ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพบุตรไร้หัวใจ

    ลำดับตอนที่ #4 : เทพบุตรหรือซานตานกันแน่.....ต้องอ่าน

    • อัปเดตล่าสุด 9 ส.ค. 54



     “ฮือๆ...เลวที่สุด”

                    เสียงสบถด้วยความแค้นดังขึ้นในลำคอ ริมฝีปากบางกัดเม้มจนเขียวช้ำ มือทั้งสองข้างยกขึ้นปาดหยาดน้ำที่ไหลร่วงพรูออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งที่ในใจของเธอสั่งให้มันอย่าไหลก็ตาม นัยน์ตาทอประกายความสดใสร่าเริงบัดนี้กลับโศกเศร้าแดงกล่ำมีแต่ความหม่นหมองจนใครมองมาต้องอดสงสารเวทนาไม่ได้ เสียงสะอื้นฮักของเธอทำให้โชวเฟอร์แท็กซี่วัยดึกอดสงสัยไม่ได้

                    “เป็นอะไรเหรอหนู??ใครทำให้เสียใจเหรอ”

                    น้ำเสียงแหบพร่าของโชว์เฟอร์วัยหกสิบเศษที่ยังต้องอดตาหลับขับตานอนมาขับแท็กซี่รับจ้างหาเลี้ยงตนและครอบครัวในยุคข้าวยากหมากแพงดังขึ้น

                    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...”

                    ญาดายกมือปาดหยาดใสๆที่ไหลอาบสองพวงแก้ม กลั้นใจตอบโชวเฟอร์แท็กซี่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

                    “แฟนคงทำให้เสียใจล่ะสิ....” โชว์เฟอร์แท็กซี่ตอบเดาสุ่ม

                    “เปล่าหรอกค่ะ...ไม่ใช่แฟน” ญาดาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่น

                    “คุณลุงคะถ้ามีคนทำให้ลูกคุณลุงเสียใจอับอายขายหน้าผู้คนลุงจะทำอย่างไรคะ”

                    ญาดาถามโชว์เฟอร์วัยดึกด้วยความสงสัย

                    “ลุงก็จะปลอบลูกของลุงให้หายร้องไห้หายเศร้าเสียใจ จากนั้นลุงก็จะไปจัดการกับไอ้คนที่บังอาจทำให้ลูกสาวลุงต้องขายหน้าและเสียใจน่ะสิ”

                    โชว์เฟอร์แท็กซี่ตอบด้วยความจริงใจจนทำให้ญาดาเผลอยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่เธอไม่เคยได้รับจากพ่อหรือแม่มาก่อน

                    “คุณลุงคะ จอดซอยหน้าด้วยค่ะ...”

                    เสียงใสเริ่มกลับมาเป็นปกติบอกคนขับรถแท็กซี่วัยดึกให้จอดซอยเล็กๆข้างหน้าซึ่งเป็นทางเข้าบ้านเธอ

                    “หนึ่งร้อยแปดสิบบาทถ้วนเศษสามบาทลุงลดให้”

                    “ขอบคุณมากค่ะคุณลุง...หนูสบายใจมากขึ้นแล้วค่ะ”

                    ญาดายื่นธนบัตรให้คนขับรถแท็กซี่ซึ่งมาส่งเธอที่บ้านและยังทำหน้าที่ให้คำปรึกษาคำปลอบโยนจนเธอสบายใจแล้วสิ่งยิ้มพร้อมคำขอบคุณก่อนเธอจะก้าวลงจากรถเก๋งสีชมพูหวานแหวว

                    “เดินกลับบ้านดีๆนะหนูซอยมันเปลี่ยว”

                    “ขอบคุณค่ะคุณลุงหนูอยู่ที่นี่มานานแล้วไม่มีปัญหาหรอกค่ะ”

                    ญาดาตอบเสียงใสก่อนเธอจะก้าวเท้าฉับๆเดินผ่านถนนคอนกรีตขนาดเล็กที่กระหนาบไปด้วยเพิงไม้และสังกะสีสองข้างทาง ท่ามกลางเสียงหมาจรจัดที่พากันเห่าต้อนรับผู้มาเยือน

                                                                    .....................................................

