ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #3 : หญ้าสะท้อนจันทร์

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ค. 50


    ภาคแผนครองพิภพ

    ตอนที่ 3 หญ้าสะท้อนจันทร์

    1 กุมภาพันธ์ อศ. 226

    ลูท โรซาไลน์และกอร์ดอนรุดมายังห้องรักษาพยาบาลที่อยู่ด้านข้าง พบเห็นบลูนอนหลับอยู่บนเตียง ฟังจากเสียงลมหายใจดูเหมือนคนนอนหลับตามปกติ จึงไม่ทราบว่าอาการทรุดหนักลงได้อย่างไร

    ลูทถามด้วยความร้อนใจว่า "ท่านหมอ อาการของบลูเป็นอย่างไรบ้าง"

    แพทย์ชราละสายตาจากบลูมองมาที่ลูทส่ายหน้าคราหนึ่ง กล่าวว่า "ไม่มีอันตรายถึงชีวิตหรอก เพียงแต่อาการของพ่อหนุ่มคนนี้แปลกประหลาดนัก"

    ลูทถามต่อไปว่า "ผิดปกติอย่างไร ข้าเห็นเขานอนหลับเป็นปกติไม่มีบาดแผลอันใด"

    แพทย์วีกล่าวว่า "ภายนอกของเขาไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรหรอก แต่สิ่งที่ผิดปกติมันอยู่ภายในต่างหาก เอลภายในร่ายกายของเขามีแหล่งกำเนิดอยู่ถึงสี่แห่ง แตกต่างจากคนทั่วไปที่มีเพียงแห่งเดียว ข้าตรวจสอบพบว่าเขาฝืนใช้เอลมากเกินไป ขั้นตอนก่อกำเนิดฟื้นฟูให้เอลกลับมาเป็นปกติทำงานช้าเกินไป วงจรการสร้างเอลใหม่ขึ้นมาเพื่อชดเชยเอลที่ถูกใช้จึงไม่สมดุล เอลทั้งสี่แห่งถูกฟื้นฟูไม่เต็มอัตรา ในจุดนี้ถ้าหากเป็นคนปกติธรรมดาเพียงนอนสลบไสลไปวันสองวันก็จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับกำลังวังชาที่เต็มเปี่ยมเอง แต่สำหรับพ่อหนุ่มคนนี้เขามีต้นกำเนิดของเอลมากกว่าคนปกติถึงสี่เท่า ถึงแม้ว่าเขาสามารถก่อกำเนิดเอลใหม่เข้าทดแทนเอลเก่าที่หายไปได้ดีกว่าคนปกติถึงสองเท่ามันก็ยังไม่เพียงพอ

    ข้าเกรงว่าจุดกำเนิดของเอลอีกสองแห่งเมื่อฟื้นฟูไม่ทันจะไม่ฟื้นฟูขึ้นมาอีก หรือเป็นไปได้ถึงขนาดที่จุดกำเนิดเอลอีกสองแห่งที่ยังใช้การไม่ได้ถ่วงการทำงานของจุดกำเนิดเอลอีกสองแห่งที่ใช้การได้ ทำให้ระบบโดยรวมล้มเหลวกันไปทั้งหมด กล่าวอย่างเรียบง่ายก็คือมีโอกาสที่เขาตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่สามารถใช้เอลได้ตามปกติ หรืออย่างโชคดีที่สุดอาจจะใช้ได้ แต่ได้ประสิทธิภาพจะลดลงเหลือแค่กึ่งหนึ่งของยามก่อนหน้านี้"

    ลูทตกใจกับเรื่องที่หมอวีกล่าวเป็นอย่างมาก บลูเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเขา ในช่วงที่ร่ำเรียนวิชากับอาจารย์ดาธด้วยกันทำให้เขาทราบดีว่าบลูหลงใหลในเรื่องของเอลเป็นที่สุด บลูถึงได้รบเร้าให้อาจารย์ดาธสอนเรื่องเอลกับเขาทุกวี่วัน ส่วนตัวลูทเองแทบจะไม่มีความสนใจทางด้านเอลเลย ถ้าหากบลูสูญเสียความสามารถในการใช้เอลไปกึ่งหนึ่งแล้วเขาเองคงยากจะรับได้

    ตัวลูทเองต่างจากบลู เขาเกิดและเติบโตมาจากหมู่บ้านที่สงบสุขหากผู้ใดประพฤติผิดก็จะมีตัวบทกฎหมายลงโทษ บิดาของเขาไม่เคยกล่าวถึงเรื่องเอล คนรอบข้างเขาก็ไม่เคยกล่าวถึงเรื่องเอล เขาจึงไม่สนใจด้านความรุนแรง สาเหตุหลักที่ร่ำเรียนวิชากระบี่คือเพื่อป้องกันตัวในระยะประชิดจากสัตว์ร้ายในป่า เมื่อเขามีโอกาสได้พบบลูและอาจารย์ดาธเขาจึงมีโอกาสรู้จักศาสตร์แห่งเอล ซึ่งตรงจุดนี้ลูทเองสนใจเพียงด้านเอลเทคที่ใช้สร้างสรรค์นวัตกรรม มิใช่การใช้เอลเพื่อการต่อสู้แต่อย่างใด

    หัวหน้าหมู่บ้านกอร์ดอนถามว่า "ท่านหมอวี มีวิธีอะไรพอจะช่วยได้ไหม"

    แพทย์ชราวีตอบว่า "วิธีนั้นมีอยู่หรอกแต่จะต้องกระทำด้วยความรวดเร็ว ข้าถึงได้ใช้ให้บีทรีบไปเรียกพวกท่านมา"

    ลูทกล่าวแทรกขึ้นว่า "ทำอย่างไรละท่านหมอ ข้าพร้อมจะช่วยเต็มที่"

    แพทย์ชราวีกล่าวตอบว่า "ข้ายังกล่าวไม่จบ อย่าพึ่งรีบร้อนไปสิพ่อหนุ่ม"

    ลูทนึกในใจ หมออะไรเนี่ยบอกว่าต้องช่วยด้วยความรวดเร็วแล้วบอกให้ข้าไม่รีบร้อน

    แพทย์ชราวีกล่าวสืบต่อ "ด้วยพลังการฟื้นฟูที่เหนือกว่าคนธรรมดาอย่างพ่อหนุ่มคนนี้ อย่างน้อยร่างกายเขาจะไม่มีผลกระทบใดๆในช่วงเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ภายในช่วงเวลาที่กำหนด เขาต้องได้รับการช่วยเหลือโดยการกระตุ้นจากภายนอก นั่นก็คือการกระตุ้นด้วยตัวยา ตัวยาจะช่วยเปิดทางให้เอลของเขาอีกสองสายที่หลับใหลอยู่ภายในร่างกายออกมาใช้งานได้สะดวกมากขึ้น วิธีนี้จะทำให้อัตราการฟื้นคืนตัวของเอลจะเพิ่มพูนทำให้เอลก่อกำเนิดในอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงถัดมา วิธีปรุงยานั้นข้าเองก็รู้วิธีปรุงอยู่เพียงแต่ขาดส่วนผสมของตัวยาที่สำคัญที่สุดนั่นคือ ต้นหญ้าสะท้อนจันทร์"

    โรซาไลน์กล่าวเสริมว่า "ข้าเคยได้ยินผู้คนในหมู่บ้านเอ่ยปากถึงต้นหญ้าชนิดนี้ รู้สึกว่ามันจะอยู่ในหุบเขาไม้ดอก ใช่ไหมท่านหมอวี"

    หมอวีกล่าวตอบว่า "ถูกต้องแล้วหลานเอย ต้นหญ้าต้นนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่หุบเขาไม้ดอกทางทิศตะวันออก ห่างจากที่นี่ไปประมาณแปดกิโลเมตร ทางเดินแถบนั้นค่อนข้างจะอันตราย หุบเขาแห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของไม้ดอกนานาพันธุ์ รวมถึงต้นน้ำของแม่น้ำเจนีสที่ไหลตัดผ่านตอนปลายหมู่บ้านเรา ถิ่นกำเนิดของแม่น้ำเจนีสที่เป็นพรมแดนกั้นระหว่างเมืองเจนีสเหนือใต้ก็อยู่ที่หุบเข้าไม้ดอกนี่แหละ"

