ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพบุตรไร้หัวใจ

    ลำดับตอนที่ #2 : วิมานนางฟ้า

    • อัปเดตล่าสุด 9 ส.ค. 54



     “กริ๊งๆๆๆ”

                    เสียงโทรศัพท์มือถือดังอยู่เป็นนานสองนานเนื่องจากเธอไม่สามารถรับสายได้เพราะกำลังสาละวนอยู่กับถ้วยชามตะเกียบช้อนกองโตที่ลูกค้าทานไว้ ใบหน้าเนียนขาวบัดนี้กลับกลายเป็นสีแดงก่ำ เหงื่อเม็ดเล็กๆแทรกซึมผ่านรูขุมขนด้วยความเหนื่อยล้า แต่น้ำเสียงหญิงสาวยังใสเจื้อยแจ้วเสมอยามผู้เป็นแม่เลี้ยงร้องหาพาชนะใส่อาหารให้ลูกค้า

                    “ถ้วยกับช้อนได้หรือยังนังดา...ทำอะไรก็ให้เร็วๆหน่อยมัวแต่เป็นแม่ละเมียดเดี๋ยวลูกค้าก็หนีหมดหรอก ตาย...อืดอาดยืดยาดอย่างนี้ไงถึงไม่มีผัวเสียที”

                    “เดี๋ยวจ้ะแม่...ดาล้างช้อนอีกไม่กี่คันก็เสร็จแล้วจ๊ะ”

                    ญาดา ตอบนางแอ๊วผู้เป็นแม่เลี้ยงด้วยน้ำเสียงใส เมื่อเธอหันใบหน้ากลับมาสายตามองไปยังถ้วยชามเสียงถอนหายใจลึกๆก็ดังขึ้นด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ต้นแขนขาวยกขึ้นซับเหงื่อไหลอาบพวงแก้มอิ่มเบาๆแม้บางครั้งฟองสบู่จากน้ำยาล้างถ้วยชามจะเลอะใบหน้าเธอก็ตาม รอยยิ้มบางฉีกกว้างออกด้วยความดีใจเมื่อเธอมองกะละมังที่มีแต่ความว่างเปล่า เพราะก่อนหน้านี้มีถ้วยชามกองเป็นภูเขาเลากา หญิงสาวค่อยๆยันกายอันอ่อนล้าลุกขึ้นจนบางครั้งใบหน้าหวานถึงกับแสดงความรู้สึกปวดเมื่อยออกมา

                    “หนูกลับบ้านไปแต่งตัวก่อนนะจ๊ะ  เดี๋ยวจะไปทำงานสาย”

                    “เออๆ...แล้วแกจะกลับตอนไหนนังดา”

                    “หนูว่าจะอยู่ควบสองกะจ้ะแม่พรุ่งนี้ถึงกลับ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นสิ้นเดือนนี้จะไม่มีเงินให้แอ๋มไปจ่ายค่าเทอมที่มหาลัยแน่”

                    ญาดาตอบนางแอ๊วแม่เลี้ยงปากร้ายด้วยรอยยิ้มบางๆ เพราะตลอดระยะสิบปีที่ผ่านมาเธอต้องทนใช้ชีวิตอยู่กับนาง เธอไม่เคยได้รับความสุขแม้จะโอบกอดสักครั้งหรือได้รับกำลังใจในวันที่เหนื่อยล้าเศร้าหมอง อยากจะร้องก็ร้องไม่ได้มีหวังถูกไล่ออกจากบ้านแหงๆ หญิงสาวทำได้เพียงแค่ยิ้มและยิ้ม  จากนั้นเธอก็หันกลับไปคว้ากระเป๋าผ้าเดินออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวของพ่อที่ทิ้งไว้ให้เธอเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ร่างบางเดินกลับบ้านฝ่าเปลวแดดอันร้อนระอุของช่วงเวลาบ่ายในชุมชนที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม ความแออัด ความลำบากและยากจน หรือที่ใครต่อใครเรียกว่า “สลัม” หญิงสาวจัดการอาบน้ำแต่งองค์ทรงเครื่องในชุดพยาบาลสีขาวแลดูสะอาดตาจรดร่าง เธอกึ่งวิ่งกึ่งเดินจนมาหยุดยืนหน้าป้ายจอดรถประจำทางเพื่อรอขึ้นรถไปทำงาน

