Eyes of Memphis (ตอนต้น) - Eyes of Memphis (ตอนต้น) นิยาย Eyes of Memphis (ตอนต้น) : Dek-D.com - Writer

    Eyes of Memphis (ตอนต้น)

    Kersha Series 06 based on Lineage ][ เรื่องราวในภาคนี้ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่เคอช่าเดินทางมายังกีรันในฐานะองครักษ์ของพวกผู้อาวุโสและได้พบกับชูล่าจอมเวทย์มนุษย์ที่ดันมาหลงรักเขาเข้าอย่างจัง

    ผู้เข้าชมรวม

    165

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    165

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 เม.ย. 50 / 05:19 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    Kersha series 06 : เรื่องเล่าของเคอช่ากับชูล่า

    เหตการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่เคอช่าจะมาพบกับเนียใน series ตอนแรกสุด(น้ำตาของนักฆ่า) หลายปีอยู่
    สมัยที่เคอช่าค่อนข้างเป็นหนุ่มเต็มตัว และได้รับมอบหมายงานให้เป็นองครักษ์ติดตามคณะทูตเผ่าดาร์คเอลฟ์มายังกีรัน เมืองศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรเอลมอร์เอเดน ในครั้งนี้เอง เคอช่าได้จับพลัดจับผลูไปพบกับ ชูล่า จอมเวทย์หนุ่มสายอัญเชิญ หลานชายของมหาสังฆราชแห่งกีรัน ที่ดูเหมือนจะมีสองบุคลิก และมาหลงรักเขาเข้าอย่างจัง!

    เคอช่าที่ปวดหัวกับพฤติกรรมยากต่อการเข้าใจนานาประการของชูล่า กลับได้พบความลับเกี่ยวกับตนเอง ที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน?! เป็นภาคที่มีเนื้อหาสบายๆ ต่างออกไปจากภาคอื่นๆของเรื่อง
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      ท้องฟ้าโปร่งมีเมฆสีขาวลอยเป็นทิวมองดูแปลกตาดาร์คเอลฟ์หนุ่มผู้ซึ่งมีโอกาสเดินทางมายังเมืองใหญ่อีกครั้งนัก
      บ้านเกิดที่แผ่นฟ้าฉาบไว้ด้วยหมอกมัวแม้ในยามกลางวัน ช่างราวกับผืนฟ้าของโลกคนละใบ
      แสงตะวันที่จัดจ้าแยงตาอย่างน่าประหลาด แต่มันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องแสงนั้นชัดเจนในทุกรายละเอียด

      อิฐปูพื้นเป็นสีเทาด้วยคอนกรีตที่ลาดทับไว้อย่างประณีต รอยลงยามีฝุ่นดินเปรอะอยู่แสดงถึงระยะเวลาที่ก่อสร้างมานาน
      กำแพงบ้านเรือนก่ออิฐถือปูนอย่างทันสมัย หลังคากระเบื้องก็ดูหนักแน่นคงทน
      ภายในตัวตลาดคึกคักเซ็งแซ่ตั้งแต่เช้าตรู่ ผู้คนสัญจรขวักไขว่ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ขายที่มีทุกหัวถนน
      สมชื่อ กีรัน นครแห่งการค้า

      ด้วยการเก็บภาษีที่ต่ำกว่ามาตราฐานทั่วไป ผนวกกับมีท่าเรือเป็นของตัวเอง และเป็นเส้นทางผ่านระหว่างหัวเมืองใหญ่
      ทำให้บ้านเมืองที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์นี้ดูมีชีวิตชีวา ตระการตาอย่างที่เด็กหนุ่มไม่เคยได้เห็นที่ไหนมาก่อน

      ใจกลางเมืองมีเสาหลักเมืองสลักเสลาสวยงาม และทิศตะวันออกของลานกว้างก็มีโบสถ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่
      เป็นวิหารที่สร้างอุทิศให้มหาเทพีไอนฮาสาด พระแม่ผู้สร้างโลกและสรรพชีวิตตามความเชื่อของเหล่ามนุษย์
      แม้จะยอมรับในความอลังการของสิ่งก่อสร้างนั้น แต่ในใจลึกๆก็รู้สึกขัดใจอยู่เอาการ
      เพราะสำหรับเผ่าดาร์คเอลฟ์แล้ว ไอนฮาสาดคือต้นเหตุที่ทำให้เทพีชิเลนซึ่งพวกตนบูชาถูกขับไล่ออกจากสวรรค์

