ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    `❀cept-eqube design; (open;)

    ลำดับตอนที่ #5 : มันก็ไม่มีอะไรอีกละ

    • อัปเดตล่าสุด 28 มี.ค. 54


    บทที่ 3

    เกมส์ล่า...สังหาร (3)

     

     

              ฉันไม่มีอารมณ์จะมาเล่นไล่จับกับหนูอย่างแกหรอกนะ

              เมอร์เมลินถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนเปลือกตาบางจะปิดลง แพขนตาหนาตัดกับผิวขาวซีดจนแทบเห็นเส้นเลือดของแก้มนวล แต่กระนั้น มันกลับไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้เจ้าหล่อนกลายเป็นอื่น นอกเสียจากปิศาจสาวในคราบมนุษย์

                ฉับไม่ชอบเล่นเกมส์ปัญญาอ่อน พูดจบ ก็ยกปืนคู่กายขึ้น แล้วดวงตาคู่คมกริบ ก็ค่อยๆ ลืมขึ้นเชื่องช้า

                ประกายบางอย่างฉายวาบ มันเป็นแววแห่งความกระหาย

                เบิร์น...

                เปลวเพลิงอันร้อนระอุ ปรากฏขึ้น คล้ายกำแพงที่ตั้งตระหง่าน สูงขึ้นไปจนไอร้อนเกือบบดบังท้องฟ้ายามราตรี มันปิดทั้งทางหนีและโอกาสรอดของคู่ต่อสู้ เพียงวจีเดียวจากนักแม่นปืน ที่ดูจะมีของเล่นอันร้ายกาจ ทำให้ครอมเวลหนาวสะท้าน แม้รอบด้านจะร้อนจนแทบมอดไหม้

                น่ารังเกียจเป็นบ้า มือปืนที่ใช้เวทย์มนต์.... ผู้สูงวัยกว่า เอ่ยวาจาถากถาง ที่คนฟังได้แต่ยกยิ้มเหี้ยมรับ

                แล้วเคยเห็นบ้านไหน เขาไล่เอาลูกหินดีดหนูกันเล่า พูดจบ ร่างบางก็เริ่มบรรจุกระสุนลงไปในอาวุธของตนอย่างไม่รีบร้อน ถ้าใช้กาวดักยังว่าไปอย่าง

                แกจะบอกว่า เจ้ากำแพงไฟนี่ ไว้ขังฉันงั้นสิ

                เมอร์เมลินแสยะยิ้มอีกครั้ง ทำให้คนถามรู้สึกเย็นวาบที่หลัง

                ไฟพวกนี้มันต้องไม่ปกติ...

                ร้อนจนแทบจะเผาเขาให้เป็นจุล ทว่าปลายเส้นขนกลับยังรู้สึกเย็นเยียบ หรืออาจเป็นเพราะสายตาน่ากลัว ที่ไม่ควรมีจริงอยู่บนโลกนั่น

                หากไม่ใช่กำแพงไฟพวกนี้ หญิงสาวเจ้าของมันนั่นแหละก็ต้องผิดปกติ

                หึ...ฉันยังไม่ได้พูดสักคำ แกอย่าสำคัญตัวผิดไปสิ

                หญิงสาวเพียงยักไหล่สบายๆ แล้วกระสุนสีขาวที่บ่งบอกชัดถึงที่มา ว่าต้องอัดพลังเวทย์ที่หนาแน่นมากอะไรสักอย่าง เข้าไปในกระปอกปืนอย่างเต็มเปี่ยม ก็ถูกปล่อยออกมา

                ท่าทางเนิบนาบ...

                ครอมเวลขยับหลบการโจมตีได้อย่างฉิวเฉียด แล้วหยดน้ำสีแดงข้น ก็ไหลซึมออกมาจากรอยบาดที่ผิวแก้ม

                เพียงชั่วพริบตา ลูกไฟสีขาวก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เร็วเสียยิ่งกว่าการโจมตีด้วยปืนที่เขาเคยเจอมาทุกครั้ง ส่วนอนุภาพทำลายล้างก็มากกว่าชนิดที่ว่าเทียบไม่ติด

                นายเป็นแค่หนูตัวจิ๊บจ้อย จะให้สร้างกรงมโหฬารขนาดนี้ เสียงของเจ้าหล่อนหยุดลง พร้อมกับร่างโปร่งที่หายวับไปกับตา ไม่คิดว่ามันจะเปลืองเกินไปหน่อยหรือไง

                เคร้ง!

                ครอมเวลหันตัวกลับมาด้วยความรวดเร็ว ตามสัญชาตญาณที่เคยถูกฝึกมาอย่างดี ใช้ดาบในมือโจมตีสวน ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ที่นักดาบเกือบสิ้นลายในศึกระยะกลาง ทั้งที่คนตรงหน้าเป็นเพียงมือปืนที่มีของเล่นเป็นพลังเวทย์เพียงเล็กน้อย

                เอาปืนมารับคมดาบ ฉันล่ะเชื่อแกเลย

                คนถูกประชดกลายๆ ขยับยิ้ม ก่อน จะใช้ปืนในมือซ้ายที่มีรับคมดาบไว้ กระแทกขึ้นไปด้านบนอย่างแรง

                ประจุสีขาวถูกรวมขึ้นอีกครั้งที่ปากกระบอก มันเปล่งแสงวิบวับเหมือนทักทาย จนคนมองต้องลอบกลืนน้ำลายในลำคอ ในยามนี้ที่เจ้าของอาวุธยังคงติดพัวพันตัวเอาหนึบ กัดไม่ปล่อย

                แต่กระนั้นรอยยิ้มกลับปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกบนในหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนั่น

                ถึงแม้หากโดนเข้าไปในระยะประชิดเช่นนี้ อวัยวะภายในของเขาคงจะถูกปั่นรวมกันจนเละเทะไปหมด แต่...