                    “รถเมื่อไหร่จะมานะ...มีหวังเข้างานสายแน่เลย”

    ดวงตากลมโตมองรถสองประตูยี่สิบสี่หน้าต่างที่วิ่งผ่านคันแล้วคันเล่า เสียงบ่นพึมพำดังขึ้นในลำคอก่อนริมฝีปากบางระเรื่อจะคลี่ยิ้มด้วยความดีใจเมื่อรถโดยสารประจำทางสีแดงสภาพเก่าเกรอะกรังตัวถังเป็นสนิมบางช่วงผุสีลอกล่อนซึ่งบ่งบอกถึงอายุการใช้งานและความเสื่อมสภาพ กระจกบานหน้าคาดตัวหนังสือตัวเขื่องที่เขียนว่ารถเมล์ฟรีเพื่อประชาชน เธอไม่รอช้าเสียงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆดังขึ้นสองมือเรียวจับราวบันไดไว้มั่นเท้าขวาก้าวฉับด้วยความว่องไวและมั่นคงก่อนเท้าข้างซ้ายจะตามด้วยความรวดเร็ว เพราะขืนช้าคงรู้ดีว่าต้องเจออะไรถ้าไม่ตกรถก็คงมีหวังหัวคงได้กระแทกประตูเป็นแน่ สายลมร้อนปะทะหน้าเนียนจนร้อนผ่าวดวงตามองออกไปนอกหน้าซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียด แววตาฉายประกายความหวังและการต่อสู้ชีวิตอย่างเห็นได้ชัด

    “โรงพยาบาลสยามเมมโมเรียลครับ”

    เสียงประกาศดังลั่นรถโดยสารประจำทางจนทำให้ญาดาซึ่งกำลังนั่งหลับต้องสะดุ้งตื่นขึ้นทันที ร่างกายเธอตอบสนองโดยอัตโนมัติทั้งหยิบจับคว้าข้าวของเพื่อจะลุกจากเบาะนั่ง เธอก้าวเท้าลงจากรถเมล์หยุดยืนมองอาคารสีขาวหลังโตที่ติดเครื่องหมายบวกสีแดงตัวเบ้อเริ่ม ดวงตาฉายประกายความมุ่งมั่นในงานที่ทำอย่างแรงกล้าก่อนเท้าทั้งสองข้างจะก้าวฉับๆเข้าไปยังภายในตัวอาคารเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน

                                                                    .......................................

    “โทรไปทำไมไม่รับ...”

    “ขอโทษทีพอดีวันนี้ลูกค้ามากไปหน่อย”

    “แกไม่ต้องมาขอโทษฉันเลยดา เจอกันทีไรก็บอกไม่ว่างบ้างล่ะ ลูกค้าเยอะบ้างล่ะ ใจคอแกจะเป็นขี้ข้านังแม่เลี้ยงนั่นไปจนวันตายเลยหรือไง”

    “ฉันทำไม่ได้หรอก เพราะถึงยังไงเค้าก็ส่งเสียฉันเรียนจนจบมหาลัย ว่าแต่แกเถอะกระหน่ำโทรมามีเรื่องอะไรเหรอ??”

    น้อยหน่าเพื่อนสาวสุดซี้ตั้งแต่สมัยเรียนพยาบาลพูดจาเหน็บแนมญาดาที่ไม่รับสายขณะเธอดักรอเพื่อนสาวอยู่หน้าวอร์ด เนื่องจากทั้งสองเป็นพยาบาลทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน

    “แกมีชุดใส่ไปงานวันเกิดพี่มาร์คหรือยัง???....”