      เวลาผ่านไป โลกและสังคมก็แคบเข้าทุกที และเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ หัวหน้านักบวชแห่งมหาวิหารไอนฮาสาดนี้
      ได้ส่งเทียบเชิญไปยังเผ่าอื่นๆให้มาตั้งสาจาศูนย์บริหารงานที่นครกีรันแห่งนี้
      อีกทั้งรับปากว่าอาคารและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งหมด ทางเทศบาลเมืองจะออกให้ทั้งหมด
      หลังจากที่ผ่านเรื่องนี้ในสภาการปกครองกลางประจำเผ่า ณ หมู่บ้านดาร์คเอลฟ์อยู่นาน
      จึงได้ข้อสรุปให้แต่งตั้งคณะทูตมาเจรจาดูท่าทีของพวกมนุษย์เสียก่อน

      และนั่นก็เป็นเหตุผลให้เด็กหนุ่มชาวดาร์คเอลฟ์ผู้นี้ต้องเดินทางมาในเมืองใหญ่
      แม้ว่าสมัยเด็กเขาจะเคยเป็นยุวทูตไปติดต่อกับเผ่าอื่นก็ตาม แต่ครั้งนี้เจ้าหนุ่มมาในฐานะองครักษ์ประจำตัว
      หัวหน้าคณะทูตของเผ่า อังกุส ซึ่งเคยเป็นอาจารย์เมื่อสมัยเด็กของตนเองด้วย

      กว่าจะถึงเวลานัดหมายยังอีกสักพักใหญ่ๆ อังกุสจึงให้คณะผู้ติดตามรวมถึงองครักษ์ได้พักผ่อนตามอัธยาศัย
      เคอช่า องครักษ์เฉพาะกิจผู้ไม่ค่อยเหยียบย่างมายังเมืองใหญ่จึงได้โอกาสออกเดินสำรวจเมืองโดยรอบ

      ชายหนุ่มเดินจากประตูเมืองทางทิศตะวันตกผ่านไปถึงลานกว้างกลางเมือง แล้วหักเลี้ยวลงทางทิศใต้
      เมื่อลองเดินผ่านซอกหลังอาคารบ้านเรือนแถบนั้น ก็พบลานเอนกประสงค์อีกแห่งที่วังเวง
      อาจเพราะเป็นมุมอับจึงไม่มีใครมาตั้งแผงหาบเร่บริเวณนี้ ที่มีอยู่ก็แต่สวนหย่อมเล็กๆที่ไม่มีแม้แต่ม้านั่งให้หย่อนใจ

      เคอช่าก้าวผ่านอย่างช้าๆ สายตามองผ่านหมู่อาคารที่พักและต้นไม้ที่ใบสีเขียวสดผิดกับบ้านเกิด
      ขณะที่กำลังเพลินกับทิวทัศน์อันแปลกตา ก็บังเอิญว่าสายสร้อยที่กลัดอยู่ข้างเอวหมดอายุการใช้งาน
      ขาดร่วงลงกับพื้น กระดอนไปไปอยู่เชิงพุ่มไม้กอใหญ่ที่ริมผนังตึก

      เครื่องประดับมักจะลงอาคมเพื่อให้ผู้สวมใส่ใช้แทนเกราะในการต่อต้านการโจมตีจากเวทย์มนตร์
      แต่ด้วยความที่ไม่ชอบให้มีอะไรไกวเกะกะเวลาเคลื่อนไหว เคอช่าจึงนำสายสร้อยที่จะไม่พกก็ไม่ได้นั้น
      ร้อยไว้กับเอวกางเกงเสียแทน แต่ก็อาจจะเป็นเพราะอย่างนั้นที่ทำให้สายสร้อยบางขาดเร็วยิ่งขึ้น

      ดาร์คเอลฟ์ก้มตัวลงเอื้อมเก็บสร้อยซึ่งอยู่ห่างไปเล็กน้อย แล้วในขณะที่กำลังจะเงยหน้าขึ้นนั้นเอง
      สายตาสีเทาก็ไปสะดุดเอากับสิ่งแปลกปลอมที่โผล่พ้นยอดพุ่มไม้เตี้ยๆตรงหน้าจนต้องชะงักมือไป
      มันเป็น...หูกระต่าย? สีขาวพิสุทธิ์ที่ชูชันขึ้นในระดับความสูงที่ไม่น่าจะเป็นหูของกระต่ายไปได้