    ลูทฟังคำกล่าวของหมอวีแล้วคิดตามอย่างใจจดใจจ่อ พิจารณาว่าหุบเขาไม้ดอกสมควรจะอยู่ตำแหน่งใดในแผนที่ที่เขาพกติดตัวมา เขาปรารถนาจะติดปีกโบยบินไปปลิดสมุนไพรมาให้เพื่อนเขาในชั่วอึดใจ

    หมอวีถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกล่าวต่อไปว่า "หุบเข้าไม้ดอกยังเป็นต้นเหตุของปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง นับเป็นประเด็นที่สำคัญพอๆกับการช่วยเหลือพ่อหนุ่มคนนี้"

    ลูทถามว่า "คืออะไรอย่างนั้นหรือ"

    หมอวีกล่าวตอบว่า "นั่นคือหุบเขาไม้ดอกเป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำพิษ ที่จะสร้างปัญหาให้กับหมู่บ้านเราในเร็ววันเสียด้วย"

    กอร์ดอนกล่าวตัดบทว่า "เมื่อครู่ก่อนที่พวกเจ้าจะเข้ามา ลุงกำลังปรึกษากับท่านหมอวีเรื่องปัญหาน้ำพิษจากหุบเขาไม้ดอกอยู่พอดี ประมาณสามสิบถึงสี่สิบปีปัญหาเช่นนี้จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง น้ำพิษเหล่านี้เกิดขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อประมาณสามสิบปีก่อน พิษของมันเจือปนมากับแม่น้ำเจนีสทำให้คนที่ดื่มน้ำเข้าไปเกิดอาการวิงเวียนศีรษะหน้ามืดตาลายหมดสติ หัวหน้าหมู่บ้านรุ่นก่อนออกสำรวจตรวจตราจนพบต้นตอของปัญหานี้ เขาพบว่าตัวการของปัญหาคือดอกไม้ประหลาดชนิดหนึ่งในหุบเขาไม้ดอก ดอกไม้ชนิดนี้แผ่ละอองเกสรที่เป็นอันตรายต่อผู้คนและสัตว์เลี้ยง รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆลงในต้นน้ำ น้ำพิษพวกนี้จะไหลเข้ามารวมกับคลองส่งน้ำของพวกเราทำให้พืชผลเสียหาย น้ำไม่สามารถดื่มกินได้ เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาใหญ่ของหมู่บ้านเราเช่นกัน

    ในช่วงนี้ส่วนผสมน้ำพิษยังเบาบางอยู่ไม่สามารถทำอันตรายใดๆต่อคนได้ แต่ถ้าปล่อยเอาไว้อีกไม่เกินสามวันให้หลัง ดอกไม้พวกนี้ก็จะเจริญเติบโตเต็มที่ น้ำพิษจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆและส่งผลกระทบต่อทั้งคนในหมู่บ้านเรา รวมไปถึงประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองเจนีสเหนือใต้เป็นจำนวนหลายหมื่นคน เราจะต้องจัดการกับปัญหานี้ก่อนที่จะลุกลามใหญ่โต"

    หมอวีกล่าวต่อว่า "ท่านหัวหน้าหมู่บ้านไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการกำจัดต้นน้ำพิษ ข้านั้นได้ปรุงน้ำทิพย์ขจัดพิษขึ้นมาสำเร็จแล้วฤทธิ์ของมันสามารถต่อต้านพิษจากดอกไม้พิษสีม่วงได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ให้ใครสักคนหนึ่งลงไปที่ก้นหุบเขาจะเจอแหล่งกำเนิดของต้นน้ำและดอกไม้สีม่วง ข้าคาดว่าคงมีไม่เกินสามหรือสี่ต้น เมื่อเจ้าพรมน้ำทิพย์นี้ลงไปบนดอกไม้พิษสีม่วงที่เป็นต้นตอของน้ำพิษ เมื่อพิษทั้งมวลถูกน้ำทิพย์ขจัดออกไปพวกเราก็จะรอดพ้นจากภยันอันตราย"

    ลูทกล่าวตอบโดยไม่ลังเล "ตกลงข้าจะไปนำเอาต้นหญ้าสะท้อนจันทร์ อีกทั้งจะจัดการเรื่องต้นน้ำพิษให้กับพวกท่าน" ด้วยคุณธรรมประจำใจของเขาถึงไม่มีเรื่องบลูเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาก็ตกลงใจจะช่วยเรื่องน้ำพิษนี่ให้ถึงที่สุด

    หมอวีกล่าวตอบว่า "ขอบใจเจ้ามากพ่อหนุ่มน้อย หญ้าสะท้อนจันทร์อยู่ที่ปากหุบเขา เจ้าเดินเท้าเข้าไปไม่ลึกก็จะพบกับต้นหญ้าเรืองแสงชนิดนี้ แต่น้ำพิษอยู่ที่ส่วนในสุดของหุบเขา ข้าเกรงว่าเจ้าอาจจะกลับมาไม่ทันช่วยเพื่อนของเจ้า ดังนั้นข้าคิดว่าจะให้บีทไปเป็นผู้ช่วยเจ้าอีกคนหนึ่ง ให้เขาเอาต้นหญ้าสะท้อนจันทร์กลับมาก่อน การช่วยคนต้องทำยิ่งเร็วยิ่งดีและยาของข้าก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการปรุง ถ้านานไปเกรงว่าอาจจะช่วยเหลือไม่ทัน"

                    โรซาไลน์กล่าวว่า "ข้าขอไปแทนบีทจะดีกว่าหมอวี เรื่องน้ำพิษเป็นเรื่องรีบด่วนของหมู่บ้านนี้เช่นกัน ข้าในฐานะของหลานสาวของหัวหน้าหมู่บ้านที่อาศัยในหมู่บ้านนี้ ในเมื่อหมู่บ้านกำลังตกอยู่ในอันตราย ข้าก็ต้องช่วยอย่างสุดความสามารถ ข้าเองรู้จักวิชาต่อสู้ป้องกันตัวมากกว่าบีท หากพบสัตว์ร้ายโดยไม่คาดฝันก็สามารถต่อกรได้"

    กอร์ดอนกล่าวว่า "ถ้าหลานโรสไปเองข้าก็วางใจ ให้หลานบีทอยู่ที่นี่ศึกษาวิชาจากท่านหมอ ช่วยดูแลเพื่อนของลูท นี่เป็นนับเป็นโอกาสอันดีที่หลานจะได้ศึกษาวิชาแพทย์ที่ใช้กันจริงๆ รวมทั้งวิธีผสมยาวิเศษที่นานๆจะมีโอกาสสักครั้งหนึ่ง ว่าอย่างไรท่านหมอวี"

    หมอวีตอบว่า "ข้าเองก็ไม่ขัดข้องอันใด ฝากด้วยนะหลานโรส"

    จากนั้นกอร์ดอนก็หันหน้าไปทางโรสและลูทกล่าวสืบต่อว่า "พวกเจ้าทั้งสองต้องระวัง หุบเขาไม้ดอกดูเหมือนจะไม่มีอันตรายใดๆ แต่เมื่อดอกไม้พิษปรากฏขึ้นจะต้องมีสาเหตุอะไรบางอย่าง ข้าระแวงว่าสัตว์ร้ายอาจจะปรากฏกาย"

    ลูทตอบอย่างไม่เกรงกลัว "ข้าจะต้องช่วยเพื่อนข้าและหมู่บ้านนี้ให้จงได้ ขอให้ท่านลุงกอร์ดอนโปรดวางใจ"

