ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Deceased Human บันทึกรักเขย่าหัวใจไวรัสมัมมี่

    ลำดับตอนที่ #2 : It's times

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ย. 59


              ตุ๊บตุ๊บ...ตุ๊บตุ๊บ....ตุ๊บตุ๊บ..ณ เวลาปัจจุบัน...ฉันได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองดังก้องออกมาท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจ้าของเช้าวันใหม่  ฉันจำช่วงเวลานี้ได้ดี ภาพ เสียง และกลิ่นไอแห่งความหวังของทุกคนที่นี่ยังคงครุกรุ่น เพียงแค่หลับตาลง ฉันจำได้ว่า แสงแรกนี้คือช่วงเวลาแห่งความหวังในการร้องขอชีวิตรอดของฉันจากพระเจ้า และท่านก็ประทานชีวิตใหม่ให้กับฉัน มันยากเหลือเกินที่จะอธิบายได้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะได้โอกาสที่แสนล้ำค่านี้ ความรู้สึกนั้นมันยังคงอัดแน่นมาจนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งถึงวินาทีนี้ แต่ตอนนี้ฉันทำได้เพียงค่อยๆปล่อยให้ภาพในแต่ละวันที่ผ่านมาในอดีตไหลผ่านไปในสมองของฉันไปอย่างช้าๆ และช้าลงเรื่อยๆ เพราะฉันกำลังไคร่ครวญตัดสินใจในสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตผู้หญิงผู้เคยมีหัวใจที่เย็นชาแบบฉันจะทำได้ อันที่จริง ฉันไม่กล้าจะตัดสินใจอะไรด้วยซ้ำ ฉันไม่เคยรู้สึกอ่อนแอแบบนี้มาก่อน ไม่เคยเลย..ฉันยังคงวนเวียนนึกถึงเรื่องราวครั้งแรกที่ฉันได้เจอกับเขา

                สมองของฉันมาหยุดลงที่ภาพของเรื่องราวที่ต่อเนื่องมาจากการที่ฉันรอดชีวิตจากฝูงมัมมี่ในตอนเช้าตรู่ โดยที่คู่หูของฉันต้องตายลงอย่างน่าสลดหดหู่ที่สุด ฉันต้องจำใจเอาศพของเขาไปซ่อนในบ้านร้างใกล้ๆเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าพวกเราบังเอิญไปเผชิญกับฝูงมัมมี่ฝูงใหญ่เข้า  ที่ฉันต้องทำแบบนั้น ทำไมหน่ะหรือ...เพราะถ้าคนข้างในรู้เข้าหล่ะก็....มันเป็นไปได้ที่ฉันจะถูกหมายหัวว่าอาจติดเชื้อ แล้วห้ามเข้ามาที่นี่อีกครั้ง....ในเขตกักกันที่คนปกติน้อยลงทุกที ฉันจึงแอบเข้าทางประตูลับ โดยหลังว่าจะไม่มีใครมาเห็นเข้า แผนของฉันก็คือ แสร้งทำเป็นว่าฉันออกเวรก่อนกำแพงถล่ม ฉันก็จะพ้นข้อสงสัยทุกอย่าง  แต่คู่หูของฉันหายตัวไป เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็จบ ประตูลับนี้จะเชื่อมต่อไปที่ใต้พรอตออโทริตี้หรือ ท่ารถบัสขนาดใหญ่กลางกรุงนิวยอร์กซึ่งตอนนี้ถูกเนรมิตให้กลางเป็นศูนย์บัญชาการขนาดใหญ่แทน ถ้าฉันจำไม่ผิด ทุกรัฐยังคงมีศูนย์บัญชาการของตัวเอง รวมถึงทั่วโลกด้วย ทาร์มสแควที่อยู่ด้านข้างกลายเป็นเมืองขนาดเล็กไปเสียแล้ว ห้างสรรพสินค้าและโรงหนังขนาดใหญ่กลายเป็นห้องพักให้ผู้หลบภัยแทน ส่วนรถไฟใต้ดินนั้น ถ้าอยู่นอกเขตศูนย์บัญชาการออกไปจะถูกปิดตายทั้งหมด เราเหลือพื้นที่ไม่มากให้คนที่ยังเหลือรอดอยู่อาศัย แต่บางครั้งที่เราพบว่าพวกกลุ่มอพยพกลุ่มใหญ่จนไม่มีที่พอจะสร้างอะไรให้พวกเขาอยู่ได้ เราก็จำเป็นต้องทุบกำแพงบางจุดเพื่อต่อพื้นที่ออกไป และเหตุผลนี้เองที่ทำให้พ่อของฉันหายตัวไป และกลายเป็นมัมมี่ ฉันเคยเกลียดพวกผู้อพยพจนถึงที่สุด เกลียดจนไม่รู้จะพรรณนาออกมาเป็นภาษาได้อย่างไร พวกเขาเสมือนพรากแก้วตาดวงใจของฉัน แต่แม่ของฉันกลับเอาแต่ปลอบฉันว่า พวกเขาเพียงแค่ต้องการความหวังจากเรา เขาผิดอย่างนั้นหรอ...แม่เฝ้าถามฉันแบบนี้บ่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดฉันก็ยอมรับความจริงเสียทีว่าพวกเขาต้องการเพียงความหวังจริงๆเท่านั้น เหมือนอย่างฉันในวันนี้....และตอนนี้

