ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Deceased Human บันทึกรักเขย่าหัวใจไวรัสมัมมี่

    ลำดับตอนที่ #1 : First Impression

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ย. 59


    ฉันมองไปยังซากตึกที่อยู่ตรงหน้าด้วยเปลือกตาที่สุดแสนจะแห้งผาก แต่กลับไม่มีคำพูดสวยๆใดๆเกิดขึ้นมาในสมองของฉันเลยแม้แต่น้อย มันช่างว่างเปล่าและเย็นยะเยือกพอๆกับสภาพอากาศที่ปกคลุมอยู่รอบๆตัว มือที่เย็นจนแทบจะเป็นน้ำแข็งกลายเป็นซีดเผือกทั้งสองข้างนั้นกำไปที่ขอบผนังเตี้ยๆของดาดฟ้าบนตึกที่ฉันขึ้นมานั่งเฝ้ามองวินาทีสุดท้ายของชีวิตตัวเอง หากจะเปรียบเปรยตัวของฉันกับสายน้ำ มันก็ช่างเหือดแห้งเต็มที ท้องฟ้าที่เอาแต่มืดหม่นลงในยามเย็นราวกับจะเร่งให้ฉันทิ้งตัวลงไปข้างล่าง ไปสู่พื้นถนนซึ่งแตกระแหงไม่มีชิ้นดี ถ้ามองจากข้างบนนี้แล้วเหมือนกับพื้นดินฤดูแล้งที่ไร้หยดน้ำที่ต่ำลงไปราว 20 เมตรข้างล่าง และแน่นอน มันช่างง่ายดายเสียจริง...ถ้าฉันจะทำมันเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะยากอะไรหากฉันจะทิ้งตัวไปข้างล่างเดี๋ยวนี้....

    ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อ 5 ปีก่อน ฉันคงกลายมาเป็นข่าวร้อนหน้าหนึ่งของ BBC ไม่ก็ CNN หรืออะไรก็ตามที่พวกเขากำลังรู้ว่าฉันคิดที่จะกระโดดลงจากตึกสูง 20 เมตรแบบนี้ ผู้คนข้างล่างคงกำลังคว้าโทรศัพท์มือถือหรือไม่ก็กล้อง...ขึ้นมาถ่ายวินาทีชีวิตสุดท้ายของฉัน ถ้าเป็นตอนนั้นคนเหล่านั้นคงกำลังกรีดร้องหรือไม่ก็เชียร์ให้ฉันรีบๆกระโดดลงไป เฮลิคอปเตอร์ของแต่ละสำนักข่าวคงบินไปทั่วรอบๆหัวของฉันเหมือนแมลงวันที่บินตอมกองขยะโสโครก นักกู้ภัย และตำรวจคงมากันจนเต็มพื้นที่ ใช่..หากมันเป็นเมื่อ 5 ปีก่อน แต่ในความเป็นจริง ตอนนี้มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว ไม่มีแม้แต่เค้าโครงของวิถีชีวิตแบบเดิมๆ เหลือให้เห็นบนพื้นที่ที่เคยเห็นที่หนึ่งในด้านความเจริญของโลกแห่งนี้ มีก็แต่เพียงความเงียบเท่านั้นที่อยู่กับฉันในวินาที่ที่ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นวินาทีสุดท้ายของฉันหรือไม่ มันคือความเงียบเท่านั้น นิวยอร์กที่เคยรุ่งโรจน์กลายเป็นป่าช้าสำหรับคนทั้งเมือง เกาะแมนฮัตตันที่สุดจะหรูหรา ที่ๆเคยมีแต่พวกไฮโซเท่านั้นที่ได้ไปอยู่อาศัย..ที่นั่นได้กลายเป็นสลัมของพวกที่หนีมาหลบภัยจากทั่วทุกมุมโลกตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อนและที่สำคัญอันที่จริงมันไม่ง่ายเลยที่คนที่มีสติครบสมบูรณ์อย่างที่ฉันจะมานั่งใคร่ครวญเรื่องการฆ่าตัวตาย ที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้การที่ฉันจะตัดสินใจทำอะไรในแบบที่คนไร้สติเขาทำกัน การฆ่าตัวตายไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ไม่ใช่เรื่องสนุก และไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิดว่าตัวเองจะทำมาก่อน แต่มันสำคัญที่ว่า สิ่งที่อยู่ในตัวของฉันกำลังจะทำลายมนุษย์ที่เหลืออยู่ที่ฉันเคยได้รู้จักและพูดคุย แต่พวกเขาสำคัญกับฉันแค่นั้น แค่นั้นจริงๆ เพราะคนที่ฉันรักจริงๆนั้น...ไม่ตายก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปแล้ว กว่าฉันจะเริ่มทำใจได้ก็ผ่านไปเป็นปี ฉันจึงต้องหันมารักตัวเองให้มากที่สุดแทน อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ามนุษย์จะเหลืออยู่จะน้อยแล้วเต็มที ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้รักพวกเขา แต่มันก็เป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องปกป้องคนอื่นที่เหลืออยู่ และแม้ว่าฉันจะต้องสูญเสียชีวิตและอีกหลายชีวิตก็ตาม ถ้าหากว่ามองลงไปดีๆข้างล่างนั่น  บนถนนนั้นเต็มไปด้วยร่างของมนุษย์มากมายกรูกันออกมาเดินจนเกลื่อนพื้นถนนที่ไร้สัญญาณของชีวิตราวกับจะต้อนรับเวลาที่ไม่ต้องเจอกับแสงแดดในรุ่งอรุณของหัวค่ำแบบนี้ ทำไมพวกเขาจะต้องทำแบบนั้น....ฉันรู้ดี และรู้ซึ้งถึงเหตุผลที่แท้จริง

