ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Heaven Ivy. : WONKYU [END]

    ลำดับตอนที่ #8 : Heaven Ivy. -7- งอแง

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ค. 57


    Heaven Ivy.


    -7-

     

                โจ คยูฮยอนไม่รู้ว่าตนควรจะทำตัวเช่นไรตั้งแต่วันที่ตัดสินใจพันเกี่ยวหัวใจของตนเองไว้กับองค์รัชทายาท... แน่นอน เขาเก้อเขินทุกขณะเมื่ออีกคนสัมผัสกาย เพริดไปกับรสจูบ แม้กระทั่งไม่กล้าสบตาเมื่อยามรับประทานอาหารร่วมโต๊ะ สามสี่วันมานี้...คยูฮยอนพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด หากอีกคนกลับชอบทำให้เขาใจเต้นจนนึกอะไรไม่ออกอยู่เรื่อย ความสัมพันธ์ที่เมื่อก่อนแทบจะติดลบ ทว่าตอนนี้กลับเปลี่ยนไปเสียจนคยูฮยอนตั้งรับไม่ทัน...

    อีกประการ...เขาไม่อาจไปจากพระราชวังแห่งนี้เพื่อกลับพยองอันได้อย่างไร้เยื่อใยท่ามกลางสถานการณ์อันไม่แน่นอน ลมหายใจของเด็กหนุ่มดูเหมือนมีกลิ่นอายของผู้ชายคนนั้นอบอวลอยู่ใกล้ๆ เสมอ ดังเช่นในเวลานี้... ร่างโปร่งรับอาสาจากแม่นมยองจาที่กำลังวุ่นกับงานในครัวถึงได้เอ่ยปากว่าจะนำกาแฟและของว่างมาให้ชายหนุ่มที่ห้องทำงาน ซึ่งยามบ่ายคล้อยแบบนี้คนที่ทำงานหนักมาทั้งวันอาจต้องการคาเฟอีนกระตุ้นเป็นปกติ เรียวมือขาวเคาะประตูห้องสองสามครั้งก็ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยอนุญาต

                เจ้าของรูปหน้าคมคายไม่ได้ละสายตาจากหนังสือราชการตรงหน้าถึงได้ไม่ทราบว่าแท้จริงบุคคลผู้มาใหม่ ไม่ใช่แม่นมคนสนิทผู้รับหน้าที่เสิร์ฟของว่างเป็นประจำ เจ้าตัวถึงได้เอ่ยประโยคคำถามเดิมๆ ดั่งเช่นเคยชิน

                “คยูฮยอนเป็นยังไงบ้างครับ งอแงหรือเปล่า” เจ้าของชื่อเบิกตานิด คำว่า งอแง ที่ว่าไม่ต่างอะไรไปจากการเปรียบเขากับเด็กเล็กๆ เลยสักนิด

                “กระหม่อมโตเกินกว่าจะงอแงแล้ว” เสียงนุ่มรีบแย้งทำเอาชายหนุ่มเลิกคิ้วประหลาดใจก่อนจะพบว่าผู้นำของว่างมาให้ถึงห้องทำงานในยามนี้ไม่ใช่แม่นมยองจาอย่างที่เขาคาด และการพลั้งปากออกไปเมื่อครู่ ชีวอนเองก็ไม่ได้นึกว่ามันเป็นเรื่องผิดพลาดอะไร แต่เขากลับได้เห็นท่าทีน่ารักน่าชังจากอีกคนต่างหาก

                “หรือเธอจะเถียงว่าไม่เคยงอแงกับฉันเลย...แล้วเมื่อวานก่อนใครกันที่เอาแต่นอนกอดฉันเสียจนสายตะวันโด่ง” คนที่จี้จุดเขาได้เสมอว่ากลั้วหัวเราะ ทั้งยังทำเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป เด็กหนุ่มจากพยองอันอ้าปากอยากจะเถียงทว่าก็ต้องงับริมฝีปากลงอย่างช่วยไม่ได้

    หากจะโทษ...คงต้องโทษที่เขาฝันร้าย และภาพในความฝันมันช่างน่ากลัวเกินกว่าที่เขาจะปล่อยอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นไปได้

    โจ คยูฮยอนแค่กลัวว่าจะไม่มีโอกาสตื่นขึ้นมาพบกับผู้ชายคนนี้อีกครั้งก็เท่านั้น

    “หากองค์ชายจะค่อนขอดกระหม่อมเช่นนี้ กระหม่อมขอตัวดีกว่า” วางถ้วยกาแฟและจานของว่างใบเล็กลงโดยไม่สนใจสายตาคมเข้มที่จ้องมองด้วยประกายแวววับ ตั้งท่าจะเดินออกจากห้องทำงานอย่างที่ใจคิด แต่อีกคนก็อาศัยความไวก้าวขามาหยุดอยู่หน้าประตู ขยับปลายเท้าไปทางซ้าย องค์รัชทายาทแสนเอาแต่ใจกลับเบี่ยงตัวมาขวางทางกันดื้อๆ ขยับไปทางขวาก็เข้าอีหรอบเดิม... ถึงตอนนี้บรรณาการหนุ่มน้อยจากพยองอันพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยใจ

