คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : chapter 1
|ยังไม่แก้คำผิดค่ะ|
1
คำว่าตลอดไปไม่เคยมีอยู่จริง
ผมเชื่อว่ามันเป็นแบบนั้น เชื่อจนหมดใจ
จนกระทั่งได้เจอกับเขา
.
.
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าย่ำลงกับพื้นดังก้อง เนื่องจากบริเวณโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
ไม่มีใครสักคน
ไม่มีแม้กระทั่งสุนัขที่มักจะนอนเรียงรายกันอยู่แทบจะทุกๆเสาไฟ
ชเวยองแจคิดว่าวันนี้บรรยากาศช่างน่าประหลาด มันประหลาดมากเสียจนแอบนึกกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับตัวเอง แต่ก็ต้องสะบัดหัวเพื่อสลัดให้ความคิดบ้าๆนั้นหลุดออก
ไม่มีอะไรหรอก - ปลอบใจตัวเองที่ทั้งกล้าและกลัวอยู่ในที
มือขาวกำแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ไม่รู้ว่ามันไหลออกมาเพราะเขาร้อน หรือเพราะว่าตระหนกเสียงสะท้อนยามก้าวเดิน
รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกค่อยๆคืบคลานเข้ามาใกล้
ให้มันได้แบบนี้เถอะให้ตาย
เขาเข้าใจความรู้สึกของคนที่กลัวจนปอดแหกว่ามันเป็นอย่างไรก็วันนี้ ชเวยองแจยังคงฮึดสู้ที่จะเดินเข้าไปอีกครั้งแม้สมองจะสั่งให้เขหยุดไปตั้งแต่ก้าวแรกตรงหน้าซอยแล้ว มาจนถึงตอนนี้แม้จะกลัวอยู่บ้าง ระแวงอยู่บ้าง หากแต่คนกล้าได้กล้าเสียแบบเขาน่ะพร้อมเสี่ยงอยู่แล้วทุกเมื่อ
ใครบอกให้โชคไม่ดี กลับจากโรงเรียนซะค่ำจนรถเข้าบ้านหมดแบบนี้
จะกลัวใครดีระหว่างผีกับแม่
ชเวยองแจตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่าอำนาจผู้เป็นใหญ่ภายในบ้านน่ะน่ากลัวกว่าเป็นไหนๆ
แต่อยู่ๆลมหายใจสม่ำเสมอก็ต้องสะดุดกึก
พร้อมกันกับฝีเท้าที่เคยก้าวเดินไปข้างหน้าชะงักหยุดนิ่งเพราะเจ้าตัวสัมผัสได้ว่ากำลังมีใครสักคนเดินตามเขาอยู่ ภาวนาในใจว่าขอให้บุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่ด้วยเถอะ ยองแจตั้งใจหัวหลังกลับไปช้าๆ ซึ่งภาพที่ปรากฏต่อหน้ากับมีแต่ความว่างเปล่า
เขาอาจจะคิดไปเองก็ได้
อาการแพนิค ตีตนไปก่อนในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดแบบนี้ย่อมเกิดขึ้นได้กับคนที่กลัวผีจัดๆแบบเขา
ยองแจเลือกที่จะเพิกเฉยกับความประหลาดนั้นอีกรอบโดยการก้าวขาของตัวเองต่อด้วยอย่างกล้าๆกลัวๆ ดวงตาเรียวจ้องมองหลังคาสีเข้มที่โผล่ออกมาไม่ไกลมากนัก นึกดีใจที่อีกไม่นานก็จะถึงบ้านอันอบอุ่นเพียงแค่ทนเดินต่อไม่หาเรื่องทำให้ตัวเองหัวใจวายไปเสียก่อน
อาหารอร่อยๆ
เตียงนุ่มๆ
ทั้งหมดมันกำลังรอเขาอยู่ภายในบ้านหลังนั้น บ้านที่ดูยังไงยังไงบนถนนเปลี่ยวๆมืดๆนี่ก็เทียบไม่ติด และมันควรจะเป็นแบบนั้น เขาควรได้รับในสิ่งที่ตัวเองต้องการ หากแต่สิ่งที่มองไม่เห็นและซ่อนตัวอยู่ในเงามืดกลับไม่อยากให้เขาสมหวัง
“ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ ผมหลงทางไม่รู้ว่าที่นี่จะใช่ที่ที่ผมจะไปหรือเปล่า” น้ำเสียงที่ถูกเอ่ยออกมาเพียงแผ่วเบาหยุดฝีเท้าของเขาได้อีกรอบ
ยองแจยืนนิ่ง หัวใจของเขาเต้นเสียงดังโครมคราม
“ช่วยผมเถอะนะครับ ได้โปรด” อีกฝ่ายย้ำอีกครั้ง แต่น้ำเสียงที่ได้รับฟังกลับไม่มีคำว่าขอร้องเจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อย
โดนแล้วแน่ๆ เขาคงหนีมันไม่พ้น
เด็กหนุ่มค่อยๆหันกลับหลังด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความกลัว และคราวนี้ภาพที่เขาเห็นปรากฏเป็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งในชุดเสื้อฮู้ดสีเทากับกางเกงขายาวสีดำ มันย้ำเตือนได้เป็นอย่างดีว่าครั้งนี้สายตาของเขาไมได้คว้าน้ำเหลวเหมือนคราวแรก
ริมฝีปากบางเริ่มสั่น “หลงทางหรือครับ” ไม่รู้ว่าทำไมบรรยากาศรอบตัวในตอนนี้ถึงได้เย็นลงเย็นลงเรื่อยๆ ซึ่งยองแจคิดว่าสิ่งที่ถูกคือการวิ่งหนีไม่ใช่หยุดคุยอยู่แบบนี้ แต่ทำไมกัน ทำไมขาของเขาถึงขยับไปไหนไม่ได้ขึ้นมาเฉยๆ
“ใช่ผมหลงทาง แต่แย่จังที่คุณกลับกำลังคิดจะหนีแทนให้ความช่วยเหลือบุคคลที่หน้าสงสารอย่างผมเสียก่อน” คู่สนทนาทำน้ำเสียงอ่อน
ซึ่งเวลานี้อย่างเดียวที่ยังคิดได้คือ - มึงได้ตายของจริงแน่ๆยองแจเอ๋ย
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวแดงก่ำ “คะ คุณเป็นใคร” เอ่ยถามออกไปแม้ภายในใจจะไม่ได้อยากฟังคำตอบ
“แน่ใจเหรอว่าคุณต้องการคำตอบ”
“...”
“แต่ผมคิดว่าคุณไม่ได้ต้องการมันเลยสักนิด เด็กดี”
พรึบ!
ลมหวิวๆ พุ่งเข้ามาปะทะกับใบหน้าเข้าอย่างจัง
มันอยู่ใกล้เพียงเอื้อม ใกล้เสียจนรับรู้ได้ถึงความเย็นที่กำลังค่อยๆเข้ามาครอบงำไปทั่วทั้งร่างราวกับว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาจะแข็งตายกลางถนนที่เคยอบอ้าว
“เหี้ย!”
ฉับพลันตัวของเขาก็ถูกฉุดขึ้นไปด้วยความรวดเร็ว
ยองแจรีบคว้าลำตัวของสิ่งที่ไม่มีชื่อเรียกนั้นเอาไว้ทั้งสองมือ ดวงตาที่เคยปิดแน่นเบิกกว้างอย่างช่วยได้ ซึ่งสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้มันคือสิ่งที่เรียกว่า ’บ้า’ ได้โดยสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้เพราะตอนนี้เขากำลังถูกอุ้มขึ้นมายืนอยู่บนกำแพงของบ้านหลังหนึ่ง เบื้องหน้าคือผู้ชายสวมฮู้ดเมื่อสักครู่ แตกต่างกันนิดหน่อยตรงที่คราวนี้เขาเมองเห็นใบหน้าภายใต้ความมืดนั่นได้อย่างชัดเจน หากแต่ที่สะดุดตาที่สุดก็คงจะเป็นรอยจุดสองจุดตรงเปลือกตานั่น
“ผมหลงทางมาทั้งวัน ขอผมเติมพลังจากคุณหน่อยนะครับคนดี”
..ฉึก..