                ฉันแทรกตัวผ่านประตูรับเข้าไปได้ โดยมั่นใจว่าไม่มีใครเห็น อีกเกือบหนึ่งไมล์ข้างหน้า ถึงจะเจอประตูอีกบานเพื่อตรงเข้าไปในพรอตออโทริตี้ พ่อของฉันแอบเอาทางระบายน้ำเก่ามาทำเป็นทางเดินขนาดใหญ่ แต่มันสามารถทำเป็นหลุมหลบภัยได้เช่นกัน เพราะพ่อของฉันปิดตายที่แห่งนี้อย่างแน่นหนาจนแม้กระทั่งคนก็ยังผ่านลงมาที่นี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ และเมื่อขึ้นไปพรอตออโทริตี้ได้ ก็ยังมีประตูอีกหลายด่านเพื่อกันคนอื่นเข้ามาพบประตูลับเข้า และมันก็เป็นอย่างที่พ่อคาดเอาไว้ ไม่มีใครสามารถบังเอิญมาพบที่นี่ได้เลย ยกเว้นพวกเรา..

                ในระหว่างที่ฉันกำลังล็อกประตูนี้อย่างระมัดระวัง ฉันก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่นี่คนเดียวเสียแล้ว มือที่เย็นราวน้ำแข็งและหยาบกระด้างจากรอยแผลเป็นรอยยาวเอื้อมมาคว้าแขนของฉันแล้วเอากุญแจออกจากมือของฉันอย่างระมัดระวัง ฉันสะดุ้งสุดตัว...ใช่ เขาคนนั้น มัมมี่ เขา...แต่ทำไม...เขาถึง  แต่ฉันกลับไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อยว่าเขาจะทำร้ายฉัน แปลกจริง...ไม่มีความรู้สึกนั้นเลย ไม่มีเลย ฉันแต่ยืนห่างจากเขาพอประมาณและเอาแต่นิ่งเพียงอย่างเดียว

                เขากำกุญแจจนแน่น ฉันนิ่งและกรีดร้องอะไรไม่ออก ดวงตาคู่ดำขลับของเขาจ้องมองมาในดวงตาคู่สีเขียวน้ำทะเลของฉันอย่างอ่อนโยน ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันจึงคิดว่านั่นคือความอ่อนโยน ฉันได้แต่หยุดยืนนิ่งๆ ราวกับโดนมนต์สะกด เขาค่อยๆเอากุญแจหมุนล็อกต่อจากที่ฉันทำอยู่จนเสร็จ ไม่นะ...เขาจะมารู้ความลับนี้ได้ยังไง ฉันได้แต่อ้าปากค้าง และทำอะไรไม่ถูก...เขาหันมาจ้องมองฉันอีกครั้งและเหมือนกับว่าเขาจะเริ่มขยับปากเพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง เอาหล่ะ...ทีนี่ฉันจะตั้งใจฟังว่าเขาจะพูดอะไร