    มนุษย์ข้างล่างนั่นไม่ใช่ซอมบี้ ไม่ใช่แวมไพร์หรือผีดิบ หรือตัวอะไรก็ตามที่เราเคยเจอกันมาในซี่รี่ย์และหนังสือนิยายหลอกเด็ก กว่าที่เราทุกคนจะหาคำนิยามมาเรียกพวกที่เดินข้างล่างนั่นได้ก็ปาเข้าไปเกือบ 2 ปี เราเรียกสิ่งมีชีวิตพันธุ์ใหม่นี้ว่า มัมมี่ น่าตลกสิ้นดีที่เราเอาผีในยุคโบราณมาเรียกคนติดโรคในยุคใหม่แบบนี้ด้วยชื่อผีที่เด็กๆทุกคนต่างก็รู้จัก ถึงยังไงก็ตาม มันเหมือนกับโรคประหลาดที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จนไม่มีอะไรมาหยุดการติดเชื้อนี้ได้  มันไม่ใช่เชื้อไวรัสแต่ก็ติดต่อกันได้เร็วเหมือนกับไวรัส  คนถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปซะหมด พวกมัมมี่จะมีผิวหนังที่บอบบางต่อแสงที่มีรังสีอัลตร้าไวโอเลตโดยเฉพาะกับแสงอาทิตย์ ถ้าหากผิวของพวกมัมมี่โดนแสงแดดเผาเข้าอย่างจัง มันจะค่อยๆลอกออกมาเป็นแผ่นพร้อมกับความเจ็บปวดทรมานเป็นของแถม เวลาที่คนติดเชื้อจะออกไปไหนตอนกลางวันก็จะต้องหาเสื้อผ้ามาใส่จนหนาเตอะ แต่หลังจากนั้นไม่นาน คนติดเชื้อเริ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ  คนป่วยที่พบในโรงพยาบาลเกือบร้อยเปอร์เซ็นต่างก็เป็นโรคนี้ ภาพเหล่านั้น ฉันเห็นจนชินสายตาไปซะแล้ว พอขาเข้าก็..เนื้อตัวมีแต่เลือดบวกกับแขนขาที่เหวอะแหว่งเหมือนซอมบี้ที่พึ่งขุดขึ้นมาจากหลุม แต่พอขาออก..ทั่วทั้งตัวก็มีแต่ผ้าพันแผล ใช่แล้ว..และนี่ก็คือที่มาของคำว่าโรคมัมมี่ ช่วงแรกที่เราพึ่งทำความรู้จักกับโรคนี้ ผู้ที่ติดเชื้อด้วยโรคนี้กลับมองผิวเผินแล้วบอบบาง เรี่ยวแรงของแต่ละคนเริ่มโรยรา มองดูไม่มีพิษภัยอะไร แถมเนื้อตัวยังมีแผลเอาง่ายๆเสียด้วย ใครจะไปรู้ว่าในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนหลังจากนั้น พวกมัมมี่จะกลายเป็นภัยที่ร้ายกาจที่สุดของมนุษยชาติได้ถึงเพียงนี้  เพราะจู่ๆก็มีกระแสจากมุมใดสักมุมหนึ่งของโลกว่าสิ่งเดียวที่จะเยียวยาอาการของโรคร้ายนี้คือการดื่มกินเลือดและเนื้อของมนุษย์ที่ยังปกติอยู่ และแน่นอน..พวกมัมมี่ไม่สามารถจะทนความเจ็บปวดเหนือคำบรรยายของร่างกายตัวเองได้อีกต่อไป พวกนั้นเริ่มออกล่ามนุษย์คนแรก..และมันได้ผล จากมัมมี่ที่ไม่ต่างกับซากศพก็กลับมากลายเป็นผู้ที่มีกำลังวังชาอีกครั้ง แต่ผิวหนังก็ยังเป็นสีเขียวปนเทาระเรื่อจากรอยแผลเป็นทั่วร่างกาย ในขณะเดียวกัน พวกเขากลับแข็งแรงกว่าเดิมมากขึ้นด้วย จึงทำให้พวกมัมมี่ออกล่ามนุษย์ได้อย่างรวกเร็วจนน่าใจหาย