    “นี่ไงล่ะ ที่เรียกว่า งอแง” เน้นประโยคเสียงหนักพลางโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ยังผลให้ปลายจมูกโด่งเป็นสันเฉียดปลายจมูกรั้น รู้สึกได้ถึงแก้มที่เห่อร้อนขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่ว่าจะครั้งนี้หรือครั้งไหน องค์รัชทายาทก็มักจู่โจมให้เขาตกใจเล่นเสมอ ร่างโปร่งขยับตัวรักษาระยะห่างแต่ถึงอย่างนั้นคยูฮยอนก็รู้อยู่แก่ใจว่า...ความใกล้ชิดระหว่างเขาและองค์ชายชีวอนมันเลยเถิดเกินกว่ากลับไปตั้งหลักแล้วล่ะ!

    “องค์ชาย! ถอยไป... กระหม่อมจะกลับเรือนรับรอง”

    “ไม่ให้กลับหรอก” ไม่ว่าเปล่าแต่แกล้งคว้าเอวคอดอย่างถือสิทธิ์ คยูฮยอนลมหายใจกระตุกเมื่อภาพวันที่เริงรักกับผู้ชายตรงหน้าฉายซ้ำให้จดจำขึ้นใจ มันหน้าไม่อายที่ร่างกายของเขาตอบสนองทุกสัมผัสวาบหวามและมันก็ทำให้เช้าวันถัดมาเรือนร่างบางแทบไม่มีแรงขยับ นัยน์ตาใสกะพริบตามองรูปหน้าหล่อเหลาด้วยสภาพตัวแข็งทื่อไปเสียแล้ว อีกคนหัวเราะเสียงเบาพลางเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มด้วยนึกเอ็นดู

    ยิ่งมองดวงหน้าน่ารักเนิ่นนานมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากจะครอบครองปากอิ่มให้ชื่นใจ

    “องค์ชาย.. เดี๋ยวมีคนมาเห็น”

    เรียวนิ้วแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากเป็นการห้ามปราม แต่คยูฮยอนเองก็น่าจะทราบดีว่าองค์รัชทายาทผู้นี้เอาแต่ใจกับเขาแค่คนเดียว ก็แค่นิ้วที่แตะห้ามหรือจะสู้เสียงหัวใจที่มันเต้นไม่เป็นส่ำ ร่างสูงอาศัยทีเผลอดันให้คนตัวขาวแผ่นหลังชิดกับตู้หนังสือ พร้อมแต้มจุมพิตแผ่วเบาเสมือนการขออนุญาต เมื่อเด็กหนุ่มไม่ได้แสดงท่าทีปฏิเสธอะไร ทั้งยังหลับตาพริ้มเช่นนี้ องค์ชายชีวอนก็ไม่อาจห้ามใจตนต่อไปได้อีก แนบริมฝีปากลงไปหาเป็นหนที่สอง บดคลึงปากนิ่มด้วยความเสน่หาทั้งหมดที่มี ประคองเรียวแขนบางให้โอบรอบคอก่อนจะเลื่อนฝ่ามือลงไปกอดกระชับช่วงเอวคอด เฟ้นเนื้อผิวผ่านเสื้อเชิ้ตตัวบาง ครั้นได้ยินเสียงครางอือพอใจในลำคอถึงได้สอดแทรกเกลียวชิวหาเข้าไปดูดซับน้ำหวานเติมพลังการทำงานในช่วงบ่ายเช่นนี้

    เห็นทีว่ากาแฟรสเข้มอาจไม่ใช่คาเฟอีนกระตุ้นร่างกายอีกต่อไป แต่รสชาติหอมหวานของคยูฮยอนนี่สิที่สามารถทำให้องค์รัชทายาทตื่นเต้นได้ทุกเวลา

    “อื้อ...” เหมือนใจจะขาดเมื่ออีกคนไม่ยอมละริมฝีปากออกห่างไปไหน แถมไม่ลดละที่กดจูบราวกับลืมไปเสียแล้วว่านี่คือห้องทำงาน แม้จะนึกหวั่นใจว่าจะมีใครเข้ามาเห็น แต่คยูฮยอนเองก็ลืมทุกสิ่งอย่างเพียงแค่ร่างกายถูกแตะต้องโดยฝ่ามือร้อนจัด จังหวะที่ดวงตาคู่กลมปรือเปิดเพราะถูกใครอีกคนสอดมือเข้ามาไต่ดะไปตามแนวสันหลัง เด็กหนุ่มพบว่ามีดวงตาคู่หนึ่งทอดมองมาด้วยอารมณ์ความรู้สึกหลากหลาย...

    “คะ คุณยูอี!!

