คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เส้นทางชะตาลิขิต
ภาคแผนครองพิภพ
ตอนที่ 1 เส้นทางชะตาลิขิต
1 กุมภาพันธ์ อศ. 226
"เริ่มหิวแล้วนะเนี่ย ..." เสียงท้องร้องของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงคนหนึ่งดังขึ้น
"ท่าทางป่านี้ต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ" เขาบ่นพึมพำกับตนเองพลางเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ มือซ้ายปัดป่ายต้นไม้ มือขวากุมอุปกรณ์ที่สามารถเป็นทั้งนาฬิกาและเข็มทิศขึ้นมาดู เหลือบตามองแล้วจึงมุ่งหน้าต่อไปทางทิศตะวันออกอีกครู่หนึ่ง
"ปัดโธ่เว้ย" บุรุษหนุ่มเริ่มจะหงุดหงิดเมื่อเห็นต้นไม้ต้นเดิมเป็นรอบที่สาม เครื่องหมายที่ทำไว้ระบุตำแหน่งตลอดการเดินทางกลับไม่เป็นประโยชน์ สภาพแวดล้อมรอบข้างล้วนเป็นป่ารกทึบ สังเกตได้ว่าปราศจากร่องรอยของผู้คนมานานแล้ว
เขาหยุดยืนมองต้นไม้ใหญ่นั้นอีกครั้ง ครุ่นคิดพร้อมกับล้วงแผนที่ออกมาจากกระเป๋าสัมภาระขนาดกะทัดรัด ที่เป็นเสมือนชีวิตจิตใจสะพายติดตัวอยู่ด้านหลังไม่เคยห่าง
เมื่อมองเขาจากมุมนี้แล้วเห็นว่าเป็นบุรุษหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี เส้นผมสีน้ำตาลแดงตัดเป็นทรงสั้นพอเหมาะ ผิวค่อนข้างไปทางขาว รูปร่างไม่ใหญ่ไม่เล็กถือว่าเป็นเกณฑ์มาตรฐานของชายหนุ่มทั่วไป เค้าโครงหน้าตาไม่สามารถบอกได้ว่าหล่อเลิศ แต่เมื่อมองลึกลงไปจะเห็นถึงความองอาจเข้มแข็งแฝงอยู่ภายใน โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นที่ฉายความรู้สึกเด็ดเดี่ยวและคิ้วที่แฝงความดื้อรั้นอยู่บ้าง ส่วนเสื้อผ้าสีขาวที่ปกคลุมร่างเมื่อสองวันก่อนในตอนนี้อาจจะดูไม่ค่อยจะเป็นสีขาวเท่าใดนัก เนื่องจากผ่านการเดินทางมาเป็นระยะเวลายาวนาน
ชายหนุ่มใช้ความคิดกับตัวเองแล้วทบทวนอีกครั้งว่า "เมื่อวันก่อนข้าเดินทางมาถึงชายป่าเขตชายแดนต่อกันระหว่างอาณาจักรนอร์และอาณาจักรลาเวนดิส จากนั้นมุ่งหน้าลงใต้ตามถนนเชื่อมระหว่างเมืองมาเรื่อยๆ ในขณะนี้สมควรจะล้ำเข้ามาในเขตแดนของลาเวนดิสได้แล้ว จากจุดนั้นเดินมาทางตะวันออกเป็นเวลาอีกประมาณสามชั่วโมงจนถึงชายป่า ดูไปดูมาจากแผนที่จริงๆข้าควรจะถึงหมู่บ้านแล้วนี่"
... แต่ความจริงนั้นเขาใช้เวลาเดินทางเกินกว่าครึ่งวันแล้ว...
ณ ตำแหน่งที่บุรุษหนุ่มยืนอยู่คือตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายกากบาทสีแดงในแผนที่ ซึ่งควรจะเป็นที่อยู่ของหมู่บ้านเงาจันทร์ที่ตามหา แต่พอเดินมาถึงจุดกากบาทกลับไม่พบหมู่บ้านตามคาดคิด
จากสภาพการณ์เบื้องต้นจึงคาดเดาเปะปะเอาว่าแผนที่นี้น่าจะเก่าเกินไป จนไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน ชายหนุ่มพลางเดินวนรอบพื้นที่ละแวกนี้ ควานหาทางเข้าหมู่บ้านเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนเสบียงที่นำติดตัวมาพร่องหมดไป
"เฮ้อ ..." เสียงถอนหายใจเฮือกหนึ่งดังขึ้น บุรุษผมสีน้ำตาลแดงพลันนั่งยองๆลงที่ริมต้นไม้ใหญ่ ต้นเดิมที่เวียนมาถึงสามรอบ ระบายลมออกจากอกคลายความคุกรุ่นในใจ บรรจงสงบจิตสงบใจลง ผ่อนคลายอารมณ์จากความหงุดหงิด
พอจิตใจสงบลงอารมณ์ขุ่นมัวเริ่มจางหายไป สติปัญญาที่เคยหนาทึบเสมือนมีเมฆหมอกกำบังกลับกลายเป็นปลอดโปร่งแจ่มใส พลางใช้ความคิดย้อนทบทวนไปถึงเวลาเมื่อวันก่อน ถึงเหตุการณ์ที่บิดามอบหมายภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ เผื่อว่ามีรายละเอียดบางอย่างหรือถ้อยคำบางคำที่ตกหล่นไปบ้าง
วันที่ 31 มกราคม อศ. 226 ณ หมู่บ้านสวนเชอร์รี่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตะวันตกในเขตของนครมิสต์
หมู่บ้านสวนเชอร์รี่เป็นหมู่บ้านเกษตรกรรมมีผู้คนไม่กี่สิบหลังคาเรือน เกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกเชอร์รี่ขายเป็นอาชีพหลักตรงตามชื่อเรียก ชาวบ้านทั้งหลายอยู่กันอย่างสงบสุขเพราะไม่มีโจรผู้ร้ายหน้าไหนกล้าเข้ามาก่อเหตุในเขตการปกครองของนครมิสต์ ภายใต้เขตปกครองแห่งนี้จึงถือว่าเป็นดินแดนที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดในแผ่นดิน
"ลูท ลงมานี่หน่อย ข้ามีอะไรอยากจะให้ช่วย" เสียงชายวัยกลางคนตะโกนเรียกเขาจากชั้นล่าง
ลูทกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงานชั้นบน จึงตะโกนรับคำไปว่า "รอเดี๋ยวนะพ่อ กำลังลงไป"
แมกซ์บิดาของลูทเป็นผู้ที่มีรูปร่างแข็งแรงกำยำ อายุประมาณสี่สิบกว่าเกือบห้าสิบปี ทำหน้าที่เป็นครูฝึกวิชาต่อสู้ป้องกันตัวให้กับกองกำลังปกป้องหมู่บ้าน และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นนายพรานตัวฉกาจอีกด้วย บ้านที่ครอบครัวออร์นิเทียอาศัยอยู่เป็นบ้านไม้สองชั้นที่มีอายุกว่ายี่สิบปี เรียกได้ว่าอยู่มาตั้งแต่ลูทเกิดจนโตเป็นหนุ่ม ด้านหลังบ้านมีสวนเชอร์รี่เล็กๆที่บิดาปลูกเป็นธรรมเนียมของหมู่บ้านสวนเชอร์รี่ ด้านข้างบ้านมีเรือนชานปลูกไว้หลังหนึ่งใช้เป็นห้องเก็บของ ภายในใส่อุปกรณ์ต่างๆนานาสำหรับยามออกล่าสัตว์
ลูทเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อพบกับบิดา ในมือถือหนังสือเกี่ยวกับการประดิษฐ์ ขณะที่เดินลงมาชั้นล่างนัยน์ตาสีน้ำตาลแดงทั้งสองข้างยังไม่ยอมละออกจากหน้าหนังสือแม้สักวินาทีหนึ่ง พอลูทเงยหน้าขึ้นมาเป็นครั้งแรกก็พบว่าบิดานั่งอยู่ที่ชุดโต๊ะรับแขกกลางห้อง
ได้ยินเสียงแมกซ์กล่าวว่า "นั่งลงตรงนี้สิลูท ข้ามีอะไรจะคุยด้วย"
บิดากวักมือเรียกบุตรเข้าใกล้พร้อมกับหยิบของขึ้นมาจากกล่องชิ้นหนึ่ง กล่าวต่อไปว่า "เจ้าจำได้ไหมว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออะไร"
ลูทไม่เคยเห็นบิดาพูดคุยจริงจังกับตนเองสักครั้งจึงรู้สึกแปลกอยู่บ้าง เหลือบมองหนังสือปกสีเทาเล่มนั้นอยู่สักพักก็จดจำได้ จึงกล่าวตอบว่า "จำได้สิพ่อ มันเป็นหนังสือที่เก็บรวบรวมรายชื่อและรูปศาสตราวุธเอาไว้ เห็นว่ามีอยู่หลายสิบชิ้น"
แมกซ์ยิ้มออกเมื่อบุตรชายจดจำหนังสือเล่มนี้ได้ หนังสือที่เขาทุ่มเททั้งหยาดเหงื่อแรงกายแรงใจเขียนมันขึ้นมากับมือ กล่าวตอบว่า "ใช่แล้ว เมื่อสมัยยังหนุ่มข้ามีความตั้งใจอยากรวมรายละเอียดของศาสตราวุธที่ถือเป็นสุดยอดของแผ่นดินเอาไว้ แต่ในยุคนั้นเกิดสงครามขึ้นข้าจึงไม่สามารถทำได้สำเร็จ บัดนี้เจ้าเองอายุครบยี่สิบปีแล้วข้าจึงอยากจะให้เจ้าช่วยสานต่อความฝันของข้าให้เป็นจริง"
แมกซ์หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ กล่าวต่อไปว่า "เมื่อวันก่อนข้าได้รับหมายแต่งตั้งจากคณะปกครอง มอบอำนาจให้ข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแทนที่ท่านฮาเบอร์ที่กำลังเกษียณตัวเอง ข้ารู้ตัวดีว่าจะต้องอยู่ดูแลหมู่บ้านสวนเชอร์รี่ไปอีกนานคงจะไปไหนไม่ได้เหมือนแต่ก่อนอีก"
หมู่บ้านสวนเชอร์รี่แห่งนี้ไม่มีเภทภัยใดๆรบกวนมานานกว่ายี่สิบปี ลูทเองทราบว่าในอดีตบิดาเคยเป็นทหารมาก่อนแต่ออกจากราชการมาใช้ชีวิตสงบสุขอยู่กับมารดา หัวหน้าหมู่บ้านคนปัจจุบันจึงไหว้วานให้แมกซ์ช่วยฝึกสอนเด็กหนุ่มสิบกว่าคน ให้เป็นกองกำลังป้องกันพวกโจรลักเล็กขโมยน้อยและมิจฉาชีพต่างๆ ทั้งๆที่แทบจะไม่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเลย
ความจริงลูทเคยเปิดหนังสือเล่มนี้อ่านดูหลายครั้ง และรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับยอดศาสตราวุธทั้งหลาย เพียงแต่ไม่เคยได้พบเห็นของจริง จึงไม่ทราบถึงความวิเศษของยอดศาสตราวุธเหล่านี้ ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นที่มีต่อศาสตราวุธในหนังสือลดลงไป จนมาถึงวันนี้ที่บิดาเอ่ยปากถาม ความอยากรู้อยากเห็นจึงกลับมาอีกครา
บุรุษหนุ่มผมน้ำตาลแดงครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง จึงตอบตกลงกับบิดาแล้วถามว่า "ข้าสมควรจะไปเริ่มศึกษาเรื่องพวกนี้ได้จากที่ไหนกันละพ่อ"
แมกซ์ตอบไปว่า "แน่นอนว่าอย่างแรกเจ้าสมควรศึกษารายละเอียดจากหนังสือของพ่อก่อน หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่าสิบหกยอดศาสตราวุธความจริงแล้วมันสมควรจะมีรายละเอียดอาวุธสิบหกชิ้น แต่ข้ารวบรวมไว้ได้เพียงสิบสี่ชิ้นเท่านั้น ความรู้ที่ข้าบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ซึ่งในเวลานี้อาจจะมีศาสตราวุธที่ดีกว่าปรากฏขึ้นมาก็เป็นไปได้ เจ้าควรจะศึกษายอดศาสตราทั้งสิบสี่ชิ้นที่ข้าเคยรวบรวมมา แล้วค่อยนำมาจัดเรียงใหม่ด้วยตนเอง เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เจ้ามีความรู้เพียงพอเจ้าถึงจะได้มีความคิดอ่านแยกแยะว่าอาวุธชิ้นใดควรจะได้ชื่อว่ายอดศาสตราวุธ"
ลูทกล่าวตอบว่า "ข้ามีความเห็นเช่นตรงกับพ่อ สมัยก่อนอาจารย์ดาธสอนวิชาประดิษฐ์สิ่งของให้ข้า ถึงตอนนี้สมควรเป็นเวลาที่จะได้นำออกมาใช้อย่างจริงจังเสียที"
บิดาหัวเราะอยู่สักพักชี้นิ้วไปที่หนังสือการประดิษฐ์ข้างชุดรับแขก กล่าวว่า "เจ้าไม่ได้ใช้มันอยู่ทุกวินาทีหรอกหรือ ของประหลาดที่เจ้าทำออกมาเสียบ้างดีบ้างรกรุงรังเต็มบ้านช่องไปหมด ข้าต้องขนออกไปทิ้งเสียหลายครั้ง"
ลูททำหน้าตาพิกลเมื่อถูกบิดาสัพยอก มองดูหนังสือประดิษฐ์เล่มที่ถือติดมือมาแก้กระอักกระอ่วน
จากนั้นบิดาจึงกล่าวต่อไปอย่างจริงจังว่า "จงจำไว้ว่าอย่าได้ลืมสิ่งที่ดาธเคยสั่งสอนเป็นอันขาด อาจารย์เจ้าเป็นหนึ่งในยอดคนและเป็นสหายที่ดีที่สุดคนหนึ่งของข้า ข้าถึงได้ฝากให้มันสอนวิชาให้กับเจ้า"
"ครับพ่อ" ลูทตอบอย่างแข็งขัน
บิดาหยิบสิ่งของอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมาออกมาจากกล่อง มันเป็นแผนที่เก่าๆที่ตัวหนังสือบางตัวอาจจะเลอะเลือนไปบ้างแต่สภาพส่วนใหญ่ยังครบสมบูรณ์ดีอยู่ จึงต้องจับต้องด้วยความระมัดระวัง