                    “ผู้จัดการ...ผู้จัดการอยู่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ”

                    “มีอะไรเหรอครับคุณรามา”

                    รามาตะโกนโหวกเหวกเสียงดังลั่นร้านจนบรรดาไทยมุงต่างพากันแยกย้ายสลายตัวเพราะไม่อยากมีเรื่องกับคนเมา บางคนก็จูงไม้จูงมือคนรักของตัวเองกลับบ้านหรือเปลี่ยนบรรยากาศเพราะเกรงว่าขืนอยู่ต่อเดี๋ยวมีเรื่อง เช่นเดียวกับวงดนตรีที่เลิกก่อนเวลาและปล่อยให้ดีเจเปิดเพลงคลอเบาๆ ร่างสูงพุงพลุ้ยวัยสี่สิบทำหน้าที่ผู้จัดการผับวิ่งตาลีตาเหลือกมายังเสียงตะโกนเรียกโดยไว  เขาโค้งคำนับชายหนุ่มร่างสูงกำยำราวกับบ่าวไพร่ผู้ซื่อสัตย์ น้ำเสียงหวานนุ่มดังขึ้น แต่สิ่งที่ทำลงไปนั้นมิได้เป็นความรู้สึกจากใจจริง          

                    “เมื่อกี้เด็กของนายตบหน้าฉาน...แล้วด่าฉานว่าลูกพ่อไม่ส่างสอน...เอื้อก”

                    รามายืนโอนไปเอียงมาราวกับเสาไม้ปักเลนตม น้ำเสียงที่ครั้งหนึ่งทุ้มนุ่มลึกน่าฟังบัดนี้กลับกลายเป็นเสียงเป็ดก็ไม่ปานดังขึ้น เสียงสะอึกเป็นระยะๆสลับกับการเลอเอิ้กอ๊ากจนผู้จัดการผับต้องถอยห่างเพราะเกรงว่าอยู่ใกล้เดี๋ยวได้ทานละมุดของลูกค้ากิตติมศักดิ์เป็นแน่ นิ้วมือยกขึ้นชี้หน้าชายร่างอ้วนอย่างเอาเรื่อง

                    “เด็กนายนี่มานช้ายม่ายด้ายเรื่องจริงๆเลย...เอื้อกกก”

                    “ทำไมเหรอครับ...ผมว่าผมก็เทรนเด็กทุกคนมาเป็นอย่างดีนะครับ ว่าต้องเอาใจแขกอย่าเอาแต่ใจตัวเอง ให้ความเคารพ คิดเสมอว่าแขกคือพระเจ้า อย่าว่าหรือแสดงอาการไม่พอใจออกมาโดยเฉพาะคุณรามายิ่งต้องเอาใจมากเป็นพิเศษ”

                    ผู้จัดการผับชี้แจงสิ่งที่ถูกรามาตำหนิเป็นการใหญ่

                    “เทรนบ้าบออารายวะ??เด็กนายด่าช้านว่าเป็นลูกพ่อไม่ส่างสอน...เลว...ต่าม...ถ่อย...ม่ายมีความเป็นสุภาพบุรุษ...และที่สามคัญหล่อนยังบังอาจตบหน้าฉาน...เอื้อกกกก”

                    “แต่คุณผู้หญิงที่ตบหน้าคุณน่ะไม่ใช่เด็กผมนะครับ”

                    คำตอบจากผู้จัดการร้านหนุ่มใหญ่ทำให้ชายหนุ่มตาสว่างขึ้นมาทันที ประสาทการรับรู้ต่างๆของเขากลับมาทำงานเป็นปกติโดยพลันเมื่อได้ยินเต็มสองหู

                    “นายว่าอะไร...ผู้หญิงที่ตบหน้าฉันไม่ใช่เด็กในสังกัดนาย”

                    “ครับผม...เธอมากับเพื่อนอีกคน พวกเธอมางานวันเกิดคุณมาร์คครับ”

                    ผู้จัดการหนุ่มใหญ่ตอบด้วยอาการลนลานเมื่อเขาถูกรามาตวาดเสียงดังลั่นผับ ดวงตาคมบนใบหน้าเข็มเขม็งขึ้นอย่างเอาเรื่อง มุมปากยกขึ้นเมื่อความคิดเข้าข้างตัวเองผุดขึ้นในหัว

                    “สงสัยเป็นผู้หญิงจากข้างนอกที่พวกไอ้มาร์คจ้างมา”

                    รามาพึมพำในลำคอเบาๆเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้อย่างอื่นหลังจากผู้จัดการตอบว่าคู่กรณีสาวนั้นไม่ใช่เด็กในสังกัดของร้าน  ชายหนุ่มร่างสูงกำยำหันหลังกลับเขามองซ้ายมองขวาท่ามกลางสายตาของนักท่องราตรีทั้งชายหญิงที่มองมาแล้วพากันซุบซิบนินทา รามาเดินโซซัดโซเซออกจากผับโดยไม่สนใจสายตาเสียงของผู้คนที่มองและพูดมา เขาตรงไปยังรถสปอร์สีแดงเพลิงแล้วขับมันออกไปอย่างรวดเร็วซึ่งจุดหมายปลายทางในครั้งนี้คงหนีไม่พ้นปลิงตัวโตที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อเขานั่นเอง

                                                                    .....................................................

