คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ขุนโจรราเกซ
ภาคแผนครองพิภพ
1 กุมภาพันธ์ อศ. 226
บลูหันหลังกลับมาตามเสียงเรียกเงยหน้าขึ้นพบเพื่อนเก่าที่คุ้นเคยกันเป็นเวลานาน รู้สึกตื่นเต้นดีใจแต่ไม่ละทิ้งสติสัมปชัญญะ เขาหันหน้ากลับไปทางที่มีศัตรูติดตามมาพร้อมกับตะโกนบอกลูทให้ระวังตัว
ทันใดนั้นนายทหารในเครื่องแบบสีดำแหวกพงหญ้าตามเข้ามาถึงกับชะงักเล็กน้อย เมื่อพบว่าบลูมีผู้ช่วยเหลืออีกสองคน เขาจึงคิดชิงกำจัดบลูที่ขณะนี้จวนจะหมดเรี่ยวแรง หากลงมือประสบผลจะชิงหลบลี้หนีหน้าหายไปในทันใด
นายทหารผู้นั้นใช้หอกยาวแทงตรงเข้ามาใส่บลูที่ยังล้มอยู่กับพื้น คมหอกมีสีเงินค่อนไปทางสีขาวแสดงว่าสร้างมาจากโลหะมิทราล ลูทเห็นเช่นนั้นจึงใช้กระบี่ของตัวเองปกป้องเพื่อนสนิท สะบัดกระบี่เข้าต้านรับคมหอกของฝั่งตรงข้าม ลูทสะท้านขึ้นคราหนึ่งเมื่อถูกแรงกระแทกต้องถอยหลังไปก้าวใหญ่ ส่วนหอกของนายทหารผู้นั้นก็ถูกกระบี่ปัดเสียจังหวะไป ลูทรู้สึกว่าข้อแขนของตัวเองชาด้านไปหมด เรี่ยวแรงของคนผู้นี้ช่างมีมากเสียเหลือเกิน
เมื่อลูทเสียหลักนายทหารคนนั้นก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาตั้งตัว นายทหารใช้หอกตวัดปาดเฉียงจากล่างขึ้นบนเปลี่ยนเป้าหมายจากบลูมาเป็นลูทในทันที ลูทใช้กระบี่เข้าต้านรับอีกคราแต่คราวนี้เขาต้องถอยไปครึ่งก้าวในขณะที่นายทหารยังสามารถแทงหอกซ้ำเติมอีกสองครั้ง ลูทรับมือเป็นพัลวัน ใช้กระบี่ป้องปัดหอกของฝั่งตรงข้ามออกด้านข้างให้พ้นตัว เขารู้สึกได้ว่าฝีมือของตนเองยังเป็นรองนายทหารคนนี้อย่างน้อยสองขั้นหรือสามขั้น จึงสงบจิตใจที่ตื่นเต้นยินดีจากการได้พบบลู ตั้งสมาธิเพื่อต้านรับหอกยาวของฝ่ายตรงข้ามอย่างสุดกำลัง
เสียงคมหอกแหวกอากาศดังขึ้นติดต่อกัน หอกยาวของนายทหารแทงออกมาดุจดังห่าฝน ลูทที่เป็นรองเห็นเพียงแต่ปลายหอกเป็นเงาสีเงินพุ่งเข้าใส่ตน เขาพยายามใช้กระบี่ต้านรับเฉพาะเงาหอกที่พุ่งเข้ามาหาจุดสำคัญบนร่าง ส่วนที่ไม่ใช่จุดสำคัญก็พยายามขยับหลบหลีก คงไว้ซึ่งการตั้งรับอย่างรัดกุม
ถึงแม้ลูทจะตกเป็นฝ่ายตั้งรับ แต่ก็พยายามหาจังหวะที่จะสะบัดกระบี่โต้กลับอยู่ทุกเมื่อ เขารู้ตัวดีว่าถ้าตกเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่อย่างเดียว จะอย่างไรก็ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ ในขณะที่ลูทค้นหาช่องว่างของฝ่ายตรงข้าม เงาหอกเงาหนึ่งแทงเสริมเข้ามาโดยที่เขามิได้คาดหมาย ลูทเบี่ยงตัวหลบปลายหอกที่เขารับมือไม่ทันอีกครั้ง ปลายหอกของนายทหารแทงเฉียดเข็มขัดด้านข้างของกางเกงลูทไป โชคยังดีที่ลูทก้าวขาได้รวดเร็วเงาหอกยังไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ ลูทกำลังหาทางรับมือนายทหารฝั่งตรงข้ามอย่างใจจดใจจ่อ จึงมิได้สนใจว่าเหรียญสัญลักษณ์ที่ห้อยอยู่ที่ข้างเอวของเขาถูกหอกเกี่ยวตกลงพื้น
คมหอกของนายทหารบาดเข้าที่แขนลูทจนโลหิตหลั่งไหล นับเป็นวาสนาของลูทที่แผลไม่ลึกเท่าใดนัก เป็นเพียงแผลที่เกิดจากการบาดผิวเผิน เพลงกระบี่ของลูทไม่ได้เก่งกาจเลอเลิศ เขาร่ำเรียนวิชากระบี่มาจากบิดาเพื่อไว้ใช้ป้องกันตัวช่วงที่ออกไปล่าสัตว์ในป่า ด้วยจิตใจที่ไม่ย่อท้อและความตั้งใจที่จะช่วยเพื่อนให้ได้ ทำให้ลูทยืนกัดฟันสู้อยู่จนถึงบัดนี้ เมื่อเทียบกันระหว่างคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่าย ฝั่งตรงข้ามเป็นนายทหารฝีมือดีมีวิชาหอกที่ล้ำลึก ในขณะที่ลูทเป็นลูกนายพรานถนัดในการล่าสัตว์หรือประดิษฐ์สิ่งของมากกว่าเพลงกระบี่ เขาสามารถรับมือได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเยี่ยมยอดมากแล้ว
บลูเห็นว่าลูทคงรับมือได้อีกไม่นาน เงาหอกเริ่มจะแผ่ขยายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ เสื้อผ้าบางจุดของลูทขาดออกเป็นแผลถลอกจากการถลันหลบอย่างฉิวเฉียด โลหิตค่อยๆซึมออกมาตามปากแผลเล็กน้อย บลูจึงพยายามฝืนใจร่ายเอลช่วยลูท แต่เอลในร่างกายกลับไม่ตอบสนองตามที่เขาคิด ขณะที่หลบหนีเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนบลูเองสูญเสียพละกำลังไปอักโข ไม่สามารถใช้เอลออกได้ตามใจปรารถนาอีก ดูท่าแล้วคงต้องเสียเวลารวบรวมเอลอีกระยะหนึ่ง
ลูทตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของหอกจนต้องถอยหลังไปสามก้าว แต่แล้วพลันพบช่องว่างระหว่างการชิงจู่โจมของนายทหารชุดดำ จังหวะการแทงหอกนั้นดูเหมือนไม่ต่อเนื่องเหมือนช่วงแรก เงาหอกเบาบางลงส่วนหนึ่ง ความกดดันที่มีมาหาเขาก็ลดลงส่วนหนึ่ง ในที่สุดเขาก็พบเห็นช่องว่างที่แขนซ้ายของนายทหาร ลูทคาดเดาว่านายทหารคนนี้คงเสียพละกำลังไปมากในขณะไล่กวดบลู ทำให้เรี่ยวแรงไม่ประติดประต่อ เมื่อพบกับเขาก็พยายามรีบเผด็จศึกเขาโดยเร็วผลสุดท้ายจึงเกิดเป็นช่องว่างขึ้น พอคิดได้เช่นนั้นลูทจึงใช้กระบี่ของตนตวัดเข้าไปในช่องโหว่นั้นทันที