    ร่างโปร่งตกใจจนเผลอจิกเล็บลงบนลำคอขององค์ชายคนโตแห่งชเว ไม่ต่างกัน...ชายหนุ่มหยุดทุกการกระทำเมื่อได้ยินชื่อของคู่หมั้นสาวจากปากของคยูฮยอนในเวลานี้ เหลือบมองไปที่บานประตูก็พบว่ามันถูกเปิดออกโดยฝีมือของคิม ยูอี หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นในขณะที่ทอดมองมายังคนสองคนที่ยังใช้ร่างกายพัวพันกันอยู่ไม่ห่าง เสื้อเชิ้ตสีอ่อนนั้นหมิ่นเหม่จะหลุดจากร่างขาวจัดของบรรณาการหนุ่มน้อยจากพยองอันอยู่รอมร่อ เผลอกัดฟันกรอดพร้อมฝ่ามือที่กำหมัดแน่น หากเธอเข้ามาช้ากว่านี้สักนาที...อาจได้เห็นมากกว่าจูบอันดูดดื่ม

    “ฉันแค่...อยากจะเข้ามาคุยกับคุณเรื่องงานการกุศลที่คุณพ่อคุณแม่กำลังจะจัดขึ้น แต่...เห็นทีว่าคงไม่ใช่เวลา” ยูอีไม่อาจบรรยายความรู้สึกของเธอได้มากไปกว่าคำว่า เจ็บใจ น้ำเสียงที่เปล่งออกมามันมั่นคงก็จริง แต่ภายในอกเปรียบดั่งไฟลาวาซึ่งปะทุเดือดดาล เธอหน้าชายิ่งกว่าถูกใครตบหน้าเมื่อเห็นท่าทางนิ่งสงบไม่ทุกข์ร้อนของพระคู่หมั้นหนุ่มที่ดูไม่ยี่หระกับเหตุการณ์ดังกล่าวแม้แต่น้อย กลับช่วยดึงเสื้อซึ่งร่นตกอยู่ที่หัวไหล่บางของมารความสุขหน้าซื่อให้เข้าที่เข้าทางอย่างทะนุถนอม

    “ไม่เป็นไรครับยูอี คุณรอผมอยู่ที่ห้องทำงานล่ะกัน ผมไปส่งคยูฮยอนที่ตำหนักรองก่อน” มันเป็นเรื่องตลกร้ายที่บุตรสาวตระกูลคิมแทบขำไม่ออก องค์รัชทายาทแค่รักษามารยาทเท่านั้น... เธออาจพลาดไปเองที่ประเมินค่าโจ คยูฮยอนต่ำไป การที่องค์รัชทายาทปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้ไม่ต่างอะไรไปจากการยกเครื่องบรรณาการมนุษย์สำคัญกว่าคู่หมั้นคู่หมายชนิดกู่ไม่กลับ!

    คิม ยูอีสูดลมหายใจลึก ปั้นหน้ายิ้มเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเกรงว่าตัวเองอาจต้องรอเก้อ” ท้ายเสียงประชดประชันอยู่ในที แต่มีหรือที่องค์รัชทายาทจะล่วงรู้ความรู้สึกของเธอ

    “องค์ชาย...กระหม่อมกลับไปที่ตำหนักรองเองได้ อยู่ต้อนรับคุณยูอีเถอะครับ”

    สาบานว่าเธอไม่คิดว่าคำพูดและใบหน้าอันแสนซื่อของเด็กหนุ่มจากพยองอันแฝงนัยสงสารเธอ กลับกัน...คุณหนูตระกูลคิมกำลังถูกเย้ยหยันเสียมากกว่า เธอมองผ่านร่างโปร่งซึ่งสาวเท้าเร็วๆ ออกจากห้องทำงานไป ความโมโหที่แผ่ซ่านก่อกวนจิตใจของหญิงสาวได้มากโข และมันก็ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าโจ คยูฮยอนคงถวายตัวให้แก่พระคู่หมั้นของเธอได้เด็ดถึงใจเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นองค์ชายผู้เย็นชาหนักหนาจะเกิดใจร้อนคิดอยากทำเรื่องคาวสวาทในห้องทำงานได้อย่างไร!

    “เชิญนั่งครับ ยูอี” เสียงทุ้มว่าอย่างสบายใจ องค์รัชทายาทไม่แม้แต่จะกล่าวคำขอโทษที่เมื่อครู่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเลยสักคำ หรือต้องโทษเธอที่เข้ามาเห็นภาพบาดตาด้วยตัวเอง ยูอีได้แต่เค้นยิ้มอย่างฝืนเกร็ง สืบเท้าไปนั่งที่โซฟารับรองโดยมีชายหนุ่มนั่งในตำแหน่งตรงข้ามกัน หน้าที่ของเธอคือการเป็นคู่หมั้นผู้เพียบพร้อม และสาวสวยก็เชื่อเหลือเกินว่าการที่เธออยากจะโวยวายออกไปแทบบ้าอาจไม่ใช่หนทางที่ดี ซ้ำแต่จะยิ่งทำลายภาพลักษณ์ของคู่หมั้นใจกว้าง

    “รายละเอียดของงานก็เป็นดังนี้ค่ะ” เธอพยายามทำตัวเช่นปกติ เปิดกระเป๋าสะพายใบหรูพร้อมหยิบการ์ดเชิญร่วมงานที่บรรจุรายละเอียดงานกุศลครั้งนี้ไว้ครบครัน

    “ขอบคุณคุณมากที่อุตส่าห์นำการ์ดมาให้ผมเอง อันที่จริงคุณจะฝากเข้ามาก็ได้ ไม่เห็นต้องลำบาก” เธอสบตาดวงตาสีเข้มอย่างนึกตัดพ้อ ที่พูดเช่นนี้...เพราะต้องการตัดรำคาญและกลับไปใช้เวลากับเด็กนั่นเสียมากกว่า!!