      เคอช่าจ้องวัตถุประหลาดนั้นนิ่ง ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือไปคว้าหูกระต่ายนั้นแล้วดึงออกจากพุ่มหญ้าให้รู้ชัดกันไป
      ทว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นจากหลังพงไม้ไม่ใช่กระต่ายอ้วนขาวจ้ำม่ำ
      แต่เป็นชายหนุ่มชาวมนุษย์คนหนึ่งที่จ้องตอบกลับมาอย่างตื่นตระหนก ราวกับไม่คิดว่าจะถูกใครพบตัวมาก่อน

      หูเทียมที่คล้ายหูกระต่ายนั้นเย็บขึ้นอย่างประณีตสมจริง แม้กระทั่งสัมผัสก็ไม่ต่างไปจากหูกระต่ายแท้ๆ
      ชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันที่ผมเผ้ายาวกระเซิง แซมด้วยเศษใบไม้จากกอหญ้าสวมมันเอาไว้แน่น
      จนในจังหวะที่ถูกดึงหูเทียมที่คาดศีรษะไว้ เกี่ยวเอากับผมสีน้ำตาลอ่อนนั้นจนต้องลุกตามขึ้นมา

      "ว้า โดนพบตัวซะละ"
      น้ำเสียงทีเล่นทีหยอกเอ่ยทักเคอช่าเป็นประโยคแรก ก่อนที่เจ้าตัวจะโผเข้ากอดคอดาร์คเอลฟ์ตรงหน้า
      "คนอะไรไม่รู้ น่ารักเป็นบ้าเลย"

      เคอช่ายังคงยืนนิ่งอย่างงงๆตั้งแต่วินาทีที่พบว่าเจ้าของหูนั้นเป็นคน จนกระทั่งโดนสวมกอดอย่างกะทันหัน
      ในสมองที่เคยเจอแต่เรื่องจริงจังไม่สามารถจะประมวลผลได้ทันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

      "เป็นดาร์คเอลฟ์ใช่มะ นายน่ะ ดาร์คเอลฟ์เท่อย่างงี้ทุกคนเลยป่าว"
      ว่าแล้วชายหนุ่มที่ในแว่บแรกดูน่าจะอายุอานามไล่เลี่ยกัน ก็กล่าวต่อด้วยสำเนียงที่ฟังแล้วดูเด็กลงไปอีกหลายปี
      ก่อนจะหอมแก้มชายแปลกหน้าที่ตนเองเพิ่งพบหน้าได้ไม่เกินสิบวินาทีฟอดใหญ่พลางอมยิ้ม
      "เค้าติดใจซะแล้วสิ"

      "ห..เฮ้ย
      !! "
      ข้างดาร์คเอลฟ์ที่เพิ่งจะตั้งสติได้ สะดุ้งพลางผลักอีกฝ่ายออกแต่ก็ยังถูกเกาะเกี่ยวแขนเอาไว้เป็นพัลวัน
      "เราชูล่านะ นายล่ะ? "
      หนุ่มชาวมนุษย์ส่งสายตาหวานให้ในขณะที่ถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนจนน่าขนลุก

      "ค..จะรู้ไปทำไม"
      เคอช่าเกือบจะพลั้งปากบอกออกไปก่อนจะคิดได้ว่าเขาไม่มีความจำเป็นจะต้องตอบคำถามนั้น
      ทว่าชูล่าตอกกลับใส่หน้าอย่างทันควันที่ไม่ได้รับคำตอบ
      "ใจร้ายยย
      ! "

      "เจ้ามาแอบอะไรแถวนี้ ทำเอาตกอกตกใจหมด"
      องครักษ์หนุ่มเมินความเอาแต่ใจของอีกฝ่ายแล้วต่อว่ากลับไป แต่มนุษย์หัวดื้อไม่ยอมเลิกง่ายๆ
      "ไม่บอก เรื่องของเรา เราไม่จำเป็นต้องบอกคนแปลกหน้าที่แม้แต่ชื่อก็ไม่รู้จัก"

      "ก็ดี งั้นก็ปล่อยแขนคนไม่รู้จักซะสิ
      ! "
      ว่าพลางเคอช่าก็สะบัดแขนออกจากการยื้อยุดของฝ่ายตรงข้าม
      เมื่อถูกเอ็ดใส่ เจ้าหนุ่มหัวรั้นกลับยิ่งเคือง ปล่อยมือทั้งสองข้างออก แล้วเอื้อมไปกระชากคอเสื้อของดาร์คเอลฟ์มาแทน

      "ไม่จับก็ได้ แต่จะจูบให้ดู
      ! "
      สิ้นคำท้า ชูล่าดึงตัวเคอช่าเข้ามาหา แล้วบังคับจูบอย่างไม่รีรอ
      ทำเอาดาร์คเอลฟ์กลับสู่โหมดมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกอีกครั้ง