                    “ก๊อกๆๆๆๆ”

                    เสียงเคาะประตูไม้โอ๊คสีน้ำตาลอ่อนดังระรัวจนผู้คนที่พักอาศัยห้องอื่นๆต่างพากันชะโงกหน้าออกมาดูผู้ไร้ซึ่งมารยาท บางคนมองด้วยสายตาตำหนิบ้างก็พูดต่อว่าด่าทอ แต่คำพูดเหล่านั้นมิได้ทำให้ชายร่างสูงกำยำสนใจแม้แต่น้อย เขายังยืนโอนไปเอียงมาเพราะฤทธิ์ของวิสกี้ที่ดื่มเข้าไปหลายแก้ว

                    “เบาๆหน่อยสิคุณคนกำลังหลับกำลังนอนทำอะไรก็เกรงใจคนอื่นบ้างสิ”

                    “ความเกรงใจน่ะมีมั้ยสมบัติผู้ดีน่ะมีเปล่า??”

                    “ก๊อกๆๆๆๆๆเปิดหน่อย...เอื้อกกก”

     รามายังเคาะประตูห้องนอนเสียงดังลั่นโดยไม่สนใจคำพูดของคนที่ด่าเขาแม้แต่น้อย

                    “มาแล้วค่ะ...มาแล้ว” 

    เสียงใสปิ๊งจากภายในห้องดังขึ้นทำให้รามาซึ่งยืนอยู่นอกห้องสะแยะยิ้มด้วยความสุขใจ ประตูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมโฉบเฉี่ยวเบิกกว้างออกเมื่อเห็นบุรุษหนุ่มตรงหน้า ริมฝีปากอวบฉีกยิ้มด้วยความดีใจ ขณะที่ชายหนุ่มยังยืนตัวเอียงไปมา ทำตาปรือ เลอเออกอากอยู่ มือข้างหนึ่งพลางเกาหัวจนเส้นผมยุ่งเหยิง หล่อนไม่มีท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามหล่อนกลับโผกระโดดกอดคอหอมแก้มชายหนุ่มเสียด้วยซ้ำไป

    “นึกว่าจะไม่มาเสียแล้วรามาขา...ฮันนี่รอรามาอยู่ตั้งนาน”

    “มาสิ...ผมต้องมาแต่พอดีติดธุระคุยกับคู่ค้าน่ะเลยมาช้า เอื้อก”

    รามาแก้ต่างแต่ฮันนี่รู้ดีว่าคำแก้ตัวของชายหนุ่มนั้นไม่เป็นความจริงอย่างที่เขาพูดแต่หล่อนก็ไม่ถือสาหาความหรือเซ้าซี้ เพราะหล่อนรู้ดีว่าขืนถามนั่นถามนี่คงถูกตวาดเป็นแน่และดีไม่ดีอาจถูกทิ้ง ดาราสาวประคองร่างถังเงินถังทองหนุ่มหล่อไฮโซเข้าสู่รังรักทันที หล่อนค่อยๆพยุงร่างใหญ่กำยำเอนนอนลงบนเตียงขนาดหกฟุตอันหนานุ่ม แสงไฟหัวเตียงถูกหรี่ลงเหลือแต่แสงสีเหลืองสลัว

    “เดี๋ยวฮันนี่เอาน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้นะคะรามา”

    ฮันนี่พูดด้วยน้ำเสียงยั่วยวนหล่อนลุกขึ้นจากเตียงทิ้งท้ายด้วยรสจูบอันหวานร้อนเป็นเชื้อไฟให้ชายหนุ่มครุกรุ่นขึ้น ร่างสูงบางเดินส่ายบิดสะโพกกลับมาในชุดนอนผ้าบางเบาสีดำสายเดียวฉลุลายลูกไม้กลางเนินสวาทจนมองเห็นโหนกเนื้อ สองมือหล่อนถือกะละมังใบเล็กภายในมีน้ำเย็นพร้อมผ้าขนหนู

    “เช็ดหน้าก่อนนะคะรามา...”