                จะง่ายไปหรือเปล่า

                คิดว่าฉันจะโง่รอให้แก รวมประจุนั่นได้หรือไง ครอมเวลหันคมดาบเข้าหา ร่างโปร่งตรงหน้า แล้วตวัดเป็นเพลงดาบที่คุ้นเคย

                แล้วแกคิดว่า ฉันจะโง่ประจุบ้าอะไรนั่นจริงๆหรือไง

                เมอร์เมลิน เพียงเอี้ยวตัวหลบ ใช้มือข้างหนึ่งกันคมดาบที่อยู่ห่างจากใบหน้าเพียงไม่กี่เซนติเมตรไว้อย่างบ้าบิ่น

                มันสมองของแกหายไปไหนหมด ท่านเสธ.ฯ

                สิ้นคำปรามาส ใบหน้าดานหนึ่งก็ชาไปเป็นแถบ เมื่อด้ามของปืนอีกข้างซัดเข้าใส่อย่างแรง จนต้องหันไปอีกข้างอย่างช่วยไม่ได้

                ตอดนิด ตอดหน่อย ยังอุตส่าห์จะหาช่องอีกนะ...เมอร์เมลิน ดวงตาที่เริ่มฟ่าฟางปิดลงหนึ่งข้าง เพราะหยดเลือดข้นๆ ค่อยไหลรินลงมาจากที่ขมับ

                ใครว่าเลือดเข้าตาแล้วจะสู้ได้ระห่ำขึ้น

                มันทำให้ลืมตาแทบไม่ได้ต่างหาก...

                ครอมเวลแค่นหัวเราะ แล้วใช้ดวงตาข้างที่เหลืออยู่มองไปรอบๆ แล้วนั่นมันอะไรกัน ดูเหมือนว่ากำแพงนั่น แกก็จะไม่ได้ใช้อะไรเลยนะ

                ช่วยไม่ได้....ก็ตอนแรกฉันนึกว่าแกจะเก่งกว่านี้นะสิ ถ้อยคำแสนสั้น แต่ราวกับถูกตบหน้าซ้ำสอง

                คิดว่าต้องใช้...สุดท้ายไม่แม้จะใช้

                และเมื่อไม่ใช่ ก็ยังถึงกับไม่ปลดมันทิ้ง ปล่อยทิ้งไว้ให้มันกัดกินพลังเวทย์ตนไปเรื่อยเปื่อย ราวกับจะบอกว่า มันไม่จำเป็น

                แล้วแกจะเสียใจ เมอร์เมลิน รันเชล...

                แสงจันทร์ส่องลองมาสู่พื้นดินอีกครา เมื่อเมฆก้อนใหญ่ที่บดบังท้องฟ้าถูกสายลมเย็นจัดพัดพาไป บนสองฟากฝั่งของตรอกแคบนั้น ร่างเงาสองร่างเคลื่อนตัวเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง

    เสียงกระแทกของอาวุธดังไม่หยุดหย่อน เร็วขึ้น...เร็วขึ้น จนเกินกว่าสายตาจะตามทัน

                นักดาบไม่ปล่อยให้คนตรงหน้าได้โอกาสแม้เพียงรวบรวมพลังสักนิด แล้วดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่สะทกสะท้านเช่นกัน

                รอยยิ้มที่ประดับบนเรียวปากสีแดงสดคลี่ออกอย่างแช่มช้า ดวงตาคมกริบแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือด เมื่อเกมส์แห่งความตายอันน่าสนุกตรงหน้ากำลังจะเริ่ม

                และกำลังจะเลิก เช่นกัน

                ราวหัตถ์มัจจุราชฉุดกระชาก แรงมหาศาลดันร่างสูงให้ต้องไถลครูดลงกับพื้นก่อน โลหะสีเงินวาววับที่เป็นดาบคู่กาย จะปักลงบนกลางลำตัวอย่างแม่นยำ

                อั่ก

                กลิ่นคาวคลั่กเหม็นสะอิดสะเอียนขึ้นจมูก มือหนาค่อยยกขึ้นทั้งที่ยังสั่น มันถูกอาบชุ่มไปด้วยเลือด ในขณะที่น้ำอุ่นๆ ก็เริ่มไหลรินออกมาจากปากแผล

                ครอมเวลกัดฟัน พยายามดึงดาบที่ปักอยุ่ออก แม้รู้ดีว่าแทงถูกจุดสำคัญและตนก็แทบไม่เหลือแรงจะลืมตาให้ขึ้นเสียด้วยซ้ำ

                หวังว่านายคงไม่ดันทุรังขนาดนั้น ร่างโปร่ง แต่น่าเกรงขาม เดินเข้ามาใกล้ เจ้าหล่อน เก็บอาวุธแล้ว และเตรียมจัดเสื้อผ้าท่าทางให้เข้าที่

                ไม่สนใจเขาที่ยังมีอาวุธอยู่กับตัว

                ชายวัยกลางคนเหลือบตามองสภาพร่างกาย ฝืนยกยิ้มที่ไม่เข้ากับสถานการณ์

                ก็อยู่กับตัวจริงๆนั่นแหละ….