แมกซ์กล่าวว่า "เจ้ามาดูแผนที่ของหมู่บ้านเงาจันทร์ สถานที่นี้เป็นหมู่บ้านของเพื่อนเก่าข้าอีกคนหนึ่ง เจ้าเคยเจอครั้งหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อนแต่ข้าคิดว่าเจ้าคงจำไม่ได้หรอก เพื่อนข้าคนนี้ชื่อว่ากอร์ดอน เกล เขาแก่กว่าข้าอยู่หลายปีเหมือนกันเจ้าสมควรที่จะเรียกว่าลุงกอร์ดอน เขามีความเชี่ยวชาญกับวิชาวินิจฉัยสรรพสิ่งเป็นอย่างมาก เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าของชิ้นนั้นมีค่ามหาศาลหรือว่าเป็นของปลอมที่ไร้ค่า อีกทั้งแตกฉานในวิชาประเภทกลไกกับดัก ที่เขาทำลายมานักต่อนักยามเป็นนักล่าสมบัติ ที่ข้ารวบรวมศาสตราวุธทั้งสิบสี่ชนิดไว้ในหนังสือเล่มนี้ได้ต้องยกความดีความชอบกึ่งหนึ่งให้กับกอร์ดอน"
ลูทถามว่า "ทำไมพ่อถึงรู้ว่ายอดศาสตราวุธสมควรจะมีสิบหกชิ้น พ่อไม่น่าจะจำกัดจำนวนเอาไว้ก่อนที่จะได้พบยอดศาสตราวุธจริงๆมิใช่หรือ"
บิดาตอบว่า "เจ้าเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า 'ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน' ไหม"
ลูทพยักหน้าเป็นเชิงว่าเคยได้ยิน กล่าวว่า "แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าคำกล่าวนี้หมายความว่าอย่างไร"
บิดากล่าวว่า "เรื่องนี้ข้าเองอธิบายไม่ค่อยจะถูกเท่าใดนัก เอาเป็นว่าศาสตราคู่กู้แผ่นดินเป็นยอดศาสตราวุธคู่มือของกษัตริย์ผู้สถาปนานครมิสต์ มีคำกล่าวกันว่า 'หากผู้ใดครองสองศาสตราผู้นั้นจะมีอำนาจครองแผ่นดิน' ข้าเองเคยเห็นอานุภาพศาสตราชิ้นหนึ่งจึงรู้ว่ามันจะต้องเป็นยอดศาสตรา เลยตั้งเป็นชื่อหนังสือว่าสิบหกยอดศาสตราวุธ น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยได้สัมผัสมันมากกว่านี้ จึงไม่สามารถจะใส่รายละเอียดของศาสตราคู่สองชิ้นนั้นลงในหนังสือได้ครบถ้วน หากเจ้าอยากรู้เรื่องนี้โดยละเอียดจงไปถามลุงกอร์ดอนอีกทีหนึ่ง เขาสามารถบรรยายเรื่องราวพวกนี้ได้ดีกว่าข้ามากนัก"
ลูทกล่าวรับคำครั้งหนึ่ง ครุ่นคิดในใจถึงคำกล่าวที่ว่า 'ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน' และ 'หากผู้ใดครองสองศาสตราผู้นั้นจะมีอำนาจครองแผ่นดิน'
บิดากล่าวว่า "และอีกอย่างหนึ่ง ข้าอยากจะให้เจ้าไปปรึกษาลุงกอร์ดอนเกี่ยวกับสถานที่ที่จะต้องไปสืบเสาะหาศาสตราวุธทั้งสิบสี่ชิ้น ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้เขาสอนวิชาหลบหลีกทำลายกลไกกับดักเสียด้วยก็ดี จำไว้ให้มั่นกากบาทสีแดงนี่คือตัวหมู่บ้าน อยู่ตรงรอยต่อระหว่างอาณาจักรนอร์และลาเวนดิสพอดี ลึกเข้าไปจากชายป่าประมาณสิบกิโลเมตร ถ้าเดินจากชายป่าแถบลาเวนดิสเข้าไปเจ้าจะใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง"
ลูทรับแผนที่มาพิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วจึงกล่าว "ถ้าอย่างนั้นข้าเดินไปตามทางของลาเวนดิสแล้วตัดตรงเข้าป่าได้น่ะสิพ่อ"
แมกซ์ตอบเสียงแข็งว่า "ไม่ได้ เส้นทางนั้นอันตรายมาก เจ้าอาจจะพบกับสัตว์ร้ายที่เจ้าคิดไม่ถึง จริงอยู่ว่าเส้นทางนั้นอาจจะใกล้กว่าแต่มันไม่คุ้มกับความเสี่ยง ต่อให้เป็นข้าเองเจอกับสัตว์ร้ายตัวนั้นยังตึงมือ ฝีมืออย่างเจ้าคงอยู่รอดได้ไม่เกินนาทีหนึ่ง อย่าลืมว่าเพราะสัตว์ร้ายพวกนี้ที่ทำให้แม่ของเจ้าต้องด่วนจากโลกไป"
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อสิบหกปีก่อน มีอยู่วันหนึ่งครอบครัวออร์นิเทียเดินทางไปพักผ่อนที่เมืองข้างเคียง ช่วงนั้นมารดาของลูทสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงพึ่งจะหายจากไข้มาไม่นาน ด้วยเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยระหว่างทางจึงประสบเหตุไม่คาดฝัน พบเจอสัตว์ดุร้ายเป็นงูพิษยักษ์ มันลอบทำร้ายและพ่นไอพิษใส่ครอบครัวออร์นิเทีย ท้ายที่สุดแมกซ์จัดการกับงูยักษ์นั้นได้แต่ผลของพิษร้ายทำให้มารดาของลูทอยู่ได้อีกไม่นาน ต่อมาอีกราวปีเศษๆ มารดาเลี้ยงลูทได้จนถึงอายุหกขวบพลันเสียชีวิตลง นับแต่นั้นมาเขาต้องอยู่ด้วยกันสองคนกับบิดามาตลอด
ลูทเอ่ยปากถามบิดาว่า "ว่าแต่พ่อจะต้องไปเป็นหัวหน้าหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อไร"
บิดาตอบว่า "มะรืนนี้ คาดว่าพรุ่งนี้เช้าข้าจะต้องเดินทางเข้านครมิสต์ไปรับตราแต่งตั้งจากคณะปกครองและในตอนนั้นพวกเราคงจะต้องแยกกัน เจ้าเองอายุครบยี่สิบปีเต็มแล้ว ข้าไว้วางใจในตัวเจ้า" พอบิดากล่าวจบจึงยื่นมือตบไหล่เขาด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ
ลูทรับของทั้งสองสิ่งมาแล้วก้มลงทำความเคารพบิดาของเขากล่าวว่า "ข้าจะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง"
คืนวันนั้น ณ ประตูเมืองทางด้านใต้ของเมืองเจนีสเหนือ อาณาจักรนอร์ รถม้าโดยสารคันหนึ่งแล่นออกมาทางถนนด้านทิศใต้ของตัวเมือง ผ่านประตูเมืองและทหารที่เฝ้ารักษาเมืองอย่างเร่งร้อน
แสงจากโคมไฟริมถนนดวงสุดท้ายค่อยๆจางลงเมื่อรถม้าแล่นผ่านไป ไกลขึ้นเรื่อยๆจนลับสายตา ชายหนุ่มคนหนึ่งทำหน้าที่ขับรถอยู่ทางด้านหน้าพยายามบังคับม้าอย่างเร่งรีบ มุ่งหน้าไปยังทิศใต้ซึ่งเป็นพรมแดนของอาณาจักรลาเวนดิส