      "มาปล้ำหนุ่มๆอะไรกลางวันแสกๆไม่อายฟ้าอายดิน"
      อีกเสียงหนึ่งขัดขึ้นพร้อมๆกับรองเท้าแตะหุ้มส้นที่ปักดิ้นค้างไว้พุ่งเข้าฟาดเต็มบ้องหูของชูล่าอย่างแม่นยำ
      ชายหนุ่มที่เสียโอกาสตอนดาร์คเอลฟ์กำลังเผลอตัวยั๊วะขึ้นทันควัน ยิ้มทั้งๆที่ขมวดคิ้ว แต่ยังไม่หันไปหาอีกฝ่าย
      "เจนท์เลอร์ แกนะแก... "

      "ท่านนักบวชใหญ่ให้มาตามตัวแล้ว โดดงานมาอีกสิท่า"
      ชายชาวมนุษย์ที่ชูล่าเรียกว่า เจนท์เลอร์ เดินเข้ามาหา พลางก้มลงเก็บรองเท้าที่เขวี้ยงมา
      แต่กลับโดนเพื่อนของตนเหยียบมือเอาไว้
      "ไอ้มารความสุขนี่ รอให้จูบเสร็จค่อยเข้ามาเรียกไม่ได้เหรอไงวะ"

      "ใครกันแน่วะมาร ไอ้นี่นี่ เอามือออก
      ! "
      ว่าแล้วเจนท์เลอร์ก็เอารองเท้าอีกข้างทีเหลือตีบนหลังเท้าให้ชูล่าถอนเท้าออก

      "ว่าแต่งานมันตั้งบ่าย ไมท่านลุงเรียกแล้วล่ะ มีเรื่องด่วนอย่างอื่นเหรอ? "
      ชูล่าหันไปถามเพื่อนของตน แต่ในมือยังดึงคอเสื้อของเคอช่าไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
      โดยที่เจ้าตัวได้แต่ยืนทำหน้างงๆ ไม่เข้าใจบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์ทั้งสองสักนิด

      "เผื่อเวลาหาตัวแกมั้ง หายหัวเรื่อยเลยนี่ พับผ่าสิแก ชั้นยังขึ้นลายไอ้นี่ไม่เสร็จเลย ต้องถ่อมาหาตัวแกเนี่ย"
      เจนท์เลอร์ว่า เขย่ารองเท้าคู่สวยในมือไหวๆ อาจจะเป็นภาพที่แปลกในการที่ผู้ชายจะจับงานหัตถกรรม
      อย่างการเย็บปักถักร้อย แต่ครอบครัวของเจนท์เลอร์ ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง สะใภ้หรือลลูกเขย
      ก็จะได้รับการฝึกฝนหัตถกรรมประเภทนี้สืบเนื่องต่อกันมาหลายชั่วคนแล้ว เรียกได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมครัวเรือน
      และแม้แต่หูกระต่ายเทียมที่เป็นเครื่องประดับแฟนซีนั้น ก็เป็นฝีมือการสร้างสรรค์ของเจนท์เลอร์คนนี้

      "รู้แล้ว รู้แล้ว"
      ชูล่าบ่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงอ่อน หันมาทำตาใสกับเคอช่า
      "แล้วไว้เจอกันใหม่นะ พ่อหนุ่มนิรนาม"

      จอมอวดดีโน้มตัวเข้าจูบดาร์คเอลฟ์แต่แผ่วๆอีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะคิกแล้วละมือออกจากปกเสื้ออีกฝ่าย
      ขยับจัดหูกระต่ายให้เข้าที่ทาง แล้วลูบผมให้กลับเป็นทรงอีกครั้ง น้ำเสียงซุกซนราวกับเด็กทิ้งท้าย
      "รักหมดใจจริงๆนะเนี่ย"

      เมื่อเดินจากมาได้พ้นช่วงตึก เจนท์เลอร์ก็เกาศีรษะพลางเอ่ยถามเพื่อนของตน
      "มามุขไหนอีกวะเนี่ยแก คราวนี้"
      "มุขไหน? "
      ชูล่าถามอย่างงงๆ ก่อนจะเข้าใจนัยยะของสหายที่สนิทที่สุดของตนขึ้นมากลายๆ
      "ตะเกี๊ยะเหรอ? "