    โรสกล่าวกับลูทว่า "ขอเวลาข้าประมาณหนึ่งชั่วโมงสำหรับเตรียมอุปกรณ์ไต่หน้าผาและการเดินทาง เจ้าเดินทางมาเหนื่อยๆก็สมควรที่จะพักผ่อนเอาเรี่ยวแรงสักครู่ หนึ่งชั่วโมงให้หลังเราพบกันที่หน้าหมู่บ้าน"

    กอร์ดอนกล่าวว่า "ขอให้อาเรสคุ้มครองเจ้า"

    อาเรสเป็นผู้กล้าที่ยุติความขัดแย้งของสงครามระหว่างนอร์ ลาเวนดิสและเอนเซลเมื่อสองร้อยยี่สิบหกปีก่อน เขาสถาปนานครมิสต์อันเป็นดินแดนกลางเชื่อมสามอาณาจักรเข้าด้วยกันขึ้น หลังจากปีนั้นความเจริญต่างๆก็รุดหน้าขึ้นแบบก้าวกระโดด หลังจากที่ท่านเสียชีวิตลงผู้กล้าอาเรสได้รับการยกย่องให้เป็นบุรพกษัตริย์แห่งราชวงศ์เจนีส ประชาชนทั่วไปนับถือประหนึ่งเทพเจ้าถึงขนาดกำหนดปีศักราชขึ้นใหม่เป็นปีที่เขาสถาปนานครมิสต์เรียกว่าอาเรสศักราช (อศ.) ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายจนถึงทุกวันนี้

    ทั้งสองรับคำคราหนึ่งแล้วจึงอำลาจากไป

    ราวหนึ่งชั่วโมงต่อมา ณ ปากทางเข้าหมู่บ้าน

    ขณะนั้นเป็นเวลาหนึ่งทุ่มเศษ ลูทกับโรซาไลน์ก็เตรียมตัวพร้อมสรรพเพื่อออกเดินทางสู่หุบเขาไม้ดอก ทั้งสองเดินกันไปพลางสนทนากันไปพลาง

    ลูทกล่าวว่า "เราคงจะต้องเดินทางกันอีกประมาณสองชั่วโมงสินะ"

    โรสพยักหน้าคราหนึ่งกล่าวว่า "ใช่ หุบเขาไม้ดอกห่างจากที่นี่ไปทางทิศตะวันออกราวแปดกิโลเมตร แต่จากจุดนั้นไปถึงต้นหญ้าสะท้อนจันทร์อาจจะต้องใช้เวลาอีกราวชั่วโมงหนึ่ง"

    ลูทถามว่า "เจ้าเคยไปที่นั่นมาก่อนไหม"

    โรสพยักหน้าครั้งหนึ่งตอบว่า "เพียงครั้งเดียวเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นข้าออกติดตามหมอวีและลุงเซลไปตรวจดูพรรณไม้ที่นั่น ข้าก็ยังพอจำเส้นทางได้อยู่บ้าง ภูมิประเทศนั้นเป็นทางแคบขรุขระตะปุ่มตะป่ำเพียงให้เดินได้ทีละคน จะต้องเดินเรียงเดี่ยวเกาะขอบหินผาเข้าไปตามทาง ด้านล่างสุดของหุบเขามีดอกไม้นานาชนิดขึ้นเต็มไปหมด ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั้งหุบเขา ที่นั่นมีตาน้ำเล็กๆอยู่ตาหนึ่งอันเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำเจนีส"

    ลูทหยิบเอาของชิ้นเล็กๆสองชิ้นจากกระเป๋าสัมภาระของเขาขึ้นมา มันเป็นแท่งแก้วสองแท่ง ภายในแต่ละแท่งมีหินอัญมณีสีแดงสดอยู่ก้อนหนึ่ง เขายื่นให้กับโรซาไลน์แท่งหนึ่ง กล่าวว่า "ของสิ่งนี้ให้เจ้าโปรดนำมันติดตัวไว้"

    โรซาไลน์รับแท่งแก้วมามองดูอยู่ครู่หนึ่งจึงถามว่า "แท่งแก้วนี้เอาไว้ทำอะไร"

    ลูทสาธิตวิธีการใช้ให้กับโรสดูพร้อมกล่าวอธิบายว่า "แท่งแก้วนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่อาจารย์ดาธเคยสอนให้ข้า มันมีประโยชน์มากเวลาเดินทางกันสองคน วิธีใช้เจ้าต้องวางกล่องแท่งแก้วนี้นอนราบลงบนฝ่ามือ จากนั้นลองสังเกตดูจะพบว่าพลอยสีแดงในกล่องแก้วทั้งสองจะเลื่อนมาชี้เข้าหากันเสมอ ปลายของแท่งแก้วพวกนี้หมุนได้โดยจะหันไปตามทิศทางของพลอยอีกลูกหนึ่ง เสมือนมีแรงดึงดูดจากพลอยทั้งสองเข้าหากันตลอดเวลา ทำให้พวกเรารู้ที่อยู่ของอีกคนหนึ่ง ถ้าเกิดการพลัดหลงกันระหว่างทาง"

    โรซาไลน์พยักหน้ากล่าวว่าเข้าใจแล้วจากนั้นเก็บแท่งแก้วไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง ถามต่อไปว่า "ทำไมพลอยทั้งสองถึงมีแรงดึงดูดเข้าหากันได้ล่ะ"

    ลูทตอบว่า "อาจารย์อธิบายให้ข้าฟังว่าพลอยทั้งสองแต่เดิมเป็นเม็ดเดียวกัน ท่านแบ่งมันออกเป็นสองส่วนแล้วใช้แร่เอลไลท์ทำปฏิกิริยากับให้เชื่อมกันใหม่มันตามทฤษฏีของเอลเทค พลอยแต่ละก้อนจะส่งแรงดึงดูดเข้าหากันเพื่อรวมเป็นเนื้อเดียวอีกครั้ง ระหว่างที่มันกำลังเชื่อมต่อกันอยู่ให้นำพลอยทั้งสองใส่ลงไปในแท่งแก้วพิเศษสองแท่งนี้ แรงดึงดูดที่มีออกมาจะคงอยู่เสมอไป ด้วยเหตุนี้พลอยทั้งสองหันหน้าเข้าหากันตลอดเวลา"

    จนบัดนี้โรสถึงเข้าใจว่าลูทเองก็เป็นคนที่มีความสามารถทางด้านสิ่งประดิษฐ์คนหนึ่ง ตัวเธอเองมิได้ต้องการคำตอบที่ลึกซึ้งเท่าไร แค่เกิดความอยากรู้เมื่อเห็นพลอยที่มีคุณสมบัติพิเศษ แต่พอลูทตอบได้อย่างละเอียดถี่ยิบราวกับสร้างมันขึ้นมาด้วยมือของเขาเอง เธอจึงต้องประเมินคุณค่าลูทใหม่

    พอลูทอธิบายจบจึงถามโรสกลับไปว่า "แล้วเจ้าเรียนวิชาอะไรจากอาจารย์ดาธ"

    โรซาไลน์ตอบว่า "เมื่อแปดปีก่อนข้าเรียนเอลที่ห้าจากท่านอาจารย์ เจ้ารู้จักวิธีใช้เอลใช่ไหม"

    ลูทกล่าวด้วยความแปลกใจว่า "แปดปีเชียวหรือ ตอนนั้นเจ้าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นสิ"

    โรสยิ้มไม่ตอบคำ ลูทจึงกล่าวตอบไปว่า "ข้าใช้เอลไม่เป็นหรอก ไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำว่าเอลที่ห้าคืออะไร ไม่เห็นบลูเคยใช้สักครั้ง"

    โรสตอบว่า "เอลที่ห้าคือเอลที่ประสานพลังงานของแสงสว่างออกมาใช้งาน"

    ลูทถามต่อด้วยความสงสัยว่า "แล้วมีประโยชน์อย่างไร ทำอะไรได้บ้าง ถ้าให้ข้าเดาก็คงเป็นการฉายแสงสว่างในที่มืดนอกจากนั้นมีอีกไหม"