    “อุ้ย...ฉันลืมสนิทเลย”

    ญาดายกมือขึ้นป้องปากพลางอุทานออกมาเบาๆ เธอลืมไปเสียสนิทว่าคืนนี้ต้องไปงานวันเกิดของแฟนเพื่อนซี้

                    “นี่แกลืมจริงๆหรือแกล้งลืมกันแน่นังดา”

                    “ฉันลืมจริงๆ...ตอนนี้ชุดใส่ไปงานก็ไม่มีเสื้อผ้าหน้าผมก็ไม่ได้เตรียมถ้าเป็นอย่างนั้นฉันขอไว้คราวหน้าแล้วกันนะน้อยหน่า”

                    “แกไม่ต้องมาเฉไฉทำอิดออดเลยนะ ฉันจะพาแกไปเปิดหูเปิดตาเผื่อแกจะเจอว่าที่เจ้าบ่าวกับเขาซักที”

                    น้อยหน่าบิดต้นแขนญาดาเบาๆหลังจากหล่อนเห็นเพื่อนรักแสดงอาการกระอิดกระออด

                    “ฉันไม่เอาด้วยแล้วนะถ้าจะให้ไปเจอผู้ชายที่แกจัดให้น่ะ ฉันมีปัญญาหาเองได้ และที่สำคัญไอ้หล่อรวยน่ะไม่ต้องเลยนะ ฉันมีมือมีตีนทำมาหากินเองได้”

                    “เออๆแค่ไปเป็นเพื่อนเฉยๆ... เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมแกไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันจัดการให้แกเอง”

                    น้อยหน่าตบปากรับคำญาดาเพื่อให้เรื่องต่างๆจบๆไปก่อนทั้งสองจะแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองที่ได้รับมอบหมายไว้ สายตาของพยาบาลสาวแสดงความลำบากใจออกมาเมื่อนึกถึงการถูกลากจูงไปงานวันเกิดของแฟนเพื่อนในคืนนี้

                    “เสร็จยัง....เร็วๆสินังดาแกทำอะไรก็ชักช้าอืดอาดเรื่อยเลยนะ”

                    “แล้วแกจะรีบไปไหนน้อยหน่างานเริ่มตั้งสามทุ่มไม่ใช่เหรอ”

                    “ยังมีหน้ามาถามอีก...ฉันก็รีบพาแกไปแปลงกายน่ะสิยะ”

                    น้อยหน่าคว้าข้อมือเพื่อนสาวเดินตรงดิ่งไปยังรถเก๋งคันงามที่จอดอยู่ภายในลานจอดรถของโรงพยาบาลโดยไว เธอจัดการเปิดประตูแล้วจับเพื่อนสาวยัดลงไปนั่งเบาะหน้าราวกับแก็งค์ลักพาตัวเลยก็ว่าได้ เสียงเครื่องยนต์รถดังขึ้นก่อนล้อทั้งสี่จะเคลื่อนที่ออกจากลานจอดรถด้วยความรวดเร็ว

                    “แกจะพาฉันไปไหนเนี่ยน้อยหน่า”

                    “ไปห้องเสื้อที่ฉันไปประจำไงล่ะ”

                    น้อยหน่าตอบพลางอมยิ้มเล็กๆกับแผนการที่ตัวเองได้วางไว้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้เลยว่าคืนนี้บางสิ่งบางอย่างที่เลวร้ายจะเกิดขึ้นกับเธอ

                    “ถึงแล้ว...”

