ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Heaven Ivy. : WONKYU [END]

    ลำดับตอนที่ #7 : Heaven Ivy. -6- เหนี่ยวรั้ง

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ค. 57


    Heaven Ivy.

    -6-

     

                “จากการสอบสวนข้าราชบริพารทั้งหมด...ทุกคนให้การเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องทั้งหมดจริงๆ ครับ แม้ว่าจะเค้นเท่าไหร่...พวกเขาก็ให้คำตอบดังเดิม”

                เป็นเสียงของคัง มินฮยอกที่กล่าวความคืบหน้าการหาตัวผู้ประสงค์ร้ายในคราบประสงค์ดีซึ่งนำเรื่องของโจ คยูฮยอนไปเปิดเผยแก่สาธารณชน องค์รัชทายาทชเว ชีวอนขมวดคิ้วเครียด ร่างสูงใหญ่พิงศีรษะกับเก้าอี้บุหนังภายในห้องทำงาน พยายามนึกว่ายังมีใครอีกบ้างที่รู้เรื่องนี้นอกเหนือจากเขาและคนสนิทคนอื่น ถ้าหากข้ารับใช้ในพระราชวังไม่ได้แสร้งโกหกจริงๆ หรือจะเป็นฝีมือคนนอกที่สามารถเข้านอกออกในพระราชวังได้เสมอ... วินาทีนั้นมีเพียงหนึ่งชื่อที่แล่นเข้ามาในห้วงความคิด

                คิม ยูอี

                ทว่า...เขาไม่เคยบอกเรื่องของคยูฮยอนกับเธอ หากจะเป็นไปได้ก็คงเพราะยูอีรับทราบเรื่องนี้ด้วยตนเอง แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่หญิงสาวปั่นเรื่องราวทุกอย่างจนกลายเป็นข่าวเสียๆ หายๆ ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อเด็กหนุ่มจากพยองอัน แต่มากไปกว่านั้นมันคือความมั่นคงในการปกครองของประเทศเกาหลี จากทีแรกที่มันสั่นคลอนอยู่แล้ว นี่ก็อาจไปกันใหญ่...ชีวอนคาดเดาไว้ในหัวสมองว่าอีกไม่นานนายกปาร์ค อุนซูต้องเร่งคนของตนเข้ามาจัดการโจ คยูฮยอนแน่

                “แล้วหนังสือพิมพ์บ้าๆ นั่นมันไปอยู่หน้าเรือนรับรองของคยูฮยอนได้อย่างไร”

                “ยังไม่มีใครทราบครับ ตำหนักรองไม่ค่อยมีใครไปยุ่มย่ามอยู่แล้ว เป็นการยากที่หาตัวผู้กระทำ”

                “เอาเถอะ...ถือว่าค่อยๆ สืบต่อไป ยังไงซะ...ผู้ประสงค์ร้ายมันก็ต้องเปิดเผยตัวเองเข้าสักวัน”

    แม้จะกล่าวไปแบบนั้นแต่ชายหนุ่มก็ใช่ว่าจะวางใจ ชีวอนกำลังสงสัยคู่หมั้นสาวเต็มประดา ครั้นนึกถึงคำพูดของแม่นมยองจาที่เคยกล่าวตักเตือนเรื่องยูอีไปคราวก่อน เขาก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้เอง ...คิม ยูอี เป็นผู้หญิงที่เติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่ตีกรอบความคิดของเธอมาเสมอ

    คำว่า ว่าที่ราชินีเสมือนเป็นคำสั่งอัตโนมัติที่ถูกป้อนซ้ำๆ และเมื่อคยูฮยอนก้าวเข้ามาใช้ชีวิตภายในพระราชวังด้วยฐานะเครื่องบรรณาการ นั่นอาจสร้างความไม่พอใจให้กับเธอเป็นอย่างมาก เพียงแต่หน้าที่ของการเป็นคู่หมั้นที่ดีทำให้ยูอีไม่อาจโวยวายในสิ่งที่เขาตัดสินใจ และเมื่อควบคุมความคิดขององค์รัชทายาทไม่ได้ เธอจึงเลือกที่จะปั่นความคิดของโจ คยูฮยอน ซึ่งวิธีนี้ง่ายกว่ากันเป็นไหนๆ ในภาวะที่คยูฮยอนกำลังอ่อนแอและดูสับสน เธอมองเห็นช่องทางนี้เช่นเดียวกับที่เขามองสิ่งล้ำค่าจากพยองอันออก

    แต่เธอคงไม่ได้กะจะเล่นงานให้คยูฮยอนอับอายเพียงอย่างเดียว เขาเชื่ออย่างนั้น!