    โรสตอบว่า "เอลที่ห้าที่ข้าร่ำเรียนมานั้นยังอยู่ในวงจำกัด ที่เจ้ากล่าวมาก็ถูกเอลที่ห้าช่วยให้แสงสว่างในที่มืดได้ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นประโยชน์มากคือข้าสามารถใช้มันรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก ทำให้บาดแผลสมานเร็วขึ้น โลหิตหยุดหลั่งไหล อาการฟกช้ำดำเขียวหายไป"

    ลูทกล่าวชมเชยว่า "ท่าทางจะมีประโยชน์ไม่น้อย หวังว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องบาดเจ็บถึงขนาดให้เจ้าช่วยรักษา"

    หุบเขาไม้ดอกเป็นสถานที่ที่มีไม้ดอกนานาพันธุ์สมชื่อ ขนาดในยามวิกาลยังมีกลิ่นหอมจางๆล่องลอยออกมาจากสถานที่แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง

    จากปากทางเข้าไปจนถึงด้านล่างของหุบเขาเป็นทางลาดชันลงไปเรื่อยๆ ผู้ที่เดินไม่ระวังอาจจะพลัดตกลงไปได้ และแน่นอนโอกาสรอดชีวิตนั้นเลือนรางยิ่ง พวกเขาทั้งสองใช้เวลาเดินราวครึ่งชั่วโมงตั้งแต่จากปากทางเข้าถึงที่จุดนี้ พวกเขาไม่สามารถเดินด้วยความเร็วเต็มที่เพราะทางนั้นทั้งแคบและอันตรายทำให้ต้องใช้เวลามากกว่าการเดินปกติ

    โรซาไลน์ที่เดินอยู่ด้านหลังชี้ให้ลูทมองไปตามมือของเธอ กล่าวว่า "สถานที่นั้นเป็นแหล่งที่อยู่ของหญ้าสะท้อนจันทร์"

    ลูทมองตามไปเห็นแสงสว่างเรืองรองออกมาจากทางด้านนั้นอยู่ลิบตาจริงอย่างที่โรสกล่าว จึงกล่าวตอบว่า "อีกไกลหรือไม่กว่าจะถึง"

    โรสตอบว่า "ไม่ไกลเท่าไรหรอกแต่ปัญหาอยู่ที่ความเร็วในการเดิน เมื่อเราเดินลึกลงไปเรื่อยๆ เงาไม้จะบดบังแสงจันทร์ทำให้เรามองไม่เห็นทาง เจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จากจุดนี้คงจะใช้เวลาเดินเกือบครึ่งชั่วโมง"

    ลูทพยักหน้ารับคำ คนทั้งสองถือคบเพลิงกันคนละหนึ่งชุดเพื่อส่องแสงสว่างในที่มืด ใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูงในการค่อยๆเดินต่อไป ทุกย่างก้าวจะต้องผ่านการไตร่ตรองก่อนถึงจะก้าวขาทิ้งน้ำหนักลงไป ลูทได้ยินเสียงก้อนหินร่วงหล่นกระทบหน้าผาดังเป็นระยะๆ เขาต้องทำเป็นไม่สนใจเสียงพวกนั้นเพื่อมิให้มองลงไปยังด้านล่าง ขาทั้งสองข้างเดินต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน

    แสงจันทร์สลัวส่องลงมากระทบวงพักตร์ของโรซาไลน์ เกิดความรู้สึกอันสวยซึ้งจับต้องไม่ได้อย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะสวมใส่ชุดรัดกุมสีดำเพื่อความคล่องตัวและกลมกลืนกับความมืด เมื่อตัดกับเส้นผมที่เป็นสีทองอร่ามผสมผสานกับกลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนซึ่งโชยอยู่ริมจมูก ช่วยขับให้ภาพลักษณ์ของนางในยามราตรีให้งามสะคราญยิ่งขึ้น

    ทั้งสองหยุดลงด้วยทางเบื้องหน้าอันเป็นช่องเขาที่ทั้งแคบและลึกเป็นพิเศษ เมื่อข้ามทางแคบนี้ไปได้ แนวต้นหญ้าสะท้อนจันทร์สีเหลืองอร่ามก็จะปรากฏอยู่เบื้องหน้า ลูทใช้คบเพลิงส่องดูพบว่าทางเดินข้ามช่องเขามีความยาวเป็นระยะทางยาวห้าเมตรแต่กว้างเพียงฝ่าเท้าของคนๆหนึ่ง ท่าทางจะรับน้ำหนักไม่ได้มาก สามารถเดินข้ามไปได้ทีละคนเท่านั้น ลูทยกนาฬิกาอันเดิมที่ผูกไว้กับเข็มขัดขึ้นมาดูพบว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว พวกเขาใช้เวลาไปราวสี่ชั่วโมงเศษนับตั้งแต่ออกเดินทางมาจากหมู่บ้านเงาจันทร์ ถ้าหากข้ามทางแคบนี้ไปเขาก็จะได้ส่วนผสมของตัวยากลับไปรักษาบลู รวมเวลาไปกลับอย่างมากก็คงจะไม่เกินเก้าชั่วโมงบลูคงจะปลอดภัยไร้อันตราย

    ลูทใช้มือซ้ายโบกให้โรซาไลน์หยุดรอสักพัก ตนเองใช้มือขวาถือคบเพลิงเดินข้ามช่องแคบไปอย่างระมัดระวัง เมื่อลูทเดินไปได้สามก้าวก็เกิดเสียงก้อนหินดักแกร๊กขึ้น ลูทรู้สึกถึงรอยร้าวที่ใต้เท้าของเขา เขาจึงก้าวขาไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วเมื่อลูทก้าวไปสองก้าวก็พบว่าช่องแคบนั้นก็ถล่มลง ประสบการณ์พวกนี้เขาเคยเผชิญมาแล้วในสมัยที่เดินป่ากับพ่อและต้องปีนหน้าผา ระยะทางสองก้าวที่ลูทก้าวไปก่อนหน้าไม่มีจุดประสงค์เพื่อจะวิ่งข้ามไปอีกฝั่ง แต่เป็นการหยิบยืมกำลังจากพื้นสำหรับดีดข้อเท้ากระโดดข้ามช่องเขาไปอีกฟากหนึ่ง

    เสียงดังโครมครามสนั่นหุบเขาเมื่อทางเชื่อมระหว่างหุบเขาทั้งสองฟากถล่มลง ส่วนลูทกระโดดข้ามไปอีกฝั่งได้อย่างปลอดภัย โรซาไลน์ต้องก้าวถอยกลับมาด้านสามก้าวเอามือจับหน้าผาด้านข้างทรงตัวให้มั่นคงที่สุด เพื่อไม่ให้ถูกแรงสั่นสะเทือนกระแทกร่วงหล่นลงไปเบื้องล่าง

    ต่อมาเมื่อเสียงสั่นสะเทือนสงบลง เหตุการณ์กลับสู่ปกติอีกครั้ง แต่คนทั้งสองกลับอยู่คนละฟาก

    ลูทก้มลงเก็บหญ้าสะท้อนจันทร์ขึ้นมาด้วยความดีใจหันกลับไปยังเบื้องหลังตะโกนเรียกโรซาไลน์คราหนึ่ง เขาโยนหญ้าสะท้อนจันทร์ไปพร้อมกับบอกให้โรสรับเอาไว้

    พอโรสรับต้นหญ้าเรืองแสงนั้นไว้ได้ ลูทจึงตะโกนบอกไปว่า "รบกวนเจ้าเอาหญ้าสะท้อนจันทร์ไปให้ท่านหมอวีทำการปรุงยารักษาบลูก่อน ข้าจะอยู่ที่นี่สืบหาต้นดอกไม้พิษและจัดการกับมันเอง พอฟ้าสางเจ้าค่อยนำคนมาช่วยข้าจากที่นี่ ข้ารับรองว่าข้าไม่เป็นอะไร"