                    น้อยหน่ายิ้มร่าลงจากรถ เธอคว้าข้อมือญาดาเดินเข้าห้องเสื้อร้านประจำบนห้างสรรพสินค้าดังใจกลางกรุงเทพ สายตาของหญิงสาวมองไปยังเสื้อผ้ากระโปรงแบนด์ดังด้วยความหนักใจเพราะแค่เห็นป้ายราคาแล้วลมแทบจับเพราะแต่ละตัวนั้นมีราคาแพงเทียบเท่ากับเงินเดือนของเธอทั้งเดือน และที่สำคัญเดือนนี้เธอต้องนำเงินไปให้แม่เลี้ยงจ่ายค่าเทอมน้องสาวต่างมารดาอีก

                    “นี่น้อยหน่าฉันว่าเราไปดูเสื้อผ้าแถวประตูน้ำดีกว่า”

                    ญาดาสะกิดต้นแขนน้อยหน่าพลางกระซิบข้างหูเพื่อนสาวเบาๆเพื่อไม่ให้เจ้าของร้านหรือพนักงานขายได้ยินว่าเธอเป็นพวกรายได้ต่ำแต่รสนิยมสูง

                    “สวัสดีค่ะพี่ฉอดช่วยจัดการชุบตัวเพื่อนน้อยหน่าด้วยนะคะ เอาแบบสวยเอ็ก เซ็กซี่เลยนะพี่”

                    “ได๋ค่ะคุณน้องขา รับรองพี่จะจัดให้แบบเต็มสตรีมเอาแบบว่านางเอกเกาหลียังต้องชิดซ้ายแน่นอนค่า”

                    เจ้าของร้านเสื้อจีบปากจีบคอพูดพลางกรีดไม้กรีดมือรับปากน้อยหน่าลูกค้าขาประจำก่อนหล่อนจะจูงมือ  ญาดาหายเข้าไปในห้องแต่งตัว

                    “ชุดนี้โอมั้ยคะคุณน้องขา”

                    “หนูว่ามันโป๊ไปหน่อยมั้งคะ”

                    ญาดาตอบเจ้าของห้องเสื้อส่วนมือทั้งสองข้างของเธอพยายามดึงชายกระโปรงเดรทรัดรูปสีม่วงที่สั้นจู๋จนเผยให้เห็นเนื้อหนังมังสาของเธอ ไหนจะมีส่วนเว้าส่วนแหว่งตรงนั่นนิดตรงนี่หน่อยมีหวังใส่ชุดแบบนี้ไปเธอได้ถูกมองว่าเป็นผู้หญิงอย่างว่าเป็นแน่

                    “ก็ได้ค่ะ...ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวคุณพี่จะเอาชุดใหม่ล่าสุดเพิ่งสั่งตรงมาจากเกาหลีเลยนะคะคุณน้องขา เจ๊รับประกันได้ว่าไม่มีใครในเมืองไทยได้เห็นหรือได้ใส่ชุดนี้ และคุณน้องก็เป็นคนแรกที่ได้ใส่รับรองว่าเริ่ดอย่าบอกใครเชียวแหละ”

                    “ค่ะพี่...แต่หนูขอราคา.......” ญาดากระอึกกระอักเมื่อนึกเสื้อผ้าแต่ละตัวที่มีราคาเฉียดหมื่นหรือบางตัวเกินหมื่น แต่เจ้าของร้านหาได้ใส่ใจในคำขอของหญิงสาวตรงกันข้ามหล่อนกลับวิ่งปร๋อหายเข้าไปหลังร้านแล้วกลับออกมา พร้อมชุดเดรทเกาะอกสีทอง ญาดามองชุดในมือเจ้าของร้านด้วยความหวั่นใจ

                    “แปะๆ เริ่ดมักๆค่ะคุณน้องขา...คุณพี่เชื่อว่าคืนนี้ไม่มีใครสวยเริ่ดได้เท่าคุณน้องอีกแล้ว”

                    เสียงปรบมือของเจ๊ฉอดดังขึ้นเมื่อญาดาเดินออกจากห้องแต่งตัวในชุดเดรทสีทองอร่ามงามตาจนทำให้บรรดาพนักงานในร้านและลูกค้าที่เข้ามาหาซื้อเสื้อผ้าได้แต่มองมาเป็นสายตาเดียวกัน โดยเฉพาะบรรดาผู้ชายทั้งหลายที่มากับแฟนหรือเดินผ่านหน้าร้านพากันมองมาด้วยสายตาหยาดเยิ้มราวกับต้องมนต์สะกด