ผ้าสีเหลืองผืนหนึ่งเช็ดถูคมกระบี่อยู่อย่างทนุถนอม ตัวกระบี่มีขนาดใหญ่กว่าปกติจึงต้องใช้เวลาทำความสะอาดมากกว่ากระบี่ทั่วไป
กระบี่ของมือปราบชั้นหนึ่งไก รัสเซลยาวกว่าปกติเกือบสองฟุต ตัวคมกระบี่มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของกระบี่ทั่วไป น้ำหนักของมันก็มากเป็นสองเท่าตามไปด้วย ทำให้เขาไม่สามารถสะพายกระบี่ไว้ที่ข้างเอวเหมือนคนอื่นได้ กระบี่ลักษณะนี้เรียกว่ากระบี่ยักษ์หรือกระบี่สองมือ คนที่เริ่มต้นฝึกกระบี่ยักษ์จะเริ่มจากการใช้สองมือจับกระบี่แล้วฟาดฟันออก พอฝึกไปถึงได้ระดับหนึ่งถึงจะสามารถใช้มือข้างเดียวฟาดฟันกระบี่ได้ กระบี่ยักษ์พวกนี้จึงจำกัดไว้เพียงผู้ใช้ที่มีกำลังข้อแขนมาก มิฉะนั้นจะไม่สามารถที่ใช้อาวุธที่หนักอึ้งด้วยความคล่องแคล่วได้
มือปราบไกมีรูปร่างสูงตระหง่าน รูปพรรณสัณฐานแข็งกร้าวองอาจสมเป็นชายชาตรี ผมสีน้ำตาลเข้มเป็นทรงไม่ยาวไม่สั้นพลิ้วตามกระแสลม สวมเสื้อผ้าสีแดงหม่นมีสีขาวแซมเล็กน้อยอันเป็นเครื่องแบบของมือปราบชั้นหนึ่ง กระบี่ยักษ์ที่คาดไว้กลางหลังขับเน้นราศีของผู้ผดุงความยุติธรรมออกมา หากโจรผู้ร้ายทั่วไปเห็นเครื่องแบบของมือปราบชั้นหนึ่งก็จะหดหัวหดหางหนีไปโดยไม่คิดชีวิต
ไกกำลังจะเดินทางออกจากเมืองโอดิน ตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองเจนีสลึกเข้าไปในพื้นที่ของอาณาจักรนอร์ เมื่อเดือนก่อนเขาได้ตกลงรับภารกิจที่สำคัญเรื่องหนึ่ง จากผู้ตรวจการประจำภาคตะวันตก นั่นคือการกวาดล้างกองโจรสุนัขป่าทางตะวันตกของเมืองนี้
ไกเป็นหนึ่งในมือปราบชั้นหนึ่งของอาณาจักรนอร์หรือเรียกว่ามือปราบระดับหนึ่งก็ได้ จัดเป็นตำแหน่งสูงสุดของผู้รักษาความปลอดภัย พวกเขาถือว่าเป็นหน่วยปราบปรามความไม่สงบที่ขึ้นชื่อที่สุดในอาณาจักรนอร์หากทอดสายตาทั้งอาณาจักรมีบุคคลระดับนี้อยู่เพียงสามคนเท่านั้น มือปราบชั้นหนึ่งรับคำสั่งจากชั้นผู้ตรวจการโดยตรงไม่จำเป็นต้องขึ้นต่อพื้นที่ใดๆ ไกดำรงตำแหน่งนี้มาเป็นเวลาห้าปีแล้ว ตัวเขาเองตั้งใจจะลาออกจากการทำงานเป็นมือปราบเสียที เพื่อที่จะได้ดูแลบิดามารดาบุญธรรมที่แก่เฒ่าทั้งสองที่เก็บมาเลี้ยง ถึงแม้ว่าท่านทั้งสองจะไม่ใช่บิดามารดาแท้ๆแต่บุญคุณที่อุปการะและความผูกพันที่อยู่ร่วมกันมาเกือบสามสิบปี ไม่มีวันที่จะลบเลือนไปจากจิตใจของเขา งานมือปราบชั้นหนึ่งเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายและจะต้องออกเดินทางอยู่บ่อยๆ เป็นเพราะเขาทำงานประเภทนี้จึงไม่มีเวลาให้กับบิดามารดา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกผิดอยู่ลึกๆในใจ
ไกตกลงใจแล้วว่างานนี้จะเป็นงานสุดท้ายของเขาในฐานะมือปราบชั้นหนึ่ง จากนั้นเขาคงลาออกมารับหน้าที่เป็นผู้รักษาความปลอดภัยให้กับบุตรหลานตระกูลใหญ่ หรือว่าครูสอนวิชาการต่อสู้ในเมืองโอดิน ซึ่งเขาคิดว่าถ้าทำเช่นนั้นจะมีเวลามาให้บิดามารดามากกว่า เมื่อเขาทำความสะอาดกระบี่เสร็จสิ้นก็สอดคืนฝัก จากนั้นนำกระบี่ยักษ์มาคาดเอาไว้ด้านหลัง ที่ฝักของกระบี่ยักษ์แกะสลักเป็นรูปเกล็ดน้ำค้างกำลังจะหยดจากใบไม้ ซึ่งน้ำค้างเกาะอยู่ที่ใบไม่สามารถหยดลงมาได้ เพราะหยดน้ำค้างถูกความเย็นจึงแข็งเป็นน้ำแข็ง กระบี่ยักษ์ของเขาจึงมีชื่อว่ากระบี่เกล็ดน้ำค้าง
เขาจูงม้าคู่ใจออกมาจากโรงเลี้ยงม้าข้างบ้านพักชั่วคราว บ้านที่เขายึดถือเป็นที่อยู่อาศัยระหว่างการปฏิบัติภารกิจ ไกลูบหัวม้าด้วยความเอ็นดูกล่าวว่า "เจ้าพายุ ครั้งนี้ต้องขอให้เจ้าช่วยอีกครั้งแล้วสินะ" เจ้าพายุแสนรู้ร้องเสียงดังตอบรับผู้เป็นนาย ไกขึ้นขี่เจ้าพายุควบตรงออกจากเมืองไปทางทิศตะวันตก
ปฏิบัติการล่าขุนโจรก็เริ่มขึ้น
ในขณะเดียวกัน หญิงสาวลึกลับที่บังเอิญเจอกับลูทในป่าก็พบเห็นตราสัญลักษณ์ที่ตกจากตัวลูท
พอหญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าประหลาดใจ เธอเพ่งมองตราสัญลักษณ์ของลูทเทียบกับของตนเองที่ต้นคอก็พบว่ามีลักษณะเหมือนกันทุกประการ ทันใดนั้นจึงตัดสินใจช่วยเหลือลูทอีกแรงหนึ่ง
ตราสัญลักษณ์ทั้งสองทำจากโลหะสีแดงเลือดหมูแกะสลักเป็นรูปพระอาทิตย์ขนาดประมาณเหรียญกษาปณ์เหรียญหนึ่ง มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งนิ้ว ที่ขอบเหรียญตามแนวของเปลวเพลิงพระอาทิตย์เจาะเป็นรูกลมผูกคล้องไว้กับโลหะชนิดเดียวกันเส้นหนึ่ง โลหะเส้นนี้ถูกตีจนบางเฉียบเหมือนกับสร้อยทองคำที่มีน้ำหนักไม่เกินห้าสิบสตางค์ ตรงใจกลางของพระอาทิตย์มีตัวอักษรโบราณที่อ่านไม่ออกเขียนเอาไว้ทั้งสองด้าน เธอเองห้อยตราสัญลักษณ์นี้ติดไว้ที่คอตลอดมา
มีเสียงตะโกนดังมาจากทิศทางที่ลูทและนายทหารต่อสู้กันว่า "เจ้าหลงกลแล้ว"