                ดูถูกกันจนวินาทีสุดท้ายเลยนะ แก

                ประโยคเยาะเย้ยชะตาชีวิตตัวเองกลายๆ ทำให้เมอร์เมลินแสยะยิ้ม หยิบมวนบุหรี่จากซองในกระเป๋าเสื้อขึ้น เจ้าหล่อนปรายตามองกำแพงเพลิงของตนที่ยังไม่หายไปไหน ก่อนจะยื่นปลายเข้าไปใกล้

                ได้ใช้แล้วสิ... คนใกล้ตาย พูดเสียงแผ่วไม่เจียมตัวเลยสักนิด หรือ แม้แต่จะหัดสงบปากสงบคำ เป็น ว่าที่ ศพที่สงบเสงี่ยมสักหน่อย

                อือหึ ได้ใช้แล้ว เมอร์เมลิน เงยหน้ามองควันสีเทาหม่นลอยขึ้นฟ้า แล้วหันมาถามอย่างไม่รีบร้อน สักหน่อยไหม....มวนสุดท้ายก่อนม่อง

                ครอมเวลเงยหน้ามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วพูดเสียงแผ่ว ไม่ล่ะ ฉันอยากจะจากไปแบบสุขภาพดี

                ราวกับต้องการจะกลั่นแกล้ง เมื่อจบประโยค ใบหน้าสวยเฉียบก็โน้มตัวลงมา ก่อนจะพ่นควันกลิ่นเหม็นใส่เต็มหน้า ครอมเวลย่นจมูกขึ้น ตวัดสายตาดุๆให้หญิงสาวรุ่นราวคราวลูก

                รู้ไหมว่าสูบแต่ของนอก มันทำให้ผู้ผลิตของเราอดตาย

                ช่วยไม่ได้ ฉันชอบยี่ห้อนี้...มันเหมือนจะนุ่มกว่า

                ครอมเวลหัวเราะเล็กน้อย มองร่างโปร่งด้วยสายตาขบขัน หากเจอกันในสถานการณ์อื่นแล้วล่ะก็ หญิงสาวตรงหน้าก็คงไม่ต่างจากเด็กสาว ที่เขาต้องจับมาเข้าคอร์สดัดนิสัยเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทัศนคติแย่ๆ กับท่าทางกร่างที่ควรจะโดนตีก้นสักที

                แกน่ะ จริงๆ ก็ยังอายุน้อย ความสามารถก็มี ทางเลือกดีกว่านี้มีเป็นสิบเป็นร้อย แกไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเข้าสู่เส้นทางตายขนาดนั้นก็ได้นะ ประโยคที่เหมือนจะสงสาร เรียกสายตา ของเมอร์เมลินให้ตวัดฉับ ก่อนแววตาของเจ้าหล่อนจะฉายแววประหลาด

                จะบอกอะไรให้นะ โลกมันโหดร้ายนะ ถีบหัวกันไปเรื่อย เหยียบย่ำกันเข้าไป ยิ่งอยู่ในโลกมืดแบบนี้ ฐานพีระมิดยิ่งโดนกดทับ ถ้าแกไม่มั่นใจว่าจะอยู่บนยอดให้รอดได้ตลอดชีวิต ก็ไปเสียเถอะ

                ก่อนจะเป็นแบบเขา...

                ครอมเวลกลืนก้อนแข็งลงคอ ขณะมองเสี้ยวหน้าเย็นชาราวรูปสลัก ของเมอร์เมลิน ที่ต้อนนี้เบือนหนีไปพ่นควันทางอื่น

                งั้น ฉันก็จะบอกอะไรแกกลับเหมือนกันว่ะ... โลกมันก็แบบนี้แหละเจ้าโง่! วันนี้ฉันก็แค่แข็งแกร่งกว่า เลยมีตั๋วผ่านเข้าไปใช้ชีวิตในวันรุ่งขึ้น แค่นั้น ง่ายจะตาย

                สาวเจ้าหันกลับมายักไหล่ให้ ส่วนคนฟังได้แต่นิ่ง

                ฉันก็แค่เตือนแก ในฐานะคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน….”

                แล้วน้ำนั่นมันก็ลวก แกซะเนื้อเปิดไปหมด

                เมอร์เมลินต่ออย่างยอกย้อน  ด้วยตัวเธอไม่ใช่ตุ๊กตาตัวน้อยหรือใช้ชีวิตอยู่ในถังสีขาวสะอาด ในตอนนี้จึงถูกย้อมด้วยสีต่างๆจนมั่ว

                สุดท้ายก็กลายเป็นสีดำ...