    โรซาไลน์มองดูหญ้าสะท้อนจันทร์ในมือ ในใจนึกถึงผลได้ผลเสียเห็นว่าอยู่ต่อไปก็ไม่สามารถช่วยลูทได้ เชือกที่ติดตัวมาก็ยาวไม่พอที่จะโยนข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง สภาพแวดล้อมรอบข้างที่มืดมิดไม่อำนวยต่อการทดลองข้าม ถ้าทำการข้ามฟากด้วยเชือกเส้นเดียวอาจมีโอกาสผิดพลาดมากเนื่องจากเป็นยามราตรี พอคิดได้ดังนั้นจึงกล่าวตอบไปว่า "ตกลง ข้าจะนำหญ้านี้ไปช่วยบลูเสียก่อน เจ้าจงรับของสิ่งนี้ไว้"

    โรสโยนขวดสีเหลืองใบหนึ่งไปให้ลูท กล่าวว่า "ยาในขวดนั่นเป็นยาสมานแผลชั้นเลิศจากท่านหมอวี หากเกิดอะไรขึ้นขอให้เจ้าใช้ยานั่นรักษาตัวไปพลางก่อน ยานี้สามารถดื่มได้เมื่อบอบช้ำภายในหรือทาเมื่อบาดเจ็บภายนอกก็ได้ ข้าจะกลับมาอีกทียามฟ้าสาง ขอให้เจ้าระมัดระวังตัว"

    ลูทกล่าวขอบคุณโรสจากนั้นรับคำคราหนึ่ง เดินเลาะลัดตามทางเดินหุบเขาหายลับไปในความมืดอย่างไม่เกรงกลัว

    คบเพลิงที่ลูทถือเพียงให้แสงสลัวส่องนำทางในความมืดมิดของหุบเขาไม้ดอก

    ในที่สุดเขาก็เดินมาจนสุดทางเดินช่วงแรกเบื้องหน้าของเขาเป็นถ้ำอันมืดมิด ขอเพียงเดินทะลุถ้ำแห่งนี้ไปก็จะถึงพื้นที่ใต้หุบเขา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำที่ลุงกอร์ดอนระบุว่ามีต้นดอกไม้พิษอยู่แถวนั้น

    มีเสียงผิดปกติดังขึ้นทางด้านหลัง ด้วยโสตประสาทอันฉับไวของพรานหนุ่มลูทหันหลังกลับไปทันที

    เขาพบกับตาของสัตว์ร้ายที่มีสีแดงฉานในความมืด บ่งบอกถึงภยันอันตรายที่กำลังจะคุกคามเขาในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ด้วยประสบการณ์พิเคราะห์นัยน์ตาสัตว์ร้าย พรานหนุ่มลูททราบได้ทันทีว่าสัตว์ตัวนี้เป็นสุนัขป่า เพียงแต่ว่ามันจะเป็นพันธุ์อะไรเท่านั้นเอง

    ในบรรดาสุนัขป่าทั้งหลายสุนัขป่าขนดำเป็นสุนัขป่าชนิดที่อันตรายที่สุด เขี้ยวของมันคมกริบถึงขนาดว่าสามารถล้มสัตว์ใหญ่ขนาดวัวได้ภายในการกัดคราเดียว สุนัขป่าชนิดนี้มีจำนวนน้อย หายากยิ่งและดุร้ายยิ่ง พรานบางคนถือว่าการได้พบสุนัขป่าเช่นนี้เปรียบเสมือนเจอขุมทรัพย์เพราะสัตว์ที่หายิ่งยากก็จะขายได้ราคาสูง แต่บางครั้งพวกเขาก็ต้องไปพบกับพญามัจจุราชแทนที่จะได้เงินก้อนโตกลับบ้านไป

    พอลูทวาดคบเพลิงออกไปเบื้องหน้าก็พบเห็นขนที่ดำขลับของมัน เขาเบ่งตามองจนแน่ใจว่าเป็นสุนัขป่าขนดำจริงๆ ลูทจับกระบี่ตั้งมั่นในมือขวากุมคบเพลิงในมือซ้ายเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ลูทสังเกตดูพฤติกรรมของมันพบว่ามันอาจจะเกรงกลัวคบเพลิงมากกว่ากระบี่ของเขา

    หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ป่าทั้งสองกำลังรอคอยจังหวะที่จะจู่โจม

    ลูทกวัดแกว่งคบเพลิงไปเบื้องหน้าสะบัดให้สะเก็ดไฟขนาดเล็กลอยกระเด็นไปยังสุนัขป่ากระตุ้นให้มันขยับตัวหลบ สุนัขป่าขนดำเห็นสะเก็ดไฟกระเด็นเข้าหา แทนที่จะหลบสุนัขป่าแสนรู้กระโดดสวนเข้ามายังแขนขวาของลูทที่ถือกระบี่ด้วยความเร็วสูง กระบี่ของลูทเสมือนมีนัยน์ตาสะบัดออกไปตามสัญชาตญาณพรานป่า ปลายกระบี่ปาดไปที่คอหอยของสุนัขป่าอย่างแม่นยำ

    ลูทเคยเห็นบิดาเขาต่อสู้กับสุนัขป่าขนดำมาก่อน เขาถึงคาดเดาวิธีการต่อสู้ของสุนัขป่าได้อย่างไม่ยากเย็น เขาล่อให้มันจู่โจมเข้ามาก่อนเพื่อที่จะใช้กระบี่สวนกลับเข้าจุดตายของมัน

    ฉัวะ!

    กระบี่ของลูทปาดเข้าที่ลำคอของสุนัขป่าขนดำอย่างเต็มแรง แต่แล้วเขากลับตะลึงเสียเอง มันเพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ขนของมันทั้งเหนียวทั้งหนาและหยาบถึงขนาดที่ทนคมกระบี่เหล็กได้โดยไม่ยำเกรง ลูทสะท้านขึ้นมาในใจฉุกคิดว่านี่มันไม่ใช่สุนัขป่าขนดำธรรมดาเสียแล้ว คราก่อนพ่อของเขาสยบสุนัขป่าขนดำได้ด้วยกระบี่ชนิดเดียวกันนี้ซึ่งเขาเห็นมากับตา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีวิชากระบี่เทียบเท่ากับพ่อของเขาแต่รับรองได้ว่าความคมของกระบี่นี้ต้องทำอันตรายมันได้มากกว่านี้ มิใช่เพียงฝากรอยแดงเป็นริ้วดังเช่นโดนเหล็กทื่อๆตีใส่ลำคอ

    สุนัขป่าตะกายเข้าใส่ลูทอีกครั้ง สัตว์ป่ากระหายเลือดฉวยโอกาสจังหวะที่ลูทเกิดความประหลาดใจในเกราะขนดำของมัน เล็บที่แหลมคมราวกับมีดดาบเตรียมตะปบเข้าใส่ที่แขนซ้าย ส่วนเขี้ยวอันแข็งแกร่งราวกับหินผาเตรียมจะปักเข้าที่หัวไหล่ของเหยื่อ พรานหนุ่มอันยอดเยี่ยมสามารถฉากหลบออกด้านข้างก่อนที่มันจะเข้ามาประชิดตัว ถึงแม้ว่าเขาจะหลบได้อย่างรวดเร็วแล้วแต่ก็ยังไม่พ้นจากการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ ถูกเล็บของสุนัขป่าขนดำสะกิดเข้าที่แขน แค่เพียงสะกิดก็ทำให้แขนเสื้อของเขาฉีกขาดเกิด เป็นรอยโลหิตจางๆขึ้นที่แขนขวา ราวกับถูกมีดอันคมกริบปาดใส่

    ลูทฟันกระบี่ออกไปอีกสามครั้งต่อเนื่องกันเล็งไปที่ศีรษะขาหน้าและบริเวณลำตัว สุนัขป่าขนดำไม่สะทกสะท้านคมกระบี่เช่นนี้อีกต่อไป มันกระโจนสวนเข้าใส่ลูททันที คมกระบี่ฟันถูกขาหน้ากับส่วนลำตัวมันแต่ผลก็เป็นเช่นเดิม ทั้งสองกระบี่ได้แค่ฝากริ้วรอยเล็กน้อยเอาไว้