คนขับรถเป็นบุรุษหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มเกือบจะดำ เช่นเดียวกันกับสีของนัยน์ตา เขาเป็นคนที่มีรูปรางสูงกว่าคนปกติเล็กน้อย เส้นผมปลายท้ายทอยปลิวไปตามสายลมที่ปะทะมาจากเบื้องหน้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายราวกับเทพบุตรมาจุติ เขามีดวงตาที่คมราวกับเหยี่ยวเวหา จมูกที่โด่งเป็นสัน ชุดที่สวมใส่เป็นผ้าสีดำสนิทสวมคลุมทับชุดสีครามปนขาวด้านใน มีเจตนาที่จะปกปิดร่องรอยในยามราตรี หากถอดชุดดำออกแล้วพิจารณาจะเห็นว่าบุรุษผู้นี้เป็นบัณฑิตนักศึกษารูปงามคนหนึ่ง
เมืองเจนีสมีแม่น้ำเจนีสไหลผ่ากลางแบ่งออกเป็นสองซีกคือเหนือและใต้ ซีกทางเหนือแม่น้ำเจนีสเป็นเขตแดนของสหพันธรัฐนอร์ส่วนซีกทางด้านใต้แม่น้ำเจนีสเป็นดินแดนของราชอาณาจักรลาเวนดิส ทั้งสองประเทศเชื่อมกันด้วยสะพานแห่งหนึ่งเรียกว่าสะพานข้ามแม่น้ำเจนีส ระยะทางระหว่างตัวเมืองเจนีสเหนือและสะพานข้ามแม่น้ำอยู่ห่างกันเกือบสิบกิโลเมตร บริเวณคอสะพานข้ามแม่น้ำมีจุดตรวจหนังสือเดินทางและกองทหารรักษาชายแดนของสองประเทศควบคุมอยู่ตลอดเวลา ผ่านจุดตรวจนี้ไปจะถึงเมืองเจนีสใต้อันเป็นเขตของอาณาจักรลาเวนดิส ซึ่งเป็นทิศทางที่รถม้ากำลังแล่นไปพอดี
มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากในรถม้าว่า "บลู ข้าจะลงตรงนี้ชักนำศัตรูไปอีกทิศหนึ่ง"
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มที่กำลังลงแส้เร่งม้าเทียมรถตะโกนตอบกลับว่า "ทำอย่างนั้นไม่ได้เนส เจ้าหนีไม่รอดแน่"
เนสยื่นหน้าออกมาจากตัวรถ กล่าวว่า "ถ้าพวกเราแยกกันหลบหนีอาจจะมีโอกาสรอดอยู่บ้าง แต่ถ้าดันทุรังไปกันสองคนแบบนี้พวกเรากลับไม่มีหนทางรอดอยู่เลย ทหารม้าของนอร์จะตามพวกเราทันภายในสิบนาทีนี้ เทียบกับม้าตัวนี้ที่บรรทุกคนสองคนอีกทั้งรับภาระลากรถ รับรองไม่มีทางหนีทหารที่ควบม้าเร็วไปได้"
บลูนิ่งไปสักพักจากนั้นจึงตอบว่า "เราแยกกันก็ได้ แต่คนที่ล่อพวกทหารไปอีกทางต้องเป็นข้าไม่ใช่เจ้า"
เนสกำลังจะตะโกนเถียงกลับไปพลันได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบมาจากระยะไกลจึงกล่าวว่า "ไม่น่าเชื่อว่าจะเร็วขนาดนี้"
บลูกล่าวตอบอย่างรวบรัดว่า "ไม่มีเวลาแล้วเจ้ามาบังคับรถแทนข้า พบกันที่เจนีสใต้ขอเพียงถึงที่นั่นพวกเราจะมีหนทางรอด" พอพูดจบบลูจึงกระโดดจากที่นั่งคนขับลงสู่ข้างทาง ปลายเท้าสัมผัสยอดหญ้าก็สามารถทรงตัวได้ทันที แสดงว่าเป็นบุคคลที่มีฝีมือติดตัวคนหนึ่ง
เนสเห็นดังนั้นจึงปีนออกมาจากตัวรถกุมบังเหียนม้าเอาไว้ โยนของออกมาชิ้นหนึ่ง ตะโกนบอกบลูว่า "เก็บรักษาไว้ให้ดี"
บลูรับของชิ้นนั้นไว้ ปรากฏว่าเป็นสมุดบันทึกที่พวกเขาทั้งสองกำลังคุ้มกัน ใจจริงของบลูอยากจะให้เนสนำติดตัวไปด้วยแต่ทราบว่าเหตุการณ์คับขัน ไม่มีเวลาเกลี้ยกล่อมเนสอีก พลันวิ่งเตลิดเข้าป่าด้านข้างไป
ป่าแห่งนี้มีทางลับเชื่อมกันระหว่างอาณาจักรนอร์และลาเวนดิส แม่น้ำเจนีสเป็นพรมแดนกั้นขวางระหว่างดินแดนของสองประเทศ ตอนเหนือของแม่น้ำจะเป็นดินแดนของนอร์ ส่วนตอนใต้จะเป็นเขตของลาเวนดิส ทางเดินในป่าสายนี้ถูกทิ้งร้างปราศจากร่องรอยผู้คน หนทางรกทึบและเต็มไปด้วยวัชพืช มีอยู่ช่วงหนึ่งที่แม่น้ำเจนีสแคบเป็นพิเศษ สมัยสงครามเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนมีการสร้างสะพานไม้เล็กๆเอาไว้เดินทาง ช่วงนั้นสะพานหลักข้ามแม่น้ำเจนีสถูกปิดตาย เหล่าทหารนอร์จึงต้องอาศัยการสร้างสะพานไม้ในป่าข้ามไปตีเมืองเจนีสใต้แทน ตัวบลูเองก่อนที่จะรับภารกิจนี้ได้ศึกษาภูมิประเทศเหล่านี้เป็นอย่างดี คาดว่าหากเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงฉุกเฉินจะใช้เส้นทางลับในป่าให้เป็นประโยชน์
"พวกมันแยกไปสองทาง" เสียงทหารคนหนึ่งดังขึ้นมาจากกองทหารที่ขี่ม้าไล่กวดทั้งสอง
นายทหารคนหนึ่งควบม้ามาถึงด้านหน้าลูกน้องทั้งหมด กล่าวสั่งการว่า "พวกเราแบ่งกันไปสองกลุ่ม พวกเจ้าสิบคนตามข้าไปทางรถม้า ส่วนพวกเจ้าที่เหลือตามอีกคนหนึ่งไปทางแนวป่า"
ลูกน้องทั้งยี่สิบกว่าคนขานรับเป็นเสียงเดียวกัน พลันแยกเป็นสองขบวนเพื่อไล่ตามจับเป้าหมายทั้งสองให้ได้ เพียงพิจารณาจากระเบียบวินัยก็ทราบว่าทหารเหล่านี้มิใช่ทหารเลวทั่วไป พวกเขาได้รับการฝึกเป็นอย่างดีถึงสามารถแบ่งกำลังเคลื่อนไหวได้คล่องตัว สั่งการอย่างไรก็ปฏิบัติตามนั้นไม่มีการลังเลเสียเวลา
สาเหตุที่พวกทหารยี่สิบกว่าคนไล่ตามจับคนทั้งสองอย่างหมายมั่นปั้นมือขนาดนี้เป็นเพราะหมายเรียกจับถูกประกาศออกมาจากตึกผู้บังคับบัญชาโดยตรง ผู้จับกุมสำเร็จจะได้รับรางวัลนำจับเป็นเหรียญทองสิบเหรียญ เงินจำนวนนี้เพียงพอให้ผู้คนธรรมดาอยู่กินไปอย่างสบายได้ถึงสิบเดือนเต็ม
ม้าของทหารที่ไล่ติดตามบลูมาทางชายป่ากลับกลายเป็นเครื่องถ่วงความเร็วไป บลูที่ชาญฉลาดอาศัยเส้นทางในป่ารกทึบจนม้าไม่สามารถห้อตะบึงได้เต็มที่ เนื่องจากก่อนนี้ได้วางแผนระบุเส้นทางเดินป่ามาก่อนว่าทางใดสามารถใช้ได้สะดวก หากเจอทหารม้าไล่ตามสมควรหลบหนีไปทิศทางใด
ทหารฝ่ายที่ไล่กวดบลูจึงแบ่งกำลังเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งต้องสละม้าติดตามเข้าไปในบัดดล อีกส่วนหนึ่งขี่ม้าควบไปตามชายป่า เพื่อดักหน้าเส้นทางหลบหนีจากด้านหน้า หมายขีดวงกำจัดเขตโอบล้อมจากทุกทิศทาง ปิดกั้นทางหนีของบลูให้สิ้น