    ช่างน่าเศร้าเสียจริง ร่างกายของฉันในตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนเป็นพวกตัวประหลาดนี้ด้วย ในใจของฉันกลับไม่กลัวอะไรเลยแม้แต่น้อย จะห่วงก็แต่...เฮ้อออออ...คนของฉัน  คนที่ดีพวกนั้น ก็เท่านั้น....แต่ช่างเถอะ มันจะไปสำคัญอะไรกับคนที่ใกล้จะตายแบบฉัน  ฉันค่อยๆถอนหายใจออกเฮือกยาวไปพร้อมกับไอสีขาวออกปะทะกับความหนาวของอากาศ เหตุผลเพียงแค่นี้ก็ยังไม่สามารถทำให้ฉันฆ่าตัวตายได้อย่างแน่นอน ฉันไม่ใช่คนคิดสั้นแบบนั้น อันที่จริง ความลับของฉันต่างหากที่กำลังรอให้ฉันตัดสินใจว่าจะเลือกให้ตัวเองอยู่หรือไป เรื่องราวต่างๆกลับมาสู่สมองของฉันอีกครั้ง มันชัดเจนจนฉันนึกไม่ถึงว่ากาลเวลาพัดผ่านมาแล้วถึง 5 ปี ตั้งแต่วันที่ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปจนกระทั่งมาถึงวันนี้ ซึ่งโรคระบาดได้เริ่มมีการแพร่ไปทั่วโลกหลังจากที่ทั้งโลกเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่

    เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่นำมาซึ่งความวินาศทั่วทุกมุมเมือง เพียงชั่วข้ามคืนเมืองหลวงของทุกประเทศล้มครือลงราบคาบ ครอบครัวของฉันหนีรอดมาได้ โชคดีที่เราไม่เลือกไปที่ศูนย์หลบภัยเพราะที่นั่นพังลงด้วยอาฟเตอร์ช็อคครั้งที่สอง ฉันมั่นใจว่า คนบนโลกคงหายไปประมาณสามในสี่เห็นจะได้ ครอบครัวของฉันที่เหลือเพียงสามคนคือฉัน พ่อและแม่ส่วนพี่ชายของฉัน โจนาทาน เขาเป็นทหารแต่ก็หายไปพร้อมกับกองทัพตอนที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งแรก พ่อกับแม่ยังคงมีความหวังว่าเขาจะรอด แต่สำหรับฉัน ..ฉันพูดได้คำเดียวว่าต้องเผื่อใจไว้กับเรื่องนี้ให้มาก มากเท่าที่ฉันจะเป็นคนปลอบพ่อกับแม่ได้ทันทีที่เมื่อเรารู้ว่าโจนาทานได้จากไปแล้ว ฉันไม่ใช่คนโลกสวยเท่าไหร่ ฉันยอมรับเรื่องนี้ตั้งแต่โลกเก่าใบสวยของฉันได้เริ่มละลายหายไปตรงหน้ามานานนมเสียแล้ว จนฉันไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายไปตั้งแต่เมื่อไร

                พวกเรากระเสือกกระสนกันจนมาถึงนิวยอร์กได้สำเร็จ มันไม่ได้มีอะไรแตกต่างกับเมืองอื่นเท่าไรนัก ซากตึกที่โอนเอนผุพัง พื้นถนนที่มีควันสีขาวอุ่นๆพวยพุ่งจากพื้นดินตลอดเวลา แต่หารู้ไม่ว่าควันบ้าๆนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คนดีๆอย่างเรากลายเป็นมัมมี่ก็ได้ ฉันเดาแบบนั้น โชคดีที่แม่ของฉันเป็นหมอส่วนพ่อก็เป็นวิศวกรโยธาจึงทำให้ครอบครัวของเรามีที่พักที่ดีกว่าคนอื่น นั่นหมายถึง พวกเรามีบ้าน ซึ่งในขณะที่คนอื่นๆได้อยู่เพียงศูนย์พักพิงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง..บ้านเปรียบเสมือนกับสิ่งที่แสดงให้รู้ว่าเรายังมีมัน..ก็เท่านั้น..แต่กลับไม่ได้เข้ามาอยู่มากนักหรอก แม้กระทั่งฉันเองก็ต้องไปช่วยแม่ทำงานที่โรงพยาบาล ถึงตอนนั้นฉันจะอายุแค่ 18 แต่ก็มักจะได้ทำงานที่ใหญ่เกินตัว เพราะคนกลายมาเป็นมัมมี่ซะเกือบหมด คนดีๆก็เหลือน้อยเต็มที ฉันทำงานหนักแบบนี้ไปถึงกระทั่งผ่านไปหนึ่งปี วัคซีนตัวแรกที่ออกมา มันช่วยป้องกันเราจากเชื้อที่อยู่ในอากาศและการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง แต่ยังป้องกันไม่ได้ถ้าหากว่าต้องโดนกัด หรือการแลกเลือด ซึ่งมักทำกับในพวกที่ติดยางอมแงม พวกเขาโง่มากที่ทำแบบนั้น เราหยุดพวกเสพยาไม่ได้เพราะความเครียดมีมากเกินไป ความกดดันต่างๆแพร่ออกไปราวกับพายุหิมะที่หมุนรอบพวกเราซ้ำแล้วซ้ำอีก ยาเสพติดคงเป็นทางออกเดียวของพวกเขา

