คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ไม่มีอะไรหรอกนะ
บทที่ 2
“เกมส์ล่า...สังหาร (2)”
เสียงหยดน้ำกระทบพื้นดังกังวาล
ท่ามกลางวงกตแห่งรัตติกาล
เมื่อมีเพียงแสงจัทร์นำทางเจ้า
เมื่อนั้น...
จงวิ่งหนีจาก ความหวาดกลัว
“โอ๊ยหนาว”
เสียงบ่นโอดครวญดังขึ้น พร้อมกับที่คนพูดยกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดอก ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม สอดคล้องกับคำบ่น ถึงแม้ไหล่บอบบางนั้นจะเขย่าอย่างแรงเกินความจำเป็นไปนิดก็ตาม
วีเซนเต้ เอลเลนเซีย ทำปากบ่นขมุบขมิบพลางเดินวนไปมารอบน้ำพุหินอ่อนขนาดใหญ่ เท้าก็เตะเศษหินก้อนเล็กไปมาอย่างเบื่อหน่าย
“นี่ เธอน่ะ! ยืนโป๊อยู่ได้ ไม่หนาวหรือไง”
พูด ก่อนจะ เบือนหน้าไปทางรูปปั้นหญิงสาวถือคนโทกลางน้ำพุ ดวงตาสีทองกลมโตจ้องมอง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ทำมาจากปูนพลาสเตอร์นั้นอย่างจดจ่อ ราวกับว่าจะมีเสียงตอบกลับมา
อย่างน้อยถ้ารูปปั้นไร้ประโยชน์นี่พูดคุยได้บ้างสักนิด...
วีเซนเต้ถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย มากพอๆกับจำนวนรอบที่เธอเดินวนไปมา
รอบจัตุรัสแห่งนี้ กวาดสายตามองไปรอบด้านซึ่งว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
แสงไฟสลัวจากเสาไฟข้างทางตัดกับความมืดมิด ปะปนไปกับแสงเหลืองนวลของดวงจันทร์ ส่องกระทบพื้นถนนปูอิฐ ถนนเส้นยาวคู่กับทางเท้าหินอ่อนทอดยาวตั้งแต่หัวมุม ไปจนสุดอีกฟากฝั่ง ตึกอาคารสูงใหญ่นับสิบตั้งเรียงราย แม้ประตูไม้ที่ดูคล้ายกันไปเสียทุกบานนั่นจะปิดสนิท ซ้ำยัง ลงกลอนโลหะให้เห็นกันจะๆ ว่าแน่นหนาเพียงไร
หญิงสาวคอตก ขณะในหัวยังวาดภาพถึง หญิงชราใจดีที่อาจจะโผล่พรวด ออกมาจากบ้านหลังใดหลังหนึ่งเหมือนในนิทาน แล้วชักชวนเธอให้เข้าไปหาอะไรอุ่นๆทานข้างใจ ท่ามกลางสายลมที่หนาวเหน็บ
กับผีน่ะสิ!
ถ้ามีเหตุการณ์เช่นนั้นจริง เธอก็คงไม่โง่พอที่จะตามยัยแม่มดนั่นเข้าไปให้รนหาที่ถูกเชือด หรอก นี่คือเมือง
คนแบบนั้นถึงจะมี ก็น่ากลัวเกินจินตนการ!
“แล้วนี่ ฉันมาทำบ้าอะไรแถวนี้เนี่ย!” หนึ่งใน ‘คนแบบนั้น’ ที่ไม่ค่อยจะสำนึกว่าตนก็ยังออกมายืนหัวโด่ข้างนอก ในยามที่ไม่สมควรจะมีใคร ตะโกนลั่น
สายลมหนาวพัดผ่านดวงหน้านวลอีกระลอก มันทำให้คนที่ยืนมาแล้วอย่างน้อยครึ่งคืนถึงกับแทบทรุด ในขณะที่หางตาเหลือบเห็น ม้านั่งเหล็กฉลุลายงดงามเกินจำเป็น ตั้งล้อมรอบฐานน้ำพุ
“เฮ้! ขอนั่งหน่อยนะ” เอ่ยถาม รูปปั้นของสตรีอันเดิมราวกับคนบ้า ถ้าถึงตอนนี้จะบอกว่าสติของเธอหลุดลอยออกไปในที่แสนไกล แล้วก็คงจะไม่แปลกเลยสักนิด “โห เก้าอี้พวกนี้ตั้งแบบนี้ หมือนจะเป็นองครักษ์คอยปกป้องเธอเลยเนอะ”
หลังจากเออออห่อหมกไปกับตัวเองเสียเสร็จสรรพก็พูดต่อ “เฮ้อ...น่าอิจฉา มีอัศวินเก้าอี้ อย่างกับเจ้าหญิงแน่ะ อ๊ะ! ไม่แน่ เธออาจจะเป็นเจ้าหญิงจริงๆก็ได้นี่เนอะ ฉันนี่โง่จัง”
พูดพลาง หย่อนกายลงอย่างไม่รีบร้อน แล้วทันทีที่ เรียวขาใต้กระโปรงผ้าเนื้อนุ่มสัมผัสกับผิวโลหะเย็นเยียบ ความรู้สึกบางอย่างก็แล่นวาบเข้ามาในร่างกาย
“เฮงซวย!”