นายทหารผู้นั้นจงใจเปิดช่องโหว่ที่แขนซ้ายให้ลูทเห็น เพื่อหลอกล่อให้ลูทจู่โจมเข้าไป พอลูทตวัดกระบี่จู่โจม นายทหารก็ใช้ข้อมือซ้ายปะทะเข้าไปที่คมกระบี่อย่างถนัดถนี่ เกิดเป็นเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น นายทหารผู้นี้สวมปลอกแขนเหล็กไว้ใต้เครื่องแบบแขนยาวใช้เป็นเครื่องป้องกันชนิดหนึ่ง ลูทคาดคิดไม่ถึงว่าใต้แขนเลือดเนื้อสวมปลอกแขนเหล็กต้านทานคมกระบี่ นายทหารเห็นว่าอุบายของตนประสบผลจึงแทงหอกออกด้วยมือขวาอย่างไม่ออมแรงไปที่ลูท เล็งผลเลิศในการปลิดปลงสังหารฝั่งตรงข้าม
เสียงคมมีดฝ่าอากาศดังขึ้นมาจากด้านหลังของลูท มีดบินสองเล่มลอยคว้างออกจากมือของหญิงสาวที่สะคราญโฉม พุ่งมาด้วยความเร็วสูงประดุจม้าป่า เล่มหนึ่งพุ่งใส่ข้อมือส่วนอีกเล่มหนึ่งพุ่งใส่ใบหน้าของนายทหารแม่นยำราวกับจับวาง นายทหารเห็นภัยจากมีดบินคุกคามจึงไม่กล้าฝืนแทงหอกใส่ลูทต่อไป เขาตัดสินใจละทิ้งหอกคู่มือเพื่อหลบมีดบินเล่มแรก แต่สภาวะกำลังที่เขาแทงออกไปยังคงอยู่ในตัวหอกก่อนจะปล่อยมือ ทำให้หอกพุ่งตรงเข้าหาลูทไม่หยุดยั้ง จากนั้นนายทหารชุดดำก็ใช้ข้อมือซ้ายก็ตวัดปลอกแขนเหล็กกลับมาป้องกันใบหน้าของตนเอง ปัดมีดบินเล่มที่สองออกไปด้านข้าง ถึงแม้ว่าเขาจะป้องกันตนเองได้สำเร็จ แต่ก็ทำให้เสียจังหวะไปครู่หนึ่ง
ด้วยการช่วยเหลือของหญิงสาวลึกลับ หอกปลิดชีพก็เปลี่ยนจากการทุ่มแทงออกอย่างสุดแรง เหลือเพียงแรงเฉื่อยที่เกิดจากการปล่อยมือกลางครัน ทำให้พลังการจู่โจมอ่อนโทรมลงไปกว่าครึ่ง ลูทฉวยโอกาสในเสี้ยววินาทีคับขัน เอี้ยวตัวหลบได้ทันท่วงที หอกพุ่งเฉียงเฉียงผ่านตัวลูทไปด้วยความหวาดเสียว ปักเข้ากับต้นไม้ใหญ่ด้านหลังลึกเข้าไปร่วมสามนิ้ว ลูทถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องลอบคำนึงในใจว่าโชคช่วย วินาทีเมื่อครู่นับว่าเขาก้าวเท้าเข้าสู่ประตูยมโลกไปแล้วครึ่งก้าว
จนถึงบัดนี้บลูที่อยู่ด้านข้างก็ออมแรงจนพอลุกขึ้นยืนไหว เมื่อเห็นนายทหารชุดดำเสียจังหวะจากมีดบินสองเล่ม เขาฝืนใจเกร็งกำลังที่รวบรวมมาทั้งหมดร่ายเอลพสุธากัมปนาททำลายพื้นดินที่นายทหารนั้นยืนอยู่ วงแหวนสีเหลืองจางๆเกิดจากเอลที่บลูร่าย แสดงให้เห็นว่าพลังของบลูอ่อนโทรมลงไปมาก แต่อย่างไรก็ตามเอลของบลูกับมีดของหญิงสาวลึกลับทำให้นายทหารชุดดำต้องชั่งน้ำหนักใหม่ การปฏิบัติงานนี้มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บอยู่สูง เขาพบว่ามีโอกาสไม่ถึงครึ่งที่จะจัดการคนทั้งสามพร้อมๆกันจึงจำต้องตัดสินใจล่าถอย
นายทหารพุ่งไปหยิบหอกยาวที่ต้นไม้จากนั้นก็กล่าวว่า "ถือว่าพวกเจ้าโชคดี" เป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่จะล่าถอยกลับไปโดยไม่เป็นอันตราย
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งนาทีดูไปช่างน่าหวาดเสียวนัก ความเป็นกับความตายอยู่ใกล้กันถึงเพียงนั้น
เบื้องหน้าที่ไกเห็นเป็นโรงสีข้าวร้างแห่งหนึ่งซึ่งพวกโจรสุนัขป่านำสินค้าที่ปล้นชิงได้มาเก็บรวบรวมไว้
ไกลงจากหลังเจ้าพายุสั่งให้มันรอคอยอยู่ในเขตปลอดภัย จากนั้นจึงค่อยๆหลบสายตาของยามเฝ้าระวังเร้นกายเข้าไปในเขตโรงสีข้าว
หนึ่ง สอง สาม ... ไกพบว่ามียามเฝ้าระวังอยู่เบื้องนอกเป็นจำนวนเจ็ดคน พวกมันทำหน้าที่เดินตรวจตรารอบๆโรงสี เขาสอดส่องสายตาสำรวจที่กำแพงอิฐเบื้องบนพบเห็นยามยืนอยู่อีกสามคน รวมทั้งหมดเป็นจำนวนสิบคนด้วยกัน คนหนึ่งยืนนิ่งเฝ้าอยู่บนระเบียง อีกสองคนเดินตรวจสอบตามระเบียงเฝ้าระวังตลอดเวลา ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดทำให้ไกไม่มีโอกาสที่จะหลบสายตาของยามทั้งหมด แล้วกระโดดข้ามกำแพงอิฐสูงสองเมตรเข้าไปได้เลย ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเย็นที่แสงสลัวก็ตาม
เป็นโชคดีของไกที่เห็นแมวตัวหนึ่งเดินเพ่นพ่านอยู่แถวนั้นพอดี เขาจึงเกิดไหวพริบใช้แผนเบี่ยงเบนความสนใจของทหารยาม ไกงอนิ้วดีดก้อนหินเล็กๆเข้าไปที่แมวตัวนั้น ด้วยแรงดีดของก้อนหินทำให้แมวเจ็บปวด มันวิ่งตะบึงไปด้านหน้าพร้อมกับร้องเมี๊ยวออกมาด้วยเสียงอันดัง
ทหารสามคนที่ยืนเฝ้าระวังบนระเบียงทางฟากของไกเบนความสนใจไปยังแมวนั้นชั่วขณะ เพียงเวลาชั่วขณะเดียวก็เกินพอแล้วที่ยอดฝีมืออย่างไกจะอาศัยแรงดีดจากข้อเท้า กระโดดรวดเดียวข้ามกำแพงที่สูงสองเมตรลอบเข้าประชิดโรงสีข้าวได้สำเร็จ
ไกหลบอยู่ที่กองฟางด้านข้างซึ่งผ่านตรวจสอบแล้วว่าตรงนี้เป็นจุดอับสายตา ทหารยามด้านหน้าโรงสีและด้านบนระเบียงไม่สามารถมองเห็นได้ กองฟางสองสามกองเป็นอุปสรรคกำบังสายตาจากทหารที่เดินตรวจรอบนอกได้ประเสริฐ เขาเอาหูแนบโรงสีข้าวได้ยินเสียงคนสองคนคุยกันอย่างแผ่วเบา ไกคาดว่าทั้งสองต้องยืนอยู่ด้านในโรงสีห่างจากไกเกินกว่ายี่สิบเมตร ด้านในโรงสียังมีฟางข้าวซ้อนกั้นเป็นชั้นๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นชนชั้นยอดฝีมือเช่นไกก็ไม่สามารถดักฟังคำสนทนาได้