                เขายกมือของฉันขึ้นมา แล้วค่อยๆวางกุญแจลงบนมือของฉันอย่างเบามือ พร้อมกับกำมือของฉันด้วยมือที่เย็นและสั่นเทาของเขาช้าๆ

                “ของคุณ...เก็บมัน...ไว้...ของคุณเขาขยับปากที่สั่นและซีดเผือกของเขาอย่างยากลำบาก และพยายามพูดกับฉัน เมื่อสังเกตดีๆ เขาสามารถพูดออกมาได้เพียงทีละคำเท่านั้น

                “เอาหล่ะ ไม่มีทางเลย...นายเป็นมัมมี่...นายต้องพูดไม่ได้สิ....นายเป็นตัวอะไรกันแน่ฉันถามเขาอย่างแผ่วเบา...โดยที่ไม่รู้สึกกลัวเขาเลยสักนิด

                “อย่ากลัว...ผม...คือ...เพื่อน..ของคุณเขาพยายามพูดกับฉันอีกครั้ง

                “ฉัน.....ฉัน.......ฉัน.......ฉันไม่รู้จะต้องทำยังไงกับนายดี คือ อันที่จริง นายไม่ควรเข้ามาที่นี่ได้ด้วยซ้ำ นาย นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ฉันหมายถึง....ฉันเริ่มพูดโดยรับรู้ได้ว่าตอนนี้เขาไม่ทำร้ายฉันอย่างแน่นอน

                “ผม...อยู่....ที่..นี่”                                                                                      

                “อะไรนะฉันร้องเสียงหลง แต่ทันใดนั้น.....

    ........................................................................................................................

                “เจส..เจสซี่...ลูก...เป็นยังไงบ้างเสียงฝีเท้าที่วิ่งใกล้เข้ามาคือแม่ของฉัน ทันทีที่ฉันหันหลังไปแม่ก็เข้ามาสวมกอดฉันไว้ทันที โดยที่นายมัมมี่ยังยืนอยู่ข้างๆ แม่เอาแต่ร้องไห้แล้วเอาแต่พูดว่า ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ๆ  อยู่อย่างนั้น ฉันเงยหน้าขึ้นมาปลอบปะโลมแม่ว่าฉันปลอดภัยดี ว่าแต่.....นายมัมมี่ยังคงเอาแต่จ้องมองฉันตาขมิบ ไม่เคยเห็นคนกอดกันรึไง ห๊า!!!!

                “แม่รู้จักเขารึเปล่าฉันพูดพร้อมกับชี้ไปที่เขา

                “ก็แน่หน่ะสิ....เจสสิก้า เขาเป็นคนไข้ของแม่เองแม่ของฉันพูดอย่างกับเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา แม่บังเกิดเกล้าของฉันเลี้ยงมัมมี่ไว้ในที่หลบภัยเนี่ยนะ เจริญละ...พระเจ้า!! อะไรกันเนี่ย

                “โถ่...โจแอนนา เขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะคะ แม่เลี้ยงเขาไว้ในนี้แล้วถ้าเขาออกไปกัดคนอื่นหล่ะ เขาเป็นมัมมี่นะ

    ฉันถามแม่ด้วยน้ำเสียงแปลกใจอย่างถึงที่สุด

                “แล้วเธอเห็นเขาออกไปไล่กัดคนรึเปล่าหล่ะเจสสิก้า ตอนกำแพงถล่มเขาก็ออกไปดูแลลูกด้วยนะ” 

              ดูแล...นั่นเขาเรียกว่าดูแลหรอ แค่ยืนมองเฉยๆแล้วไม่วิ่งเข้ามากัดฉันเนี่ยนะ โอเค...ดูแลก็ดูแล แต่ฉันว่าฉันดูแลตัวเองมากว่า ฉันว่า....