สบถก่อน จะกระเด้งตัวขึ้นราวกับติดสปริง โลหะที่ตากลมหนาวเช่นนี้ คงไม่พ้นจะต้องเย็นเจี๊ยบ ชนิดที่ว่าเพียงปลายนิ้วสัมผัสขนทุกเส้นบนร่างกายคงจะลุกชัน
“ใครมันบ้าสร้างม้านั่งเป็นเหล็กฮะ! เปลืองงบ แถมยังไม่ได้เรื่อง” วีเซนเต้ร่ายยาว เมื่อมองไม่เห็นว่าเป็นความผิดพลาดของใครนอกจากตัวเอง แล้วเสมองไปทางรูปปั้นกลางน้ำพุอีกครั้ง “ไม่ต้องให้ปราการป้องกันยัยรูปปั้นนั่นแน่นหนาหรอก! ใช้พลาสติกถูกๆทำก็ได้ ใครที่คิดจะเดินลุยน้ำไปหักคอยัยนั่น มีหวังแข็งตายก่อนแน่ งี่เง่าเอ๊ย!”
แม้ว่าอันที่จริงเก้าอี้เหล่านี้จะไม่ได้มีไว้เพื่อป้องกันรูปปั้นนั่นก็ตาม...
ถ้อยคำต่อว่า สะท้อนเข้าใส่รูปปั้นที่ยังคงนิ่งสนิท และไม่สามารถตอบโต้อะไรได้
สิ้นเสียงสบถก่นด่าของวีเซนเต้ รอบด้านก็กลับมาสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง จะมีก็แต่เพียงเสียงหอบหายใจแรงๆ ของหญิงสาวที่โมโหจนหน้าแดง กับเสียงสายลมพัดผ่านใบไม้บนต้นข้างทาง เป็นทำนองหวีดหวิวชวนขนลุก
แล้วทันใด แสงสีขาวจ้าก็สว่าวาบขึ้น จากด้านหลังของช่วงตึกที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง ที่ทำให้ยากจะจินตานาการถึงเรื่องราวที่กำลังดำเนินไป ณ สถานที่แห่งนั้น
จิตใจที่เคยสงบแทรกด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยของวีเซนเต้ แปรเปลี่ยนเป็นร้อนรนทันที เหงื่อเม็ดโตเริ่มค่อยๆซึมออกทางฝ่ามือ แม้อากาศรอบกายจะเย็นเฉียบ
ก็เพราะคนที่อยู่ทางนั้น ที่ทำให้เธอต้องมานั่งแกร่วรออยู่นานสองนานเช่นนี้...
มือไม้ทั้งสองเริ่มอยู่ไม่สุข ยกขึ้นลงไปมาอย่างไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ตรงไหน ขณะเสียงร้องก็ยังดังเป็นระยะ
แล้วความเย็นเยียบรอบกายก็เพิ่มขึ้น พร้อมกับจิตสังหารหนักหน่วงที่ยังรู้สึกได้แม้จะอยู่ไกลออกมา
“อ๊ากกกกก”
เสียงร้องดังขึ้นอีกครั้ง จนวีเซนเต้ต้องยกมือขึ้นปิดหู เมื่อความสงสารแล่นวาบเข้ากลางใจ จิตใต้สำนึกกับมโนธรรมมันเรียกร้องให้เธอ ก้าวขาออกไป
เธอเป็นคนดีแค่ไหน! เห็นหรือเปล่า
แต่สุดท้าย...ตัวละครที่แม่พระมากเกินไปคงจะอยู่ไม่ยืดยาวจนถึงตอนจบ เธออยากเป็นตัวละครที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็อยากเป็นนางเอกมากกว่า
เธอควรจะอยู่ถึงตอนสุดท้าย!