ภาพทุกอย่างเริ่มเบลอ ยองแจแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรสักอย่าง และทั้งหมดในร่างกายตอนนี้รับรู้ได้เพียงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณต้นคอ
เขาเฝ้าถามกับตัวเองภายในใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
ไอเย็นที่แผ่ออกมาแบบนี้
ลมหายใจนิ่งสงบราวกลับไร้ชีวิตนั่น..
ทั้งหมดมันแปลว่าเขากำลังจะจากโลกนี้ไปเลยหรือเปล่า
เฮือก!
คล้ายกับว่าสติจะถูกปลุก
และพบว่าตัวเองเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจากความฝัน
ยองแจเด้งตัวขึ้นจากที่นอนทันทีที่รู้ตัวว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงความฝันเพียงฉากหนึ่ง
เขาหอบเอาอากาศสูดเข้าสู้ปอดราวกับว่าขาดมันมานานนับปี ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเหงื่อไหลท่วมจนเสื้อผ้าเปียกปอน อาการเหนื่อยบวกกับความรู้สึกบ้าๆมันยังคงหลงเหลืออยู่ เเม้ว่าจะตื่นจากความฝันนั้นขึ้นมาแล้วก็ตาม
“เจ็บ”
สิ่งแรกที่นึกขึ้นมาได้เลยก็คือ แม่งโคตรเหมือนจริง
จับลูบบริเวณที่ยังเจ็บอยู่ไปมาพลางเหลือบสายตาไปมองหน้าต่างบานใหญ่ภายในห้อง
ม่านสีขาวผืนบางลู่ลมไปมายามกลางคืนมันให้ความรู้สึกน่ากลัวชอบกล และด้วยความฟุ้งซ่านทั้งหมดที่มีสมองจึงสั่งให้เขาเลิกสนใจกับความเจ็บจางๆนั้น ยันขาลงกับพื้นกระเบื้องฝืนใจลุกขึ้นไปปิดให้จบๆ ฉับพลันลมเย็นชื้นก็พัดลู่ผ่านใบหน้าไปเบาๆทำเอาขนอ่อนลุกซู่ขึ้นมาพร้อมกับอาการปอดเเหก ยองแจรีบเอื้อมมือออกไปปิดหน้าต่างอย่างว่องไว ก่อนจะรีบวิ่งเข้ามากระโดดขึ้นเตียงเเล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปรง
ขอย้ำอีกทีให้ชัดเจนว่า ใดใดในโลกล้วนกลัวผี
ซึ่ง ใดใด = ยองแจ
เขาน่ะกลัวยิ่งกว่ากลัว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองกำลังจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับที่เคยดูมาในหนัง
นึกโทษตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมถึงไม่เข้าโบสถ์เหมือนที่คนอื่นๆเข้าซะบ้าง บาปที่ก่อไว้มันเลยส่งผลทำให้เหตุการณ์เลวร้ายและน่าสะพรึงกลัวแบบนี้วกกลับเข้ามาเกิดขึ้นกับตัวเอง ภาวนาอยู่ในว่าขอเถอะ ขอให้พระเจ้าเห็นใจคนบาปแต่กลัวผีแบบเขาสักเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี ขอแค่ผ่านพ้นคืนนี้ไปก็ยังไง หรือไม่ก็ขอแค่ไม่ต้องมาพบเจอกับเรื่องแบบนี้อีกก็เป็นพอ
แต่คนบาปน่ะ ไม่มีสิทธิเรียกร้องหรอกเขารู้
อยู่ๆความเงียบก็ถูกแต่งแต้มแทรกด้วยน้ำเสียงทุ้มคุ้นหู “ใจเย็นๆค่อยๆหายใจสิ เสียงหัวใจของคุณมันกระตุ้นผมจนแทบบ้า”
ดวงตาเรียวที่เคยปิดสนิทเบิกขึ้นมาอีกครั้ง
ยองแจกำผ้าห่มเอาไว้แน่น หยาดเหงื่อเริ่มผุดออกมาตามใบหน้าเคล้าให้หวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวภายในฝันที่เกือบลืมไปแล้วเสียสนิท
ฉิบหายแน่ๆ ฉิบหายแน่นอน
“หูฝาดใช่ไหม ใครก็ได้ช่วยบอกที” พึมพำเนื้อตัวสั่น
“ผมบอกให้ก็ได้ว่าไม่ฝาด”
“...”