                เวลาผ่านไป พ่อของฉันต้องออกไปสร้างแนวป้องกันไกลมากขึ้น จนกระทั่งติดเชื้อกลับมา  เราทุกคนในครอบครัวพยายามปิดบังเรื่องนี้ แต่สุดท้าย..ก็มีคนจับได้และเนรเทศพ่อของฉันออกไปนอกแนวป้องกัน ฉันและแม่ทำใจแทบไม่ได้..นานพอตัวกว่าจะกลับเข้ามาทำงานในโรงพยาบาลได้อีกครั้ง โดยที่พ่อจะแอบมาหาฉันกับแม่ทุกๆอาทิตย์หลังแนวป้องกันที่เป็นประตูลับที่พ่อแอบสร้างเอาไว้ก่อนที่เขาจะติดเชื้อ เพราะเขากลัวว่า ซักวัน...การติดเชื้อต้องลามเข้ามาในแนวป้องกัน อย่างน้อย...ครอบครัวของเราจะได้หนีออกไปได้  ในสภาพที่พ่อของฉันกำลังกลายเป็นมัมมี่ แต่ละครั้งที่มาหาเขาจะมีสภาพที่แย่ลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็หายตัวไป และไม่กลับมาอีกเลย ฉันมั่นใจว่าเขายังไม่ตาย แต่เขาคงยอมให้พวกเราเห็นสภาพสุดท้ายในชีวิตมนุษย์ของเขาไม่ได้ เมื่อฉันกลับเข้ามาโรงพยาบาลอีกครั้ง มันก็เปลี่ยนไปมาก จนฉันแทบจำภาพเดิมๆไม่ได้ จากที่ฉันและแม่พยายามรักษาคนอื่นกลับต้องหันมาหาทางปกป้องตัวเองจากโรคแทน เราใช้วิธีการตรวจหาโรค ถ้าใครติดเชื้อก็ไล่ออกนอกเมืองเหมือนกับที่ทำกับพ่อของฉัน

                จนกระทั่งผ่านมา 4 ปี ทั้งพ่อและพี่ชายของฉันต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนแม่ก็เลือกที่จะบำบัดรอยแผลในใจด้วยการทำงานหนักจนถึงขั้นเรียกไดว่าหักโหม ฉันกับแม่จะได้เจอกันในค่ายกักกันนี่แค่เดือนละครั้ง เพราะฉันผันตัวเองมาเป็นคนดูแลสวนผลไม้ด้านในสุดของค่ายกักกันเนื่องจากภาวะความเครียดที่มารุมเร้า ฉันต้องเผชิญอยู่กับภาวะซึมเศร้าจนแม่ต้องสั่งย้ายฉันออกไป บรรยากาศที่นี่มันช่างดีกว่าในโรงพยาบาลมากแต่ฉันเองก็ต้องทำหน้าที่เป็นยามไปด้วย เพราะหลังกำแพงนี่ออกไป  มีแต่พวกมัมมี่เดินกันเกลี่ยนกลาดไปหมด และนั่นก็คือสภาพสองสามวันที่ก่อนจะเกิดเรื่องราวที่พลิกชีวิตของฉันไปทั้งหมดนั้น

                ทุกอย่างเริ่มขึ้นเมื่อ หลังจากที่พายุใหญ่สงบลง กำแพงฝั่งที่ฉันกับอาเธอร์คู่หูของฉันเฝ้าอยู่ทรุดตัวลง แรงทรุดนั้นแรงมากจนฉันกับเขากลิ้งไปที่อีกฝั่งของกำแพง โชดดีที่บริเวณนี้ไม่ใช่ที่ๆพวกมัมมี่ชอบออกมาหากิน เพราะมันไม่มีทางเลยที่พวกมันจะเข้ามาได้ เพราะหลังกำแพงนี้ คือแนวเขื่อนที่พึ่งสร้างเสร็จเมื่อสองปีก่อน ยากเกินไปที่พวกมันจะเข้ามาบริเวณนี้ได้ แต่ตอนนี้มันไม่เป็นแบบนั้นซะแล้ว สองสามอาทิตย์ก่อน พวกมันกลับมาบริเวณนี้ได้สำเร็จ ทันใด...ที่มันเห็นอาหารอันโอชะอย่างฉันและคู่หูอยู่ตรงหน้า ทุกตัวต่างก็วิ่งกรูกันมาเหมือนฝูงซอมบี้ในหนัง น่าขยะแขยงชะมัด ...ฉันกับอาร์เธอร์เอาระเบิดทุกลูกที่มีออกมาปาใส่พวกมัน จนต่างก็ตายไปเกือบหมด ในขณะที่ฉันพยายามมองไปที่กำแพงที่ทรุดตัวอยู่นั้น ฉันก็พบว่ามันไม่ได้พังลงมา ขอบคุณ..พระเจ้าที่ยังปราณีคนด้านใน แต่เพียงแค่ทรุดลงเป็นแนวยาวลึกเท่านั้น จึงทำให้ยังไม่มีมัมมี่ตัวใดที่ผ่านเข้าไปได้ แต่วิธีเดียวที่ฉันกับเขาจะรอด คือต้องกลับเข้าไปข้างในค่ายด้วยประตูลับของพ่อ ฉันบอกกับอาร์เธอร์เรื่องประตูลับนั่น  เขาถึงกับผงะ เพราะรู้ว่ามันจะทำให้เกิดอันตรายมาแค่ไหน 