บลูวิ่งตะบึงติดต่อกันมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม พบว่าชุดสีดำที่สวมคลุมทับเสื้อผ้ามีรอยขาดวิ่นอยู่เป็นหย่อมๆพละกำลังร่อยหรอลงไปทุกที จึงจำเป็นต้องนั่งพักสักครู่คิดหาทางหลบหนีสืบต่อ
เวลาผ่านไปไม่นานนักบลูพลันได้ยินเสียงผิดปกติ เป็นเสียงฝีเท้าทหารราวห้าหกคนกำลังสืบหาร่องรอยของตนดังมาจากทางเบื้องหน้า
บลูพิจารณาเสียงเหล่านั้นพบว่าตนอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุด ทหารเบื้องหน้าขี่ม้ามาดักรออยู่ก่อน ในขณะที่เขาเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งตะบึงเพื่อสลัดทหารที่ตามมาจากด้านหลัง บลูแหงนหน้ามองจันทราก็โล่งใจไปส่วนหนึ่ง เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนแรมแสงจันทร์บางเบาช่วยปกปิดร่องรอย การควานหาคนผู้หนึ่งในป่ารกทึบด้วยแสงเพียงเท่านี้กระทำได้ยากลำบากนัก
บลูสงบสติสัมปชัญญะใช้ปัญญาวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวม ความจริงที่ปรากฏคือศัตรูเป็นทหารมือดีตามมาสองกอง แบ่งเป็นหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ฟังจากเสียงฝีเท้าคาดว่าแต่ละกองมีทหารจำนวนห้าถึงหกคนโดยประมาณ กองทหารด้านหน้าเดินทางมาดักทางไว้แต่ยังไม่รู้ตำแหน่งเขาแน่นอน ส่วนกองทหารที่ตามหลังยังเดินทางมาไม่ถึงคาดว่าติดตามอยู่ห่างไม่เกินครึ่งชั่วโมง จากการประเมินอย่างหยาบภายในเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงนับจากนี้ ศัตรูทั้งสองกลุ่มจะรวมตัวกันเป็นกองขนาดสิบคนเศษช่วยกันควานหาร่องรอย ข้อได้เปรียบเพียงหนึ่งเดียวที่เขามีคือ สภาพแวดล้อมที่ช่วยปิดบังร่องรอยไม่เปิดเผยออกไปในความมืดมิด
แต่ถ้าฟ้าสางเมื่อไรนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
บลูพิจารณาถึงทางออกจากป่าพบว่ามีหลายเส้นทางให้ตัดสินใจเลือกหลบหนี ถ้าขึ้นเหนือจะกลับไปยังตำแหน่งเดิมที่เขากระโดดลงจากรถม้า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะย้อนกลับไปทางนั้น ทางทิศตะวันออกติดแนวภูเขาสูงชัน เนื่องจากไม่มีเครื่องมือปีนป่ายจึงไม่มีปัญญาปีนข้ามภูเขาสูงขนาดนั้นได้ ทางทิศตะวันตกทอดไปถึงแนวสะพานข้ามแม่น้ำเจนีสที่มีทหารตรวจตราอยู่อย่างหนัก ขนาดเนสขี่ม้าไปยังไม่แน่ว่าจะรอดไปอีกฝั่ง ถ้าเขาเดินเท้าบุกฝ่าไปอย่างหักโหมรับรองได้ว่าไม่มีหนทางรอด หนทางสุดท้ายคือทิศใต้ที่เป็นแม่น้ำข้ามไปยังลาเวนดิส ทางออกที่เป็นไปได้ของเขามีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือสะพานไม้ในป่าที่จะข้ามไปยังลาเวนดิส
จุดนั้นเป็นจุดที่ล่อแหลม พวกทหารจะต้องวางกำลังทหารเอาไว้สกัดจับอย่างแน่นอน ทางเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือฝ่าด่านออกไป
ขณะนี้ห่างจากเวลาฟ้าสางราวสี่ชั่วโมง พอคิดได้เช่นนี้บลูจึงตัดสินใจกับตนเองว่าจะตักตวงเวลาช่วงนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด พักผ่อนให้เต็มที่เท่าที่จะทำได้ อยู่นิ่งเฉยพักฟื้นเรี่ยวแรงปล่อยให้ศัตรูตรากตรำเหน็ดเหนื่อยจากการค้นหาตามล่า ซึ่งจะชิงความมีเปรียบทางด้านร่างกายมาได้
ต่อจากนี้อีกสามชั่วโมง บลูตัดสินใจทะลวงฝ่าแนวป้องกันทางทิศใต้เพื่อข้ามไปยังลาเวนดิส ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาใกล้ฟ้าสาง ซึ่งผู้คนทั่วไปจะเหน็ดเหนื่อยถึงขีดสุด บุคคลยามเหนื่อยอ่อนจะคลายการระวังป้องกันบางส่วนโดยอัติโนมัติ อีกทั้งไม่มีแสงตะวันสาดส่องทำให้เขาสามารถชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ
นี่เป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่คราหนึ่ง พอคิดได้เช่นนั้นบลูจึงหลบซ่อนในโพรงต้นไม้ใหญ่ ใช้กอหญ้าปิดปากโพรงให้มิดชิดแล้วข่มตาหลับไป
ลูทเก็บของทั้งหมดที่ต้องใช้กับการเดินทางลงกระเป๋าสัมภาระ การเดินทางสู่โลกภายนอกอาจจะใช้เวลาแรมปี ทำให้เขาอาลัยอาวรณ์ต่อบ้านหลังนี้อยู่ไม่น้อย บ้านที่เขาเกิดและเติบโตมาตั้งแต่แบเบาะ
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ลูทจะต้องเดินทางคนเดียวเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเดินทางมาก่อน เพียงแต่ก่อนหน้านี้จะไปกับเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งที่ร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์ดาธด้วยกัน หรือไม่ก็จะเป็นการเดินทางเข้าป่าไปล่าสัตว์กับบิดาในฐานะพรานผู้ช่วย
เป็นที่รู้กันของนักเรียนทั้งสองคนว่าฝีมือของอาจารย์ดาธจัดอยู่ในระดับขั้นลึกล้ำสุดหยั่งคาด วิธีการสอนของอาจารย์ไม่เหมือนอาจารย์คนอื่น เน้นการยึดลูกศิษย์เป็นหลัก ไม่ถ่ายทอดวิชาที่เหมือนกันให้กับลูกศิษย์ทั้งสอง แต่ใช้ความรู้ที่สั่งสมเลือกวิชาที่คิดว่าเหมาะกับศิษย์ของตนขึ้นมา สอนวิชาที่คัดสรรให้กับลูกศิษย์แต่ละคนจนเป็นเอก ลูกศิษย์ที่ออกมาจะไม่มีทางเป็นดาธคนที่สองดั่งเช่นสำนักอื่นที่ให้ศิษย์ฝึกวิชาประจำสำนักเหมือนกันทุกคน ดาธเว้นทางเดินไว้ให้ศิษย์ค้นหาและพัฒนาตนเองในอนาคต ซึ่งนั่นเป็นเส้นทางที่จะต้องไขว่คว้าหามาด้วยตัวของลูกศิษย์เขาเอง แต่รับรองได้ว่าสิ่งที่ดาธมอบให้แก่ศิษย์เป็นสิ่งที่เขามั่นใจว่าศิษย์จะใช้ประโยชน์จากมัน สำหรับการค้นหาทางเดินในฝันของศิษย์แต่ละคน