                “หนูว่าหนูดูแลตัวเองมากกว่าค่ะแม่ แต่ตอนกำแพงถล่มเขาจะรู้ได้ยังไงฉันถามแม่พร้อมกับก้าวขาเพื่อไปที่ประตูอีกฝั่งพร้อมกับแม่และนายมัมมี่

                “ประสาทสัมผัสของเขาสัมผัสได้ถึงพวกเดียวกัน แต่แม่บอกเขาว่าลูกเฝ้ายามที่นั่นก่อนที่กำแพงจะถล่ม เขาก็เลยออกไปทัน เขาหน่ะน่ารักมากเลยนะ

              แม่ของฉันชื่นชมเขาออกหน้าออกตาอย่างหน้าตาเฉย แต่เขาเกี่ยวอะไรกับฉันหล่ะ บอกเขาทำไม แล้วเขาจะมาดูแลฉันเพื่ออะไรไม่ทราบ...

                “แม่คะ....เดี๋ยวนะ เขาเป็นอะไรกับเรา เขาถึงต้องมาดูแลหนูขนาดนั้น แล้ว...แล้วเขาเป็นคนไข้แบบไหนของแม่ ตั้งแต่เมื่อไหร่ นานแค่ไหนแล้ว แล้วแม่รักษาอะไรให้เขา แม่ช่วยอธิบายอย่างละเอียดด้วยนะคะ  คุณหมอโจแอนนา”            ฉันหันไปถามแม่อย่างจริงจังแกมประชด

                “แม่เจอเขาเมื่อปีที่แล้ว สบัดสบอมมาเลย แต่...เขาเคยเป็นทหาร ...แล้วก็เป็น....คู่หูของโจนาทานด้วย.เมื่อแม่พูดถึงชื่อของพี่ชายของฉันจบ แม่ก็หยุดยืนนิ่งๆแล้วหันมามองหน้าของฉัน ทำให้ฉันรู้สึกใจหายวาบทันทีในท่าทีของแม่ พอแม่หยุดยืน...ฉันกลับรู้สึกใจคอไม่ดียังไงชอบกล

                “แม่คะ...โจนาทานอยู่ที่ไหนฉันค่อยๆถามแม่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก แม่ค่อยๆกุมมือของฉันแล้ว เริ่มพูดบางอย่างกับฉันช้าๆ

                เอ่อ......

                “……………………….”ฉันได้แต่นิ่ง เงียบ ทั้งๆที่เคยเตรียมใจไว้ แต่กลับไม่เป็นผลเลย

                “ลุค เอ่อ...แม่หมายถึงชื่อของเขาหน่ะ เขามาที่นี่ตอนที่เขาเริ่มติดเชื้อแล้ว ทำให้แม่ต้องแอบพาเขามาที่นี่ เพราะเขาคือเพื่อนรักของโจนาทานในสนามรบ และเขาต้องรักษาสัญญาที่สำคัญมาก มากจริงๆ ที่เขาสองคนทำสัญญากันไว้ ระหว่างเขาสองคน และเป็นสัญญาเพื่อลูกด้วยนะ โจนาทานหน่ะ เขารักลูกมากเลยนะ เขา.....

                “แล้วทำไมเขาไม่กลับมาด้วยกันหล่ะคะ แม่คะ ถ้ามันสำคัญขนาดนั้น ทำไมเขาต้องฝากคนอื่นทำบางอย่างให้หนู ทั้งๆที่เขาก็กลับมาหาหนูก็ได้นี่คะ แม่คะ.....โจนามานอยู่ไหนฉันถามทั้งๆที่คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าแม่จะตอบว่ายังไง ไม่นะ...โจนาทาน พี่ชาย.....ของฉัน....

                “แม่ขอโทษที่ไม่เคยพูดอะไรถึงโจนาทานเลย แต่เราพึ่งเสียพ่อไป แม่ไม่อยากให้ลูกต้องเสียใจอะไรอีก คงถึงเวลาที่เราต้องคุยกันแล้วสินะ ใช่.แม่ว่าลูกคงพอเดาได้บ้างแล้ว คงนานพอที่ลูกจะทำใจได้...ใช่มั้ย