                เหอะ...เป็นปรัชญาชีวิตที่โหดร้ายจริงนะ

                เออ ไหนว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนไงตาแก่ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่แค่ประสบการณ์ว่ะ เพราะบางที ชีวิตมันก็โหดร้ายยิ่งกว่าปรัชญาพวกนั้นอีก

                ยัยเด็กมีปัญหา...รู้ไหม มันเป็นคำที่คนแถวบ้านฉันใช้เรียกเด็กแบบเธอ

                เมอร์เมลิน ส่งเสียงขึ้นจมูก บรรยากาศกดดันในตอนแรกค่อยๆสลายไป เมื่อถึงตอนนี้ที่ครอมเวล เริ่มระบายยิ้มออกมา

                ความเคียดแค้น ความโกรธเคือง ความสิ้นหวัง...

                ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่เต็มอกค่อยถูกปลดปล่อยทีละน้อย หลงเหลือเพียงความเข้าใจ

                หนึ่งคือบุรุษผู้ยอมเสียสละชีวิตเพื่อพวกพ้อง….

                หนึ่งคือสตรีที่จะล้มไม่ได้เพื่อคนข้างหลัง….

                คำพูดแก ทำให้ฉันไม่สบอารมณ์ว่ะ ตาเฒ่าจอมแหย

                ร่างโปร่งปรายตามอง พร้อมรอยยิ้มแสยะ ก่อนจะทิ้งมวนบุหรี่ลงบนพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ จนแสงสีส้มเล็กๆดับไป

                เข้าใจนะ ว่าฉันไม่มีเวลาทั้งคืน พูดพลาง หยิบปืนกระบอกเดิมขึ้น หยิบแม็กกาซีนออกมาจากช่องด้านในเสื้อสูท แล้วใส่ลงไปเนิบนาบ

                เออ

                ปัง!

                ลิ่มเลือดสดๆ ไหลตามริมฝีปาก แม้ไม่ต้องตัดเข้าที่ขั้วหัวใจ ที่ถึงแม้เมอร์เมลินจะไม่มีทางเล็งพลาดกับเป้านิ่งในระยะเท่านี้ แค่เพียงซ้ำลงที่บาดแผลบริเวณท้อง...สติสัมปชัญยะของครอมเวลก็เหมือนจะหลุดลอย

                หืม...? ไม่ร้องสักแอะแหะ

                แฮก ข...ขอโท...ษ ท...ที คิด คิด...อะไ...ร อยู่ นิ...ด ห...หน่อ...อย

                คนถูกถามปรือตาขึ้นแม้จะยากลำบาก แล้วตอบเป็นประโยคตะกุกตะกัก ฟังไม่ได้ศัพท์นัก

                คำสั่งเสียก่อนตายหรือไง

                คำประชดเชิงเย้ยหยัน ถูกตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มแสดงถึงความไม่ถือสา  ดวงตาฟ่าฟางปิดลง แสดงให้เห็นถึงริ้วรอยทั่วไปหน้า บ่งบอกถึงวัยที่ล่วงเลย และการตรากตรำงานหนัก

                ป๊ะป๊าคะ ไปดีมาดีนะคะ

                เสียงเล็กๆ ดังขึ้นในหัว ใบหน้าอวบอูมของเด็กสาวผุดขึ้นท่ามกลางฉากสีดำสนิท

                ระวังตัวด้วยนะคะคุณ

                ตามมาด้วยหญิงวัยกลางคนในชุดผ้ากันเปื้อน บนดวงหน้ามีรอบกังวลฉายชัด ที่ตอนนั้นเขาได้ให้สัญญา ซึ่งบัดนี้ไม่อาจรักษาได้

                ผมจะเป็นกำลังให้ท่านครับ

              และกลุ่มชายชุดดำที่ก้มหัวขอร้องเขานักหนา ว่าอยากจะร่วมสู้ ถึงขนาดยอมคุกเข่ากลางสายฝนเหมือนหนังน้ำเน่าอยู่ถึงสามวัน แม้เขาจะเตือนแล้วก็ตาม

                ฉันก็แค่คิด...ว่าถ้าเป็นแกล่ะก็...อาจจะทำได้...ถ้าเป็นแก ก็อาจจะช่วยพาพวกเขาไปยังโลกใหม่นั่นได้ ชายวัยกลางคนกลั้นลมหายใจก่อนจะพยายามพูดประโยคสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย

                ขอร้องล่ะ ช่วยดูแลพวกพ้องที่เหลือของฉันด้วย ประโยคขอร้องในวาระสุดท้าย แม้ไม่ได้ก้มหัวลง แต่เหมือนเอาศักดิ์ศรีทั้งหมดทิ้งแทบเท้าคนตรงหน้า

                เมอร์เมลินเลิกคิ้วสูง ก่อนจะแสยะยิ้มเยือกเย็น เอ่ยตอบไปโดยไม่ได้คิดกระทั่งเสี้ยววินาทีเดียว

                ไม่ได้ว่ะ...แกคิดว่าฉันเป็นบ้านเมตตาหรือไงกัน กับอีแค่พวกปลวกที่คอยเกาะหลังฉันอยู่ ก็แทบจะเอาไม่รอดแล้วว่ะ