    “ฉันก็แค่อยากจะเข้ามาพบหน้าคุณให้บ่อยขึ้น เพราะฉันเป็นห่วงคุณก็เท่านั้น” หวังจะเรียกความเห็นใจ แต่สีหน้าเรียบเฉยตามแบบฉบับองค์รัชทายาทคือสิ่งที่ยูอีได้รับเป็นของตอบแทน

    “ครับ ผมทราบดี”

    “ฉันเองก็ทำหน้าที่คู่หมั้นไม่เคยบกพร่อง...หวังว่าคุณจะมองเห็นความเป็นห่วงที่ฉันมอบให้คุณบ้าง”

    ไม่มีประโยคที่แสดงความห่วงหาเฉกเช่นคู่หมั้นที่ควรมีต่อกัน นานวันองค์รัชทายาทยิ่งทำตัวห่างเหินและหมางเมินเธอทุกขณะ และคิม ยูอีจำได้แม่นว่าทุกอย่างในชีวิตของเธอมันค่อยๆ เปลี่ยนไปตั้งแต่มีเครื่องบรรณาการมนุษย์ก้าวเข้ามาในชีวิตขององค์ชายชีวอน อย่างไรก็ตาม... ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะดึงดันต่อไปเพียงใด หรือเด็กนั่นจะลีลาจัดแค่ไหน แต่คิดหรือว่า...คนที่มันได้ชื่อว่าเป็นแค่เครื่องบรรณาการจะได้รับตำแหน่งอันสูงส่งไปครอบครอง

    จะด้วยคุณสมบัติสักข้อก็ไม่เข้าขั้น!

    บรรณาการไร้ค่าอย่าง โจ คยูฮยอน ก็เป็นได้แค่...อนุรองที่รอวันโดนเขี่ยทิ้ง!!

     

     

                พระราชวังกลางกรุงโซลเปิดประตูต้อนรับนายกรัฐมนตรีเจ้าปัญหาอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนักในวันนี้ เพราะองค์รัชทายาทชเว ชีวอน ทราบดีว่าเหตุที่ทำให้นายกปาร์ค อุนซูอุตส่าห์บากหน้ามาถึงวัง คงหนีไม่พ้นเรื่องข่าวของคยูฮยอนในฐานะเครื่องบรรณาการจากพยองอันซึ่งแพร่สะพัดไปเมื่อหลายวันก่อน แม้จะผิดคาดที่ตาแก่นี่วิ่งแจ้นมาถึงวังช้าไปกว่าที่เขาคาด แต่ดีกรีกวนประสาทและคอยแต่จะหาเรื่องกดดันเขาก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย

                “กระหม่อมและทางคณะรัฐมนตรีทั้งหมดไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการที่พระองค์...รับการถวายตัวของเครื่องบรรณาการมนุษย์จากเกาะพยองอันเช่นนั้น” สีหน้ามาดมั่นพร้อมจะเอาชนะเขาได้ทุกเมื่อ ถึงอย่างนั้นคนที่มีตำแหน่งเป็นถึงว่าที่กษัตริย์กลับไม่แสดงทีท่าจะยอมอ่อนข้อ

                “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับนายกปาร์คอย่างไรหรือ...ถึงได้ทุกข์ร้อนกันนัก” เอ่ยถามกลับพร้อมรอยยิ้มหยัน มองเห็นดวงตาภายใต้กรอบแว่นทรงโบราณนั้นดูไม่ผ่อนคลายขึ้นมากะทันหันราวกับถูกราชสีห์หนุ่มข่มขวัญ แม้ทีแรกจะทำเป็นใจสู้ต่อกรเพราะความถือดีก็ตาม

                “เพราะเด็กหนุ่มนั่นมาจากพยองอันยังไงล่ะพระองค์ องค์ชายน่าจะทราบดีว่าพยองอันเตรียมก่อกบฏล้มล้างพวกเรา รวมถึงราชวงศ์ชเวด้วย”

                “เรื่องนี้เราทราบดีอยู่แล้ว แต่เด็กคนเดียวจะทำลายรัฐบาลอันมั่นคงของพวกคุณได้อย่างนั้นหรือ เราไม่ยักจะรู้ว่านายกปาร์คตื่นกลัวภัยเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้”

                “ทำไมกระหม่อมจะต้องกลัวอะไร...ในเมื่อสิ่งที่กระหม่อมได้เตือนพระองค์คือความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี”