                “มีอีกเรื่องครับองค์ชาย...” ผู้ช่วยหนุ่มเอ่ยปากพร้อมวางซองจดหมายสีขาวลงบนโต๊ะทำงานของเขา ชีวอนเลื่อนสายตามองจดหมายปริศนาดังกล่าวสลับกับจ้องมองใบหน้าคัง มินฮยอกไปพลาง สีหน้านิ่งเฉยติดจะเฉื่อยชาบางทีก็สร้างความรำคาญได้เหมือนกัน ถึงอย่างนั้น...เขาเลือกที่จะเปิดจดหมายและข้อความซึ่งบรรจุอยู่ภายในก็ทำให้องค์รัชทายาทย่นคิ้วจนแทบผูกเป็นปม

                “ผู้นำกองกบฏพยองอัน...ลงชื่อ อี ดงกัน” ชายหนุ่มอ่านออกเสียงข้อความสุดท้ายของจดหมาย เนื้อความทั้งหมดโดยสรุปคือการขอเข้ามาในพระราชวังเพื่อนำตัวคยูฮยอนกลับบ้านเกิดและให้พ้นสถานะเครื่องบรรณาการเพื่อขจัดข้อครหา เหตุผลสำคัญอีกข้อคือเพื่อที่ทุกอย่างจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย ทั้งพยองอัน ทั้งการปกครองโดยภาพรวมในเกาหลี

                “ขอประทานอภัยที่กระหม่อมไม่เคยบอกองค์ชายเรื่องบ้านเกิดของกระหม่อมคือพยองอัน นี่เป็นเหตุผลในการเข้าร่วมกองกบฏในครั้งนี้ และขอยืนยันได้ว่ากบฏทุกคนไม่มีใครคิดล้มล้างราชวงศ์ จดหมายนี้... คุณดงกันแค่ต้องการบอกความประสงค์ทั้งหมดต่อองค์ชายครับ” ความจริงอีกข้อที่องค์รัชทายาทได้รับรู้ในวันนี้นับว่าสร้างความประหลาดใจได้มากโข คนสนิทที่ทำงานกับเขามานาน...นอกจากจะเป็นนักเรียนนอกดีกรีเกียรตินิยม คัง มินฮยอกยังเป็นชายหนุ่มที่มาจากพยองอันและเข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้ก่อกบฏ อีกทั้งยังปิดความลับนี้ได้อย่างเงียบเชียบโดยที่เขาไม่เคยนึกระคายแม้แต่น้อย

                องค์รัชทายาทชเว ชีวอนชักจะไม่แน่ใจเสียแล้ว ว่านี่ยังมีเรื่องซับซ้อนอะไรที่เขาไม่รู้อีกบ้าง!

                “เราอนุญาตให้ อี ดงกันเข้ามาพบคยูฮยอนได้...แต่เราไม่อาจรับปากเรื่องที่จะให้คยูฮยอนออกจากพระราชวัง...ช่วยฝากไปบอกเขาด้วย”

    องค์ชายคนโตแห่งราชวงศ์ชเวกล่าวเสียงหนักแน่น ไม่ว่าอย่างไร...ชายหนุ่มยังไม่อาจให้คยูฮยอนต้องอยู่ห่างจากสายตาในสถานการณ์อันสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ แต่ไอ้การจะใจร้ายไม่ให้พี่น้องได้พบหน้ากัน องค์รัชทายาทก็เห็นว่ามันเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลสิ้นดี อย่างน้อย...หากดงกันเข้ามาที่วังในวันพรุ่งนี้ เขาก็จะได้เจรจาหารือในอีกหลายๆ เรื่องที่ยังคงคาราคาซัง หวังลึกๆ ในใจว่าอดีตเพื่อนเลือดร้อนคงไม่บ้าบิ่นถวายหมัดหนักๆ เป็นเครื่องบรรณาการเสียแทน...

    รสหมัดของอี ดงกันน่ะเคยทำให้องค์รัชทายาทชเว ชีวอนปากแตกมานักต่อนักแล้ว!

     

     

    เด็กหนุ่มจากพยองอันรู้สึกผิดเล็กน้อยที่วันนี้ตนไม่อาจควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในภาวะเสถียรต่อหน้าองค์ชายเล็กซูโฮได้เลย ท่าทางคล้ายกับนกใกล้เฉามือตายของเขาทำให้อีกคนพลอยหน้าเสียไปด้วย ไม่นานซูโฮก็เลือกที่จะปล่อยให้เขานั่งสงบจิตสงบใจอยู่ภายในศาลาริมน้ำเพียงลำพัง ทอดสายตามองสระน้ำที่ไม่เคยสร้างความเบื่อหน่าย (และแน่นอน เขาไม่อาจลืมภาพในวันที่ตกสระน้ำลงไปพร้อมองค์รัชทายาทได้แน่!) ความจริงแล้ว...ข่าวที่ว่ามันส่งผลต่อจิตใจเขาครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งมันคือความเป็นกังวลที่เขามีต่อใครอีกคน... องค์รัชทายาทต้องรับมือข่าวทุกอย่างที่มาจากตัวเขา แม้องค์ชายผู้สูงศักดิ์จะมีส่วนผิดในเรื่องบีบให้เขาเข้ามาอยู่ในวังด้วยกฎเก่าแก่ก็ตาม แต่บริบทต่างๆ กำลังบอกว่า...ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกลึกๆ ในใจของคยูฮยอนก็เช่นกัน ในวันนี้สิ่งล้ำค่าจากพยองอันไม่อาจพูดได้เต็มปากเต็มคำนัก...