ลูทร่ำเรียนวิชาในหมวดการประดิษฐ์และดนตรีการจากอาจารย์ดาธมากึ่งหนึ่ง ที่เหลืออาจารย์บอกกลับให้ไปค้นหาและบัญญัติขึ้นเอง ศาสตร์ทั้งสองนี้เป็นศิลปะมิใช่ข้อกำหนดตายตัว อาจารย์ดาธเน้นด้านพื้นฐานและวิธีการประยุกต์เป็นหลัก ส่วนการหยิบจับออกมาใช้จริงเป็นเรื่องของศิษย์แต่ละคน ซึ่งลูทเองรักวิชาพวกนี้มากกว่าการต่อสู้หรือศาสตร์แห่งเอลทั้งหลาย ที่ไม่ใคร่จะสนใจสักเท่าไร
ลูทจัดสัมภาระพลางใช้ความคิดอยู่กับตนเองจนเกือบฟ้าสาง จนในที่สุดคิดได้ว่าต้องพักผ่อนให้เต็มตาสักครั้งหนึ่ง ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าคงจะออกเดินทางพร้อมกับบิดาไม่ไหว
แสงไฟจากตะเกียงในห้องนอนจึงดับลง
บลูลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี หลังจากที่ได้พักผ่อนเป็นเวลาสามชั่วโมง ท้องฟ้ายังคงมืดมิดอีกชั่วโมงหนึ่งถึงจะเป็นเวลาที่ตะวันทอแสง
บลูรู้สึกคึกคักขึ้นอักโข กำลังวังชาต่างๆฟื้นฟูมาอยู่ในระดับที่สมบูรณ์มากกว่าที่คาดไว้ จากบทเรียนที่ร่ำเรียนเรื่องการนอนหลับในสนามรบเป็นสิ่งที่ช่วยให้นักรบหลายต่อหลายคนรอดชีวิตมาได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง
บลูลุกขึ้นทำการสำรวจพื้นที่รอบด้านโพรงไม้ มองลอดออกไปตามรูที่เปลือกไม้พบว่าทหารหลายคนยังคงค้นหาอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น ท่าทางการเดินบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยเนื่องจากการไม่ได้พักผ่อนเป็นระยะเวลานาน เมื่อเห็นดังนั้นจึงกำหนดมีเป้าหมายบริเวณสะพานไม้คร่าวๆ แล้วจึงออกไปจากต้นไม้ซอกซอนไปตามจุดบอดสายตาของทหารทางทิศใต้
เมื่อบลูเล็ดรอดออกไปถึงริมน้ำได้สำเร็จ สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ มีทหารสี่คนรักษาการณ์อยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำอย่างเข้มงวด สกัดกั้นทางหนีออกนอกอาณาจักรเพียงทางเดียวไปสิ้น ทหารด้านหลังสองคนถือหน้าไม้เป็นอาวุธทำหน้าที่มองสอดส่องไปยังลำน้ำทั้งสองฟาก ถ้าพบเห็นสิ่งผิดปกติจะยิงลูกศรออกไปในบัดดล
ถึงแม้ว่าแม่น้ำเจนีสจุดนี้เป็นจุดที่แคบที่สุด มนุษย์ก็ไม่สามารถจะดำน้ำข้ามไปได้ในอึดใจเดียว ขอเพียงแค่โผล่หัวออกมาเพื่อเปลี่ยนลมหายใจ จะถูกทหารที่ถือหน้าไม้ทั้งสองรุมยิงจนเป็นเม่นทะเลตัวหนึ่งไป
บลูจึงต้องใช้อุบายเพื่อหลอกล่อทหารกลุ่มนี้แทนการบุกฝ่าไปอย่างหักโหม ซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้าริมตลิ่ง ศึกษาสภาพแวดล้อมโดยรอบ กำหนดแผนการขึ้นในใจเป็นมั่นเหมาะ
บลูเป็นผู้ชำนาญการใช้ศาสตร์แห่งเอลคนหนึ่ง เขาสามารถใช้มันสร้างสถานการณ์เพื่อหลอกลวงศัตรูได้ เมื่อศัตรูมุ่งความสนใจไปยังต้นเพลิงที่เสกขึ้น จากนั้นจะถึงเวลาที่บุกฝ่าหักด่านสะพานไม้ ใช้ความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ อาศัยความมืดสยบทหารบนสะพานไว้ก่อนพวกมันจะรู้ตัว จากนั้นหนีเตลิดเข้าป่าฝั่งลาเวนดิสไปสมทบกับเนสที่เมืองเจนีสใต้
"เอล" เป็นศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของยุคและเป็นที่ยอมรับของทุกคน แบ่งออกเป็นสองแขนงใหญ่ ชนิดแรกเป็นการศึกษาถึงการใช้พลังงานที่ซ่อนเร้นและไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายคนเรา ผู้ที่ศึกษาเอลชนิดแรกนี้เรียกว่าเอลลิส พวกเขาสามารถดึงพลังงานที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เอล" ทำให้ก่อกำเนิดเป็นพลังงานได้ราวกับเป็นคาถาอาคมชนิดหนึ่ง บลูเป็นหนึ่งในบุคคลจำพวกนี้
ชนิดที่สองเป็นการใช้พลังงาน "เอล" ที่อัดแน่นอยู่ในแร่ชนิดพิเศษที่เรียกว่าเอลไลท์ แร่ชนิดนี้เป็นสสารหายาก มีคุณสมบุติให้พลังงานได้สูงและคงทนถาวร ถูกค้นพบและนำมาใช้พัฒนาบ้านเมืองให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ผู้ที่ศึกษาเอลชนิดที่สองนี้เรียกว่าเอลเทค พวกเขาสามารถสร้างนวัตกรรมอันล้ำสมัยโดยการใช้พลังงานจากแร่เอลไลท์เป็นพื้นฐาน
ขณะที่บลูกำลังจะร่ายเอลที่สี่ซึ่งเป็นเอลแห่งไฟเพื่อล่อลวงศัตรูพลันฉุกคิดขึ้น หากไฟไหม้ป่านี้จนลามไปทั่วดั่งไฟลามทุ่งหลุดจากการควบคุม อันตรายอาจจะกลับมาสู่ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่แถบนี้ จึงเปลี่ยนใจร่ายเอลที่หนึ่งซึ่งเป็นเอลแห่งดินแทน เหงื่อเม็ดเป้งๆไหลออกจากหน้าผากด้วยความตื่นเต้น การลงมือครั้งนี้จะกระทำสิ่งผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะนั่นอาจหมายถึงชีวิต
"พสุธากัมปนาท" สิ้นเสียงที่บลูกล่าวก็อุบัติเป็นวงแหวนสีเหลืองบนพื้นดินที่เขากำหนด วินาทีต่อมาพลันเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นจากวงแหวนรูปนั้น
ตูม!