    องค์ชายคนโตแห่งชเวยังคงจับสังเกตท่าทีของนายกเจ้าปัญหาอย่างพินิจ แม้นายกปาร์คจะชอบกดดันเขาทางอ้อมด้วยนานาวิธี หากชายหนุ่มไม่เคยนึกกริ่มเกรงแต่อย่างใด เขาใช้ดวงตาดุจเหยี่ยวจ้องลึกดั่งต้องการแผดเผาร่างตรงหน้าให้สิ้นซากข้อหาก่อความวุ่นวายแก่ประเทศชาติ และดูเหมือนตาแก่พุงโรคงอ่านเกมเขาไม่ออก ถึงได้ไม่ทราบว่าระหว่างราชวงศ์ชเวและกบฏแห่งพยองอันจับมือร่วมกันเพื่อล้มล้างรัฐบาลของนายกปาร์คเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่รอวันให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางและดำเนินไปตามแผนที่ร่างไว้

    ...แน่นอนว่า คณะรัฐบาลทั้งหมดจะต้องไม่มีที่ยืนในประเทศเกาหลีอีกต่อไป

    “กลับไปทำหน้าที่ของพวกคุณเถอะนายกปาร์ค”

                “แต่อย่างไร กระหม่อมก็เห็นว่าบรรณาการจากพยองอันจะกลายเป็นบ่อนทำลายความมั่นคงเข้าสักวัน หากพระองค์ยังลุ่มหลงในรสชาติราคะจากเด็กนั่นอยู่ จนอาจไม่มีสติดูแลประเทศอันระส่ำระสาย” มันไม่ใช่เพียงคำพูดดูถูกเขา...และนี่เป็นการดูถูกความเป็นคนของโจ คยูฮยอนเสียด้วยว่าเป็นเพียงกาลีบ้านกาลีเมือง นั่นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจ อีกทั้งยังเดือดดาลขึ้นมาอย่างฉับพลัน

                “จะลุ่มหลงหรือไม่มันก็เป็นเรื่องของเรา...ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิยุ่งกับคนของเราทั้งสิ้น!!

                “องค์ชายกำลังหน้ามืดตามัว”

                “เรามีสมองและตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างเองได้ ว่าใครหน้าไหว้หลังหลอกหรือใครที่ต้องการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง อย่าหาว่าเราไม่เตือนเลยนายกปาร์ค กลับไปซะก่อนที่เราจะสั่งทหารรักษาพระองค์เข้ามาลากตัวคุณไปส่งที่หน้าประตูวัง!” เสียงตวาดก้องกังวานเสมือนเป็นประกาศเตือนระหว่างศึกที่กำลังจะเกิดขึ้น ดวงตาวาวโรจน์แต่กลับนิ่งสงบจดจ้องเพียงใบหน้าของชายแก่เจ้าของเส้นผมสีดอกเลา

                “หึ...” นายกปาร์ค อุนซูผุดลุกขึ้นจากโซฟารับรองพร้อมหัวเราะหยันโดยไม่รักษาท่าทางนอบน้อมอีกต่อไป “พระองค์เองก็ไม่ควรประมาท...ไม่ควรจริงๆ” ทิ้งท้ายประโยคปริศนาดั่งเป็นคำขู่ซึ่งแน่นอนว่าองค์รัชทายาทเช่นชเว ชีวอนไม่คิดจะสนใจ เพราะเขาทราบดีว่าตนไม่มีวันพลาดพลั้งให้กับคณะรัฐมนตรีของนายกปาร์คไม่ว่าจะด้วยหนทางไหนก็ตาม!!

                เขาจะไม่ปล่อยให้คนที่มันโกงกินและคิดเป็นใหญ่ในบ้านเมืองได้เชิดหน้าชูคอต่อไปได้อีกแน่

     

               

                คยูฮยอนไม่แน่ใจว่าที่ที่ตนยืนอยู่ตรงนี้มันคือที่ไหน...

    เขาทราบเพียงแต่ว่ามันฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ชนิดหนึ่งเพียงแต่ไม่ทราบว่ากลิ่นที่ว่าล่องลอยมาจากแห่งหนใด ดวงตาสีดำนิลทอดสายตาไปโดยรอบก็พบแต่ความว่างเปล่า หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความหวาดกลัว เด็กหนุ่มมองหาใครไม่เจอนอกเสียจากเงาของตนเองที่ทอดผ่านอยู่บนพื้นเสมือนเป็นเพื่อนคุยไร้ชีวิต ทว่าความหวังของเขาก็ใช่ว่าจะหมดไปเมื่อโสตประสาทแว่วได้ยินเสียงทุ้มคุ้นหูจากที่ใดสักแห่ง สองขาขยับก้าวเดินไปตามเสียงหวังจะได้พบหน้าและโอบกอดร่างสูงไว้ไม่ให้คลาดสายตาไปได้อีก...

                “คยูฮยอน...”

                “กระหม่อมอยู่นี่...องค์ชายอยู่ที่ไหน”

                “คยูฮยอน...”