    น้ำเสียงเย้ายวนดังขึ้นขณะที่รามานอนนิ่งบนเตียง กระดุมเสื้อถูกปลดออกจากรังดุมด้วยความชำนาญ ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยลงบนแผ่นอกไล่ลงถึงหน้าท้องซิกแพ็คก่อนตะขอกางเกงชายหนุ่มจะถูกปลดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นกล้ามเนื้อกำยำทั่วทั่งกาย ผ้าขนหนูบิดหมาดลูบขึ้นลูบลงอย่างแผ่วเบาจนไรขนสีน้ำอ่อนลุกชูชันด้วยความเย็นยะเยือก แต่นั่นไม่เท่ากับริมฝีปากอวบเริ่มทำหน้าที่ซุกไซ้ลำคอตลอดทั่วใบหูไล้ต่ำมาถึงหน้าอกหนา เสียงคราง อือ..ในลำคอดังขึ้นเมื่อผิวกายของเขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่สากนุ่มกำลังไล้โลม

    “เดี๋ยวฮันนี่จะทำให้รามามีความสุขเองนะคะ”

    เสียงหวานหยาดเยิ้มกระซิบข้างหู ก่อนหล่อนจะเลื่อนใบหน้าเฉี่ยวไล้ทั่วร่างกำยำของชายหนุ่ม มือของหล่อนไม่อยู่เฉยเธอปลดงัดความเป็นชายออกมาผึ่งผงาด

    “เดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่า...”

    แต่แล้วร่างโปร่งบางก็ต้องลงไปนอนบนที่นอนหนานุ่มเมื่อร่างกำยำขึ้นทาบทับร่างหล่อน ดวงตาคมเข้มตวาดมองใบหน้าเฉี่ยวด้วยความหื่นกระหาย บัดนี้ไฟราคะถูกจุดจนลุกโชน รามาก้มหน้าลงซุกไซ้ซอกคอขาว สลับจูบรุนแรงเร่าร้อนทั่วใบหน้าและริมฝีปากอวบ ใบหน้าคมเลื่อนต่ำลงมาจูบดูดดื่มอกอูมด้วยความกระหาย เขาเม้มยอดถันเพียงเบาๆร่างบางก็แอ่นสนองด้วยความกระสันเสียว เสียงหายใจหอบถี่ดังขึ้นราวกับขี้ผึ้งกำลังถูกไฟลนจนละลาย ชายหนุ่มยังไม่หยุดทรมานดาราสาวแต่เพียงเท่านี้เขาลากชิวหาลงต่ำวนเวียนรอบสะดือก่อนเลื่อนใบหน้าลงต่ำถึงพื้นที่สงวน ร่างบางแทบขาดใจหล่อนแอ่นกายสุดตัวด้วยความเสียว นิ้วมือเรียวทั้งสิบจิกลงบนแผ่นหลังหนากว้าง รามาสะแยะยิ้มก่อนเขาจะค่อยๆไล้เลียกลับขึ้นมายังใบหน้าหล่อนดังเดิม

    “ฮันนี่รักคุณค่ะ”

    เสียงหวานสารภาพ วงแขนเรียวขาวกอดรัดร่างชายหนุ่มไว้แน่ ก่อนหล่อนจะรู้สึกจุกทั่วท้องเมื่อร่างกายสัมผัสได้ถึงสิ่งที่กำลังรุกล้ำ ความเจ็บถาโถมเป็นระลอกๆราวกับเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งแต่แล้วคลื่นที่ถาโถมนั้นก็ได้แปลเปลี่ยนเป็นคลื่นสวาท ความเจ็บมลายหายไปความเสียวซ่านเข้าแทนที่ จังหวะรุกเร้าเริ่มรุนแรงลมหายใจดังขึ้นสลับสับเสียงครวญคราง บัดนี้ร่างกายของเขาและเธออาบชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬความใคร่กระบวนท่าสุดท้ายได้เริ่มขึ้นก่อนทุกอย่างจะเงียบลง พร้อมใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มที่ซุกลงบนลำคอเนียนขาว เขาค่อยๆเลื่อนกายลงไปนอนข้างหล่อน เสียงหายใจหอบถี่ของทั้งคู่ยังดังขึ้นแล้วผลอยหลับไปด้วยไฟกามาที่มอดดับ

                                                                    ...............................