พื้นดินใต้ต้นไม้ยุบลงไปแถบหนึ่ง ต้นไม้สามสี่ต้นทยอยกันหักโค่นลงมา ทหารสิบกว่านายที่กำลังเดินหาร่องรอยของบลูร้องอุทานขึ้นกันยกใหญ่ ทหารในป่าบางส่วนวิ่งกรูกันเข้าไปตรวจสอบว่ามีร่องรอยอะไรหรือไม่ ทางด้านทหารสี่คนที่คุมสะพานอยู่ก็มีทหารคนหนึ่งเดินลงจากสะพานรุดไปดูสถานที่เกิดเหตุ
วินาทีนั้นสำคัญยิ่งกว่าเพชรทอง
บลูวิ่งไปยังสะพานแข่งกับนาทีทองอันล้ำค่าดั่งลูกศรหลุดจากแหล่ง ใช้มือซ้ายหยิบหอกสั้นที่สะพายไว้กลางหลังขึ้นมาถือมั่น เมื่อกดปุ่มกลไกที่ด้านข้างด้ามหอก ด้ามหอกอีกครึ่งหนึ่งที่ซ่อนไว้ภายในถูกปลดล็อคทำให้ยืดออกมา กลายเป็นหอกยาวที่มีความยาวเกือบเท่าความสูงมนุษย์ ส่วนมือขวาปรากฏแสงสีฟ้าเรืองรองเปล่งประกายในความมืด พุ่งถลาตรงเข้าไปยังสะพานราวกับเป็นดาวหางสีน้ำเงินดวงหนึ่ง
ทหารบนสะพานยืนเรียงเป็นหน้ากระดานสามคนพบเหตุเปลี่ยนแปลง ด้วยความที่เป็นมือชั้นดีจึงพอรักษาความเยือกเย็นบางส่วนไว้ได้ ทหารคนทางซ้ายซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหน่วยเหนี่ยวไกยิงลูกดอกออกจากหน้าไม้ พร้อมกับตะโกนบอกเพื่อนพ้องว่า "ระวังเอล!"
แต่หน้าไม้ที่ยิงด้วยความฉุกละหุกใส่เป้าหมายที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้สูญเสียความแม่นยำไปมาก ลูกดอกจึงพลาดเป้าไปกว่าหนึ่งเมตร
ทหารคนทางขวาที่ถือหน้าไม้อีกคนถูกบลูพุ่งเข้าประชิดตัวในทันควัน ยังไม่ทันจะยิงหน้าไม้ตอบโต้ก็ถูกชนเสียจังหวะไป ทหารคนกลางที่ไม่ได้ถือหน้าไม้เห็นดังนั้นจึงใช้ดาบในมือฟาดฟันเข้ามาช่วยเพื่อนที่กำลังถูกคุกคาม บังคับให้บลูต้องเอามือซ้ายที่ถือหอกปาดไปยังทหารคนกลางเพื่อตั้งรับ
เสียงหอกและดาบปะทะกันดังเคร้ง ทหารคนกลางถูกแรงปะทะจากการวิ่งของบลูทำให้สูญเสียการทรงตัวต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าวใหญ่
"กระสุนวารี" ฝ่ายมือของบลูที่เป็นแสงสีฟ้าส่องประกายกางออกไปทางทหารด้านขวาที่ถูกบลูเข้าประชิดตัว กระสุนน้ำพุ่งออกมาจากมือกระแทกทั้งคนทั้งหน้าไม้ตกสู่แม่น้ำ หัวหน้าหน่วยทหารเมื่อครู่ที่ยิงหน้าไม้พลาดเห็นดังนั้นจึงชักดาบของตนออกมาพร้อมกับกู่ร้องเสียงดัง กำนัลดาบให้บลูดาบหนึ่ง
บลูเห็นว่าถ้าถูกพัวพันไว้อีกซักระยะ แล้วปล่อยให้ทหารที่รุดหน้าไปสำรวจดินถล่มกลับมาพบเห็นตนเองละก็ วันนี้ของปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของเขา จึงฝืนใจใช้หอกต้านรับคมดาบที่ฟันมาอย่างสุดแรง
จะอย่างไรก็ตามความถนัดของบลูคือศาสตร์แห่งเอลมิใช่การต่อสู้ประชิดตัว เมื่อเสียงโลหะทั้งสองกระทบกันดังเคร้ง ดาบที่ฟันมาอย่างสุดแรงทำให้บลูเลือดลมพลุกพล่านข้อมือซ้ายชาไปขณะหนึ่ง
ทหารที่โดนบลูปัดเซไปตอนแรกพอจะตั้งตัวได้จึงรุดมาช่วยหัวหน้าหน่วยของตน ทหารทั้งสองฉวยโอกาสใช้ดาบสกัดกั้นบลูเป็นพัลวัน ทันใดนั้นมีแสงสีเขียวเรืองรองส่องมาจากแนวดินถล่ม พบว่ามีทหารฝั่งตรงข้ามคนหนึ่งร่ายเอลที่สามเล็งเป้าหมายมาที่เขา
ทหารทั้งสองที่พัวพันบลูอยู่เห็นดังนั้นจึงมีกำลังใจเพิ่มพูน ร่วมใจฟันดาบสกัดกั้นด้านหน้าบลูปิดสกัดหนทางหนีข้ามสะพานไม้ บังคับให้ถอยหลังกลับไปหรือไม่ก็ต้องปะทะกับเอลกระแสลมที่พัดเข้ามา
เบื้องหน้าคือคมดาบที่ฟันออกสุดแรงทั้งสองเล่ม ด้านข้างมีกระแสลมรุนแรงจากเอลที่สามเตรียมเข้ามากระแทกในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งถ้าโดนเข้าไปถึงแม้จะไม่ตายทันทีแต่รับรองได้ว่าคงไม่มีชีวิตรอดไปจากสะพานแห่งนี้ ด้านหลังเหมือนจะเป็นทางหนีเพียงหนึ่งเดียว แต่ถ้าเลือกหนทางหลบหนีถอยไปตั้งหลักใหม่ สถานการณ์ที่ลงทุนทั้งแรงกายทั้งแรงใจขบคิดสร้างความมีเปรียบเป็นอันสูญสลายมลายไป แน่นอนว่าไม่มีสิทธิ์ทะลวงฝ่าออกไปอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นบลูเกิดปฏิภาณชั่ววูบหลั่งไหลผ่านเข้ามายังสมอง
บลูใช้มือซ้ายตวัดหอกขวางรับดาบทั้งสองที่ฟันมาจากเบื้องหน้า ใช้ส่วนบนของหอกปะทะกับคมดาบสองเล่ม ปล่อยให้เกิดแรงเหวี่ยงจากดาบถ่ายทอดเข้าสู่ตัวหอกส่งผ่านมายังร่างกาย ส่วนมือขวานั้นเกิดเป็นแสงสีเขียวจากเอลที่สาม ร่ายเอลประเภทเดียวกันเข้ารับกระแสลมที่กระแทกเข้ามาด้านข้าง
