให้อาจารย์คนนี้ตามหาเลยหรือ
“เดี๋ยวเธอรอ ผ.อ.กล่าวก่อนนะ แล้วเธอค่อยออกไปพูด” อาจารย์คนนั้นตบบ่าโจ พร้อมกับดึงโจไปด้านบันไดของเวที
“อาจารย์ แล้วจะให้ผมพูดอะไร” โจยิ่งคิดก็ยิ่งงง พลางคิดในใจว่าระบบลงโทษของโรงเรียนนี้ทำไมถึงได้โหดร้ายเช่นนี้ ไม่มาเข้าแถวถึงกับต้องพูดขอโทษหน้าที่ประชุมเลยหรือ
“เป็นเรื่องที่น่ายินดีภูมิใจอย่างยิ่ง ที่เรามีนักเรียนที่เก่งอย่างงี้ เขาพึ่งกลับจากเยอรมันมาเมื่อไม่กี่ ชม. นี้เอง และได้รับรางวัลนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมแห่งปี ขอให้ปรบมือให้กับ จักกฤษ สุดจิตร “ เสียงประกาศไมค์ก้อง พร้อมกับเสียงปรบมือด้านล่างดังสนั่น พร้อมกันนั้นอาจารย์หญิงได้ผลักโจให้ขึ้นไปบนเวที
เขาจะทำอย่างไรต่อดีล่ะ นี่ไม่ใช่การลงโทษโจที่มาสายหรือ แล้วนี่ทำไมตัวเขากลายเป็นจักกฤษ อะไรนั่นด้วย เขาจะบอกอย่างไรว่านี่เป็นการเข้าใจผิด....
To be continue
ความคิดเห็น