              ฮะ ฮะ จริงด้วยสินะ ฉันนี่มันงี่เง่าจริง ที่คิดจะเปลี่ยนมัจจุราชให้กลายเป็นฑูตสวรรค์

                ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ ก่อนฝ่ายร้องขอจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ไม่สนใจว่าบาดแผลหรืออวัยวะภายในจะบอบช้ำมากเท่าไร มือที่เริ่มหนักอึ้ง ยกขึ้นเสยผมที่ปรกหน้าปรกตาออก

                รู้ก็ดี

                ร่างโปร่งเหนี่ยวไกอีกครั้ง คราวนี้หวังเล็งที่จุดตาย เพื่อปลิดชีพศัตรูที่เธอมอบเกียรติให้ในระดับหนึ่ง

                ลาก่อน ครอมเวล ดัลเต้ ชาติหน้าฉันคงได้ไล่ฆ่าแกอีก

                บัดซบ ยัยเด็กนิสัยเสีย!”

                เปลือกตาหนาปิดลงอีกครั้ง ขณะประสาทหูที่ถูกฝึกมาอย่างดี ยังได้ยินเสียงประจุพลังของอาวุธปืนเบื้องหน้า

                สายลมหนาวพัดผ่านใบหน้า หอบเอากลิ่นคาวเลือดที่คุ้นชิน ให้อบอวล เสียงหัวใจเต้นเนิบนาบ ในขณะที่ฝ่ามือยังอุ่นจัด

                เฮ้อ...เจอใครไม่เจอ ดันเจอเธอเป็นคนสุดท้ายก่อนตาย พับผ่าสิ

                เมอร์เมลิน หัวเราะเสียงเย็นกับคำประชดบาดหู มือเรียวกดชิ้นส่วนลงโลหะลงเชื่องช้า

                ปัง!

                พรึ่บ!

                ไม่เจ็บ...

                ครอมเวลเบิกตากว้าง เงยหน้าขึ้นมองเหตุการณ์รอบกายเลิ่กลั่ก เมื่อฉากที่คิดว่าจะเป็นจุดจบของชีวิต กลับไม่เป็นดังคาด ความเจ็บปวดที่แปลบขึ้นมาเป็นระยะบริเวณบาดแผลกลายเป็นหลักฐานพิสูจน์ชั้นยอดถึงลมหายใจที่ยังคงอยู่

                ยังไม่ตาย...

                คำตอบแรกแว่บเข้ามาให้หัวสมองขาวโพลน ก่อนชายวัยกลางคนที่มักจะถนัดในการคุมเกมส์ อยู่เสมอ จะค้นหาคำตอบของคำถามต่อไป

                ทำไมล่ะ...?

                ดวงตาฟ่าฟางมองจ้องไปเบื้องหน้า ที่ช่วยให้เรื่องราวถูกปะติปะต่อ ภาพที่เห็น คือแผ่นหลังบอบบาง และเรือนผมสีทองเป็นลอนเหมือนตุ๊กตา

                เด็กสาวอายุราว 17 ปี เสี้ยวหน้าที่เห็นจากด้านข้าง ดูนุ่มละมุนภายใต้แสงจัทนร์ พวงแก้มยุ้ยแดงระเรื่อเมื่อต้องลมหนาว รับกับดวงตากลมโตสีทอง กับเรือนผมสีเดียวกันที่ทิ้งตัว อย่างเหมาะเจาะ ตัดกับสูทครึ่งตัวสีเข้ม ที่ใส่ทับชุดกระโปรงฟูฟ่อง

                หืม....? เมอร์เมลินพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนถามต่อเสี้ยงห้วน นี่มันเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย

                ปากกระบอกบืนเปลี่ยนทิศทาง หยุดอยู่ตรงกับดวงหน้าหวาน ห่างจากสันจมูกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น

                ถ้าไม่มีคำตัวดีๆล่ะก็...เธอพรุนแน่ยัยปลวก

                ฟังดูเหมือนคำขู่ มากกว่าคำถาม

                วีเซนเต้ลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อกใหญ่ ก่อนจะมองหน้าของ บอสด้วยสายตาที่คิดว่าแน่วแน่ที่สุดในชีวิต สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ

                บ...บอสคะ เก็บปืนไปก่อนเถอะค่ะ

                วีเซนเต้เอ่ยเสียงนิ่ง ทั้งที่ในใจกลัวจนขาสั่น ใช่ว่าเธอจะชินชากับดวงตาคมกริบ เชือดเฉือนนั่นเสียเมื่อไหร่ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นลูกน้องคนสนิท แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าคนตรงหน้าจะเชือดทิ้งเอาได้ง่ายๆ ไม่ต่างจากเศษสวะข้างถนนนัก

                หึ

                มีเพียงเสียงหัวเราะเหยียด กับระยะห่างระหว่างปลายกระบอกปืนกับใบหน้าของเธอที่สั้นลง อีกเกือบเท่าตัว แสดงถึงเจตนารมย์อันแน่ชัดของผู้สูงศักดิ์กว่า เธอแทบจะกรีดร้องออกมาให้ดังๆ แค่เมื่อกี้ก็สามารถเจาะกะโหลกเธอให้เป็นรูกลวงได้แล้ว นี่ขยับเข้ามา...