                “องค์ชาย!” แม้จะร้องเรียกออกไปเพียงไรเขากลับไม่พบชายหนุ่มดั่งที่ใจปรารถนา หัวใจดวงน้อยรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาชั่วขณะ กระนั้นก็ยังไม่ลดละความพยายาม ขาเรียวออกแรงวิ่งอย่างไร้จุดหมาย แสงสีขาวรอบตัวค่อยๆ มืดสนิทลงดั่งมีมัจจุราชวิ่งไล่กรวดอยู่เบื้องหลัง

                แต่แล้ว...แผ่นหลังอันคุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาในระยะใกล้แสนใกล้ หนุ่มน้อยดีใจแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ตั้งใจเอื้อมมือออกไปหวังจะคว้าอ้อมกอดอันแสนคุ้นเคย หากแต่เถาวัลย์ที่เลื้อยขึ้นมาตวัดเกี่ยวไปรอบขาเสียจนขยับกายไม่ได้ทำให้คยูฮยอนไม่สามารถกระทำได้อย่างใจคิด พลางร้องเรียกชื่ออีกคนสุดเสียงหวังจะให้ชายหนุ่มหันกลับมาช่วยเขาให้รอดพ้นจากการพันธนาการครั้งนี้

                “องค์ชายชีวอน ช่วยกระหม่อมด้วย!!

                “...คยูฮยอน อยู่ที่ไหน ตอบฉันที...ฉันหาเธอไม่เจอ คยูฮยอนได้โปรดล่ะ...” เสมือนอีกคนไม่ได้ยินเขา คยูฮยอนเหลือบมองเถาวัลย์ที่ค่อยๆ เลื้อยรัดร่างของเขาจนยากจะขยับ และมันก็รัดแน่นขึ้นทุกขณะ แม้แต่หายใจยังเจ็บเมื่อหนามแหลมของมันทิ่มแทงไปทั่วร่าง เลือดสีแดงฉานหยดลงบนพื้นทีละหยดพร้อมน้ำตาของเขา...มันผสมคละปนกันไปแทบแยกจากกันไม่ออก ทั้งที่เขาเจ็บเจียนตาย หากแต่...อีกคนกลับมองไม่เห็นเขาเลยสักนิด

                ราวสวรรค์กลั่นแกล้ง

                “องค์ชาย!! องค์ชาย...ช่วยกระหม่อมที อย่าไปไหน...กระหม่อมอยู่นี่!” ยิ่งร้องก็ยิ่งเห็นร่างสูงเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ท่ามกลางภาพอันพร่าเลือน และเจ้าของร่างสง่าซึ่งเดินห่างออกไปจนลับตาพร้อมแสงสว่างเรืองรอง ลมหายใจของหนุ่มน้อยแผ่วเบาลงทุกขณะ อีกไม่นานพื้นตรงนี้คงต้องเต็มไปด้วยโลหิตและน้ำตาของโจ คยูฮยอน

                ท่ามกลางกองเลือดท่วมตัว...ดอกไม้ดอกเล็กสีสวยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วราวสุขใจที่ได้เลือดเป็นอาหารหล่อเลี้ยง... เถาของมันเลื้อยปกคลุมร่างขาวจัดดั่งถูกกลืนหายสู่ผืนดิน

     

                มันคือ ดอกไอวี่

              ดอกไม้แห่งความซื่อสัตย์

     

     

              “เฮือก!!

    ดวงตาคู่โตปรือเปิดด้วยความตื่นกลัวพร้อมการหอบหายใจอย่างรุนแรง หากสิ่งที่คยูฮยอนกลัวกลับไม่ได้ตามมาหลอกหลอนในโลกแห่งความจริง ยังคงมีอ้อมแขนที่โอบกอดอยู่ไม่ห่าง ซ้ำเรียวตาคมนั่นจ้องมองใบหน้าของเขาแฝงแววอ่อนโยน พลันเด็กหนุ่มจากพยองอันขยับกายใช้สองแขนกอดร่างหนาไว้แน่นพร้อมอิงซบใบหน้าลงบนอกแกร่งด้วยกลัวว่าจะมีเถาวัลย์ที่เต็มไปด้วยหนามรั้งกายเขาออกจากความอบอุ่นจากองค์ชายผู้สูงศักดิ์ ดวงตาร้อนผ่าวไปด้วยน้ำตากระนั้นกลับสู้อุตส่าห์กะพริบตาถี่ๆ เพื่อกลั้นไม่ให้มันร่วงเผาะจนถูกมองว่า งอแง อีก

                “ฝันร้ายอีกแล้วหรือ” คนที่ไม่ทราบว่ามานอนร่วมเตียงภายในเรือนรับรองกับเขาได้อย่างไรเอ่ยถามเสียงเบาพลางแนบริมฝีปากลงบนเรือนผมนิ่ม ปลอบประโลมบรรณาการตัวขาวโดยการลูบฝ่ามือไปตามแผ่นหลัง