      "อืม"
      ชายผู้ไม่สามารถคาดเดาความคิดที่อยู่ในหัวของอีกฝ่ายได้ หันไปมองอย่างสงสัย
      เท่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นชูล่าควงหรือจีบหญิงคนไหนมาก่อน ทีแรกคิดว่าด้วยนิสัยเด็กๆของเพื่อนตน
      คงจะไม่สนใจเพศตรงข้ามในเชิงรักๆใครๆ แต่พอมาเห็นจูบอยู่กับผู้ชาย จึงต้องตั้งข้อสรุปเสียใหม่

      ข้อที่ว่านิสัยเด็กนั้นใช่อยู่ และ..ไม่สนใจเพศตรงข้ามคงใช่ด้วยกระมัง?
      แต่ถึงอย่างนั้น เจนท์เลอร์ก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อสายตาตัวเองเท่าไหร่ ว่าเพื่อนของตนจะเบี่ยงเบนไปได้
      เพราะตลอดเวลาที่คบกันมา ถึงจะพบผู้ชาย ชูล่าก็ดูยังจะปกติดีแล้วไม่ได้สนใจอะไรแท้ๆ

      พ่อหนุ่มผู้รับมือยากที่เดินเยื้องอยู่ด้านหน้าหยุดก้าว หันหลังกลับมามองเพื่อนของตนพลางอมยิ้ม
      "รักแรกพบไงหนูเจนท์เลอร์"



      "กลับมาแล้วก็ดีแล้ว พอดีเลย หืม..เป็นอะไรรึเปล่า? "
      เพื่อนองครักษ์ชาวดาร์คเอลฟ์อีกคนเอ่ยทักเมื่อเคอช่าเดินเข้ามาภายในอาคารที่พักอย่างเนือยๆ
      ชายหนุ่มส่ายหน้าสองสามครั้ง ยังคงอยู่ในอาการงงงวยราวครึ่งหนึ่งของสติ

      ' ไอ้เจ้ามนุษย์ตะกี้มันบ้าอะไรของมันกันนะ '
      เคอช่าได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ ในเมืองใหญ่แบบนี้ก็มีคนบ้าเยอะเหมือนกัน

      "ทางโน้นแจ้งมาว่าให้เข้าพบได้ก่อนกำหนดการเดิม ท่านอังกุสเลยว่าจะรีบๆไปให้เสร็จเรื่อง"
      เคอช่าพยักหน้ารับรู้ ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องเตรียมการมากนักเพื่อที่จะเข้าพบพวก "มนุษย์"
      ชายหนุ่มจึงพิงหลังลงกับกำแพงแถวๆนั้น เขาคุ้นเคยที่จะทำเช่นนี้มากกว่าการเดินไปหาเก้าอี้สักตัวมานั่งเพื่อพัก

      ไม่นานนักหลังจากนั้น คณะทูตจากหมู่บ้านดาร์คเอลฟ์ก็รวมตัวกันพร้อม และเดินทางไปยังมหาวิหารไอนฮาสาดประจำเมือง
      ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของเผ่าดาร์คเอลฟ์เดินทางมาด้วยกันทั้งสิ้นสี่คน รวมกับองครักษ์ผู้ติดตามอีกสามคน
      ได้รับการเชิญให้เข้าไปยังห้องประชุมเล็กๆที่ด้านหลังโบสถ์ ซึ่งไม่อนุญาตให้คนทั่วไปเข้ามาได้
      ที่นั่น มีนักบวชและนายกองระดับสูงของกีรันนั่งรออยู่ก่อนแล้วสี่คน ต่างฝ่ายจึงนั่งประชันหน้ากับพอดิบพอดี

      หลังจากแจ้งข่าวว่าคณะทูตมาถึงสถานที่ประชุมแล้ว พักหนึ่ง อเล็กซานเดรีย หัวหน้านักบวชใหญ่ในเวลานั้นก็เดินเข้ามา
      พร้อมกับผู้ติดตามอีกสี่คนซึ่งเป็นนักบวชและจอมเวทย์ฝึกหัด
      ฝั่งมนุษย์ที่นั่งอยู่ลุกขึ้นทำความเคารพเมื่อเห็นอเล็กซานเดรีย
      แต่เหล่าดาร์คเอลฟ์กลับนั่งนิ่ง เพียงแค่ผงกหน้ารับเล็กน้อยเท่านั้น

      มหาสังฆราชอเล็กซานเดรียลงนั่งที่หัวโต๊ะ และให้เหล่าเด็กหนุ่มผู้ติดตามไปยืนด้านหลังที่นั่งฝั่งนักบวชของตน
      เช่นเดียวกับที่เหล่าองครักษ์ดาร์คเอลฟ์ยืนอยู่เบื้องหลังคณะทูตของเผ่าตนเอง
      ต่างฝ่ายต่างกวาดสายตามองกันอย่างดูเชิง เพื่อให้พร้อมรับมือเสมอหากเกิดเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลใดๆ

      ในบรรดาเด็กหนุ่มรุ่นๆทั้งสี่คนที่เป็นผู้ติดตามนั้น เคอช่าไปสะดุดตาเข้ากับเด็กหนุ่มคนที่สองนับจากทางขวาเข้า
      มนุษย์คนนั้นคือ ชูล่า ที่ตนพบเมื่อกลางวันไม่ผิดไปแน่ หากแต่ชายที่ยืนอยู่เยื้องกันไปเบื้องหน้าในเวลานี้
      กลับแต่งตัวเรียบเนี้ยบ ผมที่ยาวเล็กน้อยถูกเสยไว้จนเรียบกริบ ท่าทางการเดินการยืนก็ดูสุขุมลุ่มลึก
      และเมื่อสบตากันโดยบังเอิญ ชายคนนั้นก็ยิ้มแต่เพียงน้อยพอเป็นมารยาท ไม่แสดงแววกระโตกกระตากออกมาให้ได้เห็น

      ราวกับว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนละคนกัน หากไม่เพราะในเวลาต่อมา อังกุส หัวหน้าคณะทูตดาร์คเอลฟ์
      เสนอให้แนะนำผู้ติดตามของแต่ละฝ่าย เพิ่มเติมจากการแนะนำแต่เพียงคณะนักบวชระดับสูงเองด้วยแล้ว
      เคอช่าก็คงจะตีความไปว่า ที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นเพียงคนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกัน
      แต่เพราะอเล็กซานเดรียเอ่ยปากแนะนำด้วยตนเองว่า จอมเวทย์มาดขรึมคนนั้นชื่อ ชูล่า เคอช่าจึงจำยอมต้องเชื่อตามนั้น

      และเพราะการแนะนำแลกเปลี่ยนระหว่างทั้งสองฝ่ายนี้เอง ชื่อของเคอช่าเอง จึงถูกเอ่ยต่อที่ประชุมด้วย
      ตลอดระยะเวลาการประชุม ชายหูกระต่ายที่เคอช่าพบเมื่อเช้าไม่มีทีท่าพิรุธ หรือสัญญาณใดๆที่บ่งว่า
      ชูล่า น่าจะเป็น ชูล่าคนเดียวกัน ดาร์คเอลฟ์หนุ่มจึงได้แต่ฉงนใจอยู่แต่ฝ่ายเดียว
      ถึงบุคลิกที่แตกต่างกันราวกับเป็นคนละคนกัน ในครั้งแรกที่พบก็ว่าไม่เข้าใจมนุษย์ผู้นี้แล้ว
      ในครั้งที่สองที่พบกันอย่างเป็นทางการนี้ ก็ยิ่งไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้นไปอีก

      การประชุมดำเนินต่อไปอีกนานพอสมควร ก่อนที่จะมีการตกลงให้พักข้อสรุปในเบื้องต้นไว้ก่อน
      และมาประชุมร่วมกันใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ก่อนจะแยกย้ายกันในวันนั้น อังกุสได้เสนอว่าให้มีการประลองกระชับมิตร
      ระหว่างจอมเวทย์ของดาร์คเอลฟ์และจอมเวทย์ของมนุษย์ ซึ่งอเล็กซานเดรียก็เห็นชอบด้วยกับความคิดนั้น
      โดยเสนอให้ ชูล่า จอมเวทย์สายอัญเชิญ เป็นตัวแทนฝั่งมนุษย์ลงประลองในครั้งนั้น

      การประลองจะทำให้หยั่งเชิงของอีกฝ่ายได้ อย่างน้อยหากรู้ว่าอีกฝ่ายแข้งแกร่งเพียงใด
      การตัดสินใจว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูด้วยก็จะยิ่งทำได้ง่ายขึ้นอีก
      ทั้งอังกุสและอเล็กซานเดรียเองก็ต่างรู้ถึงความจริงข้อนี้ จึงเห็นพ้องให้จัดการประลองอย่างง่ายๆขึ้น