"วายุพัดพา" เกิดเสียงดังปังหนึ่งเมื่อกระแสลมจากมือขวากระแทกเข้ากับกระแสลมของศัตรู
ผลที่เกิดขึ้นคือบลูใช้กระแสลมจากฝ่ามือตนเองเปลี่ยนทิศลมของกระแสลมที่กระแทกเข้ามา ผสมหอกที่หยิบยืมแรงเหวี่ยงจากดาบทั้งสอง เกิดการหนุนเสริมกันทำให้ลอยตัวขึ้นสูง ข้ามทั้งคนทั้งสะพานไปอีกด้านหนึ่งอย่างไม่มีใครคาดฝันมาก่อน
"ขอบคุณที่รบกวนส่ง" ร่างของบลูปลิวไปสิบกว่าเมตรด้วยแรงลมที่ประสานเสริมกัน พลันหายลับเข้าป่าฝั่งตรงข้ามไป
หลังจากที่เดินวนอยู่บริเวณพื้นที่ละแวกนั้นเป็นระยะเวลานาน ลูทฉุกใจคิดขึ้นมาว่าหรือว่าหมู่บ้านนี้มีอะไรปิดสกัดทางเข้าเอาไว้
ลูทจึงใช้วิธีที่อาจารย์ดาธเคยสอน เดินทำเครื่องหมายรอบๆบริเวณที่น่าจะเป็นทางเข้าหมู่บ้าน เทียบกับรูปแบบการก่อสร้างค่ายกลเบื้องต้นที่เคยร่ำเรียนมา จากนั้นค่อยนึกหาหนทางแก้ไข
ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นจากทางเหนือ ลูทมองไปพบว่าเป็นแสงจากวงแหวนสีเหลืองของเอลที่หนึ่ง สาดไปยังท้องฟ้าพร้อมกับเสียงล้มครืนของก้อนหินในแนวตีนเขา เห็นท่าเหตุการณ์ไม่สู้ดีจึงเปลี่ยนใจหยุดการค้นหาทางเข้าหมู่บ้านชั่วคราว มุ่งหน้าไปยังเสียงระเบิดทางทิศเหนือ
ดิน น้ำ ลม และไฟเป็นสี่เอลพื้นฐานที่เอลลิสใช้กันอยู่เป็นประจำ เอลที่หนึ่งคือดิน เอลที่สองคือน้ำ เอลที่สามคือลมและเอลที่สี่คือไฟ เวลาร่ายเอลจะปรากฏเป็นวงแหวนที่พื้นดินของเป้าหมายเปล่งสีแตกต่างกันตามชนิดของเอล คือเหลือง ฟ้า เขียวและแดงตามลำดับ ถ้าสีที่เห็นเป็นสีอ่อนและวงแหวนเป็นวงเล็กแสดงว่าเอลนั้นมีความรุนแรงไม่มากแต่ถ้าเห็นสีเอลเด่นชัดและพวยพุ่งเป็นรูปวงแหวนขึ้นสู่ฟ้าแสดงว่าเป็นเอลที่มีความรุนแรงมากตามไปด้วย แสงที่ลูทเห็นเป็นแสงที่มีสีค่อนข้างเข้ม เส้นผ่านศูนย์กลางวงแหวนมีขนาดราวสองเมตรจัดว่าเป็นเอลที่ถูกใช้จากเอลลิสที่ฝึกฝนจนถึงระดับปราชญ์เป็นอย่างต่ำ
หลังจากรุดไปเป็นเวลาสิบห้านาทีลูทก็ได้ยินเสียงผิดปกติ เป็นเสียงฝีเท้ามนุษย์จากด้านหลัง พลันหันหลังกลับชักกระบี่เหล็กซึ่งเป็นอาวุธชนิดเดียวที่นำติดตัวขึ้นมาป้องกัน
ร่างสตรีสาวคนหนึ่งก้าวเท้าออกมาจากดงไม้ด้านหลัง เธอมีผมยาวสีทองอร่ามเป็นลอนสวยงาม นัยน์ตาสีอ่อนออกไปทางฟ้าและเขียวน้ำทะเลผสมกัน ผิวพรรณขาวเนียนและเปล่งปลั่งไปด้วยเลือดของหญิงสาว เค้าโครงใบหน้างดงามราวกับราชนิกูลสูงศักดิ์ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเป็นสีแดงระเรื่อ ขอเพียงคนที่สายตายังใช้การได้เพียงกวาดสายตามองผ่านก็รู้ว่าสตรีคนนี้มิใช่หญิงชาวบ้านธรรมดา เธอสวมเครื่องแต่งกายเป็นชุดรัดกุมเหมาะสำหรับการเดินทางในป่า ในมือทั้งสองถือไว้ด้วยมีดสั้นข้างละหนึ่งเล่ม ยกขึ้นมาระดับเอวกระชับไว้เป็นอาวุธป้องกันตัว
สตรีผมทองมองมายังลูทถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ไว้วางใจว่า "เจ้าเป็นใคร"
ลูทเสมือนตกอยู่ในภวังค์พักหนึ่ง มองดูหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับนึกในใจว่า 'ให้ตายเถอะ สตรีที่สวยงามปานนี้ในเมืองยังไม่เคยพบเห็นกลับมาเจอในป่าเสียนี่' พอรู้สึกตัวขึ้นได้จึงตอบไปว่า "ข้าชื่อลูท เป็นคนเดินทางผ่านมาเพื่อจะหาหมู่บ้านละแวกนี้"
หญิงสาวเห็นลูทมีทีท่าลังเลไปขณะหนึ่งจึงเกิดปมสงสัยขึ้นในใจ เธอคิดว่าวาจาที่ลูทกล่าวตอบอาจจะเป็นเรื่องโป้ปดก็เป็นได้
ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะถามต่อเพื่อค้นหาความจริง พลันมีเสียงปะทะกันของอาวุธโลหะดังขึ้นมาจากทางทิศเหนือ ร่างชายบุรุษผู้หนึ่งพุ่งออกมาจากดงไม้ม้วนกลิ้งออกมาล้มลงเบื้องหน้าลูท ปรากฏเป็นชายหนุ่มผมสีน้ำเงินคนนั้น ซึ่งหนีกองหนุนของฝั่งตรงข้ามมาอย่างหัวซุกหัวซุน
"บลู!" ลูทตะโกนเสียงดังเมื่อพบพานสหายเก่า
เสียงเรียกชื่อธรรมดาในครั้งนี้สำหรับบลูเปรียบเสมือนกับคนหลงทางในทะเลทรายพลันพบแหล่งน้ำอยู่เบื้องหน้า
ความคิดเห็น