    ว่าตนเกลียดองค์รัชทายาทอย่างที่เคยประกาศกร้าว

    หรือแม้แต่ เขาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป... หัวใจของโจ คยูฮยอนกำลังสร้างพันธะอันใหญ่หลวงและมันถูกผูกมัดให้ไม่อาจตัดใจจากไปทั้งที่เรื่องทั้งหมดยังไม่ถูกสะสางจนจบลงด้วยดี

    “อย่านั่งเหม่อบ่อยนักสิ”

    คนในความคิดหลุดออกมาจากจิตนาการทั้งยังส่งเสียงทุ้มอยู่ใกล้ๆ แต่หนนี้ไม่มีน้ำเสียงแกมดุสักเท่าไหร่ คยูฮยอนละสายตาจากสระน้ำเบื้องหน้าและพบว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่พาตัวเองเข้ามาในศาลาริมน้ำโดยที่เขาไม่รู้ตัวก่อนจะนั่งลงข้างๆ กัน ระยะหลังมานี้...คยูฮยอนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศระหว่างเขาและอีกคนที่มันทำท่าจะดำเนินไปในทิศทางที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ คงเพราะองค์รัชทายาทดูเป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่กับเขา? นั่นอาจเป็นความคิดที่เข้าข้างตนเองไปหน่อย แต่คนที่อยู่ในฐานะเครื่องบรรณาการได้แต่รับอ้อมกอดขององค์รัชทายาทอยู่เรื่อยๆ เช่นนี้...มีหรือที่จะไม่รู้สึกว่าตนพิเศษกว่าใคร

    เผลอๆ อาจพิเศษกว่าแม่สาวคู่หมั้นคนนั้นเสียอีก...

    “กระหม่อมแค่คิดอะไรนิดหน่อย”

    “แค่คิดอะไรนิดหน่อย แล้วทำไมต้องทำหน้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบขนาดนั้น” ชายหนุ่มไม่ว่าเปล่าแต่กลับยื่นเรียวนิ้วมาจิ้มลงระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้างที่มันกำลังยุ่งเหยิงก่อนฝ่ามือหนาจะเลื่อนลงมาประคองแก้มของเขาไว้แทน เด็กหนุ่มคิดว่าตนกำลังคุ้นชินกับสัมผัสนี้...เพราะยิ่งอีกคนใช้นิ้วเกลี่ยที่พวงแก้มตนมากเท่าไหร่...เขาก็ยิ่งอยากจะค้นหาความอ่อนโยนภายใต้ความแข็งกร้าวในตัวองค์รัชทายาทผู้นี้มากเท่านั้น

    “ช่างเถอะครับ เดี๋ยวกระหม่อมก็ลืมมันไปเอง ด-เดี๋ยว...องค์ชาย!” ตัวตนขององค์รัชทายาทชเว ชีวอนเหนือความคาดหมายของคยูฮยอนเสมอ เพราะจู่ๆ ชายหนุ่มก็เหยียดตัวยาวบนที่นั่งภายในศาลาริมน้ำพร้อมเอนตัวนอนหนุนตักของเขาเสียดื้อๆ คยูฮยอนขุ่นตามองใบหน้าที่แย้มยิ้มบาง เห็นแววตาซุกซนของคนที่ชอบเอาแต่ใจกับเขาอยู่เรื่อย เด็กหนุ่มจากพยองอันถึงได้ถอนหายใจพลางเผยยิ้มตอบกลับเมื่ออีกคนขยับตัวหามุมสบายของตนเอง ไม่วายจะสบตาเขาโดยไม่ละความสนใจไปไหน

    “ขอนอนพักสายตาสักหน่อย หวังว่าเธอคงไม่ว่ากัน”