    ลูทเห็นสภาวการณ์เบื้องหน้าเริ่มไม่ถูกต้อง เขาใช้คบไฟจี้เข้าไปที่สุนัขป่าแทนกระบี่ สุนัขป่าขนดำอย่างไรก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มันกลัวเปลวไฟเช่นเดียวกับสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ มันตื่นตกใจหลีกหนีไปด้านข้างทำให้ลูทรอดพ้นการจู่โจมของมันไปอีกคราหนึ่ง

    แต่แล้วลูทเกิดอาการมึนศีรษะขึ้นมา แขนขวาที่ถือกระบี่เริ่มชาด้าน

    เขาถูกพิษเสียแน่แล้ว พิษจากเล็บของสุนัขป่า

    เขาประติดประต่อเรื่องราว คาดเดาเหตุการณ์ได้ด้วยความมั่นใจแปดส่วนว่าสุนัขป่าขนดำตัวนี้ต้องดื่มน้ำพิษหรือไม่ก็กินดอกไม้พิษไปอย่างแน่นอน แขนของเขาถึงได้ถูกพิษและตัวมันถึงได้ทนความคมของกระบี่เขาได้ ดอกไม้พิษนั้นต้องมีฤทธิ์พิเศษทำให้มันบ้าคลั่งและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

    สำหรับทุกๆครั้งที่เขาขยับตัวลูทรู้สึกถึงการแพร่กระจายของพิษออกไปกว้างกว่าเดิม สุนัขป่ากระหายเลือดตัวนี้เหมือนจะรู้ว่าถ้ามันเพียงแต่คุมเชิงอยู่ด้านหน้า คบเพลิงในมือของลูทก็ไม่สามารถทำอย่างไรกับมันได้ พิษจากเล็บของมันจะแทรกเข้าไปในตัวลูททำให้เขาล้มลงในที่สุด

    หากสุนัขป่านิ่งเฉยเรี่ยวแรงของเขาจะลดลงเรื่อยๆจนหมดไป เขาคิดหาทางตอบโต้จนเกิดเป็นอุบายขึ้นมาแผนหนึ่ง ลูทวางแผนเป็นมั่นเหมาะจึงตกลงตัดสินใจเสี่ยงคราหนึ่ง เขาเปลี่ยนเป็นถือชุดเพลิงด้วยมือขวาที่ถูกพิษแล้วใช้มือซ้ายถือกระบี่แทน จากนั้นพอได้จังหวะเขาก็แกล้งทำชุดเพลิงในมือขวาตกลงสู่พื้น ลูทมั่นใจว่ามันไม่เกรงกลัวกระบี่ในมือซ้ายของเขาเพียงแต่เกรงกลัวคบเพลิงอย่างเดียว ถ้ามันเห็นเขาทำคบเพลิงตกลงพื้นเช่นนี้มันจะต้องจู่โจมเข้ามาอย่างแน่นอน

    สุนัขป่าไม่เข้าใจกับแผนที่ลูทวางเอาไว้ เมื่อคบเพลิงหลุดมือไป มันก็เห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะจู่โจมปลิดปลงเหยื่ออันโอชะ จึงกระโจนเข้าหาตัวลูทหมายจะขย้ำคอให้จงได้ ลูทฝืนใจรวบรวมเรี่ยวแรงที่หลงเหลือใช้กระบี่ในมือซ้ายแทงออกไปอย่างสุดแรง กระบี่นี้คงจะเป็นกระบี่สุดท้าย เขาทุ่มเดิมพันไปสุดตัวก็เพื่อกระบี่นี้เพียงกระบี่เดียว

    ผลปรากฏว่าแขนซ้ายของลูทที่ถือกระบี่แทงทะลวงไปที่ปากของมัน จนปลายกระบี่ทะลุออกไปทางหางของสุนัขป่า เป็นอย่างที่ลูทคาดเอาไว้จริง อวัยวะภายในของสุนัขป่าไม่ได้มีแข็งแกร่งคงกระพันด้วยขนหนาดั่งเช่นภายนอก เขาใช้ทั้งปัญญา กำลังขวัญและเรี่ยวแรงทั้งหมดเอาชัยสุนัขป่าตัวนี้ได้สำเร็จแต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยแผลฉกรรจ์ที่แขนซ้าย พิษเริ่มลุกลามไปทั่วตัวทำให้เขาวิงเวียนศีรษะจนแทบหมดสติ

    ในที่สุดลูทก็ทรุดลงด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า

    โรซาไลน์เดินออกไปถึงปากทางหุบเขาไม้ดอก พลันได้ยินเสียงผิดปกติคราหนึ่ง จากนั้นเธอก็เห็นเงาทะมึนที่มีดวงตาสีแดงสาดส่องกระโจนเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว

                    สุนัขป่าขนดำนั่นเอง! ด้วยความที่โรสเป็นคนท้องถิ่นจึงคาดการณ์ได้หลายส่วนว่าเจ้าสัตว์ขนดำชนิดนี้จะต้องวนเวียนอยู่แถวนี้ คอยดักซุ่มทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่พลัดหลงเข้ามา เพียงแต่เธอยังไม่ทราบว่ามันได้รับผลจากดอกไม้พิษทำให้เก่งกาจกว่าสุนัขป่าขนดำตัวอื่นๆทั่วไป

    โรสรับมือมันอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอโยนคบเพลิงในมือไปสกัดการจู่โจมของสุนัขป่า แล้วกระโดดสูงลิ่วตีลังกากลับหลังไปเหยียบกิ่งไม้ด้านบน พอเท้าสัมผัสกิ่งไม้มือของโรสทั้งสองข้างคว้ามีดพกคู่หนึ่งขึ้นมา ซัดออกไปยังศีรษะของมันทั้งสองเล่ม น่าเสียดายที่สุนัขป่ามีความไวสูงมีดทั้งสองเฉียดเป้าหมายไปเพียงหนึ่งนิ้ว ทำให้สุนัขป่าขนดำไม่ได้รับอันตรายใดๆ

    ถึงแม้การลอบทำร้ายของสุนัขป่าจะไม่บังเกิดผลใดๆ ก็ยังส่งผลให้คบเพลิงของโรสตกกระเด็นไปไกลไม่เป็นที่คุกคามของมันอีก โรซาไลน์กระโดดเฉียงๆอีกคราหนึ่ง ลอยละลิ่วจากกิ่งไม้หนึ่งขึ้นไปเหยียบอีกกิ่งไม้หนึ่งบนต้นไม้ใหญ่ด้านข้างที่สูงกว่าเดิม จากความสูงของต้นไม้ต้นนี้เป็นปราการป้องกันทางธรรมชาติที่ไม่เปิดโอกาสให้สุนัขป่าขนดำกระโจนเข้าขย้ำลำคอและใบหน้าของเธอ

    แต่แล้วพลันมีแสงเรืองรองออกจากมือของโรซาไลน์ เธอใช้เอลที่ห้าเสกร่ายเอลส่องสว่างเข้าที่เสื้อของตัวเอง แสงสว่างแทรกซึมเข้าไปตามเนื้อผ้า ทำให้ส่องสว่างเหมือนหลอดไฟดวงหนึ่ง ให้ความสว่างมากกว่าคบเพลิงที่ล่วงหล่นเสียอีก จำกัดเพียงแสงจากเอลนั้นอยู่ได้เป็นเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง

    ในที่สุดโรสก็เห็นภาพที่ชัดเจนของสุนัขป่าตัวนี้

    ตาของมันสีแดงสด ตัวของมันใหญ่กว่าสุนัขป่าทั่วไปเกือบสองเท่า เรียกว่าน้องๆเสือดาวหรือเสือดำทีเดียว ขนอันดำสนิทของมันทั้งหยาบทั้งหนา โรสคาดว่าถ้าหากมีดของเธอทั้งสองซัดโดนก็คงไม่สามารถทำอันตรายมันได้อยู่ดี แต่ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของสุนัขป่าขนดำที่กลายพันธุ์ตัวนี้คือเล็บเท้าสีม่วงคล้ำทั้งสี่ข้างของมัน โรสที่คลุกคลีอยู่กับแพทย์ชราวีตั้งแต่ยังเล็กทอดสายตาครั้งเดียวก็รู้ได้ทันทีว่ามีพิษร้ายแรงเคลือบอยู่