                “ครับ...ฝันเหมือนเดิมกับวันนั้น” พยักหน้ารับเพียงนิดโดยที่อีกคนดูจะไม่แปลกใจอะไร “แล้วนี่องค์ชายเข้ามาที่เรือนรับรองตั้งแต่เมื่อไหร่” ไม่วายจะถามในสิ่งที่สงสัย อากาศหนาวเย็นรอบๆ กายบ่งบอกว่านี่คงดึกสงัดมากแล้ว ผ้าห่มผืนใหญ่อาจไม่ได้ช่วยให้เขาหายหนาว แต่เพราะความอุ่นซ่านที่แผ่มาจากองค์รัชทายาทพระองค์นี้ต่างหาก

                “เข้ามาได้สักพักแล้วล่ะ เห็นเธอนอนกระสับกระส่ายเลยแน่ใจว่าต้องนอนฝันร้ายอีกแน่ และฉันก็เดาไม่ผิดเสียด้วย” เอ่ยพร้อมใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกรั้น คยูฮยอนเหลือบตามองเสี้ยวหน้าหล่อจัดที่กำลังอมยิ้มบาง มุ่ยปากเมื่ออีกคนดูสบายใจในขณะที่เขาเพิ่งจะตื่นจากภาพฝันอันน่าสะพรึงกลัวแท้ๆ

                “กระหม่อมไม่รู้ว่าความฝันที่ว่ามันคืออะไร แต่มันน่ากลัว ...กระหม่อมแค่รู้สึกไม่ดี”

                “ความฝันมันก็เป็นเพียงความฝัน ความจริงคือฉันและเธอยังคงอยู่ด้วยกัน ตรงนี้...เวลานี้ และมั่นใจว่าในอนาคต ฉันก็ยังคงเป็นผู้มอบอ้อมกอดเช่นนี้ให้เธอเสมอ”

                “....”

                “ไม่ว่ายังไง...ทุกเช้าที่ตื่นมา ฉันจะเป็นคนแรกที่เธอได้พบหน้า ฝันร้ายยังไง ขอแค่มีฉันอยู่ข้างๆ ทุกอย่างมันก็จะดีเอง อย่ากลัวไปเลย” ฟังดูเป็นคำพูดที่จริงใจที่สุดตั้งแต่คยูฮยอนได้รู้จักองค์รัชทายาทชีวอน... ภาพจำที่ว่าผู้ชายคนนี้เย็นชาไร้หัวใจนั่นได้สลายหายไปอย่างสิ้นเชิง มันน่าประหลาดใจที่เด็กหนุ่มเลือกที่จะเชื่อคำพูดเมื่อครู่โดยไม่มีข้อกังขา อีกทั้งยังหลับตาพริ้มเมื่อแน่ใจแล้วว่าอกกำยำนี้จะเป็นที่พักพิงจิตใจให้เจ้าตัวได้หายหวาดกลัว

                หากใครจะมองว่าเขาเป็นแค่บรรณาการใจง่ายที่ยอมมอบร่างกายหรือแม้แต่หัวใจให้ว่าที่กษัตริย์

                หากใครจะมองว่าเขามันไม่คู่ควรด้วยประการทั้งปวงกับการยืนอยู่เคียงข้างคนคนนี้

                หากใครจะมองว่าเรื่องระหว่างเขาและองค์รัชทายาทต้องจบลงในเวลาอันใกล้

                หรือหากใครจะมองว่า... ทุกสิ่งที่ดำเนินอยู่เป็นเพียงความปรารถนาและหลงใหลในห้วงตัณหา

                แต่สำหรับโจ คยูฮยอน เขาก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่ไม่สามารถปิดกั้นความรู้สึกตนเองได้อีกต่อไป และเขาเชื่อว่าใครอื่น... คงไม่อาจรู้ซึ้งความหมายของคำว่า กันและกัน ซึ่งจำกัดความเพียงเขาและองค์รัชทายาทได้แน่

                ถ้าจะเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่น...บรรณาการชิ้นนี้ขอเป็นเพียงคนซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นที่รักแค่คนเดียวก็พอ

             

                “พี่คยูฮยอน...ตื่นหรือยังครับ? แม่นมยองจาตามให้ไปรับประทานอาหารครับ” เป็นเสียงขององค์ชายเล็กแห่งชเว...

                ซูโฮคงไม่ชอบใจแน่ถ้ารู้ว่าพี่ชายตัวแสบเข้ามาเก็บเกี่ยวความสุขจากพี่ชายคนโปรด เดาไม่ออกทีเดียวว่าจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเห็นหน้าเขาในเวลานี้ แต่ก็เอาเถอะ...มีหรือซูโฮจะไม่ทราบว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและคยูฮยอนเป็นเช่นไร

                “ว่าไง...” เปิดประตูออกไปทักน้องชายเสียงห้วน ขณะที่กำลังรูดซิปกางกาง ส่วนท่อนบนมีเพียงอากาศห่อหุ้ม เผยช่วงอกและหน้าท้องซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามและสีผิวคร้ามแดด

                “เฮ้ย...พี่ชีวอน ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนไม่ได้รึไง!” เด็กชายโวยวายเป็นเรื่องใหญ่โต อีกทั้งยังรับทราบในทันทีว่าเจ้าของห้องตัวจริงคงนอนซมอยู่บนเตียงอย่างไม่ต้องสืบ

                “แค่รีบมาเปิดประตูให้”

                “อ่า...ครับๆ ยังไงก็พาพี่คยูฮยอนไปทานอาหารด้วย ดื่มด่ำในห้องนอนมันแค่อิ่มใจแต่ไม่อิ่มท้องหรอกนะครับ อีกอย่างวันนี้พี่ยูอีเข้ามารอทานอาหารเช้าซะด้วย งานนี้มีกระอักกระอ่วนทั้งโต๊ะแน่!

