คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : It's times
ตุ๊บตุ๊บ...ตุ๊บตุ๊บ....ตุ๊บตุ๊บ..ณ เวลาปัจจุบัน...ฉันได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองดังก้องออกมาท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจ้าของเช้าวันใหม่ ฉันจำช่วงเวลานี้ได้ดี ภาพ เสียง
และกลิ่นไอแห่งความหวังของทุกคนที่นี่ยังคงครุกรุ่น เพียงแค่หลับตาลง ฉันจำได้ว่า แสงแรกนี้คือช่วงเวลาแห่งความหวังในการร้องขอชีวิตรอดของฉันจากพระเจ้า
และท่านก็ประทานชีวิตใหม่ให้กับฉัน
มันยากเหลือเกินที่จะอธิบายได้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะได้โอกาสที่แสนล้ำค่านี้
ความรู้สึกนั้นมันยังคงอัดแน่นมาจนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งถึงวินาทีนี้
แต่ตอนนี้ฉันทำได้เพียงค่อยๆปล่อยให้ภาพในแต่ละวันที่ผ่านมาในอดีตไหลผ่านไปในสมองของฉันไปอย่างช้าๆ
และช้าลงเรื่อยๆ
เพราะฉันกำลังไคร่ครวญตัดสินใจในสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตผู้หญิงผู้เคยมีหัวใจที่เย็นชาแบบฉันจะทำได้
อันที่จริง ฉันไม่กล้าจะตัดสินใจอะไรด้วยซ้ำ ฉันไม่เคยรู้สึกอ่อนแอแบบนี้มาก่อน
ไม่เคยเลย..ฉันยังคงวนเวียนนึกถึงเรื่องราวครั้งแรกที่ฉันได้เจอกับเขา
สมองของฉันมาหยุดลงที่ภาพของเรื่องราวที่ต่อเนื่องมาจากการที่ฉันรอดชีวิตจากฝูงมัมมี่ในตอนเช้าตรู่
โดยที่คู่หูของฉันต้องตายลงอย่างน่าสลดหดหู่ที่สุด
ฉันต้องจำใจเอาศพของเขาไปซ่อนในบ้านร้างใกล้ๆเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าพวกเราบังเอิญไปเผชิญกับฝูงมัมมี่ฝูงใหญ่เข้า ที่ฉันต้องทำแบบนั้น
ทำไมหน่ะหรือ...เพราะถ้าคนข้างในรู้เข้าหล่ะก็....มันเป็นไปได้ที่ฉันจะถูกหมายหัวว่าอาจติดเชื้อ
แล้วห้ามเข้ามาที่นี่อีกครั้ง....ในเขตกักกันที่คนปกติน้อยลงทุกที ฉันจึงแอบเข้าทางประตูลับ
โดยหลังว่าจะไม่มีใครมาเห็นเข้า แผนของฉันก็คือ
แสร้งทำเป็นว่าฉันออกเวรก่อนกำแพงถล่ม ฉันก็จะพ้นข้อสงสัยทุกอย่าง แต่คู่หูของฉันหายตัวไป
เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็จบ ประตูลับนี้จะเชื่อมต่อไปที่ใต้พรอตออโทริตี้หรือ
ท่ารถบัสขนาดใหญ่กลางกรุงนิวยอร์กซึ่งตอนนี้ถูกเนรมิตให้กลางเป็นศูนย์บัญชาการขนาดใหญ่แทน
ถ้าฉันจำไม่ผิด ทุกรัฐยังคงมีศูนย์บัญชาการของตัวเอง รวมถึงทั่วโลกด้วย
ทาร์มสแควที่อยู่ด้านข้างกลายเป็นเมืองขนาดเล็กไปเสียแล้ว
ห้างสรรพสินค้าและโรงหนังขนาดใหญ่กลายเป็นห้องพักให้ผู้หลบภัยแทน