ไกวิ่งปราดไปยังประตูหลังรวบรวมกำลังไว้ที่สันมือขวาเมื่อเขาพบว่ามียามเฝ้าอยู่หนึ่งคน ไกรอให้ยามนั้นกวาดสายตาไปอีกทางหนึ่งแล้วจึงพุ่งไปใช้สันมือกระแทกต้นคอ ยามเฝ้าประตูหลังสติเลื่อนลอยเอามือกุมต้นคอล้มลงอย่างไร้เสียง ไกลากยามที่หมดสติเข้าไปด้านในโรงสีข้าวจัดแจงให้หลบอยู่ที่ด้านหลังกองฟางกองหนึ่ง ตัวเขาเองก้าวไปตามเสียงของคนสองคนที่คุยกัน
ไกรู้ว่าปฏิบัติการต่อจากนี้จะพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด ทุกฝีก้าวต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดซุ่มเสียงผิดปกติ หัวหน้าโจรสุนัขป่าราเกซนี้มีฝีมือไม่ใช่ชั่ว พวกมันก่อหวอดอยู่ทางตะวันตกนี้มานานคอยดักปล้นชิงทรัพย์สินหรือสินค้าต่างๆ จากพ่อค้าวาณิชย์ที่เดินทางเข้ามาขายทั้งเมืองโอดินและเมืองเจนีสเหนือทำให้ผู้คนหวาดหวั่น พ่อค้าทั้งหลายต้องใช้ทรัพย์สินจำนวนมากจ้างกองทหารมาคุ้มกันหรือจ้างสำนักคุ้มกันภัยมาคุ้มครอง ราคาของการคุ้มกันจะคิดจากราคาสินค้าทั้งหมดแล้วเพิ่มไปอีกร้อยละยี่สิบทำให้เกิดวิกฤตการณ์ข้าวยากหมากแพง ชาวเมืองทั้งเจนีสเหนือและโอดินต่างได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า
ทางการท้องถิ่นของทั้งสองเมืองเคยนำกำลังล้อมปราบปรามถึงสองครั้ง แต่ไม่สามารถกำราบกองโจรกองนี้รวมไปถึงหัวหน้าของมันได้ การจับกุมทั้งสองครั้งต่างก็ถูกกองโจรสุนัขป่าตีสวนกลับย่อยยับอัปรา จนถึงประมาณเดือนก่อนกองปราบท้องถิ่นตัดสินใจเข้าปราบปรามเป็นครั้งที่สาม พวกเขารู้ตัวดีว่าไม่สามารถต่อกรกองโจรนี้ได้จึงแจ้งหนังสือขอความร่วมมือไปยังผู้ตรวจการภาค ขอให้มือปราบชั้นหนึ่งอย่างไกมาช่วยเหลือซึ่งเขาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ทั้งสองฝ่ายเพียรสร้างโอกาสโดยใช้แผนการต่างๆเพื่อทำลายกองโจรสุนัขป่านี้ให้สิ้น การสืบข่าวเป็นไปอย่างยากลำบากจวบจนเมื่อหลายวันก่อน พวกเขาสืบเสาะได้ว่ากองกำลังบางส่วนของโจรสุนัขป่าเตรียมไปดักปล้นชิงทรัพย์พ่อค้าทางถนนที่ติดต่อระหว่างเมืองโอดินและเจนีส
ไกจึงดำเนินการใช้แผนซ้อนแผน ให้ข่าวลวงว่าจะมีพ่อค้ารายใหญ่เดินทางย้ายถิ่นฐานจากเมืองโอดินไปยังเมืองเจนีส อีกทั้งนำทรัพย์สินติดตัวไปจำนวนมาก กำหนดแผนให้มือปราบท้องถิ่นของทั้งสองเมืองปลอมตัวเป็นกองคาราวานพ่อค้าไปตบตา ดึงกำลังส่วนใหญ่ของกองโจรไป ส่วนตัวเขาดำเนินแผนลอบเข้าถ้ำเสือบุกรังโจรปฏิบัติการจับตายหัวหน้าใหญ่ของพวกมัน
ดังนั้นขุนโจรราเกซจึงเป็นเป้าหมายที่เขาจะพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด
หลังจากที่ใช้พลังเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่บังคับให้อีกฝ่ายล่าถอยไปบลูก็หมดเรี่ยวแรงนอนสลบไสลไม่ได้สติ โชคดีนายทหารชุดดำจากไปก่อนจึงไม่เห็นสภาพของบลูในตอนนี้
ลูทวิ่งตรงเข้าไปประคองบลูขึ้นพาดไหล่ หันไปถามหญิงสาวลึกลับ "ขอบคุณที่เจ้าช่วย ไม่ทราบว่าเจ้าชื่ออะไร"
หญิงสาวลึกลับตอบว่า "นี่ยังไม่ใช่ที่ที่จะสนทนา พวกเราต้องรีบไปยังหมู่บ้านก่อน" เธอก้มลงเก็บตราสัญลักษณ์ที่ลูททำตกไว้มอบคืนแก่เจ้าของ กล่าวว่า "นี่ของเจ้า เก็บไว้ให้ดีแล้วตามข้ามา"
"ขอบคุณ" ลูทใช้อีกมือที่เหลือรับตราสัญลักษณ์มาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อเดินติดตามนางไป
ทั้งสองเดินกลับมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่ลูทเดินวนอยู่สามรอบนั้น ลูทประหลาดใจแต่ก็พอจะทำความเข้าใจได้ว่าจุดที่เขาเดินสำรวจทำเครื่องหมายเอาไว้นั้นต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน ที่นั่นจะต้องเป็นทางเข้าของหมู่บ้านเงาจันทร์ที่เขาค้นหา แต่ว่าจะเปิดกลไกทางเข้าอย่างไรนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเขาเองอับจนปัญญา
หญิงสาวหยิบป้ายผนึกสีเขียวเข้มเป็นรูปห้าเหลี่ยมขนาดประมาณฝ่ามือออกมาจากเสื้อ เธอนำเอาป้ายผนึกชิ้นนั้นวางลงไปบนตอไม้ด้านข้างต้นไม้ใหญ่ที่ลูททำเครื่องหมายเอาไว้ ปรากฏเป็นแสงสว่างสีเขียวเรืองรองขึ้นมาคราหนึ่ง ต้นไม้แถบนั้นต่างก็ขยับกิ่งก้านอย่างน่าอัศจรรย์ แนวไม้รกครึ้มที่ไม่มีทางผ่านก็ได้อันตรธานหายไป เห็นแนวต้นไม้ใหญ่หลายต้นเรียงต่อกันเป็นระยะทางเกือบร้อยเมตร กิ่งไม้ของต้นไม้แต่ละต้นแผ่มารวมกันสร้างเป็นสะพานไม้มีชีวิตขึ้นสะพานหนึ่งในพริบตา เมื่อมองไปสุดปลายสะพานจะเห็นเป็นถนนที่ทอดยาวเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน
ลูทยืนอ้าปากตาค้างอยู่ด้านข้างนึกไม่ถึงว่าโลกนี้จะมีวิชาปกปิดทางเข้าที่แยบยลถึงเพียงนี้
"ยืนอยู่ที่นั่นทำไม รีบเข้ามาสิ" หญิงสาวหันมากล่าวกับลูทเรียกให้ตามเข้าไปโดยเร็ว