     

               

                บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าไปเป็นอย่างที่ซูโฮคาดการณ์ มีเพียงความเงียบและเสียงของช้อนส้อมกระทบเพียงแผ่วเบาเพื่อบอกให้ทราบว่าการรับประทานอาหารกำลังดำเนินอยู่เท่านั้น ทีแรกองค์ชายเล็กแห่งชเวคิดว่าพี่ชายคนโปรดจากพยองอันคงนอนซมจนไม่อาจลุกมาทานข้าวแล้วเสียอีก บอกเพียงว่าไม่อยากวุ่นวายหากต้องให้แม่นมยองจานำอาหารไปส่งให้ถึงเรือนรับรอง ถึงได้ลงทุนแบกสังขารที่ถูกพี่ชายตัวแสบของเขาเก็บเกี่ยวความสุขไปตั้งแต่เช้าตรู่มานั่งทานอาหารโดยมีคุณหนูตระกูลคิมนั่งตรงข้ามกัน ส่วนองค์รัชทายาทต้นปัญหากลับดูไม่ทุกข์ร้อนมากที่สุด เขาล่ะอยากรู้จริงเชียวว่าพี่ชายตนเองจะทำเหมือนเรื่องทุกอย่างเป็นปกติสุขไปได้อีกนานแค่ไหน

                “อาการขององค์ราชาเป็นอย่างไรบ้างคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อวางมือจากการทานอาหาร ดวงตาแฝงแววหยิ่งยโสดูอ่อนลงเมื่อทอดมองไปยังพระคู่หมั้น

                “ยังคงไม่รู้สึกตัวครับ แต่ถือว่าดีขึ้นกว่าเดือนก่อนมาก”

                “คุณพ่อคุณแม่ดูเป็นห่วงองค์ราชามากจริงๆ ค่ะ ทุกวันนี้ไปโบสถ์ก็ต้องไปสวดภาวนาให้องค์ราชาหายประชวรในเร็ววัน”

                “ยังไงก็ขอบคุณมากครับที่ยังเป็นห่วงท่านพ่อเสมอ”

                “เฮ้อ...ท่านเองก็อยากให้มีงานอภิเษกไวๆ แต่ดูท่าจะอีกนานน่ะสิคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ คู่หมั้นที่ดีอย่างฉันรอได้อยู่แล้ว”

                “ผมอิ่มแล้วครับ ขอตัวดีกว่า” เป็นซูโฮที่ทนนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารต่อไปไม่ได้ เขาล่ะก็เพิ่งจะเคยเห็นผู้หญิงพูดเรื่องแต่งงานกับผู้ชายก่อน แอบลอบมองใบหน้าขาวจัดจนเกือบซีดของคู่กรณีอีกคน เด็กชายได้แต่ถอนหายใจ โจ คยูฮยอนก้มหน้ารับประทานอาหารอยู่เงียบๆ ทว่าซุปครีมหรือแม้แต่อาหารอื่นกลับพร่องลงนิดหน่อย ตั้งใจจะเอ่ยปากชวนให้ออกจากห้องอาหารไปด้วยกัน ทว่า...เรือนร่างโปร่งกลับผุดลุกขึ้นเสียก่อน         

    “กระหม่อมรู้สึกไม่สบาย ขอตัวนะครับ” สาวเท้าอาดๆ จนพี่ชายของเขามองตามด้วยท่าทางเป็นห่วง รีบวางช้อนส้อมลงและตัดบทสนทนาอย่างไร้เยื่อใย

                “ผมยังไม่คิดเรื่องอภิเษกในเวลานี้ และมันอาจไม่มีวันเกิดขึ้น”

               

    Talk*

    โอ้ยยยยยยยยยย กลับมาแล้วค่ะ ฮรือออออ หายไปนาน(มาก)เพราะอ่านหนังสือสอบไฟนอล แล้วมันก็ผ่านไปแล้ว จบปีสองแล้วค่ะ ฮิ้วววววว เอาล้ะ! ตอนนี้มันก็ไม่ค่อยมีอะไรเน๊าะ แต่...บอกเลอว่าตอนหน้าเด็ดส์ -.,-

    ปล. เราว่าจริงๆ ยูอีน่าสงสารนะ นางอยู่เฉยๆ ของนางแท้ๆ บรรณาการของเราก็เข้ามาแบบแบ๊วๆ แล้วคว้าองค์รัชไป ลองนึกว่าตัวเองเป็นยูอีดูสิคะ เจ็บใจมากนะ TwT
    ##อีดิทคำค่ะ

    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×