    โรซาไลน์ถนัดในการต่อสู้ฉาบฉวยไม่ถนัดในการปะทะวัดกำลัง วิชาต่อสู้ที่เธอร่ำเรียนมาคือการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วกว่าปกติ หลักวิชากายกรรมและการซัดวัตถุฝ่าอากาศที่แม่นยำเหมือนจับวาง ทั้งหมดนี้เป็นวิชาที่เธอได้รับการถ่ายทอดจากลุงกอร์ดอนและชาวบ้านในหมู่บ้านที่รู้จักวิชาป้องกันตัว

    โรสตัดสินใจไม่ปล่อยสัตว์ร้ายนี้กลับไปแน่นอน

    ถ้าหากมันหลุดรอดไปมันคงจะไปดักทำร้ายชาวบ้านคนอื่นที่แวะเวียนเข้ามาในสถานที่แถบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นหากมันไปดักทำร้ายลูทที่อยู่ในถ้ำ ภายในถ้ำเป็นสถานที่ที่เคลื่อนไหวได้จำกัด การที่จะจัดการมันย่อมลำบากกว่าและเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายมากกว่า หารู้ไม่ว่าลูทเองเผชิญกับชะตากรรมเช่นเดียวกับเธอไปก่อนหน้านี้ เมื่อโรสตัดสินใจกำจัดมันเสียตรงนี้จึงซัดมีดออกอีกสองเล่มแล้วกระโดดลงจากกิ่งไม้

    มีดทั้งสองเล่มตั้งใจจะปาไม่ให้ถูกตัวสุนัขป่าอยู่แล้ว เล่มหนึ่งปักไว้ด้านหน้าของมันอีกเล่มหนึ่งปักไว้ทางซ้ายของมัน เพื่อจำกัดระยะการเคลื่อนไหวของมันมิให้ก้าวไปในทิศที่โรสมิได้กำหนด เมื่อโรซาไลน์ลงมาจากต้นไม้ก็พอดีอยู่ระหว่างกลางของมีดที่ปักลงมาที่พื้นทั้งสอง

    สุนัขป่าอย่างไรก็ไม่มีความคิดเท่ามนุษย์ เมื่อเห็นโรสกระโดดลงมาจากต้นไม้ก็คิดว่าเป็นโอกาสอันดี กระโจนตอบโต้เข้าใส่เธอทันที มีดในมือของโรสอีกสองเล่มลอยออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียงพุ่งสวนแสกหน้าของมันเข้าที่ดวงตาทั้งสองข้าง หมายจะทำลายประสาทการมองเห็นให้สิ้น สุนัขป่าขนดำจึงต้องหมอบร่างกลางอากาศในขณะที่กระโจนอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงจากการสูญเสียดวงตาทั้งสอง ร่างกายของมันตกวูบลงเบื้องล่างนิ้วหนึ่ง คมมีดบินเฉียดหูสองข้างของมันไปปักต้นไม้ด้านหลังแทน

    โรสลอบเสียดายในใจ เธอกระโดดข้ามไปด้านหลังของสุนัขป่านั้นปามีดออกอีกสองครั้งซ้อน พอสุนัขป่าวิ่งหลบมีดทั้งสองไปได้มันกลับสะท้านขึ้นคราหนึ่งร้องออกมาเสียงดังด้วยความเจ็บปวด เมื่อขาหน้าและลำตัวของมันโดนของมีคมบาดเป็นแผลลึกลงไปเกือบนิ้วหนึ่ง

    ค่ายกลของโรสสร้างเสร็จแล้ว

    ลวดเหล็กกล้าเคลือบกากเพชรที่ทั้งคมทั้งเหนียวถูกขึงอยู่ตามด้ามมีดบิน ค่ายกลเส้นลวดเหล็กคมกริบล้อมสุนัขป่าอยู่รอบด้าน โรสปามีดออกอีกสองเล่มเพื่อจำกัดพื้นที่การเคลื่อนไหวของมันให้น้อยลงไปเรื่อยๆ สุนัขป่าเจ้าความคิดกลับนิ่งเฉยไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ สัตว์แสนรู้ตัวที่ดุร้ายนี้เหมือนจะสังเกตเห็นว่าตัวมันเองถูกกักอยู่ภายใต้ค่ายกลมรณะแห่งหนึ่ง

    มีดของโรสมีสองชนิด ชนิดแรกเป็นมีดที่มีด้ามจับธรรมดาสอดเอาไว้ตามเสื้อผ้า ชนิดที่สองเป็นชนิดที่มีห่วงตรงปลายแทนด้ามจับสอดเอาไว้ในปลอกแขน ที่ปลายห่วงผูกลวดเหล็กกล้ายึดติดกับปลอกแขนสามารถกระตุกมีดกลับมาเมื่อไรก็ได้ หากปลดลวดเหล็กออกก็สามารถใช้แทนมีดธรรมดาได้อย่างไม่มีปัญหา

    โรสซัดมีดเข้าทำร้ายสุนัขป่าบีบบังคับให้มันเคลื่อนไหวหลบ แต่มันก็ยืนนิ่งใช้ขนอันแข็งแกร่งต้านรับคมมีดอย่างไม่เกรงกลัว มีดบินตกลงพื้นโดยที่ไม่สามารถทำอะไรมันได้สักนิด

    หากเป็นสัตว์อื่นเพียงโรสปามีดออกเข้าใส่มันบีบให้มันเคลื่อนไหว เลือกระหว่างถูกลวดเหล็กบาดกับถูกมีดปักใส่ ไม่ว่าสัตว์ตัวใดก็คงจะจบสิ้นในไม่ช้า วิธีนี้ไม่อาจใช้กับสุนัขป่าขนดำได้ ท้ายที่สุดโรสต้องเปลี่ยนใจไม่ใช้ค่ายกลเส้นลวดอีก สุนัขป่าขนดำคงไม่หลงกลเคลื่อนไหวโดยไม่คิดหน้าคิดหลังอีกเป็นหนที่สอง

    โรสสะบัดมือคราหนึ่งกระตุกเส้นลวดที่ขึงเอาไว้กลับมา มีดบินทั้งหมดที่ปาออกไปถูกกระตุกกลับเข้าหาเธอ เส้นลวดเหล็กกล้าเคลื่อนไหวกลับมาด้วยความเร็วสูงดั่งอสรพิษฉกเหยื่อ บาดเอาขนของสุนัขป่าเป็นริ้วเลือดสีแดงฉานจนโลหิตหยาดหยดลงสู่พื้น

    สุนัขป่ายิ่งบาดเจ็บก็จะยิ่งดุร้าย พอมันรับรู้ว่าพันธนาการรอบตัวของมันหายไปก็เกิดความคิดแก้แค้นกระโจนเข้าใส่โรซาไลน์อย่างไม่คิดชีวิต แต่ที่ไหนได้มันพลาดแล้วก็พลาดอีก ร่างของโรสที่มันเห็นนั้นเป็นเพียงเงาที่ใช้เอลแห่งแสงสร้างขึ้น สิ่งที่รอมันอยู่เป็นดาบสั้นคมกริบที่ฝังด้ามอยู่ในต้นไม้ยื่นปลายออกมา พิจารณาจากตัวดาบนับว่าเป็นดาบวิเศษเล่มหนึ่ง มันกระโดดเข้าหาคมดาบอย่างสุดแรงหมายจะกัดทำร้ายเป้าหมาย ยิ่งมันกระโจนเข้าไปด้วยแรงมากเท่าไรก็จะยิ่งบาดเจ็บมากเท่านั้น คมดาบวิเศษที่ฝังอยู่ปักเข้าที่กลางหน้าผากทำให้มันสิ้นใจตกตายไปในที่สุด