ภาพวิวทิวทัศน์ในหมู่บ้านทำให้ลูทรู้สึกขัดแย้งกันอย่างบอกไม่ถูก หมู่บ้านที่เห็นเบื้องหน้านี้กลับเป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบเช่นเดียวกับหมู่บ้านสวนเชอร์รี่ของเขา ชั้นในสุดของหมู่บ้านเป็นบ้านเรือนสิบกว่าหลังคาเรือน ทุกหลังเชื่อมต่อกันด้วยถนนเส้นเดียวยาวตรงตั้งแต่ปากทางเข้าจนไปถึงส่วนในสุดที่เป็นตึกใหญ่ ทางด้านหลังบ้านแต่ละบ้านมีพื้นที่โล่งกว้างเป็นพื้นที่การเกษตรทั้งแปลงปลูกพืชผลไม้ คอกเลี้ยงสัตว์เพื่อเอาไว้ใช้งานหรือเพื่อรับประทานเป็นอาหาร เห็นว่าหมู่บ้านนี้มีเศรษฐกิจที่สามารถพึ่งพาตนเองได้แม้จะไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอก ชั้นนอกสุดถัดจากแปลงเกษตรและคอกสัตว์เลี้ยงเป็นคลองส่งน้ำที่ขุดล้อมบ้านทุกหลังเอาไว้โดยรอบเปรียบเสมือนมีคูล้อมรอบหมู่บ้านอีกชั้นหนึ่ง แต่ที่แบบนี้กลับซ่อนอยู่ในป่าอันรกทึบซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย
"เอ่อ ... นี่" ลูทเอ่ยปาก
"ข้าชื่อโรซาไลน์ เรียกสั้นๆว่าโรสก็ได้" หญิงสาวตอบ
ลูทกล่าวขอโทษครั้งหนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า "ข้าชื่อลูท ที่นี่คือหมู่บ้านเงาจันทร์ใช่ไหม"
โรซาไลน์ทำหน้าสงสัยถามกลับไปว่า "เจ้ารู้ได้อย่างไรน่ะ"
ลูทมีสีหน้ายินดีเมื่อรู้ว่าตนเองมาถูกที่แน่แล้ว กล่าวตอบว่า "พอดีพ่อของข้าบอกให้มาทำธุระบางอย่างกับเพื่อนของพ่อที่อาศัยอยู่ที่นี่ ... ว่าแต่นี่พวกเรากำลังจะเดินไปที่ไหน"
โรสตอบว่า "ไปที่ตึกหัวหน้าหมู่บ้านก่อน อยู่ด้านในสุดของถนนหลักเส้นนี้ หัวหน้าหมู่บ้านเป็นลุงของข้าเอง" หญิงสาวหันหน้าไปมองบลูที่หมดสติอยู่บนบ่าของลูท กล่าวว่า "เพื่อนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"
ลูทมองหน้าบลูที่สลบอยู่คราหนึ่งกล่าวตอบว่า "ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันท่าทางบลูจะใช้เอลจนหมดแรงเลยสลบไป เจ้าพอจะหาห้องพักให้เขาได้สักห้องไหม"
โรสกล่าวว่า "นั่นไม่มีปัญหา ที่ตึกหัวหน้าหมู่บ้านมีแพทย์อยู่ท่านหนึ่ง ข้าจะขอให้เขาดูอาการบลูเพื่อนของเจ้า ให้ข้าช่วยพยุงเขาอีกแรงหนึ่งดีกว่า"
ลูทกล่าวขอบคุณโรซาไลน์ ทั้งสองช่วยกันประคองบลูรีบเดินไปยังตึกหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ด้านในสุด
เมื่อไกก้าวอย่างไร้เสียงเลียบเคียงเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ตระเตรียมหาที่ซ่อนตัวเอาไว้ในระยะลงมือ จุดที่เหมาะสมไม่ควรห่างจากต้นเสียงเกินสิบเมตร
เมื่อเข้าถึงระยะไกก็หยุดอยู่หลังกองฟางข้างเคียง เงี่ยหูสดับฟังคำสนทนาสะกดใจรอคอยจังหวะลงมือ การลงมือลอบจับกุมหัวหน้าโจร พอมาถึงจุดนี้มิใช่ว่าไกจะบุกเข้าจับกุมอย่างผลีผลาม เขาต้องอาศัยจังหวะจะโคนที่ถูกต้องฉวยโอกาสที่ฝั่งตรงข้ามคลายปราการคุ้มกันตัว เผด็จศึกในระยะเวลาอันสั้น
ด้วยความสามารถของไกสามารถฟังเสียงที่ห่างในระยะสิบเมตรได้อย่างสบาย แว่วเสียงโจรคนหนึ่งดังมาว่า "ครั้งนี้พวกเราควรจะกวาดทรัพย์มาได้กว่าสามร้อยเหรียญทอง สายสืบรายงานเข้ามาในชั่วโมงก่อนว่าขบวนพ่อค้ารายนี้อ้วนท้วนพอสมควร ท่านรองหัวหน้ายกกองโจรไปเกือบร้อยคน ขบวนพ่อค้าพวกนั้นมีเพียงหกสิบกว่าคน ถึงจะจ้างสำนักคุ้มกันภัยมาครึ่งหนึ่งพวกเราก็ยังรับมือได้สบาย ดูท่าพวกเราจะลงมือสำเร็จเป็นแน่แท้"
หัวหน้ากองโจรสุนัขป่าราเกซยิ้มอย่างพึงพอใจ หัวเราะหึหึแล้วกล่าวว่า "ทำได้ดีมาก ถ้าหากงานนี้สำเร็จด้วยดี ข้าจะให้พวกเจ้าได้รับส่วนแบ่งคนละห้าเหรียญทอง" ลูกน้องคนนั้นดีใจมากจึงรีบขอบคุณหัวหน้าอย่างลนลาน
ขุนโจรราเกซเป็นชายวัยสามสิบกว่าปีไว้หนวดเคราครึ้ม รูปร่างแข็งแรงกำยำปล่อยผมสีดำยาวสยาย ที่ใต้ดวงตามีแผลเป็นจากอาวุธเช่นเดียวกับที่ลำแขน เสื้อผ้าที่เขาใส่เป็นชุดสีดำสวมเกราะสีเงินที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง ที่ศีรษะโพกผ้าสีแดงเป็นเครื่องหมายระบุว่าเป็นพวกพ้องเดียวกันเช่นเดียวกับโจรคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าคนทั่วไปพบเห็นราเกซโดยไม่ได้ยินคำสนทนาเมื่อครู่ พิศจากบุคลิกเครื่องแต่งกายเพียงอย่างเดียวก็รู้ว่าเป็นหัวหน้าโจรทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันใดนั้นมีลูกน้องโจรคนหนึ่งเปิดประตูด้านหน้าโรงสี วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนกล่าวว่า "แย่แล้วท่านหัวหน้า"
ไกตระเตรียมพร้อมฝ่าวงล้อมออกไปในทันที เขาเกรงว่าร่อยรอยของตนเองจะถูกเปิดโปง แผนการที่ตนเองลงทุนลงแรงใช้ความพยายามถึงเกือบเดือนจะต้องมาล้มเหลวในขณะนี้หรือ