              "ให้ตายเถอะเจส พวกเธอบ้า  บ้าไปหมดแล้ว"

              "ฉันรู้ๆ แต่ตอนนี้เราต้องเอาตัวให้รอดนะ จำไว้"

              เขาหัวเสียมากและเขาไม่ทางทางเลือกอื่นนอกจากร่วมมือกับฉัน เราทั้งสองคนฝ่าฝูงมัมมี่ไปที่ประตูด้วยการใช้ปืนกลที่เราสะพายไว้ตลอดเวลาฝ่าออกไป จนกระทั่งหลุดออกจากฝูงของมัมมี่มาได้ ฉันและเขาโล่งใจอย่างมาก ในขณะที่ฉันกำลังจะเปิดล็อกตัวสุดท้ายสำเร็จ จู่ๆก็มีมัมมี่อีกประมาณ 10 กว่าคนวิ่งด้วยความเร็วที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปมาหาพวกเรา เมื่อฉันเห็นดังนั้น สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นทำเอาหัวใจของฉันตกไปที่ตาตุ่ม มันช่างน่าขนลุกและสยดสยอง แต่ที่มันมันแย่กว่านั้นที่เขาตัดสินใจวิ่งเข้าไปสู้กับพวกมัน 

              "ไม่นะอาเธอร์ จะบ้าหรือไง กลับมา"

              "เธอรีบไขประตูไปเถอนะน่า ฉันถ่วงเวลาตรงนี้เอง"

              ใช่...เขาพูดถูก สิ่งที่เขาทำอยู่นั้นช่วยเบนความสนใจได้อย่างมาก แต่แล้ว...สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น ความเร็วของกระสุนปืนกลกลับสู้พวกมัมมี่กลุ่มนี้ไม่ได้ ...อะไรกัน...ไม่จริง...อาร์เธอร์ถูกกัดเข้าที่ขาเข้าอย่างจัง เสียงกรีดร้องของเขาดังจนฉันต้องหยุดชะงัก ฉันหยุดปลดล็อกตัวนั้น แล้วจึงหันหัวกระบอกปืนไปที่หัวของพวกมันที่กำลังเริ่มมารุมกินเขา และวินาทีนี้พวกมันกลายเป็นเป้านิ่งของฉัน จนฉันมั่นใจแล้วว่าฉันสามารถกลับมาใช้ปืนกลได้ ฉันกดลั่นไกอย่างไม่ปราณีจนพวกมันล้มลงทีละตัวๆ และเช่นกัน มันไม่ต่างกับการเอามือปัดตุ๊กตาให้ล้มลงทีละตัวๆ จนกระทั่งมาถึง 3 ตัวสุดท้าย มี 2 ตัวที่พยายามจะเข้ามาหาอาร์เธอร์ให้ได้ ในขณะที่ตัวสุดท้ายที่เหลือกลับเอาแต่ยืนมองนิ่งสนิท ไม่ขยับไปไหน จนฉันเป่าหัวของทั้งสองตัวลงจนสำเร็จแต่เจ้ามัมมี่ตัวสุดท้ายก็ยังไม่ขยับไปไหน เขายังยืนมองร่างที่นิ่งสนิทของอาร์เธอร์อยู่แบบนั้น ในขณะที่อาร์เธอร์ก็ค่อยๆหมดลมลงอย่างช้าๆ ฉันไม่สามารถเข้าไปช่วยอะไรเขาได้เลย เพราะมันเสี่ยงจนเกินไป ที่จะเข้าไปใกล้มัมมี่ที่มีพลังเกินกว่ามัมมี่ธรรมดาแบบนั้น หากเขาก้มลงกินอาเธอร์อยู่ฉันคงจัดการกับเขาอย่างง่ายดาย แต่เขากลับอยู่ในท่าที่พร้อมจะต่อสู้ ทำเอาฉันเองก็ได้แค่อยู่นิ่งๆเท่านั้น