      คณะทูตดาร์คเอลฟ์และตัวแทนเจรจาจากฝ่ายมนุษย์ออกจากห้องประชุม มุ่งหน้าสู่กีรันอารีน่า สนามประลองข้างเมือง
      โดยเดินเรียงกันเป็นแถวอย่างไม่เป็นระเบียบเท่าไหร่นัก
      ชูล่าซึ่งจงใจเดินผ่านมาข้างเคอช่า คว้าเอามือของเคอช่ามาจับไว้เพียงไม่กี่วินาทีก็ปล่อยออก แล้วจ้ำไปที่ด้านหน้าแถว
      แรงบีบของมืออุ่นๆที่ยังคงค้างอยู่บนสัมผัสของเคอช่า ทำให้ชายหนุ่มชาวดาร์คเอลฟ์มั่นใจขึ้นมาบ้างว่า
      จอมเวทย์สุขุมที่ชื่อชูล่า ข้างในยังคงเป็น เด็กหนุ่มจอมกะล่อนคนเดียวกับที่พบเมื่อเช้า

      อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะดีใจหรืออะไรเช่นนั้น
      ที่ได้รู้ว่าคนบ้าเมื่อเช้าเป็นคนเดียวกับหลานรักของมหาสังฆราชแห่งกีรัน ที่ดูจะผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี
      โดยส่วนตัวแล้ว เคอช่าเพียงแค่สบายใจที่ไม่มีเรื่องงุนงงคาใจอยู่ ก็เพียงแต่แค่นั้น


      ทั้งหมดมาถึงลานประลองภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ทุกคนถอยไปอยู่รอบนอกของสนาม
      ปล่อยให้ตัวแทนของแต่ละฝ่ายทั้งสองคน อยู่ในเขตการประลองภายในตัวต่อตัว
      จอมเวทย์จากฝั่งดาร์คเอลฟ์เป็นจอมเวทย์สายตรงที่มีพลังการควบคุมธาตุลมได้อย่างรุนแรง
      ในขณะที่ชูล่าซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายมนุษย์นั้น เป็นสายเวทย์อัญเชิญ ที่มีพลังการโจมตีเวทย์โดยตรงเป็นรองอยู่หลายขุม
      น่าแปลกที่อเล็กซานเดรียกลับส่งหนุ่มน้อยคนนี้ลงแข่งขัน หากไม่ดูถูกเหล่าดาร์คเอลฟ์โดยส่งคนฝีมือต่ำออกมา
      ก็ต้องเป็นเพราะมั่นใจในฝีมือของชูล่ามากเอาการอยู่ ว่าสามารถล้มคู่แข่งได้ทั้งที่ทักษะการต่อสู้ตามสายอาชีพเป็นรอง

      วงเวทย์อัญเชิญสีฟ้าเรืองรองปรากฏขึ้นเบื้องหน้าชูล่า แล้วแมวขาวจ้ำม่ำตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากกลางวง
      แคท เป็นสิ่งมีชีวิตในชนเผ่า แคธ ซึ่งถูกมนุษย์เรียกเช่นนั้นเพราะมีรูปร่างคล้ายกับแมวที่มนุษย์รู้จัก
      แต่แท้จริงแล้วเป็นสิ่งมีชีวิตจากต่างมิติที่ได้ทำพันธสัญญากับเหล่าจอมเวทย์ของมนุษย์เอาไว้
      คุณสมบัติเด่นของแคทคือการที่สามารถฟื้นฟูพลังเวทย์มนตร์ให้กับผู้อัญเชิญได้ หรือจะกล่าวก็คือ
      การที่ต่อสู้ด้วยมีแคทค่อยช่วยเหลือนั้น ทำให้ขอบเขตพลังเวทย์อันจำกัดของชูล่า กลายเป็นเอนกอนันต์

      สัญญาณการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า โดยในทันทีที่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น
      ชูล่าซึ่งร่ายมนตร์ได้รวดเร็วกว่าก็ประเคนเอาลูกไฟขนาดย่อมๆเข้าใส่ตัวแทนฝั่งดาร์คเอลฟ์ได้ก่อน
      แม้การโจมตีนั้นจะไม่รุนแรงมากนัก แต่ก็ทำให้คู่ต่อสู้ชะงักเสียจังหวะการร่ายลง
      เปิดโอกาสให้ชูล่ายังคงร่ายมนตร์เข้าใส่อย่างต่อเนื่อง ชำนาญ

      จอมเวทย์ดาร์คเอลฟ์เปลี่ยนจากคาถาโจมตีเป็นคาถาฟื้นฟูตนเอง ซึ่งแม้จะทำได้เพียงน้อยนิด
      แต่ก็อาศัยหลักการเดียวกับชูล่า ถึงแม้เวทย์มนตร์จะมีประสิทธิภาพต่ำ แต่หากใช้ซ้ำๆกันกับเป้าหมายแล้ว
      ก็ย่อมเห็นผลชัดเจนขึ้นมาได้เช่นกัน