“แล้วไม่ร้อนหรือครับ ทำไมถึงไปนอนมุดตัวอยู่แต่ในผ้าห่มแบบนั้นล่ะ” ที่ว่างบนเตียงยุบลงเพราะแรงกดทับจากน้ำหนักของคนแปลกหน้า
ยองแจสะดุ้งตัวอุทานขึ้นมาเสียงดังลั่นว่า “เหี้ย!”
“ใช่ก็บ้าแล้วล่ะครับ หล่อขนาดนี้น่ะ”
“มะ ไม่ตลก”
“ขำให้ผมสักนิดน่า ถือว่าผมขอร้อง” อีกฝ่ายทำเสียงเว้าวอน ซึ่งก็ไมได้ดูน่าสงสารเลยสักนิด ตรงกันข้าม ยองแจกลับคิดว่ามันช่างน่ากลัวมากเหลือเกิน
“คะ คุณต้องการอะไรจากผม ละ แล้วคุณเป็นใครเข้ามาในบ้านผมได้ยังไง”
มือหนายกขึ้นทำท่าจะเอื้อมเข้ามาใกล้ “ใจเย็นๆสิ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า”
“ให้เชื่อคุณผมก็บ้าแล้ว ตอบคำถามผมสิ คุณเป็นใครกันแน่ทำไมมันเหมือนว่าผมกำลังฝันอีกรอบ”
“ก่อนถามก็พลิกตัวกลับมาคุยกันก่อนสิ มนุษย์เขาไม่มีมารยาทเลยเหรอ”
มนุษย์เสียด้วย พูดแบบนี้แปลว่าเขาไม่ใช่มนุษย์อย่างงั้นหรือ
“จะพูดแบบนั้นก็ได้นะ เพราะอันที่จริงผมก็ไม่ใช่มนุษย์นั่นล่ะ”
โห แถมยังรู้ทันความคิดเสียด้วย
มันจะไม่แอดวานซ์มากเกินไปรึไงในโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้
“ก็เล่นคิดเสียงดังขนาดนั้น ต่อให้ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าปากซอยยังไงก็ได้ยิน แล้วก็เลิกทำตัวสั่นได้สักทีเถอะเห็นแล้วตลกชะมัด”
“ไม่ได้ทำนะ! มันสั่นเอง” ตะโกนประท้วงออกไปทันควันเเต่ก็แอบผ่อนเสียงให้เบาลงในคำสุดท้าย
ไม่อยากจะยอมรับว่าสิ่งที่คนแปลกหน้าคนนั้นพูดมันถูก เพราะตอนนี้ร่างกายของเขาทั้งสั่นทั้งเกร็ง สืบเนื่องมาจากทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยถูกผีหลอกจะๆแบบนี้มาก่อน
ครั้งนี้เป็นครั้งเเรก
แล้วก็อยากให้มันเป็นประสบการณ์ครั้งสุดท้ายด้วย
“ผมชักจะเบื่อเเล้วนะ คุณจะยอมหันมาคุยด้วยกันดีๆหรือว่าอยากจะโดนผมเล่นเข้าจริงๆล่ะครับ”
“คุณต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ คุณบ้าหรือเปล่าออกไปห่างๆผมนะ” พูดตะกุกตะกะเชิงอ้อนวอนว่าอย่ามายุ่งไปมากกว่านี้เลยเถอะถือซะว่าเป็นคำร้องขอ
ยองแจไม่คิดว่ามันจะได้ผลจนกระทั่งบุคคลปริศนาเมื่อสักครู่นิ่งเงียบพร้อมกับแรงกดที่ค่อยๆจางหาย
เขานอนอยู่บนเตียงนิ่งๆจวบจนเวลาผ่านเคลื่อนผ่านไปกว่า 10 นาที ก็ยังคงไร้วี่เเววเสียงของอีกฝ่ายเหมือนเคย
หรือว่าจะออกไปแล้ว?