ส่วนรถไฟใต้ดินนั้น ถ้าอยู่นอกเขตศูนย์บัญชาการออกไปจะถูกปิดตายทั้งหมด
เราเหลือพื้นที่ไม่มากให้คนที่ยังเหลือรอดอยู่อาศัย
แต่บางครั้งที่เราพบว่าพวกกลุ่มอพยพกลุ่มใหญ่จนไม่มีที่พอจะสร้างอะไรให้พวกเขาอยู่ได้
เราก็จำเป็นต้องทุบกำแพงบางจุดเพื่อต่อพื้นที่ออกไป
และเหตุผลนี้เองที่ทำให้พ่อของฉันหายตัวไป และกลายเป็นมัมมี่ ฉันเคยเกลียดพวกผู้อพยพจนถึงที่สุด
เกลียดจนไม่รู้จะพรรณนาออกมาเป็นภาษาได้อย่างไร พวกเขาเสมือนพรากแก้วตาดวงใจของฉัน
แต่แม่ของฉันกลับเอาแต่ปลอบฉันว่า ‘พวกเขาเพียงแค่ต้องการความหวังจากเรา
เขาผิดอย่างนั้นหรอ...’แม่เฝ้าถามฉันแบบนี้บ่อยๆ
จนกระทั่งในที่สุดฉันก็ยอมรับความจริงเสียทีว่าพวกเขาต้องการเพียงความหวังจริงๆเท่านั้น
เหมือนอย่างฉันในวันนี้....และตอนนี้
ฉันแทรกตัวผ่านประตูรับเข้าไปได้ โดยมั่นใจว่าไม่มีใครเห็น
อีกเกือบหนึ่งไมล์ข้างหน้า ถึงจะเจอประตูอีกบานเพื่อตรงเข้าไปในพรอตออโทริตี้
พ่อของฉันแอบเอาทางระบายน้ำเก่ามาทำเป็นทางเดินขนาดใหญ่
แต่มันสามารถทำเป็นหลุมหลบภัยได้เช่นกัน
เพราะพ่อของฉันปิดตายที่แห่งนี้อย่างแน่นหนาจนแม้กระทั่งคนก็ยังผ่านลงมาที่นี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
และเมื่อขึ้นไปพรอตออโทริตี้ได้
ก็ยังมีประตูอีกหลายด่านเพื่อกันคนอื่นเข้ามาพบประตูลับเข้า และมันก็เป็นอย่างที่พ่อคาดเอาไว้
ไม่มีใครสามารถบังเอิญมาพบที่นี่ได้เลย ยกเว้นพวกเรา..
ในระหว่างที่ฉันกำลังล็อกประตูนี้อย่างระมัดระวัง ฉันก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่นี่คนเดียวเสียแล้ว มือที่เย็นราวน้ำแข็งและหยาบกระด้างจากรอยแผลเป็นรอยยาวเอื้อมมาคว้าแขนของฉันแล้วเอากุญแจออกจากมือของฉันอย่างระมัดระวัง ฉันสะดุ้งสุดตัว...ใช่ เขาคนนั้น มัมมี่ เขา...แต่ทำไม...เขาถึง แต่ฉันกลับไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อยว่าเขาจะทำร้ายฉัน แปลกจริง...ไม่มีความรู้สึกนั้นเลย ไม่มีเลย ฉันแต่ยืนห่างจากเขาพอประมาณและเอาแต่นิ่งเพียงอย่างเดียว
เขากำกุญแจจนแน่น ฉันนิ่งและกรีดร้องอะไรไม่ออก ดวงตาคู่ดำขลับของเขาจ้องมองมาในดวงตาคู่สีเขียวน้ำทะเลของฉันอย่างอ่อนโยน ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันจึงคิดว่านั่นคือความอ่อนโยน ฉันได้แต่หยุดยืนนิ่งๆ ราวกับโดนมนต์สะกด เขาค่อยๆเอากุญแจหมุนล็อกต่อจากที่ฉันทำอยู่จนเสร็จ ไม่นะ...เขาจะมารู้ความลับนี้ได้ยังไง ฉันได้แต่อ้าปากค้าง และทำอะไรไม่ถูก...เขาหันมาจ้องมองฉันอีกครั้งและเหมือนกับว่าเขาจะเริ่มขยับปากเพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง เอาหล่ะ...ทีนี่ฉันจะตั้งใจฟังว่าเขาจะพูดอะไร