    เขาจะไปมีสิทธิว่าอะไร... คยูฮยอนโต้ตอบคำพูดขององค์ชายแสนเอาแต่ใจกลับไป หากความเป็นจริงเขาทำได้เพียงนั่งนิ่งทำตนเป็นหมอนชั้นดีสำหรับชายหนุ่มสูงศักดิ์ ดวงหน้าคล้ายเหยี่ยวที่เมื่อมองดีๆ จะรู้ว่าแฝงความเหนื่อยล้าจากการอดหลับอดนอนเนื่องจากต้องคอยคิดแผนงานเกี่ยวกับประเทศอยู่เสมอ คยูฮยอนรอจนอีกคนหลับตาพักผ่อนถึงได้เผยยิ้มซึ่งเจ้าตัวเองอาจไม่ทราบว่ารอยยิ้มเช่นนี้แหละที่องค์รัชทายาทเฝ้ารอจะมองเห็นเพียงใด และมันก็ไม่น่าเชื่อ... ผ่านไปได้ไม่นานเขาได้ยินเสียงกรนเบาๆ จากคนที่กำลังนอนหนุนตัก หากไม่ล้าจริงๆ คงไม่ผล็อยหลับง่ายเช่นนี้ รู้สึกเห็นใจคนคนนี้เหลือเกิน แต่จะทำอย่างไรได้

    ...องค์รัชทายาทเปรียบได้ดั่งบุตรของสวรรค์ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรับใช้ประชาชน

    เด็กหนุ่มเฝ้ามองโครงหน้าคมสันราวกับถูกสะกด เผลอยกมือขึ้นลูบไปตามแนวสันกราม สัมผัสได้ถึงต่อหนวดสั้นๆ บางทีองค์ชายชีวอนอาจทำงานจนละเลยที่จะสนใจมัน คยูฮยอนขบขันเล็กๆ ภาพของผู้ชายคนนี้เมื่อยามหลับสนิทกลับดูมีพิษมีภัยสักเท่าไหร่ ท่าทีเอาแต่ใจหรือการวางกิริยาเฉกเช่นคนมีศักดิ์สูงก็ไม่ยักจะปรากฏให้เห็น...แท้จริงแล้ว หรือเขากำลังเข้าใกล้ตัวตนของชเว ชีวอน มากกว่าองค์รัชทายาทแสนเย็นชาคนนั้นกันแน่ นั่นเป็นคำถามที่สิ่งล้ำค่าจากพยองอันไม่สามารถหาคำตอบได้ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขารับรู้ได้คือ...

    โจ คยูฮยอนเป็นคนเดียวที่ได้เห็นอีกด้านขององค์ชายคนโตแห่งราชวงศ์ชเว แถมมันยังเป็นมุมมองหนึ่งที่แม้แต่เจ้าตัวเองอาจไม่เคยรับรู้ก็เป็นได้...

     

     

    มื้อเช้าที่ห้องอาหารแปลกสายตาไปอย่างมาก คยูฮยอนสังเกตเห็นการเตรียมสำรับอาหารที่มากกว่าปกติ ชุดจานที่เพิ่มมาอีกชุดสร้างความฉงนใจ กระนั้นคยูฮยอนก็ฉลาดพอที่จะเดาว่านี่คงไม่ใช่ของแม่คู่หมั้นสาวสวยอย่าง คิม ยูอีแน่นอน องค์รัชทายาทชเว ชีวอนไม่คิดจะนำเธอมานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะกับเขาให้หญิงสาวรู้สึกกระอักกระอ่วน หรือแม้แต่เขาเองที่ต้องอึดอัดใจตามไปด้วย เขาทราบดีว่าตนอยู่ในฐานะเครื่องบรรณาการและเธอคือคู่หมั้นของว่าที่กษัตริย์ ทุกอย่างบ่งบอกถึงกรอบเส้นความสัมพันธ์อันชัดเจน ชั่ววินาทีหนึ่งที่คยูฮยอนรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างประหลาด แต่อีกด้านในใจกลับนึกแย้ง...บรรณาการเช่นเขาได้รับในสิ่งที่ควรจะได้มากเกินความจำเป็นเสียด้วยซ้ำ แล้วเขานั่นยังจะต้องการอะไรจากองค์รัชทายาทอีก

    ความคิดของคยูฮยอนกำลังเตลิดไปไกล ทว่าเมื่อเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาภายในห้องอาหารพร้อมเดินมากดจมูกลงที่ข้างขมับเบาๆ ความขุ่นข้องซึ่งกำลังตกตะกอนจึงมลายหายไปเสียดื้อๆ

    หมู่นี้ทำไมโจ คยูฮยอนถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้ไปได้...นี่มันไม่ใช่ตัวเขาเลย!