      หลังจากฟื้นตัวขึ้นมาได้ขณะหนึ่ง ชูล่าก็ตกเป็นเป้าของเวทย์พายุหมุนอันรุนแรงอีกครั้ง
      เมื่อดาร์คเอลฟ์สามารถร่ายคาถาได้จนจบบทเป็นครั้งแรก จอมเวทย์มนุษย์ก็ได้ลิ้มรสเวทย์มนตร์ที่เป็น "ของจริง"
      อานุภาพของมันแตกต่างกับเวทย์มนตร์กิ๊กก๊อกที่ชูล่าใช้มาตลอด เพียงแค่รับการโจมตีเข้าไปตรงๆเพียงครั้งเดียว
      ก็ทำเอาหนุ่มน้อยกระอักออกมาเป็นเลือดและทรุดลงชันเข่าอย่างจะล้มมิล้มแหล่

      แต่แม้ในสถานการณ์เช่นนั้น ปากของจอมเวทย์หนุ่มก็ยังคงขมุบขมิบร่ายคาถาต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้
      เมื่อสายลมที่คมดั่งมีดโกน เฉือนตัดลำตัวของชูล่าเข้าอีกเป็นครั่งที่สอง ก็เล่นเอาเขาเกือบหน้ามืดไปในทันควัน
      ผลการตัดสินคงจะออกมาตามที่เห็น ถ้าลองโดนเวทย์มนตร์ของดาร์คเอลฟ์เข้าให้อีกเสียครั้งหนึ่ง
      คราวนี้ชูล่าคงได้สลบหมดสติปางตายไปเป็นแน่

      แต่อเล็กซานเดรียกลับไม่ประกาศผลการแข่งขัน และปล่อยให้การต่อสู้ที่เห็นผลกันอยู่ตรงหน้าแล้วนั้นยังคงดำเนินต่อไป
      ราวกับจะดูดายให้ดาร์คเอลฟ์เผ่าพันธุ์ซึ่งกระหายเลือดและการต่อสู้ฆ่าฟันจอมวเทย์ฝึกหัดในสังกัดของตนให้ตายไปเสีย

      ทว่าการต่อสู้ของชูล่ายังไม่จบลง ในสภาพที่ย่ำแย่จนแค่จะลุกก็ทำไม่ไหวแล้วนั้น
      พลันเบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏวงเวทย์อัญเชิญขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้แคธสีน้ำเงินตาขวางก็โผล่ออกมา
      ไคท แคธสายพันธุ์อาละวาดที่ดุร้ายและเจ้าเล่ห์ที่สุดในเผ่าพันธุ์ ปรากฏกายขึ้นคู่เคียงกับเจ้าแคทตัวขาวปุยตัวเดิมนั้น

      ผู้ชมโดยรอบลานประลองสะดุ้งเฮือกในทันทีที่เห็นแมวสีน้ำเงินกระโจนออกจากวงเวทย์
      พุ่งเข้าโจมตีดาร์คเอลฟ์คู่แข่งอย่างไม่รีรอคำสั่งจากนายของมัน

      แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคน หรือแม้แต่คู่แข่งขันเองต้องตาค้าง คือการที่แคธซึ่งชูล่าอัญเชิญมานั้น
      มีด้วยกันถึงสองตัวในเวลาเดียวกัน ว่ากันตามทฤษฏีการทำพันธสัญญาในการอัญเชิญสิ่งมีชีวิตจากมิติอื่นแล้ว
      การอัญเชิญพร้อมกัน 2 สิ่งไม่สามารถจะเป็นไปได้ในช่วงเวลาเดียวกัน
      หากไม่ส่งตัวแทนอัญเชิญตัวแรกกลับไป ก็จะไม่สามารถเรียกตัวใหม่มาได้ นั่นคือกฏพื้นฐาน

      แต่มนุษย์ตรงหน้าพวกเขาในเวลานี้กำลังทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้ประจักแก่สายตาอยู่
      จอมเวทย์อัญเชิญที่ยังอายุน้อยผู้นี้ มีอำนาจและจิตที่แข็งแกร่งมากพอจะอัญเชิญและควบคุม
      แคธที่ฉลาดเแลียวและร้ายกาจได้พร้อมกนยอย่างไม่มีทีท่าลำบากอันใด

      อังกุสกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง จ้องดูการแข่งที่ยืดยาวออกไป
      คำตอบสำหรับข้อเสนอที่เทศบาลกีรันเสนอมาให้นั้น บัดนี้กระจ่างชัดอยู่ในใจตนเองแล้ว

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×