    ร่างบางเดินฝ่าความมืดดึกสงัดของราตรี เสียงสะอื้นฮักยังดังขึ้นเป็นบางช่วงบางตอนแต่หยาดใสๆนั้นได้แห้งเหือดหายมลายสิ้นแล้ว เพราะหากยังรินไหลอยู่แล้วล่ะก็มีหวังคงถูกด่าเปิงเป็นแน่ สายตาของเธอมองข้างทางด้วยความระแวดระวังเพราะชุมชนแห่งนี้เป็นแหล่งอาชญากรรมต้นๆของกรุงเทพเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยาเสพติด เรื่องการพนัน เรื่องโสเภณี และฉกชิงวิ่งราวรวมไปถึงเรื่องการละเมิดทางเพศ ซึ่งหากเป็นพวกต่างที่ต่างแดนมาเยือนคงพากันสยองพองขนเป็นแน่  ญาดารีบก้าวเท้าฉับๆเพื่อให้ถึงบ้านโดยไวมือทั้งสองข้างยกปิดเนินอกอูม ข้างทางเต็มไปด้วยบ้านพักซึ่งทำจากสังกะสีผุสามารถมองเห็นภายใน แต่บ้านบางหลังก็ปะติดด้วยแผ่นไม้อัด ป้ายโฆษณา ผ้าใบป้ายหาเสียงต่างๆราวกับจิ๊กซอตัวโต สิ่งเหล่านี้ขอแค่ใช้เป็นที่บังแดดบังฝนให้ได้หลบหลับนอนเท่านั้นเป็นพอ ร่างบางหยุดยืนหน้าบ้านไม้เก่าชั้นเดียว หลังคาสังกะสีเต็มไปด้วยสนิมซึ่งเกิดจากอายุการใช้งานที่ผ่านมาหลายสิบปี เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ

    “แอดดด” เสียงประตูไม้เปิดออกอย่างช้าๆและเบาที่สุดเพื่อไม่ให้ผู้ที่กำลังพักผ่อนหลับนอนภายในบ้านต้องตื่น

    “แกรก...”แสงไฟนีออนภายในบ้านสว่างวาบขึ้นทันที ร่างบางใช้ปลายเท้าจิกลงบนพื้นกระดานไม้ราวกับแมวย่องแต่เธอต้องสะดุ้งสุดตัว ใบหน้าเนียนซีดเผือดด้วยความตกใจ เธอหันไปมองหญิงสาววัยกลางคนที่ยืนจังก้าท้าวเอวอยู่กลางบ้าน

    “แกไปไหนมานังดา??”

    เสียงแหวของนางแอ๊วตวาดถามญาดาด้วยไฟโทสะ ร่างท้วมในชุดเสื้อคอกระเช้านุ่งผ้าถุงเดินดุ่มๆเข้ามาบีบต้นแขนลูกเลี้ยงด้วยความโกรธเมื่อนางไม่ได้คำตอบ

    “ฉันถามว่าแกไปไหนมา???ทำไมกลับเอาป่านนี้  แล้วทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้”

    เสียงตวาดของนางแอ๊วดังลั่นบ้าน มือหนาจับต้นแขนเรียวพลางออกแรงเขย่าจนลูกเลี้ยงหัวสั่นหัวคลอน

    “หนูไปงานวันเกิดเพื่อนมาจ้ะ”

    “อะไรนะ...นี่แกไปงานวันเกิดของเพื่อนมาเหรอ...ไหนแกบอกว่าไปทำงาน เดี๋ยวนี้แกริอาจโกหกตอแหลฉันเหรอนังดา”

    นางแอ๊วด่ากราดเสียงดังลั่นคำพูดของนางทำให้น้ำตาที่เพิ่งเหือดแห้งต้องพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง

    “อ๋อ...เดี๋ยวนี้ฉันว่านิดว่าหน่อยทำสำออยเป็นคุณหนูน้ำตาร่วงพรู”

    “เปล่าจ้ะ....”  ญาดารีบปฏิเสธมือบางทั้งสองข้างรีบปาดน้ำตาที่ไหลอาบพวงแก้มโดยไว เธอกลั่นเสียงสั่นสะอื้นไว้ในลำคอและพูดด้วยน้ำเสียงปกติ

    “แต่งตัวยังกับพวกกะหรี่หากินกลับบ้านดึกดื่นแกไม่กลัวไอ้พวกขี้ยาแถวนี้มันลากไปข่มขืนหรือไง รู้มั้ยว่าฉันไม่ได้หลับได้นอนถ่างตารอแกกลับบ้าน”