     “อย่ามาโชว์หวานได้ไหมครับ นี่ไม่เห็นว่าผมอยู่ในห้องอาหารด้วยอีกคนหรือไง” ซูโฮโวยเล็กๆ มุ่นหน้าไม่ชอบใจเมื่อเห็นพี่ชายตนเองแย่ง(?)เพื่อนใหม่ต่างวัยจากพยองอันไปต่อหน้าต่อตา

    “เห็นสิ...” ตอบเสียงห้วนให้องค์ชายเล็กแห่งชเวเบ้ปากอย่างหมั่นไส้

    “ถ้าไม่เกรงใจผม งั้นช่วยเกรงใจแม่นมยองจาก็ยังดีนะครับ แหม่!” ครั้นโดนน้องชายสอนเข้าให้ ชีวอนจึงส่ายหน้านึกหน่าย แม่นมยองจายิ้มเอ็นดูพลางตระเตรียมอาหารโดยไม่ห้ามปรามศึกเล็กๆ บนโต๊ะอาหารแต่อย่างใด

    “ทานข้าวได้แล้วซูโฮ เดี๋ยวนี้พูดมากขึ้นนะเรา...ประหลาดจริง”

    “พี่ชีวอนสิที่ประหลาดคน นี่รู้ตัวหรือว่าทำตัวบ้าเห่อพี่คยูฮยอนสุดๆ”

    เคร้ง!

    คนตกใจไม่ใช่องค์ชายชีวอนซึ่งถูกพาดพิงตรงๆ แต่เป็นคยูฮยอนที่เผลอปล่อยช้อนจนตกลงจากชามข้าวต้มต่างหาก เห็นสายตาของพี่น้ององค์ชายเบนมาบรรจบที่เขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกไปใหญ่ เนินแก้มร้อนผ่าวชอบกล หนุ่มผิวขาวแห่งพยองอันยิ้มเก้อพลางก้มหน้าก้มตา ทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจบทสนทนาอื่นๆ บนโต๊ะอาหารภายใต้การปะทะวาจาอย่างออกรสของสองพี่น้องราชวงศ์ชเว นี่เป็นภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นมากนัก กระทั่ง...ผู้ช่วยหนุ่มคัง มินฮยอกก้าวเดินอย่างสุภาพเข้ามาภายในห้องอาหาร แต่เจ้าของเรียวหน้าหวานสังเกตเห็นว่ามีใครอีกคนเดินตามหลังมาติดๆ ...อาจเป็นแขกร่วมรับประทานอาหารในมื้อเช้ากระมัง

    “เป็นเกียรติที่ได้เข้าเฝ้าและร่วมประทานอาหารเช้า...ขอกล่าวสวัสดีอย่างเป็นทางการ องครัชทายาทชีวอน”

    “ด้วยความยินดี อี ดงกัน”

    โจ คยูฮยอนแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นพี่ชายต่างมารดายืนสง่าอยู่ภายในห้องอาหาร ร่างโปร่งผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะถลาตัวโถมกอดร่างของพี่ชายเต็มรัก ซุกหน้าลงบนไหล่หนาอย่างคะนึงหา แปลกใจที่พี่ชายของตนเองซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของทางรัฐในฐานะผู้นำกบฏกลับสามารถก้าวเข้ามายืนในพระราชวังได้โดยสวัสดิภาพ ผละมองใบหน้าคมคาย...หลังจากไม่ได้พบกันเกือบค่อนเดือน คยูฮยอนสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้ต่างอะไรไปจากองค์รัชทายาทชีวอนเลยสักนิด ดวงตาล้าเพราะการอดนอน ไหนจะสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้อีก

    “พี่น้องก็ควรได้พบปะกันบ้าง” องค์รัชทายาทชเว ชีวอนเอ่ยบอกเสียงราบเรียบติดจะฟังดูเหมือนพูดเรื่องเรื่อยเปื่อยทั้งที่มันเป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับเขา กระนั้นคยูฮยอนก็ไม่อาจตีความจากประโยคคลุมเครือนั่นได้

    “ถึงอย่างนั้นกระหม่อมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม...พี่ดงกันถึงเข้ามาภายในพระราชวังได้”

    “พี่ก็เดินเข้ามาสิ...” ชายหนุ่มผู้มีฐานะเป็นถึงหัวหน้าการกบฏว่าติดตลก อดไม่ได้ที่คนเป็นน้องจะย่นคิ้วใส่ นัยน์ตาโตใสจ้องมองใบหน้าของพี่คนโตเขม็งคล้ายกับต้องการคำตอบที่ชัดเจนมากกว่าคำพูดกวนอารมณ์

    “ผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ผมแค่ไม่เข้าใจว่าพี่เป็นกบฏ แต่ทำไมถึง...”