การที่สอดมือเข้าไปยุ่งย่าม กับ ‘การล่า’ ของ ‘บอส’ จะตัดเทียนแห่งชีวิตของเธอให้ยิ่งสั้นลงไปอีก
“อึ๋ย! ไม่เอาดีกว่า ฉันเองก็ยังไม่อยากตายหรอกนะ”
ร่างบางเดินวนไปมารอบลานน้ำพุเหมือนหนูติดจั่น เหลือบมองเสาไฟ เบือนหน้ามองพื้น พยายามมองไปทางอื่น หรือแม้กระทั่งเงี่ยหูฟังเสียงน้ำพุอย่างตั้งใจที่สุดในชีวิต
“ถ้าเป็นเธอ จะไปช่วยเขาไหม?” วีเซนเต้เงยหน้าขึ้นถามรูปปั้น เธอนั่งห้อยขาอยู่ขอบน้ำพุ พลางใช้นิ้วระน้ำในบ่อเล่นเป็นวงกลม
“นี่ อะไรนะ! อย่ามาหาว่าฉันโง่สิ ใครจะไปสบายเหมือนเธอ วันๆเอาแต่ยืนโป๊”
“อ๊ากกกกกก!”
เสียงกรีดร้องดังติดต่อกันเป็นระยะ และมีแต่จะดังขึ้นเรื่อยๆ ดวงหน้าหวานเริ่มซีดเซียวทีละน้อย ชักเริ่มเบื่อที่ตัวเองเกิดมามีจิตสำนึกมากเกินไป
“โอ๊ย! เสียงนี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย” วีเซนเต้เบ้ปาก พลางคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร ด้วยท่าทางที่ใกล้เคียงคำว่าน่าสมเพช “ไม่เอานะ! ไม่เอา! ไม่เอ๊า!!!”
วีเซนเต้ส่ายหัวไปมา ซบหน้าลงกับเข่า เหมือนเด็กเล็กๆ เรือนผมสีทองทิ้งตัวลงบนต้นขา ดูราวกับเทพธิดา ที่...สติไม่สมประกอบเล็กน้อย
พั่บ พั่บ
“ไม่เอาๆๆๆ เงียบซะที”
เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นไม่ไกลนัก เป็นจังหวะ วีเซนเต้ยังคงตะโกนคำเดิม ขณะที่คิ้วเรียวลอบขมวดมุ่นเล็กน้อย ซุกหน้าลงกับตักของตนให้มากยิ่งขึ้น สองแขนขยับ โอบร่างกายเพราะความหนาวเย็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ขยับเข้าใกล้ รุ่งสาง
พั่บ พั่บ
เหมือนจะคิดไปเอง เมื่อเสียงคล้ายนกตีปีกบินเริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้ จนเหมือนดังอยู่ข้างหู วีเซนเต้เริ่ม เบ้ปากลง แต่ยังคงซุกหน้ากับหัวเข่า
หูฝาด...
“ไม่เอา...ฉันยังไม่อยากตายนะ!”
กี๊ซ
คราวนี้ ไม่ใช่เพียงเสียงตีปีก กลับยังมีเสียงกรีดร้องอย่างไม่พอใจเล็กน้อยดังตามมา วีเซนเต้เบิกตาโพลง ก่อนจะต้องกัดฟันกลั้นเสียงร้องอย่างสุดกำลัง เมื่ออะไรบางอย่าง จิกเข้าที่ปลายผมจนน้ำตาแทบเล็ด
“โอ๊ย! บ้าจริง”
ร่างบางทะลึ่งตัวลุกขึ้น แม้จะทำให้แรงทึ้งเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่า แต่พอเริ่มจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้รางๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตน
นกฮูกสีขาวปลอดทั้งตัว ราวกับหิมะ ขนาดตัวย่อมเยา ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป ที่สำคัญตรงปลายขา ยังผูกกระดาษโน้ตสีซีดแผ่นเล็ก ที่รู้ได้ทันทีว่าผ่านอะไรมามากมาย กับเศษผ้าเช็ดหน้าของเธอ ที่ปักตราสัญลักษณ์อีนคุ้นเคยแห่ง
แคว่ก
เจ้าบุรุษไปรษณีย์จำเป็นส่งเสียงประท้วงขึ้นอีกครั้ง เมื่อผู้รับจดหมายของมันทำท่าละเลย ใช้ทั้งปีกตีใส่ดวงหน้านวล และกรงเล็กอันแหลมคมจิกเข้าที่เรือนผมสีทอง
“อะ...ไอ้นกบ้า”
ร่างบางตะโกนใส่ทันที ที่สามารถปัดป้องการโจมตีจากสัตว์โลกตัวนี้ได้ แล้วบังคับให้มันเกาะอยู่ที่ต้นแขนได้สำเร็จ ซึ่งราวกับจะล่วงรู้ว่าตนถูกพากพิงถึง เจ้านกฮูกจึงตอบโต้ด้วยการใช้กรงเล็บจิกลงไปแรงๆ
“อย่าให้รู้นะว่าเจ้าของแกเป็นใคร...” บ่นพึมพำอีกสองสามประโยค ก่อนมือเรียวจะเอื้อมหยิบสาสน์เจ้าปัญหาขึ้นมา
“จาก แวร์เวลโคต...” ชื่อสถานที่ไม่คุ้นหูปรากฏ ทำให้ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน
คนคนนี้นี่เอง...