เขายกมือของฉันขึ้นมา แล้วค่อยๆวางกุญแจลงบนมือของฉันอย่างเบามือ
พร้อมกับกำมือของฉันด้วยมือที่เย็นและสั่นเทาของเขาช้าๆ
“ของคุณ...เก็บมัน...ไว้...ของคุณ”
เขาขยับปากที่สั่นและซีดเผือกของเขาอย่างยากลำบาก
และพยายามพูดกับฉัน เมื่อสังเกตดีๆ เขาสามารถพูดออกมาได้เพียงทีละคำเท่านั้น
“เอาหล่ะ ไม่มีทางเลย...นายเป็นมัมมี่...นายต้องพูดไม่ได้สิ....นายเป็นตัวอะไรกันแน่”ฉันถามเขาอย่างแผ่วเบา...โดยที่ไม่รู้สึกกลัวเขาเลยสักนิด
“อย่ากลัว...ผม...คือ...เพื่อน..ของคุณ”
เขาพยายามพูดกับฉันอีกครั้ง
“ฉัน.....ฉัน.......ฉัน.......ฉันไม่รู้จะต้องทำยังไงกับนายดี
คือ อันที่จริง นายไม่ควรเข้ามาที่นี่ได้ด้วยซ้ำ นาย นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
ฉันหมายถึง....” ฉันเริ่มพูดโดยรับรู้ได้ว่าตอนนี้เขาไม่ทำร้ายฉันอย่างแน่นอน
“ผม...อยู่....ที่..นี่”
“อะไรนะ”ฉันร้องเสียงหลง แต่ทันใดนั้น.....
........................................................................................................................
“เจส..เจสซี่...ลูก...เป็นยังไงบ้าง”เสียงฝีเท้าที่วิ่งใกล้เข้ามาคือแม่ของฉัน
ทันทีที่ฉันหันหลังไปแม่ก็เข้ามาสวมกอดฉันไว้ทันที โดยที่นายมัมมี่ยังยืนอยู่ข้างๆ
แม่เอาแต่ร้องไห้แล้วเอาแต่พูดว่า ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ๆ อยู่อย่างนั้น ฉันเงยหน้าขึ้นมาปลอบปะโลมแม่ว่าฉันปลอดภัยดี
ว่าแต่.....นายมัมมี่ยังคงเอาแต่จ้องมองฉันตาขมิบ ไม่เคยเห็นคนกอดกันรึไง ห๊า!!!!
“แม่รู้จักเขารึเปล่า”ฉันพูดพร้อมกับชี้ไปที่เขา
“ก็แน่หน่ะสิ....เจสสิก้า
เขาเป็นคนไข้ของแม่เอง”แม่ของฉันพูดอย่างกับเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา
แม่บังเกิดเกล้าของฉันเลี้ยงมัมมี่ไว้ในที่หลบภัยเนี่ยนะ เจริญละ...พระเจ้า!!
อะไรกันเนี่ย
“โถ่...โจแอนนา เขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะคะ แม่เลี้ยงเขาไว้ในนี้แล้วถ้าเขาออกไปกัดคนอื่นหล่ะ เขาเป็นมัมมี่นะ”
ฉันถามแม่ด้วยน้ำเสียงแปลกใจอย่างถึงที่สุด
“แล้วเธอเห็นเขาออกไปไล่กัดคนรึเปล่าหล่ะเจสสิก้า ตอนกำแพงถล่มเขาก็ออกไปดูแลลูกด้วยนะ”
ดูแล...นั่นเขาเรียกว่าดูแลหรอ
แค่ยืนมองเฉยๆแล้วไม่วิ่งเข้ามากัดฉันเนี่ยนะ โอเค...ดูแลก็ดูแล
แต่ฉันว่าฉันดูแลตัวเองมากว่า ฉันว่า....