                เมื่อฉันจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทที่ยังคงมีประกายสีใสของมัมมี่ตัวนั้น มันช่าง....ฉันไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนี้กับตัวเองได้ พระเจ้า...นี่นั่นมันความรู้สึกอะไรกัน เขาเองก็ยังคงจ้องมองฉันอยู่ตรงนั้นไม่ยอมแม้จะวิ่งหนีฉันด้วยซ้ำ เนื้อตัวภายใต้เสื้อเชิ้ตสีดำที่ขาดหลุดลุ่ยของเขาเป็นสีเขียวอ่อนปนกับรอยแผลเป็นที่ลากยาวบนแขนข้างขวาเมื่อแสงแดดของฟ้าหลังฝนส่องเข้ามากระทบกับร่างกายของเขา มันกลับไม่ได้น่ากลัวหรือน่ารังเกียจเหมือนกับคนอื่นๆบนหัวของเขาพันด้วยผ้าพันแผลเหมือนกับมัมมี่ตัวอื่นๆ แต่น้อยกว่ามาก มากพอที่ฉันจะสามารถมองเห็นโครงหน้าของเขาบ้าง ผมของเขาสั้นสีดำขลับดูยุ่งเหยิงไปหมด เขาค่อยๆก้มลงมองศพพรรคพวกของเขา แล้วจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองหน้าฉันอีกครั้ง เขายังคงยืนนิ่ง ในขณะที่ฉันกำลังก้าวขาเข้าไปหาเขาอย่างช้าๆ มันช่างผิดกับสัญชาตญาณทั่วๆไปของมัมมี่ เขาควรต้องเข้ามากัดกินฉันแล้ว หรือไม่ก็ต้องวิ่งหนีฉันไป แต่นี่มันไม่ใช่..

              "คุณ....ปลอด....ภัย...แล้ว"

              ฉันได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย มัมมี่พูดได้อย่างงั้นเหรอ ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย

              "ห้ะ....มัมมี่พูดได้ อย่างงั้นเหรอ"

              "คุณ....ปลอด....ภัย...แล้ว"

              เขาย้ำกับฉันอีกครั้ง!!!!!

                ฉันค่อยๆก้าวขาเดินเข้าไปหาเขาจนฉันยืนอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าว ในเวลานี้แสงแห่งเช้าวันใหม่เริ่มแรงมากขึ้น ซึ่งเหตุผลนี้เองที่ทำให้สีตัวของเขาเริ่มเข้มขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่านี่คืออาการแพ้แสงแดดจัด ซึ่งเขาจะต้องเข้าไปหาที่กันบังทันที ไม่งั้นหล่ะก็..มีหวังทั่วทั้งตัวของเขาจะมีแต่แผลแหวะหวะอย่างแน่นอน...ทันใดนั้น เขาก็หันหลังให้ฉันแล้วเริ่มออกตัววิ่งไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เขาจะหายเข้าไปในเงามืดนั้น เขาหันหน้ากลับมา พร้อมกับประทับดวงตาคู่นั้นเข้าไปในก้นบึ้งของจิตใจและหัวใจของฉัน ใช่...เขาช่างแตกต่าง เขาคือใครกัน ...ไม่อาจปฏิเสธเลยว่าแววตาของเขาสะกดฉันเอาไว้ให้ทำได้เพียงยืนนิ่งท่ามกลางแสงแดดแห่งเช้าวันใหม่เท่านั้น และเขาทำลายความรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับมัมมี่ของฉัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×