                ถึงตอนนั้นหัวเธอคงไม่กระจุยมากไปกว่าเดิมหรอก

                ง่า...งั้นแค่ เอาปืนออกไปให้พ้นหน้าเค้าก็พอ...

                ว่าจบ มือบางก็ยกขึ้น แล้วใช้ปลายนิ้วเลื่อนรัศมีทำการยิงออกจากใบหน้าของตน เป็นที่ กำแพงอิฐด้านข้าง พลางลอบถอนหายใจ

                อย่างนี้ ค่อยดีกว่านะคะ

                เอ่ยด้วยเสียงที่ติดจะสั่น แม้จะใจชื้นขึ้นมาบ้าง ทว่าแววเย็นเยียบในดวงตาของเจ้านาย ทำเอาดีใจไม่ออก

                ความเงียบโรยตัวเชื่องช้า เมื่อครอมเวลที่อาการปางตายเลือกที่จะปิดปากตัวเองให้สนิท เพื่อฉกฉวยจังหวะเหมาะสมสำหรับหนี ถึงเตรียมใจตายเอาไว้แล้ว แต่หากมีโอกาสให้ลองไขว่คว้า ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทิ้งมัน ส่วนวีเซนเต้ก็ยืนนิ่งเหมือนถูกจับแช่อยู่ในช่องน้ำแข็ง ตาจ้องไปที่มือแกร่งของเมอร์เมลินไม่กะพริบ

                เกิดแม่เจ้าประคุณนึกครึ้มใจเหนี่ยวไก อย่างน้อยเธอคงหลบพ้น

                ฉันกำลังนับถอยหลังเวลาตายของเธออยู่    เมอร์เมลินเปรยเสียงเย็น ตัดความเงียบงัน

                ร่างที่โดนแรงกดดันของสตรีผู้เป็นดั่งมัจจุราชเข้าไปเต็มที่ทั้งสอง ถึงกับสะดุ้ง แตกต่างกันตรงที่ ชายสูงวัยยังสามารถใช้สายตาดุดันปรายมองคนพูดอย่างตำหนิ แต่ร่างบอบบางอีกร่าง ทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลายเป็นพักๆ

                เอ่อ...คะ...ค่ะบอส คือ มีจดหมาย ส่งมาจากท่านเวอร์โก้ค่ะ

                เมื่อได้สติ วีเซนเต้ก็หยิบซองกระดาษเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท เธอมองนิ้วอย่างประหม่า

                บอสน่ากลัวเป็นบ้า!

                ตอนที่อยู่ด้วยกันปกติว่าน่ากลัวแล้ว ยามออกล่าเหยื่อยิ่งน่าหวาดกลัวมากกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ขนาดเธอที่เจอมาจนชินยังอดไม่ได้ที่จะสติหลุด

                ดวงตากลมโตตวัดฉับมองร่างที่นอนกองอยู่บนพื้น

                ตาแก่นี่คงเก่งมาก...

                ทนกับจิตสังหารที่ไม่คิดจะปกปิดของบอสได้ ทั้งที่ร่างกายโบ๋เป็นรู คนที่ต้านทานมันได้ นั้น น่าทึ่งพอๆ กับคนที่สร้างมันขึ้นมาเชียวล่ะ

                คิดแล้วน้ำตาก็พาลจะไหล

                ทำไมรอบตัวเธอ ถึงมีแต่พวกสัตว์ประหลาดที่ไม่ควรจะมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ได้นะ! และยังน่าเจ็บใจตรงที่ เธอซึ่งอยู่ท่ามกลางคนพวกนั้น กลับแพ้แม้กระทั่งนกฮูกงี่เง่าหนึ่งตัว...

                ไม่สิ นกฮูกตัวนั้นอาจจะไม่ใช่นกฮูกธรรมดา

                เมื่อเจ้าของของมันคือ เวอร์โก้ คนนั้น ผู้ถ่ายทอดความไม่น่าคบส่งผ่านมาถึงสัตว์เลี้ยงของตนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

                วีเซนเต้อดที่จะทำคอตกไม่ได้ ระหว่างที่เมอร์เมลินกำลังอ่านเนื้อความในจดหมายช้าๆ โดยที่...

                ไม่มีใครสนใจใยดีครอมเวลแม้แต่น้อย

                คลับคล้ายคลับคลาว่าจะน่าสมเพชมากกว่าน่าปลื้มใจแทน

                ช่างเป็นจดหมายที่ส่งมาไม่ดูตาม้าตาเรือเลยนะ      เมอร์เมลินเอ่ย สีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย

                ฉะ...ฉันไม่เกี่ยวนะคะ แค่นำจดหมายมาให้บอสก็เท่านั้น วีเซนเต้รีบออกตัว

                รู้แล้วน่า

                สตรีสูงศักดิ์ตัดบทอย่างรำคาญใจ เมื่อลูกน้องของตน กำลังจะเตรียมตัวโชว์ห่วยแบบไม่เข้าท่า ก่อนจะเหลือบมองร่างที่กองอยู่กับพื้นเล็กน้อย แล้วมือเรียวแกร่งจึงหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาจากด้านในเสื้อสูท