ลูกน้องโจรคนนั้นกล่าวต่อไป "สายสืบส่งพิราบสื่อสารมาพร้อมข่าวด่วนว่า พ่อค้าเหล่านั้นเป็นมือปราบปลอมตัวมาขอให้ท่านหัวหน้าส่งกำลังไปช่วยเหลือด่วน มือปราบซุ่มกองกำลังเอาไว้ที่ชายป่าร่วมสองร้อยคน พี่น้องของท่านรองหัวหน้าหลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งกำลังหนีเตลิดมาทางด้านนี้"
"ว่ากระไร" ราเกซตะลึงอยู่สักพักอุทานออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย
ไกเห็นว่าโอกาสนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดที่หามิได้อีกแล้ว เขาลงมือในบัดดล กระบี่เกล็ดน้ำค้างลอยเข้ามาอยู่ในมืออย่างไร้เสียง เขาคว้าจับด้ามกระบี่ด้วยสองมือพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่น่าตระหนก จังหวะที่ราเกซรับรู้ข่าวร้ายเป็นจังหวะที่ร่างกายคลายการป้องกันลงถึงขีดสุด ประสาทสัมผัสต่างๆถูกความตกตะลึงดึงดูดไปวูบหนึ่ง วินาทีนี้จึงเหมาะสมต่อการจู่โจมที่สุด
ราเกซที่เก่งกาจกลับมีปฏิกิริยาโต้ตอบเมื่อไกพุ่งเข้าใกล้ ในช่วงระยะห่างสามเมตรเขาก็รู้ตัวว่าถูกลอบทำร้าย ชักดาบโค้งขึ้นถือมั่นตวัดกลับหลังไป
เสียงโลหะกระทบกันดังเคร้ง กระบี่ยักษ์ของไกที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูง กระทบกับดาบโค้งของราเกซที่รับมืออย่างฉุกละหุก ด้วยสถานการณ์ก็รู้ว่าไกเป็นฝ่ายมีเปรียบอย่างมาก แต่ไกจะสูญเสียความมีเปรียบได้ทุกเมื่อถ้าโจรลูกสมุนด้านนอกรู้ว่ามีคนบุกเข้ามาแล้วยกกำลังยี่สิบกว่าคนมาล้อมกักเขาเอาไว้ ด้วยแรงของไกที่พุ่งมาทำให้ร่างของราเกซเซถอยหลังไปสองก้าว เอลในร่างปั่นป่วนได้รับความบอบช้ำภายใน
อย่างไรก็ตามมันเองไม่ใช่ว่าได้รับการยกย่องให้เป็นหัวหน้าโจรเพราะกำลังเท่านั้น เขาบุคคลที่มีสมองคนหนึ่ง ในยามคับขันราเกซยังสามารถควบคุมจิตใจวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องต้นได้ เมื่อเจอชนชั้นยอดฝีมือลอบทำร้าย ถ้าหากหลบหนีก็จะทำให้เสียจังหวะตอบโต้โดนรุกไล่อยู่ฝ่ายเดียว นอกจากจะหนีไม่รอดแล้วก็อาจจะถึงขั้นบาดเจ็บล้มตาย แต่ถ้าต้านรับอยู่สักพักหนึ่งรอให้ลูกน้องตนเองเบื้องนอกเข้ามาช่วยอย่างนั้นอาจจะมีหนทางรอดอยู่บ้าง ดีไม่ดีอาจจะถึงขั้นจับตัวคนลอบทำร้ายมาเค้นถามเอาข่าวสารที่สำคัญเพิ่มเติม พอราเกซคิดได้เช่นนั้นจึงกัดฟันตอบโต้กลับไปหนึ่งดาบ
ไกพบว่าขนาดเขาทุ่มกำลังจู่โจมโดยอีกฝ่ายไม่ทันระวังตั้งตัว ยังไม่ได้ผลเท่าที่คาดเอาไว้ หัวหน้าโจรรายนี้มีฝีมืออยู่ท่าสองท่าจริงๆ เช่นนี้ต่อให้มือปราบท้องถิ่นล้อมปราบมันอีกสิบครั้งก็คงจะไม่เป็นผลสำเร็จ ครุ่นคิดส่วนครุ่นคิดกระทำส่วนกระทำ ไกคลายมือขวาออกเปลี่ยนเป็นจับกระบี่ด้วยมือซ้ายเพียงข้างเดียว เขารวบรวมเอลเอาไว้ในมือขวาเปล่งเป็นแสงสีน้ำเงิน เมื่อเห็นดาบราเกซโต้กลับมามือซ้ายของเขาก็ส่งกระบี่เข้าต้านรับ จังหวะที่กระบี่ปะทะดาบเขาใช้มือขวาแตะไปที่คมกระบี่ยักษ์ ส่งเอลน้ำแข็งซึ่งเป็นเอลระดับสองผ่านไปยังปลายดาบของราเกซ
เอลระดับสองเกิดจากการหล่อหลอมเอลสองประเภทที่ไม่ตรงข้ามกันเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นเอลชนิดใหม่ขึ้นเรียกว่าเอลระดับสอง ในที่นี้ไกใช้เอลน้ำแข็งซึ่งเกิดจากการหลอมรวมกันของเอลน้ำและเอลลม
ในโลกนี้มีบุคคลพิเศษอยู่ไม่กี่คนที่มีสัญลักษณ์ของเอลระดับสองปรากฏบนร่าง สัญลักษณ์พวกนี้จะสืบทอดกันทางสายเลือด ถึงแม้ว่ามีสายเลือดเอลน้ำแข็งก็ใช่ว่าจะมีสัญลักษณ์แห่งเอลน้ำแข็งปรากฏขึ้นทุกคน สัญลักษณ์มีคุณสมบัติพิเศษทำหน้าที่หลอมรวมเอลสองประเภทเข้าด้วยกัน ผู้ที่มีสัญลักษณ์ประเภทนี้จะไม่จำเป็นต้องใช้เอลสองครั้งเพื่อสร้างเอลระดับสอง นับว่าไกเป็นหนึ่งในบุคคลประเภทนั้น
"มือหิมะ ไก" ราเกซกล่าวอย่างตกใจเมื่อเขาถูกความเย็นแทรกซึม
เอลน้ำแข็งที่ไกใช้เรียกว่าหิมะเยือกแข็ง เมื่อถูกผู้ร่ายสัมผัสด้วยเอลหิมะเยือกแข็งจะทำให้เกิดความเย็นดุจดั่งน้ำแข็งเกาะเข้าที่ตามร่างกาย ผู้ที่ถูกเอลแทรกซึมเกิดอาการชาและมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ช้าลง ไกคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วว่าราเกซจะต้องดำเนินแผนถ่วงเวลาให้ลูกน้องมาช่วยจึงเตรียมเอลน้ำแข็งเป็นแผนตอบโต้ เมื่อราเกซถูกความเย็นแทรกซึมทำให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ตามปรารถนาชั่วขณะ
มือของราเกซพลันปรากฏเป็นไอร้อนสีแดงขึ้น เป็นสัญลักษณ์ของเอลที่สี่คือเอลแห่งไฟ ราเกซตั้งใจจะใช้ความร้อนละลายความเย็นซึ่งแผ่ซ่านมาจากท่าหิมะเยือกแข็ง แต่เขาจนใจที่คำนวณผิดไปครั้งหนึ่งคาดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีความสามารถเช่นนี้ เอลแห่งไฟไม่สามารถสร้างความอบอุ่นได้ทันท่วงที เขายังช้าไปอยู่จังหวะหนึ่ง