    “หนูขอโทษจ้ะ....” ญาดายกมือไหว้นางแอ๊วด้วยความกลัว

    “ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กพ่อแกก็มาด่วนตายจาก ฉันก็ต้องแบกภาระส่งแกเรียนจนจบมหาลัยได้รับปริญญาเทียมหน้าเทียมตาคนอื่นเขา ฉันเชื่อได้เลยว่าไม่มีแม่เลี้ยงที่ไหนส่งเสียลูกเลี้ยงจนได้ดิบได้ดีเท่าฉันหรอก พอจบมามีงานก็ปีกกล้าขาแข็ง ลืมบุญคุณ ก็ใช่สิวันนี้แกมีทางไปแล้วนี่ ฉันก็เป็นแค่แม่เลี้ยงแก่ๆคนหนึ่งที่ต้องส่งลูกสาวของตัวเองเรียนต่อ”

    “หนูขอโทษจ้ะ...หนูจะไม่ทำอีกแล้ว หนูไม่ลืมบุญคุณที่เลี้ยงดูส่งหนูจนเรียนจบ หนูจะเลี้ยงแม่และส่งน้องเอง อย่าเสียใจเลยนะจ๊ะ”

    ญาดายกก้มกราบแทบเท้านางแอ๊วด้วยความสำนึกบุญคุณที่นางคอยทวงเรื่องเลี้ยงดูส่งเสียครั้งแล้วครั้งเล่า จนคำพูดเล่านั้นดังก้องอยู่เต็มหัวใจดวงเล็กๆของเธอ

    “ถ้าแกยังจำได้มันก็ดี...ฉันก็หวังว่าแกจะส่งนังแอ๋มเรียนต่อ เหมือนกับที่ฉันส่งแกเรียนจนจบเท่านี้ฉันก็พอใจแล้ว”

    “จ้ะ...หนูจะส่งแอ๋มเรียนจนจบหนูจะเลี้ยงแม่เอง”

    “ถ้าอย่างนั้นแกก็ไปนอนเถอะนี่มันก็ดึกมากแล้วพรุ่งนี้แกต้องไปทำงานอีก”

    นางแอ๊วพูดด้วยน้ำเสียงเบาบางเมื่อญาดาตบปากรับคำว่าจะไม่ลืมบุญคุณจะทำหน้าที่ส่งเสียน้องและเลี้ยงดูตน มือหนาอูมหยาบกร้านลูบเรือนผมดำขลับอีกครั้ง

    “ฉันไม่เคยมองแกเป็นคนอื่นเลยนะนังดา ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กแกก็เหมือนลูกของฉันคนหนึ่ง”

    ริมฝีปากหยักหยาบพึมพำในลำคอแววตาของแม่ม่ายวัยกลางคนมองร่างบางที่เดินจากไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เสียงถอนหายใจเบาๆดังขึ้น

    “ปึง”

    เสียงประตูไม้ปิดเบาๆก่อนร่างบางจะเดินโซซัดโซเซมาถึงเตียงนอนขนาดสามฟุตล้มตัวลงอย่างคนไร้เรี่ยวแรง เสียงร้องไห้โฮดังลั่นแต่หาได้เล็ดลอดออกจากห้องแม้แต่แอะ หยาดน้ำใสๆพรั่งพรูออกจากตากลมโตไหลอาบสองพวงแก้มอิ่ม ริมฝีปากบางกัดเม้มด้วยความปวดร้าว

    “ฮือๆพ่อจ๋าแม่จ๋า ฮือๆ”

    ญาดาซบหน้าลงกับหมอนรำพันหาผู้เป็นพ่อและแม่ด้วยความคิดถึงมือทั้งสองข้างโอบกอดภาพถ่ายขนาดสี่คูณสี่นิ้วที่อัดอยู่ในกรอบไม้

    “หนูคิดถึงพ่อกับแม่มากเลย...ฮือๆ “

    เสียงร้องไห้โฮสลับสับเสียงเรียกหาพ่อแม่ผู้ลาลับดังเป็นระลอกราวคลื่นซัดสาดเข้าหาตลิ่งจนหัวใจดวงน้อยๆต้องพังครืนด้วยความเสียใจ เสียงสั่นเครือค่อยๆหายไปพร้อมความเหนื่อยล้าทั้งกายภายใต้ค่ำคืนอันหนาวเหน็บและว้าเหว่

                                                                    ........................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×