                จะไม่ไปงานศพแกหรอกนะ แต่นี่ฉันให้แทนเงินใส่ซอง

                ซองบุหรี่สีขาวยี่ห้อนอก ที่เจ้าหล่อนว่ารสนุ่ม แต่คนรับกลับประมาณว่าทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ถูกโยนลงบนพื้น พร้อมกับปืนที่ทำจากวัสดุอย่างดีกระบอกหนึ่ง ตรงบริเวณด้ามมีรอยขีดข่วนประปราย แต่ถึงกระนั้นหากนำไปปล่อยขายในตลาดมืดก็ทำเงินได้ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่ออดีตเจ้าของเป็นถึง เมอร์เมลิน รันเชล

                ถ้ามีปัญญาจะหยิบน่ะนะ ประโยคสุดท้ายเหมือนจะถากถาง แล้วหันไปสั่งลูกน้อง

                 วีเซนเต้...กลับ!!!”

                อ๊ะ...คะบอส!” ร่างบางรับคำเสียงดัง แล้วหันมองตามสายตาของผู้เป็นนาย แล้วหมอนี่ล่ะคะ

                ดวงตาสีน้ำเงินเพียงปรายมองเล็กน้อยเป็นครั้งสุดท้าย ร่างโปร่งถอยสูทเนื้อดีออก พาดไว้บนบ่า

                ตามใจเธอสิ

     

    ++++++++++++++++++++++++++

               

                ครอมเวลกระแทกหัวของตนเข้ากับกำแพงเบาๆ เสียงหัวเราะปนสมเพชทำให้วีเซนเต้ต้องละสายตา จากแผ่นหลังที่กำลังจะหายลับไปตรงมุมตึกของเจ้านาย

                นี่ค่ะ

                ร่างบางย่อตัวลง พลางยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนสวยให้ชายวัยกลางคนที่ทั้งร่างกาย และสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

                ถึงคุณจะยังไม่ตาย แต่อาการหนักมาก ควรไปโรงพยาบาลสักหน่อยจะดีกว่านะคะ

                ร่างตรงหน้าไม่ตอบ และยังนอนเฉย ดวงตาก็เลื่อนลอยออกไปแสนไกล วีเซนเต้ได้แต่ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ก่อนจะย่อกายลงให้อยู่ในระดับเดียวกัน แล้วลงมือซับเลือดบริเวณปากแผลกลางลำตัวของครอมเวล

                บอสนะคะ ถึงจะดูโหดเหี้ยมไร้ความปราณี แต่ขอเพียงยอมมาเป็นลูกน้องโดยดี หากไม่เข้าขั้นวิกฤตจริงๆ ก็จะไม่ถูกฆ่าตายง่ายๆหรอกค่ะ มือเรียวออกแรงกดเล็กน้อยเพื่อห้ามเลือด

                บางครั้งอาจจะโดนใช้งานอย่างใจร้ายไปบ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แล้วแม้กระทั่งตอนนี้คุณที่น่าจะมีฝีมืออยู่บ้าง จะขอไปก้มหัวให้บอสก็ยังไม่สาย

                ไม่มีทั้งเสียงตอบรับหรือปฏิเสธ...

                วีเซนเต้เงยหน้ามองร่างเบื้องหน้า ดวงตาของครอมเวลจ้องมองไปยังทางออกของตรอกอย่างลื่นลอย

                แสงสีเหลืองอบอุ่นค่อยๆ ส่องไล้ขึ้นมาจากสุดปลายฟ้า บริเวณรอบด้านสว่างขึ้นมากเพียงแต่เธอไม่ทันได้สังเกตุ เสียงอึกทึกก็เริ่มทยอยดังขึ้นจากย่านชุมชนที่เงียบสนิทจนเหมือนว่างเปล่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว

                เช้าแล้วนะคะ เสียงหวานเอ่ยนุ่มนวล อย่างไม่คิดอะไรมาก ขณะปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ เรียกให้ดวงหน้าอิดโรยหันมาสบตาด้วย

                คนสูงวัยกว่าเป็นฝ่ายระบายลมหายใจยาว ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ไม่หรอกนังหนู...กลางคืนยังไม่จากไปหรอก

                วีเซนเต้ขมวดคิ้ว หมายความว่าอะไรคะ

                สำหรับพวกฉันน่ะ...มันไม่เคยจะเช้า ครอมเวลเอ่ยเชื่องช้า พอเลือดหยุดไหล สติและอะไรอะไรที่เคยหลุดลอยไปก็พากันกลับเข้าร่างอีกครั้ง ชีวิตที่โดนกดอยู่ข้างใต้น่ะ ถึงจะรอจนแทบตาย ก็ไม่มีทางมองเห็นแสงของวันพรุ่งนี้หรอก...ถึงจะคอยตะเกียกตะกาย แต่สุดท้ายที่ทำได้ก็แค่ ถีบหัวส่งคนอื่นให้เป็นบันไดปีนป่ายขึ้นไปได้ก็เท่านั้น มันไม่เคยเช้า...ท่ามกลางตอนกลางคืนที่มืดมิดนั้นน่ะ เห็นจะมีแต่เลือดสีแดงข้นแบบนี้ที่คอยส่องทางให้เรา

                คนที่แก่กว่า ยิ้มให้ด้วยความขอบคุณ ลูกน้องของยมฑูตตนนั้น ดูเหมือนจะใสซื่อมากกว่าที่เขาคิดไว้

                ฉันทำทั้งหมดนี่ ทั้งๆ ที่รู้ทุกอย่างอยู่แล้วนะ...ถึงจะย้อนเวลากลับไปได้ ฉันก็ยังจะทำแบบนี้

                วีเซนเต้จ้องชายตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่มือกลับยังช่วยเหลือเท่าที่ทำได้

                เธอน่ะ มันเป็นคนโง่โดยกำเนิด...