ได้แต่นิ่งรอให้ตัวเองเเน่ใจอีกสักพักก่อนจะค่อยๆโผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม ดวงตาเล็กค่อยๆลืมขึ้นเหลือบมองซ้ายทีมองขวาทีด้วยความหวาดระเเวง แต่พอเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเข้าสู้สภาวะปกติจึงขยับตัวไปด้านข้างทีละนิดทีละนิดเพื่อเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟเพราะต้องการแสงสว่าง
แป้ก!!
ทันทีที่ไฟในห้องสว่างขึ้น ยองแจดึงผ้าห่มลงเเล้วลุกขึ้นมานั่งหอบหายใจพิงหัวเตียงด้วยความโล่ง เม็ดเหงื่อไหลอาบเส้นผมของเขายาวไปจนถึงบริเวณใบหน้าทำให้รู้สึกเหนียวเหนาะหนะ เพิกถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เเสดงให้เห็นถึงความรู้สึกโล่งอกโล่งใจแบบสุดๆ โล่งจนไร้คำอธิบาย ดีใจเสียชนิดที่ว่าจะไม่ขออะไรไปมากกว่า ขอให้ไม่เจอเรื่องแบบนี้อีกเเล้ว จะให้เขาทำอะไรก็จะยอมมันทุกอย่าง..
เเต่เขาว่ากันว่าโชคชะตามันเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ ประกอบกับเซ้นส์ของเขามันบอกว่าสิ่งที่เขาคิดอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายไปเสียทุกอย่างเสมอไป
พรึบ!!
“สวัสดี”
เหี้ย!!!!
ยองแจรีบหันกลับไปมองทางเจ้าของคำทักทายเมื่อสักครู่ ปรากฏร่างของผู้ชายส่วนสูงราวๆร้อยเจ็ดสิบเกือบร้อยเเปดสิบเจ้าของดวงตาชั้นเดียว ผมสั้นสีดำเข้มยืนกอดอกเเล้วส่งยิ้มมาให้แบบคนเจ้าเล่ห์ๆ เนื้อตัวสวมเพียงชุดเครื่องแบบนักเรียนธรรมดาๆ กระดุมเม็ดเล็กถูกดึงออกสองเม็ดจากทางด้านบน อีกฝ่ายจ้องหน้าเขาพลางเเค่นยิ้มหวานๆชวนขนหัวลุกส่งมาให้ ก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้าแต่กลับไม่ได้เชื่องช้าอะไรตามความรู้สึก
เพียงเเค่ไม่ถึงเสี้ยววินาที กลิ่นหอมกรุ่นเหมือนดอกกุหลาบเเละร่างกายของคนที่กำลังยืนกอดอกพิงประตูเมื่อสักครู่ก็วาร์ปเข้ามาประชิดตัวเขาโดยไม่ทันตั้งตัว
“น่ารักจริงๆเลยแฮะ”
สิ้นสุดเสียงอันเย็นยะเยือกยองแจก็ได้เเต่นั่งนิ่งราวกับถูกสะกดเอาไว้ด้วยนัยน์ตาสีเทาเป็นประกายคู่นั้น
ตกลงว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น .. ?
แล้วหมอนั่นหลุดออกมาจากในฝันของเขาได้อย่างไรกัน
- เปลี่ยนเกือบทั้งเรื่อง บรัยยยจ้า
See u ha
ความคิดเห็น