    ไม่ทันจะพูดจบประโยค เสียงเข้มก็กล่าวตัดบท “กบฏอย่างพี่ไม่คิดทำลายราชวงศ์อยู่แล้ว จะว่าไปแล้ว...พี่ในสายตาเราดูเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือไง”

    “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นเลย แค่ไม่เข้าใจ...” เด็กหนุ่มหันไปสบตาบุคคลซึ่งเสมือนเป็นผู้ปกครองพระราชวังแห่งนี้ แน่นอนว่าคนที่ตัดสินใจให้พี่ชายของเขามาที่นี้ได้จะต้องเป็นองค์รัชทายาทเท่านั้น แต่จะด้วยเหตุผลอะไร...นี่คือสิ่งที่คยูฮยอนต้องการทราบมากที่สุด

    “ไว้ฉันและดงกันจะอธิบายให้เธอฟังภายหลังมื้อเช้า จากนี้เธอควรได้รับรู้เรื่องบางอย่างในระดับหนึ่ง”

    หลังจากอาหารมื้อเช้าดำเนินไปได้ด้วยดี ทั้งเขา องค์รัชทายาทชีวอน และพี่ชายต่างมารดาก็พร้อมหน้าอยู่ภายในห้องทำงานโอ่โถง ยังมีคัง มินฮยอกอีกคน...น่าประหลาดใจเป็นครั้งที่สองของวันเมื่อตอนที่เด็กหนุ่มทราบว่าแท้จริงผู้ช่วยหนุ่มคนนี้มีบ้านเกิดอยู่ที่เกาะพยองอัน ควบตำแหน่งเป็นผู้ช่วยของพี่ชายเขาอีกคน ตลอดการพูดคุย...คยูฮยอนได้ทราบในสิ่งที่เขาไม่รับรู้อีกมาก

    กองกบฏกำลังทำงานประสานกับองค์รัชทายาทอย่างลับๆ โดยมีเพียงทหารรักษาพระองค์ที่ล่วงรู้เพื่อเตรียมการโค่นล้มรัฐบาลของนายกปาร์ค อุนซู

    และข้อมูลทุกอย่างก็ยังมีสิ่งที่ซับซ้อนยากจะเข้าใจ การจัดการในเรื่องนี้ยังไม่ลงล็อคเท่าที่ควร ความเห็นของทั้งองค์รัชทายาทชีวอนและผู้นำกบฏอย่างดงกันยังไม่ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน เกิดการโต้เถียงเล็กน้อย พื้นที่ความคิดของเขาถูกจำกัดลงเมื่ออี ดงกัน ไม่ต้องการให้เขาทราบข้อมูลบางอย่างไปมากกว่านี้ พี่ชายจอมขรึมถึงได้บอกให้เขากลับไปพักผ่อน เมื่อคุยธุระเสร็จเรียบร้อยดีจึงจะให้เวลาส่วนตัวกับเขาเต็มที่ คยูฮยอนยอมเชื่อฟังคนเป็นพี่แต่โดยดีด้วยเพราะไม่อยากทำตัววุ่นวาย เจ้าของร่างโปร่งบางกลับมาที่เรือนรับรองด้วยความกังวลใจ ด้วยหนึ่งกลัวว่าพี่ดงกันจะอารมณ์ร้อน และสอง... เขากลัวว่าองค์รัชทายาทจะรั้นไม่ฟังใคร...

    ผู้ชายหัวดื้อสองคนปะฉะดะวาจากันแบบนี้ แค่อย่าวางมวยกันก็คงเป็นพระคุณอย่างสูงแล้วล่ะ!

     

     

    สิ่งที่คยูฮยอนกลัว...ใช่ว่าจะเป็นจริงเสมอไป คงต้องบอกว่าเกือบวางมวยเห็นจะถูก

    อี ดงกันไม่ชอบขี้หน้าองค์รัชทายาทมากเท่าไหร่ก็ต้องข่มใจแยกแยะเรื่องหน้าที่การงานเท่านั้น แต่อย่างน้อยเขากลับรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่มสูงศักดิ์ หรืออาจเรียกได้ว่า เป็นอดีตเพื่อนก๊วนเดียวกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม หมอนี่ไม่พูดจาขวานผ่าซากดังที่เคยหรือเก็กหน้าทำตัวเย็นชาอย่างแต่ก่อน ทว่าสิ่งหนึ่งที่ดงกันนึกฉุน(ไอ้เพื่อน)องค์ชายพิกลก็เพราะว่า...ชเว ชีวอนมันคิดจะเหนี่ยวรั้งคยูฮยอนไว้ที่นี้ทั้งที่เขาตั้งใจเข้ามารับน้องชายต่างมารดากลับไปที่เกาะพยองอันด้วยตนเองแท้ๆ

    หรือ...ชเว ชีวอนคิดจะเล่นแง่กับเขากัน!