                    “สุดยอดเลยเพื่อนฉัน...รับรองคืนนี้แกมีผัวเป็นตัวเป็นตนแน่”

                    “จะบ้าเหรอ.น้อยหน่า..ฉันไม่ได้ไปหาผู้ชายฉันบอกแล้วไงว่าไปเป็นเพื่อนแก”

                    “เออๆขอโทษจ้าแม่สาวทึนทึก แต่ฉันก็อยากให้แกได้แฟนกับเขาเสียทีนี่หว่า”

                    “แต่ฉันมีพี่หมออยู่แล้ว”

                    ญาดายิ้มออกมาด้วยความสุขเมื่อเธอนึกถึงชายหนุ่มที่เธอปลื้มมาตั้งแต่สมัยฝึกงานอยู่โรงพยาบาลเพราะเทพบุตรในฝันคนนั้นคือคนที่คอยช่วยเหลือเธอตลอดมา

                    “พอได้แล้วอย่ามัวแต่ฝันหวานเพราะเราต้องไปร้านทำผมกับร้านแต่งหน้าอีก  พี่ฉอดคะนี่ค่ะ”

                    น้อยหน่าสะกิดเพื่อนรักที่มัวแต่ยืนยิ้มก่อนเธอจะหันหลังไปยื่นบัตรเครดิตให้แก่เจ้าของร้าน

                                                                                    .........................

                    สายตาคมเข้มมองไปยังถนนเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยรถราของผู้ซึ่งเลิกจากงานหรือผู้กำลังแสวงหาความสุขเหมือนเขา  กระดุมคอเสื้อเม็ดแรกถูกปลดออกจากรังดุม เน็กไทร์ถอดออกไปกองกับเบาะหนังฝั่งตรงข้ามคนขับ แขนเสื้อถูกปลดกระดุมแล้วเลิกขึ้นมาถึงข้อศอก สองมือแกร่งกำพวงมาลัยหนังเย็บอย่างประณีตไว้แน่น คันเร่งถูกเหยียบจนแทบมิดทำให้รถสปอร์ตเฟอร์รารี่ สีแดงเพลิงรุ่นแคลิฟอร์เนียเปิดประทุนทะยานแหวกอากาศไปด้วยความเร็วบนถนนย่านเกษตร-นวมินทร์ สายลมยามค่ำคืนปะทะหน้าคมเส้นผมปลิวตามแรงลม สองฝั่งข้างทางเต็มไปด้วยสถานบันเทิงชั้นนำที่บรรดาไฮโซหรือดาราดังมักมาพักผ่อนหย่อนใจยามว่าง แสงหลากสีส่องสว่างหลอกล่อหมู่แมลงเม่าที่ชอบไฟตัณหาราคะให้บินหลงเข้ามา คันเร่งค่อยๆถูกผ่อนลงเสียงเครื่องยนต์ม้าป่าลำพองลดความดังกังวาน ไฟเลี้ยวถูกตบชิดซ้าย เมื่อสายตาเขามองไปยังผับดังซึ่งถูกออกแบบให้เหมือนสิ่งปลูกสร้างสไตล์โรมัน ไม่ว่าจะเป็นเสา น้ำพุ หรือแม้กระทั่งหลังคา ล้วนแต่ทำให้ผู้ผ่านมาเยี่ยมชมคิดว่าได้หลุดเข้าสู่ดินแดนโรมันเสียแล้ว