"สายไปแล้วราเกซ" ไกกล่าว พร้อมกับใช้ตัวกระบี่ยักษ์กระแทกเข้าไปที่ดาบโค้งของราเกซเป็นคำรบสอง พลังความเย็นถ่ายทอดจากมือขวาสู่ตัวกระบี่เกล็ดน้ำค้าง จากตัวกระบี่ยักษ์สู่ดาบโค้ง แทรกซึมผ่านคมดาบเข้าสู่ร่างกายราเกซ หัวหน้ากองโจรสุนัขป่ารายนี้กระเด็นไปด้านหลังตามความรุนแรงของกระบี่ ลมหายใจถูกไอเย็นจับจนติดขัด เลือดลมกลับกลายเป็นน้ำแข็งขาดใจตายในบัดดล
เมื่อยอดฝีมือเผชิญหน้ากันการคำนวณผิดไปครั้งเดียวอาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิต
ในการต่อสู้ครั้งนี้ที่ดูเหมือนว่าจะง่ายดาย แต่ถ้าไกสู้กับราเกซตรงๆฝีมือของขุนโจรก็คงจะไม่เป็นรองมากนัก ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถสังหารราเกซได้แต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาหัส จากเหตุการณ์ปัจจุบันแสดงว่าไกพิชิตราเกซด้วยปัญญาโอกาสและโชคอีกเล็กน้อย ทำให้ดูเหมือนพิชิตลงได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ไกต้องใช้การวางแผนแรมเดือนกว่าจะสร้างโอกาสให้เขาลอบจู่โจมครั้งนี้ได้
โจรเล็กโจรน้อยที่อยู่รอบข้างยังตะลึงกับการต่อสู้ที่ดุเดือดแต่สิ้นสุดแค่เพียงสองกระบี่เท่านั้น หัวหน้าของพวกมันถึงกับล้มตายลง ฝูงโจรถึงกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง หวาดกลัวไกราวกับยมทูตมาทวงวิญญาณ พวกมันแตกฮือกันออกไปรอบด้าน ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเสี่ยงตายมาสู้กับไกเพื่อแก้แค้นแม้สักรายเดียว พวกมันไม่มีความจงรักภักดีต่อขุนโจรราเกซแต่อย่างใด เพียงแต่จงรักภักดีต่อเงินทองเหรียญกษาปณ์เท่านั้น พอหัวหน้าสิ้นพวกมันก็ชิงหนีเอาตัวรอดกระจัดกระจายกันไปทุกทิศทุกทาง
นี่เรียกว่ามิจฉาชีพคงอยู่ร่วมกันเพียงผลประโยชน์เบื้องหน้าถ้าขาดผู้นำก็ไม่มีผู้ใดจะเอื้อประโยชน์ให้
ไกอาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีออกจากโรงสีข้าวทางด้านหลัง ผิวปากเรียกเจ้าพายุมารับ กระโดดขึ้นเจ้าพายุอาชาคู่ขาเดินทางกลับไปยังเมืองเจนีสเหนือเพื่อสมทบกับพวกมือปราบท้องถิ่น นับว่าภารกิจเสร็จสิ้นไปด้วยดี
ลูทและโรสช่วยกันพยุงบลูมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของหมู่บ้าน สุดถนนหลักเป็นลานวงกลมใหญ่ ตรงกลางมีบ่อน้ำเอาไว้สำหรับใช้สอย ด้านข้างประดับประดาด้วยต้นไม้รายรอบบ่อดูสวยงามยิ่ง
ตึกที่อยู่เบื้องหน้าเป็นเพียงตึกเดียวในหมู่บ้านที่ปลูกหันหน้าเข้าหาทางเข้าตั้งฉากกับบ้านเรือนหลังอื่นๆ นอกจากตึกหลังนี้อาคารหลังอื่นจะปลูกเรียงรายอยู่ทางด้านซ้ายขวาของถนนสายหลัก ข้างหลังตึกนี้ปลูกสร้างไว้ด้วยกังหันน้ำขนาดใหญ่ คอยขับดันส่งน้ำไปหล่อเลี้ยงแปลงเกษตรแก่ครัวเรือนทั้งหลาย
"โรสกลับมาแล้วท่านลุง" โรซาไลน์กล่าวพร้อมกับเปิดประตูเข้าตึกที่อยู่ในสุดไป
ภายในห้องโถงใหญ่ยืนไว้ด้วยบุคคลสามคน คนกลางที่ยืนอยู่คือหัวหน้าหมู่บ้านหรืออีกนัยหนึ่งก็คือลุงของโรซาไลน์ หัวหน้าหมู่บ้านมีอายุราวห้าสิบปีเศษ ผมบางส่วนของเขาเป็นสีขาวแต่ส่วนใหญ่ยังเป็นสีดำอยู่ ท่าทางองอาจกล้าหาญหากดูอย่างผิวเผินก็จะรู้สึกว่ามีอายุราวชายวัยกลางคนเท่านั้น เขายังสวมใส่ชุดที่ทำจากผ้าเนื้อดีไม่พกพาอาวุธใดๆกอปรด้วยสง่าราศีชนิดหนึ่ง
คนทางซ้ายเป็นชายหนุ่มผมสีทองอายุไม่เกินสิบแปดปี ผิวขาวหน้าตาจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เขาสวมเสื้อผ้าสีเทาที่พวกแพทย์ชอบสวมใส่กันยืนสำรวมอยู่ในห้อง ส่วนคนทางขวาเป็นชายชราผมขาวอายุน่าจะเกินหกเจ็ดสิบปี ดูท่าทางจะเป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญเพราะอิริยาบถทั้งหลายรวมทั้งชุดที่สวมใส่ล้วนบ่งบอกว่าเป็นแพทย์มานานหลายทศวรรษ
"เป็นอย่างไรบ้างหลานโรส นั่นคนเจ็บนี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่" หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวพลางหันหน้าไปทางชายชราผมขาวกล่าวสืบต่อว่า "ท่านหมอวี รบกวนแล้ว"
ชายชราคนนั้นกล่าวตอบอย่างเป็นกันเองว่า "ด้วยความยินดีท่านกอร์ดอน" พลันสั่งให้คนรับใช้สองคนมาช่วยแบกบลูไปยังห้องพยาบาล แต่ก่อนที่เขาจะเดินตามไปก็เห็นบาดแผลของลูทที่ปรากฏอยู่ตามร่าง เขาสั่งให้ลูทนั่งลงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งนำสมุนไพรและตัวยาสมานแผลมาทาให้ลูท
"พี่โรสไม่เป็นไรใช่ไหม" เด็กหนุ่มคนทางซ้ายกล่าวกับโรซาไลน์ เธอส่ายหน้าบอกน้องชายว่าไม่เป็นอะไร
หลังจากลูทมองดูพวกคนรับใช้รวมทั้งแพทย์ชราผู้นั้นรับตัวของบลูไปก็โล่งใจในระดับหนึ่ง ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาหัวหน้าหมู่บ้านทำความเคารพคราหนึ่งกล่าวว่า "ขอบพระคุณมากท่านลุงกอร์ดอน ผู้เยาว์ชื่อว่าลูทเป็นลูกของแมกซ์ ออร์นิเทียจากหมู่บ้านสวนเชอร์รี่"