“หนูว่าหนูดูแลตัวเองมากกว่าค่ะแม่
แต่ตอนกำแพงถล่มเขาจะรู้ได้ยังไง”ฉันถามแม่พร้อมกับก้าวขาเพื่อไปที่ประตูอีกฝั่งพร้อมกับแม่และนายมัมมี่
“ประสาทสัมผัสของเขาสัมผัสได้ถึงพวกเดียวกัน แต่แม่บอกเขาว่าลูกเฝ้ายามที่นั่นก่อนที่กำแพงจะถล่ม เขาก็เลยออกไปทัน เขาหน่ะน่ารักมากเลยนะ”
แม่ของฉันชื่นชมเขาออกหน้าออกตาอย่างหน้าตาเฉย
แต่เขาเกี่ยวอะไรกับฉันหล่ะ บอกเขาทำไม แล้วเขาจะมาดูแลฉันเพื่ออะไรไม่ทราบ...
“แม่คะ....เดี๋ยวนะ
เขาเป็นอะไรกับเรา เขาถึงต้องมาดูแลหนูขนาดนั้น
แล้ว...แล้วเขาเป็นคนไข้แบบไหนของแม่ ตั้งแต่เมื่อไหร่ นานแค่ไหนแล้ว
แล้วแม่รักษาอะไรให้เขา แม่ช่วยอธิบายอย่างละเอียดด้วยนะคะ คุณหมอโจแอนนา” ฉันหันไปถามแม่อย่างจริงจังแกมประชด
“แม่เจอเขาเมื่อปีที่แล้ว
สบัดสบอมมาเลย แต่...เขาเคยเป็นทหาร ...แล้วก็เป็น....คู่หูของโจนาทานด้วย.”เมื่อแม่พูดถึงชื่อของพี่ชายของฉันจบ
แม่ก็หยุดยืนนิ่งๆแล้วหันมามองหน้าของฉัน
ทำให้ฉันรู้สึกใจหายวาบทันทีในท่าทีของแม่
พอแม่หยุดยืน...ฉันกลับรู้สึกใจคอไม่ดียังไงชอบกล
“แม่คะ...โจนาทานอยู่ที่ไหน”ฉันค่อยๆถามแม่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก แม่ค่อยๆกุมมือของฉันแล้ว
เริ่มพูดบางอย่างกับฉันช้าๆ
“เอ่อ......”
“……………………….”ฉันได้แต่นิ่ง
เงียบ ทั้งๆที่เคยเตรียมใจไว้ แต่กลับไม่เป็นผลเลย
“ลุค
เอ่อ...แม่หมายถึงชื่อของเขาหน่ะ เขามาที่นี่ตอนที่เขาเริ่มติดเชื้อแล้ว
ทำให้แม่ต้องแอบพาเขามาที่นี่ เพราะเขาคือเพื่อนรักของโจนาทานในสนามรบ
และเขาต้องรักษาสัญญาที่สำคัญมาก มากจริงๆ ที่เขาสองคนทำสัญญากันไว้
ระหว่างเขาสองคน และเป็นสัญญาเพื่อลูกด้วยนะ โจนาทานหน่ะ เขารักลูกมากเลยนะ
เขา.....”
“แล้วทำไมเขาไม่กลับมาด้วยกันหล่ะคะ
แม่คะ ถ้ามันสำคัญขนาดนั้น ทำไมเขาต้องฝากคนอื่นทำบางอย่างให้หนู
ทั้งๆที่เขาก็กลับมาหาหนูก็ได้นี่คะ แม่คะ.....โจนามานอยู่ไหน”ฉันถามทั้งๆที่คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าแม่จะตอบว่ายังไง ไม่นะ...โจนาทาน
พี่ชาย.....ของฉัน....