    “เอาล่ะ ชเว ชีวอน... บอกเหตุผลที่ทำไมฉันถึงพาคยูฮยอนกลับพยองอันไม่ได้ แค่ทำให้การถวายตัวของคยูฮยอนเป็นโมฆะมันก็จบเรื่องไม่ใช่หรือไง”

    เวลานี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์เพื่อแสดงสถานะตนเอง ในฐานะพี่ชาย...แค่เขาทิ้งให้คยูฮยอนต้องระเห็จเข้ามาอยู่ในวังด้วยสภาพจำยอม อี ดงกันก็ทนไม่ได้แล้ว ไหนจะแม่ใหญ่ แม่รอง และพ่อของเขาที่ต่างไม่สบายใจกับเรื่องนี้เลย บางทีเขาอยากจะซัดกำปั้นใส่ใบหน้าหล่อร้ายขององค์รัชทายาทชเว ชีวอนเต็มๆ แรงสักทีให้สมกับที่หาเรื่องปวดหัวมาสู่ครอบครัวของเขาโดยการแกล้งบีบให้คยูฮยอนต้องเข้าวังมาแบบนี้ แต่เพราะสถานการณ์บ้านเมืองที่เปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือกลับทำให้เขาไม่มีทางเลือกที่ต้องจับมือสงบศึกกับไอ้หมอนี่ชั่วคราว

    ข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อวันก่อน มันต้องสร้างความเจ็บปวดให้คยูฮยอนมากแน่นอน พี่ชายเช่นเขาจะปล่อยให้เรื่องนี้หาตัวคนผิดไม่ได้ต่อไปก็เห็นจะใช่เรื่อง...ในเมื่อน้องชายของเขาถูกครหาว่าเป็นบรรณาการแลกเปลี่ยนความมั่นคงทางการเมืองของพยองอัน ความหมายนัยนะที่สื่อแฝงมันต่างจากการเอาตัวเข้าแลกตรงไหน!

    “ในมุมมองของนาย...คยูฮยอนอาจไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากนัก แต่สำหรับฉัน...นายเองอาจไม่รู้จักนายกปาร์ค อุนซูดีแน่ ตาแก่นั่นมันทำได้ทุกอย่าง ขอแค่ให้ตัวเองมีอำนาจ ลองคิดดูดีๆ ว่าหากถ้านายกปาร์คเอาคยูฮยอนเป็นไปตัวประกันแลกเปลี่ยนทางการเมือง กดดันให้นายเลิกคิดที่จะโค่นล่มรัฐบาล...นายจะทนได้หรือเปล่า... ทนที่ต้องเห็นน้องชายของนายตกเป็นเหยื่อทางการเมือง” แม้จะฟังดูมีเหตุผลทว่าดงกันกลับเชื่อมั่นในสัญชาตญาณความเป็นพี่ชายที่ตนมีอยู่ เขาจึงกล่าวออกไปเสียงหนักแน่น

    “ฉันปกป้องคยูฮยอนได้เพราะฉันเป็นพี่ชายของเขา”

    “แต่นาย...อยู่ในฐานะผู้นำกบฏ ทางการต้องการตัวนายมากที่สุดและพร้อมจะจับนายโยนเข้าตะราง ถ้าคยูฮยอนยังอยู่ที่นี่เขาจะปลอดภัย ขอแค่ไม่คลาดสายตาไปจากฉัน”

    “แล้วคู่หมั้นของนาย เธอจะว่าอย่างไร...ไม่ดิ้นตายไปแล้วหรือไงที่นายเล่นยกคยูฮยอนสำคัญกว่าเธอ” น้ำเสียงของเขาสื่อไปในทางประชดประชัน...หัวสมองของ อี ดงกัน นึกภาพหญิงสาวเจ้าของใบหน้าสะสวยพร้อมสรรพไปด้วยกิริยามารยาทสมบูรณ์แบบ รอยยิ้มของเธอที่เคยมอบให้กับเขา ดงกันยังจำมันได้ ทว่าเขาก็เลือกที่จะลืมเลือนมันไปบ้าง...ในเมื่อปัจจุบันเธอไม่ใช่คนรักของเขาแต่เป็นคู่หมั้นขององค์รัชทายาทเสียแทน...นึกเกลียดพ่อแม่ของเธอเหลือเกินที่เสี้ยมสอนให้สาวน้อยที่เคยมองโลกในแง่ดีกลับต้องกลายเป็นเพียงตุ๊กตาที่ถูกจับวางบทบาทเสมือนไร้จิตใจ

    องค์รัชทายาทชีวอนสังเกตท่าทีของดงกันที่ใกล้จะเดือดดาลเต็มทน ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเล่าในสิ่งที่ตนสงสัยในตัวคู่หมั้นสาวได้ว่าแท้จริงเธออาจเป็นมือดีปล่อยข่าว ชายหนุ่มยังคงรักษาท่าและเจรจาต่อไปอย่างใจเย็น

    “นายรู้ดีว่าเธอเป็นคนยังไง...แล้วฉันเองก็ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับยูอี ทุกอย่างมันเป็นหน้าที่” ฟังดังนั้น...อี ดงกันจึงหรี่ตามมององค์รัชทายาทโดยไม่นึกกริ่งเกรงทั้งยังโต้กลับทันควัน