มิน่า เจ้านกฮูกถึงได้นิสัยแย่ไม่ต่างกันกับเจ้านายเท่าไหร่
แคว่ก!
“โอ๊ย! รู้แล้วน่า...เดี๋ยวปั๊ดจับย่างกินซะเลยนี่”
ถึงขนาดมีอาการหวาดระแวง พอหูได้ยินเสียงร้องแหลมปุ๊บ ร่างบางก็กระโดดหลบปั๊บ แม้จะทำปากเก่ง ส่งเสียงขู่กลับไปก็ตาม
ก็เธอบินไม่ได้ แต่มันบินได้นี่หว่า...
วีเซนเต้เริ่มสงบสติอารมณ์ แล้วตัดสินใจแน่วแน่ว่า ตนควรจะเลิกสนใจเจ้านกตัวนี้ไปเสียที ดวงหน้าหวาน ก้มลงมองแผ่นกระดาษในมือ แล้วไล่สายตาไปทีละบรรทัด อย่างใจเย็น
แต่เป็นความใจเย็น...ที่มั่นคงอยู่ได้ไม่นาน
“ตายโหง!”
เสียงสบถดังขึ้นก่อนสิ่งใดทั้งหมด เธอเงยหน้าขึ้นมา มองสายมองขวาด้วยท่าทีวอกแวก ก่อนจะก้มหน้าลงไปอ่านอีกครั้ง
มือทั้งสองแปรเปลี่ยนจากถือจดหมายไว้หลวมๆ แต่กำแน่น เส้นเลือดปูดขึ้นมาบริเวณมือ ตามแรงที่ใช้
“บ้าเอ๊ย! งานเข้าแล้วไหมล่ะ”
ยังไม่ทันจบประโยคดี กระดาษแผ่นเล็กที่กลายมาเป็นเพียงเศษกระดาษไร้ค่า ก็ถูกโยนลงกับพื้นถนน ปล่อยแม้กระทั่งเจ้าบุรุษไปรษณีย์ที่เธอคาดโทษไว้ในใจ สองขารีบโกยอ้าว ไปทางทิศที่แสงสีขาวสว่าวาบเป็นพักๆ
บอสคะ...
แทบจะน้ำตาไหลพราก เมื่อคิดถึงชื่อของผู้เป็นนาย แล้วกัดฟันกรอด เมื่อคิดถึงเจ้าของจดหมาย
เจ้าบ้านั่น เขียนมาแบบนี้ ฆ่าเธอให้ตายทั้งเป็นเลยทีเดียวคงง่ายกว่า
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เมอร์เมลิน รันเชล”
เสียงตะโกนดังกังวาลเป็นของบุรุษผู้ซึ่งหยัดยืนได้อีกครั้ง แม้ทั่วทั้งร่างกายจะชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน ใบหน้าคมคายที่ติดจะอ่อนล้าเล็กน้อยยังเคร่งขรึม ดวงตาคู่นั้นจ้องมองตรงมายังสตรีเบื้องหน้าด้วยแววแห่งโทสะ
“หืม...?” หากแต่เสียงตอบรับที่ได้ กลับฟังดูสบายและเนิบนาบกว่าที่คิด เมื่อเจ้าของนามเพียงแค่แตะอาวุธคู่กายสีดำมะเมื่อมอย่างใจเย็น “เรียกชื่อเสียงเต็มยศ” ท้ายประโยคส่อเค้าเยาะเย้ย
“อีกอย่าง...พวกหนูอย่างแกเนี่ย เห่าเป็นกับเขาด้วยรึ” ก่อนจะไม่วาย ทิ้งคำยวนปนดูถูก ที่ชวนให้เพลิงแค้นยิ่งคุโชน ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเพียงนิสัยไม่ดีอย่างหนึ่งของผู้พูดก็ตาม แต่เส้นเลือดตามใบหน้ายังอดไม่ได้ที่จะปูดโปนขึ้น
“กรอด...ก็เพราะว่าแกชอบเห็นคนอื่นเป็นหมาเป็นแมวเสียแบบนี้ ถึงได้เที่ยวฆ่าชาวบ้านเป็นว่าเล่น”
ครอมเวลกระชับดาบยาวในมือแน่น ขณะพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“ที่แกลอยหน้าลอยตา อยู่ได้ทุกวันนี้รู้บ้างไหมว่าทำร้ายใครต่อใครไปเท่าไหร่!”