“แม่ขอโทษที่ไม่เคยพูดอะไรถึงโจนาทานเลย
แต่เราพึ่งเสียพ่อไป แม่ไม่อยากให้ลูกต้องเสียใจอะไรอีก
คงถึงเวลาที่เราต้องคุยกันแล้วสินะ ใช่.แม่ว่าลูกคงพอเดาได้บ้างแล้ว
คงนานพอที่ลูกจะทำใจได้...ใช่มั้ย”
“……………”
ฉันนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไรเลยอีกครั้ง
“โจนาทาน.....จากเราไปแล้วจริงๆ
แต่เขาฝากลุคมาดูแลลูกและแม่แทนเขา พี่ชายของลูกพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่เขาจะสิ้นลม
เขาย้ำกับลุคว่าต้องดูแลลูกแทนเขา
แต่ระหว่างที่ลุคกลับจากกองทัพเพื่อมาศูนย์ใหญ่ที่นี่ เขาก็ติดเชื้อซะก่อน
ครอบครัวของเขาตายหมดทุกคน เขาไม่มีที่ไปตั้งแต่ก่อนสงครามจะเริ่มด้วยซ้ำ
เขาเลยตัดสินใจเป็นทหาร ชีวิตของเขาเหมือนเราสองคนเลยนะเจส ลูกเข้าใจใช่มั้ย
พอเขาเจอโจนาทานพวกเขาก็กลายมาเป็นครอบครัวอีกครั้ง
ลุคต้องมาอยู่ที่ศูนย์หลบภัยที่นี่ เพราะพวกเรานะเจสสิก้า แม่ไม่ช่วยเขาไม่ได้
เขาติดเชื้อเพราะเรานะ แม่ไม่ช่วยเขาไม่ได้จริงๆ ”
จู่ๆ
แม่ก็หยุดพูดเหมือนเพื่อจะพยายามกลั่นน้ำตาเอาไว้ ฉันอึ้งสักพัก
ก่อนที่จะกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ไม่อยู่...แม่กับฉันกอดกันร้องไห้โดยไม่พูดอะไร
แต่ไม่นาน...เราก็เดินกันต่อ ฉันรู้ว่าควรต้องหยุด
ร้องไห้แล้วแกล้งทำเป็นว่าตัวเองเข้มแข็งมากขนาดไหนเวลาอยู่ต่อหน้าแม่
ฉันไม่อยากทำแบบนี้เลย แต่แม่คงดูออกว่าเราต้องโกหกกันเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น
เอาน่า...อีกไม่นาน เรื่องนี้จะกลายเป็นอดีตเท่านั้น อีกครึ่งไมล์ข้างหน้า
เราก็จะถึงประตูลับอีกฝั่ง เราทำใจเรื่องโจนาทานมานานแล้ว ใช่... นานมากแล้ว
ฉันจึงเริ่มคำถามต่อไปของฉัน
“แม่เจอเขาได้ยังไง”
ฉันพูดทั้งๆที่ เสียงยังสั่นสะอื้น
“ตอนแรกเขาต่างหากที่พยายามตามหาแม่
ในมือของเขากำสร้อยทหารที่มีชื่อของโจนาทานไว้ตลอดเวลาตอนที่พยายามหาตัวแม่
ทั้งๆที่อาการของเขาก็แย่ลงเรื่อยๆ กว่าจะมาเจอแม่
เขาก็เกือบเป็นมัมมี่ที่สมบูรณ์ซะแล้ว”แม่พูดถึงลุค อย่างภาคภูมิใจ
พร้อมกับโชว์สร้อยของโจนาทานที่แม่เอามาสวม แม่สวมมาเป็นปี
แต่ฉันไม่เคยเห็นสร้อยนี่เลยด้วยซ้ำ ฉันไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ เมื่อมองไปด้านข้าง
ลุคยังคงเดินตามเรามาไม่ได้ห่าง
“แล้ว...แม่รักษาเขายังไงคะ
เขาถึงแตกต่างกับคนอื่นได้ขนาดนี้”
“แบบเดียวกับพ่อของลูก
แม่ไม่เคยบอกลูกเลย แม่ขอโทษจริงๆ”แม่เริ่มเปิดเผยความลับทีละน้อย
“หมายความว่าไง
ถ้างั้น แล้วพ่อหายตัวไปไหน”ฉันถามแม่อย่างทันควัน
“แม่ไม่รู้
แม่ไม่รู้เลยว่าเขาหายไปไหน” แม่ฉันยืนยันเสียงแข็ง
ในขณะที่นายมัมมี่หันหน้ามามองด้วยสายตาที่มีนัยยะบางอย่างแฝงอยู่ ลุค..นายต้องการจะบอกอะไรฉัน ใช่มั้ย
“แล้วยังไงต่อคะ
เล่าให้หนูฟังต่อไปสิคะ” ฉันรู้ว่าแม่ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้
มันคงทำร้ายจิตใจแม่ของฉันไม่ใช่น้อย
ฉันเลยทำเสมือนว่าเชื่อทุกอย่างในทุกสิ่งที่แม่พูด
แต่อย่างน้อยฉันก็รู้ว่านายมัมมี่จะเป็นคนเล่าเรื่องราวเหล่านี้ได้
เอาหล่ะ...ฉันหยุดสนใจเรื่องนี้ไปก่อนก็แล้วกัน
ในขณะที่ฉันกำลังติดอยู่ในห้วงของความคิดอยู่นั้น
เสียงพูดของแม่ทำให้ฉันหลุดออกจากโลกแห่งห้วงความคิดทันที และแล้ว.....