    “……………” ฉันนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไรเลยอีกครั้ง

                “โจนาทาน.....จากเราไปแล้วจริงๆ แต่เขาฝากลุคมาดูแลลูกและแม่แทนเขา พี่ชายของลูกพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่เขาจะสิ้นลม เขาย้ำกับลุคว่าต้องดูแลลูกแทนเขา แต่ระหว่างที่ลุคกลับจากกองทัพเพื่อมาศูนย์ใหญ่ที่นี่ เขาก็ติดเชื้อซะก่อน ครอบครัวของเขาตายหมดทุกคน เขาไม่มีที่ไปตั้งแต่ก่อนสงครามจะเริ่มด้วยซ้ำ เขาเลยตัดสินใจเป็นทหาร ชีวิตของเขาเหมือนเราสองคนเลยนะเจส ลูกเข้าใจใช่มั้ย พอเขาเจอโจนาทานพวกเขาก็กลายมาเป็นครอบครัวอีกครั้ง ลุคต้องมาอยู่ที่ศูนย์หลบภัยที่นี่ เพราะพวกเรานะเจสสิก้า แม่ไม่ช่วยเขาไม่ได้ เขาติดเชื้อเพราะเรานะ แม่ไม่ช่วยเขาไม่ได้จริงๆ

                จู่ๆ แม่ก็หยุดพูดเหมือนเพื่อจะพยายามกลั่นน้ำตาเอาไว้ ฉันอึ้งสักพัก ก่อนที่จะกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ไม่อยู่...แม่กับฉันกอดกันร้องไห้โดยไม่พูดอะไร แต่ไม่นาน...เราก็เดินกันต่อ ฉันรู้ว่าควรต้องหยุด ร้องไห้แล้วแกล้งทำเป็นว่าตัวเองเข้มแข็งมากขนาดไหนเวลาอยู่ต่อหน้าแม่ ฉันไม่อยากทำแบบนี้เลย แต่แม่คงดูออกว่าเราต้องโกหกกันเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น เอาน่า...อีกไม่นาน เรื่องนี้จะกลายเป็นอดีตเท่านั้น อีกครึ่งไมล์ข้างหน้า เราก็จะถึงประตูลับอีกฝั่ง เราทำใจเรื่องโจนาทานมานานแล้ว ใช่... นานมากแล้ว ฉันจึงเริ่มคำถามต่อไปของฉัน

                “แม่เจอเขาได้ยังไงฉันพูดทั้งๆที่ เสียงยังสั่นสะอื้น

                “ตอนแรกเขาต่างหากที่พยายามตามหาแม่ ในมือของเขากำสร้อยทหารที่มีชื่อของโจนาทานไว้ตลอดเวลาตอนที่พยายามหาตัวแม่ ทั้งๆที่อาการของเขาก็แย่ลงเรื่อยๆ กว่าจะมาเจอแม่ เขาก็เกือบเป็นมัมมี่ที่สมบูรณ์ซะแล้วแม่พูดถึงลุค อย่างภาคภูมิใจ พร้อมกับโชว์สร้อยของโจนาทานที่แม่เอามาสวม แม่สวมมาเป็นปี แต่ฉันไม่เคยเห็นสร้อยนี่เลยด้วยซ้ำ ฉันไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ เมื่อมองไปด้านข้าง ลุคยังคงเดินตามเรามาไม่ได้ห่าง

                “แล้ว...แม่รักษาเขายังไงคะ เขาถึงแตกต่างกับคนอื่นได้ขนาดนี้

                “แบบเดียวกับพ่อของลูก แม่ไม่เคยบอกลูกเลย แม่ขอโทษจริงๆแม่เริ่มเปิดเผยความลับทีละน้อย

                “หมายความว่าไง ถ้างั้น แล้วพ่อหายตัวไปไหนฉันถามแม่อย่างทันควัน

                “แม่ไม่รู้ แม่ไม่รู้เลยว่าเขาหายไปไหนแม่ฉันยืนยันเสียงแข็ง ในขณะที่นายมัมมี่หันหน้ามามองด้วยสายตาที่มีนัยยะบางอย่างแฝงอยู่  ลุค..นายต้องการจะบอกอะไรฉัน ใช่มั้ย