    จะอย่างไรก็ตามสัตว์ป่าก็ไม่ฉลาดเท่ามนุษย์ โรซาไลน์เดินมามองร่างสุนัขป่าส่ายหน้าด้วยความเวทนา เธอถอนดาบสั้นเก็บไว้กับตัวดังเดิมจากนั้นจึงรีบรุดหน้ากลับไปยังหมู่บ้านเงาจันทร์ ภารกิจส่งมอบหญ้าสะท้อนจันทร์ของเธอยังไม่เสร็จสิ้น ในใจลอบภาวนาให้ลูทสามารถกำจัดต้นน้ำพิษได้โดยปลอดภัย

    ในถ้ำที่ทอดสู่เบื้องล่างสุดของหุบเขาไม้ดอก

    ถึงแม้ลุทจะทรุดกายลงเขาก็พยายามฝืนความรู้สึกเจ็บปวด หากเขาหลับไปเขาจะต้องทอดกายเป็นโครงกระดูกอยู่ในถ้ำใต้หุบเข้านี้ เขากัดฟันปฐมพยาบาลตัวเองด้วยยาในขวดสีเหลืองที่โรสให้มา ดื่มน้ำทิพย์รักษาพิษของท่านหมอวีลงไปอึกหนึ่ง หาที่ทรุดกายนอนพิงผนังถ้ำพักผ่อนพร้อมกับวางคบเพลิงไว้ด้านข้างด้วยความไม่ประมาท อย่างน้อยไฟก็ช่วยป้องกันสัตว์ร้ายมากร้ำกราย

    เมื่อลูทพักผ่อนได้ประมาณหกชั่วโมงฟ้าก็เริ่มสาง เขารู้สึกว่าที่แขนซ้ายมีอาการปวดหลงเหลือเพียงเล็กน้อย บริเวณแผลที่ถูกคมเขี้ยวสุนัขป่าไม่มีโลหิตหลั่งไหลออกมาอีก ส่วนแขนขวาที่เคยมีอาการชาด้านจากพิษก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง อาการมึนศีรษะที่เกิดจากพิษก็ไม่มีเกิดขึ้นอีก ปากแผลที่ถูกเล็บข่วนล้วนแห้งสนิทลูทเห็นดังนั้นจึงกล่าวขอบคุณหมอวีในใจ ถึงแม้จะชราแต่ก็ยังเจ๋งอยู่

    ลูทลุกขึ้นพร้อมกับดับคบเพลิงที่วางไว้ข้างกายใส่ลงไปยังกระเป๋าสัมภาระตามเดิม เดินออกจากถ้ำมุ่งไปยังก้นหุบเขา ทันใดที่เขาก้าวเท้าออกไปภายนอก ภาพเบื้องหน้ากลับเป็นทิวทัศน์ที่เขาไม่นึกไม่ฝันและไม่เคยเห็นจากที่ใดมาก่อน

    ไม้ดอกนานาพันธุ์บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรไปทั่วบริเวณก้นหุบเขา เบื้องบนเป็นผาสูงชันประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากสี ถ้าเขาเกิดสิ้นสติไปก่อนที่จะพิชิตสุนัขป่าตัวนั้นแล้วตื่นขึ้นมาค่อยเห็นทิวทัศน์เช่นนี้ เขาคงคิดว่ามันเป็นสรวงสวรรค์อย่างแน่นอน

    ด้วยภาพเบื้องหน้าที่งดงามดั่งศิลปะจากเทพเจ้า สะกิดอารมณ์สุนทรีย์ของลูทขึ้นมาในทันใด เขาหยิบเอาขลุ่ยที่ทำจากหินอ่อนขึ้นมาบรรเลงเป็นบทเพลงอันแสนไพเราะอบอุ่น ฟังแล้วให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก เสียงดุริยางศ์ทิพย์จากขลุ่ยหินอ่อนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกดูสดใสไปหมด เหมือนผีเสื้อร่าเริงกำลังบินวนอยู่ท่ามกลางไม้ดอก เหมือนหญิงสาวกำลังเดินจูงมือกับคนรักและลูกน้อยอย่างมีความสุข เหมือนลูกนกมองเห็นแม่ของมันกำลังบินกลับเข้ารัง บทเพลงอันน่าประทับใจดังก้องกังวานไปทั่วทั้งหุบเขา

    ช่วงเวลาที่เขาบรรเลงเพลงเสมือนสิ้นสุดไปในชั่วพริบตา พอลูทเก็บขลุ่ยหินอ่อนลงสัมภาระก็เกิดความรู้สึกเหมือนผลัดกระดูกเปลี่ยนกล้ามเนื้อคราหนึ่ง ความเมื่อยล้าในตัวทั้งหลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง คาดว่าเสียงเพลงของเขามีส่วนช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อไม่มากก็น้อย

    ลูทเดินไปอีกระยะหนึ่งก็พบกับต้นน้ำของแม่น้ำเจนีส สิ่งที่เขาพบเห็นเป็นเพียงตาน้ำที่ไหลออกมาจากโพรงไม้ต้นหนึ่งซึ่งไหลอยู่ตลอดเวลาและไม่เคยหยุดนิ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของบุคคลที่เพียรจะสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาด้วยความอดทนต่อเนื่องและแน่วแน่ ไม่น่าเชื่อว่าธารน้ำใหญ่ปานนั้นกลับมีต้นกำเนิดเล็กเพียงนี้

    เขาพลันนึกถึงความฝันของเขา ความฝันนั้นคือการจารึกชื่อศาสตราวุธที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาลงในทำเนียบยอดศาสตราทั้งสิบหกให้จงได้ ไม่ว่าจะเป็นศาสตราที่เขาใช้หรือศาสตราที่เกิดจากการประดิษฐ์ของเขาก็ตาม ถ้าเขาทำสำเร็จเขาไม่เพียงที่จะสานฝันของตัวเองให้เป็นความจริงแต่ยังจะสานความฝันของบิดาเขาให้เป็นความจริงด้วย

    ลูทเดินวนก้นหุบเขาโดยรอบพบดอกไม้พิษอยู่ทั้งหมดสามต้น ต้นหนึ่งมีรอยถูกกัดกินไปคาดว่าคงจะเป็นสุนัขป่าขนดำพวกนั้น แต่อีกสองต้นยังเจริญงอกงามดีอยู่ เขาเห็นเช่นนั้นจึงเทน้ำทิพย์จากขวดลงสู่ต้นดอกไม้พิษทั้งสามต้นจนหมด

    ระยะเวลาผ่านไปไม่นาน ต้นน้ำที่เป็นสีม่วงเจือจางก็เปลี่ยนเป็นใสบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดอกไม้พิษทั้งสามต้นบรรจงเปลี่ยนสีจากสีม่วงเป็นสีขาวในที่สุด ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลกลบไม้ดอกทั้งหลายรอบข้างไปโดยสิ้นเชิง ลูทประหลาดใจมากกับปรากฏการณ์ครั้งนี้ จึงเด็ดดอกไม้หอมสีขาวที่สวยสดงดงามนั้นมากิ่งหนึ่ง ใส่ลงในสัมภาระไว้เป็นอนุสรณ์ถึงทิวทัศน์อันวิจิตรตระการตาของหุบเขาไม้ดอก

    เมื่อเสร็จสิ้นงานทั้งหมดที่ได้รับมอบหมาย ลูทก็มองขึ้นไปด้านบนพบเงาคนสามสี่คนกำลังทยอยเดินลงมาจากปากหุบเขา กล่องแก้วทับทิมของเขาก็ชี้ขึ้นไปตามเงาคนที่เดินลงมา

    จากเหตุการณ์นี้เองเขาก็เกิดความคิดแปลกใหม่ขึ้นอีกเพื่อที่จะพัฒนาอุปกรณ์ช่วยระบุตำแหน่งชนิดนี้ให้ดีกว่าเดิม


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×