กอร์ดอนซึ่งเป็นทั้งหัวหน้าหมู่บ้านและเพื่อนเก่าของพ่อลูทจึงหัวเราะด้วยความยินดี กล่าวว่า "เจ้าเป็นลูกของแมกซ์เองหรือนี่ ดูจากรูปร่างหน้าตาเจ้าช่างเหมือนพ่อเจ้าตอนหนุ่มๆไม่มีผิดเพี้ยน แล้วแมกซ์เป็นอย่างไรบ้างล่ะ"
ลูทกล่าวตอบว่า "ท่านพ่อสบายดี ท่านได้รับหมายแต่งตั้งจากคณะปกครองให้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านสวนเชอร์รี่ ท่านฝากความคิดถึงมาถึงท่านลุงกอร์ดอนด้วย"
กอร์ดอนตอบรับคราหนึ่งพลางแนะนำเด็กหนุ่มคนทางซ้ายให้รู้จัก "นี่บีท เป็นน้องชายคนเดียวของโรซาไลน์ เขากำลังเรียนวิชาแพทย์เป็นศิษย์คนเดียวของท่านหมอวีที่รับตัวเพื่อนของเจ้าไปเมื่อครู่" พอพูดจบชายหนุ่มทั้งสองก็ทักทายกันคราหนึ่ง
กอร์ดอนหันไปถามไรซาไลน์ว่า "เมื่อครู่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทำไมพ่อหนุ่มคนนั้นถึงได้บาดเจ็บมา" เขากล่าวพร้อมกับสั่งให้บีทไปช่วยท่านหมออีกแรงหนึ่ง แพทย์ฝึกหัดบีทรับคำแล้วจึงจากไป
โรสเริ่มเล่าว่า "โรสได้ยินเสียงระเบิดคราหนึ่ง มองเห็นเอลสีเหลืองพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจึงออกไปตรวจสอบ บังเอิญพบกับลูทที่เดินทางมาอยู่แถวนั้น หลังจากนั้นไม่นานบลูเพื่อนของลูทก็ถูกอัศวินดำไล่ล่าตามมาเกิดการปะทะกันขึ้น พวกเราทั้งสามร่วมมือกันขับไล่อัศวินดำผู้นั้นล่าถอย ส่วนบลูฝืนใช้เอลจนเกินตัวทำให้สลบไสลไม่ได้สติ"
กอร์ดอนทำท่าครุ่นคิดสักพักจึงกล่าวว่า "อัศวินดำอย่างนั้นหรือ" เขาหยุดพักหนึ่งแล้วกล่าวต่อไปว่า "พวกมันเป็นหน่วยรบพิเศษของอาณาจักรนอร์ เรียกได้ว่าเป็นหน่วยรบที่เก่งกาจที่สุด พวกเจ้าทั้งสามสามารถขับไล่มันกลับไปได้ก็ถือว่าโชคดีอยู่บ้าง เจ้าพอจะจำรูปร่างหน้าตาของอัศวินดำคนนั้นได้ไหม"
ลูทตอบอย่างฉะฉานว่า "เขาเป็นชายหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาลแดง อายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกปี รูปร่างสมส่วน ใส่ชุดสีดำยาวปกคลุมทั้งร่างกาย ผ้าที่นำมาตัดเป็นชุดนั้นไม่ระคายคมดาบคมกระบี่ รูปแบบเสื้อผ้ารวมไปถึงการตัดเย็บแตกต่างจากนายทหารนอร์ทั่วไป เขาใช้หอกยาวเป็นอาวุธและที่แขนซ้ายก็สวมปลอกแขนเหล็ก"
กอร์ดอนตอบว่า "ถ้าเด็กขนาดนั้นข้าคงไม่รู้จัก สงสัยอัศวินดำรุ่นข้าคงเลื่อนขั้นกันไปหมดแล้ว ถ้ายังหลงเหลืออยู่ก็ถือว่าดักดานเต็มทน แต่ดูจากอาวุธคือหอกกับปลอกแขนนั้นสามารถกล่าวว่าจะต้องเป็นหนึ่งในอัศวินดำแน่นอน" จากนั้นกอร์ดอนจึงชวนลูทและโรซาไลน์นั่งลงบนโต๊ะสนทนา
กอร์ดอนเล่าสืบต่อว่า "อัศวินดำในยุคสมัยหนึ่งๆจะมีอยู่ทั้งหมดเก้าคน มีอยู่คนหนึ่งในสมัยข้าที่ใช้อาวุธเหมือนกับที่พวกเจ้ากล่าวมาแต่เสียชีวิตไปนานแล้ว คนพวกนี้เป็นองค์กรลับทำหน้าที่เป็นหน่วยสืบราชการโดยมีหัวหน้าอยู่คนหนึ่งและลูกน้องอีกแปดคน หัวหน้าอัศวินดำจะรับมอบหมายภารกิจต่างๆโดยตรงจากสามผู้ปกครองอาณาจักรนอร์โดยไม่ขึ้นกับกองทัพใดๆ มีอำนาจเต็มในการสั่งการทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ในสมัยก่อนที่ลุงยังหนุ่มก็เคยทำความรู้จักกันมาบ้าง"
ลูทนึกถึงคำว่าทำความรู้จักกันมาบ้างก็เดาว่าคงไม่พ้นเรื่องการต่อสู้ เมื่อไม่เห็นกอร์ดอนเล่าต่อจึงไม่สะดวกกับการไต่ถาม
โรซาไลน์ถามขึ้นมาว่า "ลูท เจ้ารู้จักอาจารย์ดาธด้วยหรือ"
ลูทตอบว่า "ใช่ เขาเป็นอาจารย์ของข้าเอง"
โรซาไลน์มีสีหน้าผิดปกติเล็กน้อย ลูทนึกขึ้นได้จึงกล่าวตอบไปว่า "ท่านอาจารย์ดาธน่ะไม่ได้สอนวิชาการต่อสู้ให้ข้าหรอก ท่านเพียงแต่สอนวิชาประดิษฐ์แล้วก็การดนตรี ส่วนวิชากระบี่ข้าพเจ้าร่ำเรียนจากบิดาได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของท่าน" โรสพยักหน้าตอบรับคำว่าเข้าใจแล้วกล่าวขอโทษลูทที่เข้าใจผิดไป
ลูทนึกถึงสิ่งที่บิดาอยากจะให้ขอความช่วยเหลือจากกอร์ดอนจึงกล่าวว่า "ลุงกอร์ดอน พ่อของข้ามอบหมายให้ข้ามาที่หมู่บ้านเงาจันทร์นี้ เนื่องจากข้าจะต้องสืบเสาะยอดศาสตราวุธทั้งสิบหกตามรอยของพ่อจึงอยากจะให้ลุงช่วยแนะนำวิชาพิเคราะห์สิ่งของและกลไกแก่ข้าด้วย เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของพ่อ"
กอร์ดอนพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ "ข้าเห็นเจ้าก็ทราบแล้วว่าแมกซ์ส่งเจ้ามาหาข้าทำไม สมัยก่อนแมกซ์กับข้าออกพเนจรด้วยกันเพื่อสืบหายอดศาสตราวุธทั้งหลาย แต่ก็เกิดสงครามขึ้นก่อนการเดินทางครั้งนั้นก็เลยต้องสิ้นสุดลง หลังสงครามบ้านเมืองก็วุ่นวายมีหลายเรื่องที่ทั้งข้าและแมกซ์จะต้องสะสางก็ไม่มีเวลาอีก เป้าหมายสูงสุดในการค้นหาศาสตราคู่กู้แผ่นดินจึงเป็นเพียงความฝันอันเลื่อนลอย ข้ารับปากว่าจะช่วยเจ้าแต่ในรายละเอียดนั้นเอาไว้ว่ากล่าวกันในภายหลัง"
ขณะนั้นเองมีเสียงตึกตักดังมาจากทางห้องที่หมอวีพาบลูเข้าไป
บีทที่วิ่งกระหืดกระหอบมากล่าวว่า "แย่แล้ว เพื่อนของท่านอาการทรุดหนัก"
ความคิดเห็น