                “แล้วยังไงต่อคะ เล่าให้หนูฟังต่อไปสิคะฉันรู้ว่าแม่ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ มันคงทำร้ายจิตใจแม่ของฉันไม่ใช่น้อย ฉันเลยทำเสมือนว่าเชื่อทุกอย่างในทุกสิ่งที่แม่พูด แต่อย่างน้อยฉันก็รู้ว่านายมัมมี่จะเป็นคนเล่าเรื่องราวเหล่านี้ได้ เอาหล่ะ...ฉันหยุดสนใจเรื่องนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ในขณะที่ฉันกำลังติดอยู่ในห้วงของความคิดอยู่นั้น เสียงพูดของแม่ทำให้ฉันหลุดออกจากโลกแห่งห้วงความคิดทันที และแล้ว.....

                “เรามาถึงแล้วหล่ะเจสสิก้า แม่พูดขึ้นพร้อมกับเริ่มไขกุญแจออก ร่างที่เคยท้วมแบบคนอเมริกันของแม่ ตอนนี้ดูบอบบางลงจนมองแล้วเหมือนกับคนเอเชียไม่มีผิด แต่ฉันกลับคิดถึงหุ่นท้วมๆของแม่มากกว่า เพราะมันทำให้ฉันคิดถึงชีวิตที่เคยสงบสุขที่ฉันเคยมีมันเมื่อนานมาแล้ว

    ค่ะ...ฉันไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้

    ถอดเสื้อคลุมของลูกออกแล้วทิ้งปืนของลูกไว้ที่นี่ ทำเหมือนกันว่าลูกออกเวรตั้งนานแล้ว

    แม่พูดตรงกับแผนที่ฉันวางไว้ไม่มีผิดเพี้ยน สมแล้วที่เป็นแม่ของฉัน

    แล้วลุคหล่ะคะ เราจะทิ้งเขาไว้ที่นี่ใช่มั้ย

    ถูกต้องแล้ว...ที่รัก แม่พูดพร้อมกับยื่นเข็มฉีดยาขนาดใหญ่ให้กับเขา

    ขอบ...คุณ...มาก...ครับ ..โจ....แอนเขารับมันมาพร้อมกับรอยยิ้มเจือนๆบนใบหน้า ที่แทบมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขากำลังยิ้มอย่างดีใจ

                “อีกสองเข็มเท่านั้น เธอจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม มีความหวังไว้นะ ลุค หมอเชื่อว่าเธอต้องทำได้แม่ส่งยิ้มให้เขาอย่างสุขุมพร้อมกับพาฉันออกไปจากเส้นทางลับ ฉันเอาแต่นิ่งเงียบโดยที่ในใจก็ยังสงสัยในวิธีการรักษาของแม่ ถึงอย่างไรก็ตามฉันก็เหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไรต่อไปด้วยซ้ำ เอาหล่ะ....ถ้าถึงข้างบนเมื่อไรฉันจะนอนสัก 10 ชั่วโมง เพื่อเอาแรงก่อนที่จะต้องมาเตรียมตัวตอบคำถามการหายไปของคู่หูของฉัน อาจจะพอมีเวลาให้ฉันได้เตรียมคำพูดดี ๆบ้าง

                เราไม่คุยอะไรกันต่อเลย จนกระทั่ง....ขาของฉันได้ก้าวเข้ามาสู่ศูนย์บัญชาการ ฉันเข้าไปในห้องทำงานของแม่อย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครผิดสังเกต เยี่ยม...เยี่ยม...ต้องให้ได้แบบนี้สิ

                ฉันรีบอาบน้ำก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนทั้งที่หัวยังเปียกๆอยู่แบบนั้น ธรรมดาน่า!!! สำหรับคนที่เหนื่อยมาจากการหนีฝูงมัมมี่ เธอเหนื่อยมามากแล้วนะ ไว้เวลานอนแล้วนะเจสสิก้า ฮัสสัน นอนได้แล้ว.......

    .......................................................................................................................................