                แต่ละวัน นับตั้งแต่เข้าวงการมาเฟียมา ได้ยินก็ได้คนพ่นเรื่องพวกนี้ให้ฟังจนแทบจะเอียนตาย ศักดิ์ศรีเอย ความหวังเอย โหดร้ายเอย...

                บ่อยครั้งที่ไม่เข้าใจ ชีวิตของเธอถึงแม้จะต้องลงมือฆ่าคนรายวันตามคำสั่งบอส โดนใช้งานเป็นกิจวัตร แต่เธอก็ยังกินอิ่มนอนหลับ คนส่วนใหญ่ในวงการนี้ไม่มีหรอกที่จะอดยาก เงินโสโครกมันหาง่ายนัก...

                ถ้าใช้ชีวิตในวันหนึ่งได้อย่างสุขสบาย ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ จะเอาอะไรมากมาย

                เอ๊ะ...นี่เธอชักจะเริ่มไม่แคร์คนอื่นงั้นเหรอ...?

                คิ้วเรียวขมวดมุ่น

                เธอคงจะอยู่กับคนพวกนั้นมากเกินไป

                วีเซนเต้สรุป ก่อนจะสำนึกได้ว่า ควรจะหันกลับมาสนใจในสภาพปัจจุบันเสียที

                เนื่องจากรู้สึกถึงแรงขัดขืนจากร่างที่นอนนิ่งเป็นครั้งแรก

                อ๊ะ...คุณ ลุกขึ้นมาทั้งๆที่...

                ขอบใจมากนะนังหนู

                ครอมเวลเอ่ยจากใจจริง ตัดคำพูดของวีเซนเต้ เขานิ่วหน้าเล็กน้อย แล้วกัดฟันทนความเจ็บปวด

                ลูกน้องของเขาน่าจะเริ่มมาถึงกันแล้ว และมันก็ไม่ใช่เรื่องปกติวิสัยที่หัวหน้ากลุ่มมาเฟียอันโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่เคยปกครองดินแดนนี้จะมีเมตตาธรรมขนาดยอมปลอยผู้ที่คิดเป็นปฏิปักษ์กับตนไปทั้งที่ยังมีลมหายใจ

                เกรงว่าโอกาสแบบนี้จะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

                อ้อ แล้วก็นะ ดูท่าว่าเธอคงจะยังไม่คุ้นกับวงการมาเฟีย ครอมเวลหันมาจ้องหน้าวีเซนเต้ ฉันต้องขอบคุณความใจดีของเธอก็จริง แต่ช่วยเหลือศัตรูแบบนี้ไม่ฉลาดเท่าไหร่

                คนโดนด่าว่าโง่ทางอ้อมอ้าปากค้าง แล้วปรายตามองชายฉกรรจ์นับสิบที่โผล่มาจากเงามืดของมุมตึก

                ไม่ใช่ว่าคิดจะเก็บเธอหรอกนะ...

                ท่านครอมเวล!” หนึ่งในนั้นตะโกน ดวงตาทั้งสองที่โผล่พ้นออกมาจากหน้ากากทอแววร้อนรน

                ฉันไม่เป็นไร

                คำพูดที่ดูขัดกับสภาพร่างกายและความเป็นจริงของผู้เป็นนาย ทำให้ร่างสูงทั้งหมด เบนสายตามาที่วีเซนเต้ ก่อนปืนนับสิบกระบอกจะเบนมาทางเธอ

                ซวย!

                เดี๋ยว.... ชายสูงวัยยกมือขึ้นห้าม เรียกสายตาไม่เข้าใจจากเหล่าลูกน้อง   ครั้งนี้ฉันแพ้ แต่ยัยปิศาจยังไว้ชีวิตฉัน

                ลูกน้องคนหนึ่งของครอมเวลเข้ามาพยุงร่างที่เกือบจะทะลุเป็นรู ก่อนจะค่อยๆ ประคองไปยังเงาบริเวณมุมตึก

                ถือว่าฉันติดหนี้บุญคุณเธอนะ แต่ว่า...สักวันความใจดีจะย้อนกลับมาทำร้ายเธอ ปลายเสียงสะดุดนิดหน่อย เมื่อเลือดสีแดงข้นเริ่มทะลักออกจากมุมปาก

                นายท่าน! กลับเถอะขอรับ

                อืมครอมเวลตอบรับแผ่วเบา แล้วหันหน้ามามองสบตากับวีเซนเต้เป็นครั้งสุดท้าย

                จงระวังเด็กน้อย ไม่แน่ สักวันเธอกับเมอร์เมลิน อาจจะต้องฆ่ากันเอง

               

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×