“เรามาถึงแล้วหล่ะเจสสิก้า
” แม่พูดขึ้นพร้อมกับเริ่มไขกุญแจออก
ร่างที่เคยท้วมแบบคนอเมริกันของแม่
ตอนนี้ดูบอบบางลงจนมองแล้วเหมือนกับคนเอเชียไม่มีผิด
แต่ฉันกลับคิดถึงหุ่นท้วมๆของแม่มากกว่า
เพราะมันทำให้ฉันคิดถึงชีวิตที่เคยสงบสุขที่ฉันเคยมีมันเมื่อนานมาแล้ว
“ค่ะ...” ฉันไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้
“ถอดเสื้อคลุมของลูกออกแล้วทิ้งปืนของลูกไว้ที่นี่
ทำเหมือนกันว่าลูกออกเวรตั้งนานแล้ว”
แม่พูดตรงกับแผนที่ฉันวางไว้ไม่มีผิดเพี้ยน สมแล้วที่เป็นแม่ของฉัน
“แล้วลุคหล่ะคะ เราจะทิ้งเขาไว้ที่นี่ใช่มั้ย”
“ถูกต้องแล้ว...ที่รัก ”แม่พูดพร้อมกับยื่นเข็มฉีดยาขนาดใหญ่ให้กับเขา
“ขอบ...คุณ...มาก...ครับ ..โจ....แอน” เขารับมันมาพร้อมกับรอยยิ้มเจือนๆบนใบหน้า
ที่แทบมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขากำลังยิ้มอย่างดีใจ
“อีกสองเข็มเท่านั้น
เธอจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม มีความหวังไว้นะ ลุค หมอเชื่อว่าเธอต้องทำได้” แม่ส่งยิ้มให้เขาอย่างสุขุมพร้อมกับพาฉันออกไปจากเส้นทางลับ
ฉันเอาแต่นิ่งเงียบโดยที่ในใจก็ยังสงสัยในวิธีการรักษาของแม่
ถึงอย่างไรก็ตามฉันก็เหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไรต่อไปด้วยซ้ำ
เอาหล่ะ....ถ้าถึงข้างบนเมื่อไรฉันจะนอนสัก 10 ชั่วโมง
เพื่อเอาแรงก่อนที่จะต้องมาเตรียมตัวตอบคำถามการหายไปของคู่หูของฉัน อาจจะพอมีเวลาให้ฉันได้เตรียมคำพูดดี
ๆบ้าง
เราไม่คุยอะไรกันต่อเลย
จนกระทั่ง....ขาของฉันได้ก้าวเข้ามาสู่ศูนย์บัญชาการ
ฉันเข้าไปในห้องทำงานของแม่อย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครผิดสังเกต
เยี่ยม...เยี่ยม...ต้องให้ได้แบบนี้สิ
ฉันรีบอาบน้ำก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนทั้งที่หัวยังเปียกๆอยู่แบบนั้น
ธรรมดาน่า!!! สำหรับคนที่เหนื่อยมาจากการหนีฝูงมัมมี่ เธอเหนื่อยมามากแล้วนะ
ไว้เวลานอนแล้วนะเจสสิก้า ฮัสสัน นอนได้แล้ว.......
.......................................................................................................................................