                “เจส...เจส...ตื่นได้แล้ว ตื่นเร็ว เสียงปลุกจากแม่ของฉัน ดังมาจากด้านข้างของห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ฉันลุกพรวดขึ้นมาด้วยความตกใจ

                “แม่คะ ...เกิดอะไรขึ้นฉันร้องเสียงหลง

                “ฟังแม่นะ...เจสสิก้า ลูกต้องรีบหนีไปเดี๋ยวนี้ ลุงเจคที่เฝ้ากล้องวิดีโอแอบมาบอกแม่ว่า เขาเห็นลูกวิ่งหนีฝูงมัมมี่อยู่ด้านนอก นั่นหมายความว่าคนอื่นๆก็กำลังจะมาเห็นด้วย ลูกรู้ใช่มั้ยว่าคนในนี้ต้องไล่ลูกออกจากที่นี่แน่ๆ

                “ค่ะ...แม่ หนูรู้ แต่แม่กำลังจะบอกอะไรกับหนูหรอคะ ลุงเจคเป็นเพื่อนกับแม่นะคะ เขาต้องช่วยเราสองคนสิคะ

                “เพื่อนหรอ...เพื่อนจอมปลอมหล่ะสิ เขากำลังหาทางเหยียบหัวแม่เพื่อไต่เต้าอยู่แล้ว ไม่มีเพื่อนแท้ในที่ทำงานหรอกเจสซี่ เขามาบอกแม่เพื่อให้แม่เป็นคนสั่งให้หนูออกไปจากที่นี่ เขามันชั่วถึงขนาดแยกเอาแก้วตาดวงใจของแม่ออกไปจากชีวิตแม่ เขารู้ว่าแม่ต้องบ้าไปเลยแน่ๆถ้าไม่มีลูกอยู่ใกล้ๆ เอาหล่ะ...เราไม่มีทางเลือก จริงๆ รีบเถอะ...แม่เก็บของให้แล้ว ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย แม่จะไปส่ง

                “แล้วเขาจะได้อะไรหล่ะคะ ถึงไม่ยอมลบไอ้วีดีโอนั่น มันง่ายจะตายก็แค่เขาลบมันออกก็ไม่มีใครรู้แล้ว

                “เขาไม่ทำหรอกเจสสิก้า เพราะเขากับแม่กำลังจะได้คัดเลือกเพื่อเป็นรองผู้บัญชาการ แต่ต้องการแค่คนเดียวเท่านั้นจากสองคน เจคเลยจัดการแม่ต้องวิธีทางจิตวิทยาโง่ๆแทนไงหล่ะ  ไอ้งี่เง่าเจค...แม่สะบดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นด้วยความโกรธ

                “ถ้าอย่างงั้น เราก็ปล่อยให้ทุกคนมาเจอเองไม่ได้หรอคะ

                “เจคไม่ปล่อยเราไว้แน่ๆ เขามันหมาในสกปรก ถึงยังไงแม่ก็คิดไว้แล้วว่าอาจจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ แม่ไม่ยอมปล่อยให้ลูกออกไปทางประตูหลักนั่นเด็ดขาด เข้าใจมั้ย เพราะข้างหลังประตูนั่นมีฝูงมัมมี่อีกเป็นร้อยตัว ขืนลูกออกไปลูกต้องตายแน่ๆ เพราะฉะนั้นลูกต้องหนีไปทางประตูลับเท่านั้น แต่ลูกต้องไปกับลุค แม่อยากให้เขาดูแลลูก อย่าปฎิเสธเลยนะ ถือว่าทำเพื่อแม่สักครั้งได้มั้ย ลุคเป็นตัวแทนของพี่ชายลูก เขาจะดูแลลูกแทนแม่ได้อย่างแน่นนอน ถึงลูกจะบอกว่าตัวเองโตแล้วก็เถอะ ด้วยโปรด...เจสสิก้า เพื่อแม่สักครั้งเถอะนะ

                “ค่ะ...หนูจะทำเพื่อแม่ แต่เราต้องจากกันจริงๆแล้วใช่มั้ย......

              "อาจจะแค่ชั่วคราวหน่ะเจส"

              "หนูจะต้องหาทางกลับมาให้ได้ค่ะ สัญญา"

              เรามองตากันเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อกล่าวลา ถึงฉันจะเจ็บไปถึงขั้วหัวใจก็ต้องทำ คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว คงไม่มี......

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×