                    “บรื้นๆ...”เสียงเครื่องยนต์ถูกเร่งขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายจนบรรดาผู้มาเที่ยวและเจ้าหน้าที่ผับต่างหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน หลังคาที่ซ่อนไว้ภายใต้ฝากระโปรงเปิดออกอย่างรวดเร็วเพียงไม่ถึงชั่วอึดใจหลังคารถสปอร์ตหรูก็จรดกระจะบานหน้า พลันร่างสูงโปร่งกำยำสวมแว่นแบรนด์ดังสีชาก็ก้าวออกจากตัวรถ เสื้อเชิ๊ตแขนยาวซึ่งถูกปลดกระดุมสองเม็ดแรกออกเผยให้เห็นแผ่นอกกำยำ ชายหนุ่มยืนตรงนิ่งสายตาเขามองซ้ายมองขวาเพื่อสำรวจว่าที่นี้ปลอดสิ่งกวนใจหรือไม่ เมื่อไม่มีร่างสูงร้อยแปดสิบก็ก้าวเท้าฉับๆเข้าร้านทันที โดยไม่แยแสต่อสายตาของใครหลายๆคนที่มองมาด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลน เหยียดหยามหรือชิงชัง

                    “ไอ้ประสาทมันมาอีกแล้วว่ะ”

                    “ไอ้ลูกแม่ทิ้งสิไม่ว่า”

                    รามาเดินมาหยุดหน้าผับเมื่อพนักงานต้อนรับสาวสวยนับสิบกรูเข้ามาราวกับว่าเขาคือดาราหรือไม่ก็นักร้องดัง หญิงสาวแต่ละอนงค์นางอยู่ในชุดประโปรงบางเบาสั้นจู๋ เว้าตรงนั่นนิดตรงนี่หน่อย  บางคนคว้านลึกจนเผยให้เห็นดอกบัวตูมและเมล็ดบัวสีชมพูบ้างสีคล้ำบ้าง บางคนใส่รัดรูปสั้นจนเผยให้เห็นเนินเนื้อส่วนสงวน จนคิดเสียว่าบางครั้งไม่ต้องสวมเลยดีกว่า ซึ่งแต่ละคนคิดว่าแบบไหนดีแบบไหนเด่นก็จัดมาเต็มที่เพื่อเรียกลูกค้า  เครื่องสำอางนานาชนิดถูกแต่งแต้มลงบนใบหน้าทั้งตา คิ้ว ปาก แก้ม รับกับแสงสีเย้ายวนในยามค่ำคืน ช่างเป็นดอกไม้ราตรีที่สวยสะพรั่งจนหมู่แมลงภู่และแมลงเม่าบินหลงมาเด็ดดมจนติดกับกามาของพวกเธอ

                    “สวัสดีค่ะคุณรามา...”

                    “เชิญทางนี้ดีกว่านะค่ะ...”

                    เสียงใสพร้อมจริตมารยาที่สาวๆแต่ละนางทุ่มลงไปเพื่อทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าสนใจ แต่แล้วทุกคนก็ต้องถอยห่างเมื่อน้ำเสียงทุ้มดุดันดังขึ้น

                    “ถอยๆ....อย่ากวนใจคุณรามาคืนนี้คุณรามา

    ไม่ต้องการเด็กนั่งเป็นเพื่อน”

                    บรรดาดอกไม้ราตรีเหี่ยวเฉาลงทันทีเมื่อประกาศิตผู้จัดการผับดังขึ้น ทุกคนแสดงอาการกระฟัดกระเฟียดออกมาเมื่อรู้ว่าวันนี้ตัวเองไม่ได้ลาภก้อนโต แต่ละคนต่างพากันเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ของตนเอง เก็บอาการไม่พอใจนั้นไว้แล้วฝืนยิ้มออกมาเพื่อหลอกล่อแมลงภู่ตัวต่อไป

                    “ต้องขอโทษแทนน้องๆด้วยครับคุณรามาที่พวกเธอมารบกวน”

                    “ไม่เป็นไร...ผมไม่ถือ พอดีวันนี้อยากนั่งเงียบๆคนเดียว”

                    รามาสั่งผู้จัดการผับที่ยืนโค้งคำนับรับคำสั่งด้วยกิริยานอบน้อม ในใจของหนุ่มใหญ่หาได้นอบน้อมอย่างที่แสดงออกมาแม้แต่น้อย

                    “ไอ้ห่า...อยากอยู่เงียบๆทำไมไม่กลับบ้านหรือไม่ก็ไปวัดวะ”

                                                                                    ...............................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×