“เจส...เจส...ตื่นได้แล้ว
ตื่นเร็ว ” เสียงปลุกจากแม่ของฉัน
ดังมาจากด้านข้างของห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ฉันลุกพรวดขึ้นมาด้วยความตกใจ
“แม่คะ
...เกิดอะไรขึ้น” ฉันร้องเสียงหลง
“ฟังแม่นะ...เจสสิก้า
ลูกต้องรีบหนีไปเดี๋ยวนี้ ลุงเจคที่เฝ้ากล้องวิดีโอแอบมาบอกแม่ว่า
เขาเห็นลูกวิ่งหนีฝูงมัมมี่อยู่ด้านนอก นั่นหมายความว่าคนอื่นๆก็กำลังจะมาเห็นด้วย
ลูกรู้ใช่มั้ยว่าคนในนี้ต้องไล่ลูกออกจากที่นี่แน่ๆ”
“ค่ะ...แม่ หนูรู้
แต่แม่กำลังจะบอกอะไรกับหนูหรอคะ ลุงเจคเป็นเพื่อนกับแม่นะคะ
เขาต้องช่วยเราสองคนสิคะ”
“เพื่อนหรอ...เพื่อนจอมปลอมหล่ะสิ
เขากำลังหาทางเหยียบหัวแม่เพื่อไต่เต้าอยู่แล้ว
ไม่มีเพื่อนแท้ในที่ทำงานหรอกเจสซี่ เขามาบอกแม่เพื่อให้แม่เป็นคนสั่งให้หนูออกไปจากที่นี่
เขามันชั่วถึงขนาดแยกเอาแก้วตาดวงใจของแม่ออกไปจากชีวิตแม่
เขารู้ว่าแม่ต้องบ้าไปเลยแน่ๆถ้าไม่มีลูกอยู่ใกล้ๆ เอาหล่ะ...เราไม่มีทางเลือก
จริงๆ รีบเถอะ...แม่เก็บของให้แล้ว ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย แม่จะไปส่ง”
“แล้วเขาจะได้อะไรหล่ะคะ
ถึงไม่ยอมลบไอ้วีดีโอนั่น มันง่ายจะตายก็แค่เขาลบมันออกก็ไม่มีใครรู้แล้ว”
“เขาไม่ทำหรอกเจสสิก้า
เพราะเขากับแม่กำลังจะได้คัดเลือกเพื่อเป็นรองผู้บัญชาการ
แต่ต้องการแค่คนเดียวเท่านั้นจากสองคน
เจคเลยจัดการแม่ต้องวิธีทางจิตวิทยาโง่ๆแทนไงหล่ะ
ไอ้งี่เง่าเจค...”แม่สะบดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นด้วยความโกรธ
“ถ้าอย่างงั้น
เราก็ปล่อยให้ทุกคนมาเจอเองไม่ได้หรอคะ”
“เจคไม่ปล่อยเราไว้แน่ๆ
เขามันหมาในสกปรก ถึงยังไงแม่ก็คิดไว้แล้วว่าอาจจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ แม่ไม่ยอมปล่อยให้ลูกออกไปทางประตูหลักนั่นเด็ดขาด
เข้าใจมั้ย เพราะข้างหลังประตูนั่นมีฝูงมัมมี่อีกเป็นร้อยตัว
ขืนลูกออกไปลูกต้องตายแน่ๆ เพราะฉะนั้นลูกต้องหนีไปทางประตูลับเท่านั้น
แต่ลูกต้องไปกับลุค แม่อยากให้เขาดูแลลูก อย่าปฎิเสธเลยนะ ถือว่าทำเพื่อแม่สักครั้งได้มั้ย
ลุคเป็นตัวแทนของพี่ชายลูก เขาจะดูแลลูกแทนแม่ได้อย่างแน่นนอน ถึงลูกจะบอกว่าตัวเองโตแล้วก็เถอะ ด้วยโปรด...เจสสิก้า
เพื่อแม่สักครั้งเถอะนะ”
“ค่ะ...หนูจะทำเพื่อแม่
แต่เราต้องจากกันจริงๆแล้วใช่มั้ย......”
"อาจจะแค่ชั่วคราวหน่ะเจส"
"หนูจะต้องหาทางกลับมาให้ได้ค่ะ สัญญา"
เรามองตากันเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อกล่าวลา ถึงฉันจะเจ็บไปถึงขั้วหัวใจก็ต้องทำ คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว คงไม่มี......
ความคิดเห็น