“....”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ ซ้ำยังยืนท้าวเอวมองฟ้า ทั้งไม่เห็นตนอยู่ในสายตา ทั้งเมินเฉยต่อความโชคร้ายที่เจ้าหล่อนเป็นผู้สร้าง หลายปีที่เหมือนดำเนินชีวิตภายในนรก ทำให้ ความเกรงกลัวที่เคยเกาะกุมจิตใจ ค่อยถูกกัดกร่อนหายไป ด้วยความแค้นเคือง
“บ้าเอ๊ย! แกรู้ตัวบ้างรึเปล่า... เคยสำนึกอะไรบ้างไหม ตั้งแต่แกเข้ามา!” ครอมเวลพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทิ้ม “ ตั้งแต่แกเข้ามาปกครองพวกเรา...มันก็เหมือนตกนรกดีๆนี่เอง แกไม่เคยเห็นชีวิตของพวกเราอยู่ในสายตาเลยสักนิด!”
ประโยคต่อว่า ดังสะท้อนกับกำแพงไปมา สำหรับเมอร์เมลิน ไม่ต่างกับเสียงของแมลงที่ดังหึ่งๆ อยู่ข้างหู เจ้าหล่อนละสายตาจากฟากฟ้าสีดำสนิท ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ราวไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“แล้วไง...?”
เมอร์เมลิน แสยะยิ้มเหี้ยม ก่อนสีหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาตามเดิม
“ฉันถามแกว่า ‘แล้วไง’! ที่แกพล่ามมาทั้งหมดนี่อย่างกับฉันจะฟัง”
แสงไฟจากดวงจันทร์สาดส่องกระทบเสี้ยวหน้า ของสตรีผู้ได้รับสมญานาม มัจจุราช สิ่งที่สะท้อนในดวงตาคมกริบ คือความว่างเปล่า ขณะทอดมองมายังศัตรู...
ไม่สิ
เรียวปากแดงสดยิ้มเหยียด
“หนูก็ยังเป็นหนู แค่ฉลาดพอที่จะรอดมาจากกับดักได้ ไม่ได้แปลว่าหนูตัวนั้นวิเศษกว่าหนูตัวอื่น”
เมอร์เมลินหยิบปืนพกขนาดใหญ่ที่ซุกซ่อนอยู่ออกมาจากเอว ประจุพลังสีขาวที่พุ่งออกมา
เหมือนดั่งสัญญาณเริ่มศึก
ร่างสูงของกบฏวัยกลางคน ทะยานขึ้นฟ้า ก่อนจะของร่างจะเบี่ยงตัวหลบกระสุนปืนที่ยิงใส่ แล้วกระเสือกกระสน ขึ้นไปยืนอยู่บนราวเหล็กของระเบียงอาคารหลังหนึ่ง
ครอมเวล ใช้หางตาเหลือบมอง รูโหว่ขนาดใหญ่ ที่เกิดจากอนุภาพทำลายล้างอันอัดแน่นกัน ชนิดที่ว่า โดนเข้าไปเพียงนัดเดียวก็อาจจบเกมส์ไม่มีโอกาสได้ไปต่อ ร่างสูงโน้มตัวลงไปข้างหน้า แล้วตัดสินใจออกวิ่ง
“เฮ้! คิดหนีงั้นเหรอ...”
เป็นทางเลือกที่เมอร์เมลินไม่ค่อยชอบใจนัก
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนปืนแบบเดียวกับที่กำลังใช้อยู่ในมือ จะถูกหยิบออกมาจากใต้เสื้อสูทหนา อีกหนึ่งกระบอก
“ฉันไม่มีอารมณ์จะมาเล่นไล่จับกับหนูอย่างแกหรอกนะ”
ความคิดเห็น