    “นายบอกว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องหมั้นกับยูอี...แล้วการรั้งคยูฮยอนไว้มันคือหน้าที่หรือเปล่าวะ” ชายหนุ่มจากพยองอันนึกว่าตนจะได้เจอเรื่องตลกร้ายจากองค์รัชทายาทเสียแล้ว หากแต่ดวงตาเด็ดเดี่ยวสะท้อนประกายความจริงใจเช่นนั้น...ท่าทางมันคงเป็นคำตอบชั้นเยี่ยมที่พอจะทำให้เขาเข้าใจเหตุผลทุกอย่างโดยไม่ต้องทำตัวเป็นตำรวจเค้นความลับผู้ต้องหาอีกต่อไป

    องค์รัชทายาทไร้หัวใจดูไม่ใช่คนเดิม... นอกจากจะมีเหตุผล มีหัวคิดที่รอบด้านหลากมิติ ดวงตาสีชาเด็ดเดี่ยวสะท้อนว่าภายในหัวใจคนคนนี้ประทับภาพของน้องชายคนเดียวของเขาไปเสียแล้ว

    ...ความใกล้ชิดเล่นงานทั้งองค์ชายชีวอนและคยูฮยอนเข้าให้จนได้

    “มันไม่ใช่หน้าที่ แต่มันคือสิ่งที่ฉันอยากทำ เหตุผลเดียว...ฉันรั้งคยูฮยอนไว้ก็เพื่อปกป้องเขา

     

    อี ดงกันหมดหน้าที่ในการหารือปรึกษาเรื่องบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อย เขาไปยังเรือนรับรองเพื่อใช้เวลาอยู่กับน้องชายคนเดียว ถามไถ่ความเป็นอยู่เล็กๆ น้อยๆ แต่หน้าตาที่ดูสดใสแบบนั้นเขาก็พอจะเดาออกว่าอย่างน้อย...ความสัมพันธ์ระหว่างคยูฮยอนและองค์รัชทายาทอาจไม่ได้แย่อย่างที่เคยคิด แกล้งถามว่าอยากกลับพยองอันหรือไม่ เจ้าตัวกลับอึกอักที่จะตอบเหมือนไม่แน่ใจนัก... เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับเขาจึงเอ่ยลาแต่พอเป็นพิธีนั่นเพราะไม่อยากให้เด็กติดบ้านแถมยังขี้เหงาเป็นที่หนึ่งต้องมาหงอยเป็นลูกแมวหลงทาง สองพี่น้องกอดร่ำลาอยู่หน้าตำหนักรอง โบกมือลาส่งท้ายพร้อมคำสัญญาที่บอกว่า

    ...เกาะพยองอัน บ้านเกิดของพวกเราจะต้องปลอดภัย...

    “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ...ดงกัน” ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าเมื่อเสียงหวานใสของหญิงสาวเอ่ยทักอยู่เบื้องหลัง เขามองข้ามไหล่ตนเองและพบเรือนร่างบอบบางก้าวเดินมาหยุดอยู่ห่างกันเพียงไม่เท่าไหร่ ค่อยๆ หมุนตัวไปเผชิญกับเธอ

    ผู้หญิงที่เขาเคยรักมากที่สุดเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว... ก่อนเธอจะเปลี่ยนไปและเชิดคอว่าตนเป็น ว่าที่ราชินี

    “หวังว่าเธอคงสบายดี” รอยยิ้มหวานปั้นแต่งไม่ใช่ภาพที่น่ามอง ทั้งที่ส่วนลึกเองเขาก็ยังโหยหาเธอ แต่ดงกันกลับแสร้งเบือนหน้าไปทางอื่น อึดอัดใจที่ต้องยืนอยู่เบื้องหน้าหญิงสาวอย่างประหลาด

    “นายมาที่นี่ได้ยังไง...มาเยี่ยมน้องชายหรือ?”

    “ประมาณนั้น”

    “เพราะเมื่อก่อน...น้องของนายไปเรียนถึงเมืองนอก ฉันเลยไม่เคยรู้จักคยูฮยอนเลยแต่วันนี้มันก็ตลกดีนะที่ฉันได้มาเจอคยูฮยอนในฐานะ...เครื่องบรรณาการที่ถวายตัวเข้ามาในวังอย่างจำใจ”

    “....” เขาอึ้งไปกับคำพูดของเธอจนแทบไม่สามารถกลั่นกรองน้ำเสียงจากลำคอออกมาได้ อี ดงกันจ้องมองดวงหน้างดงามที่เขาเคยรักใคร่ แต่กลับวันนี้เธอกลับดูน่าเกลียดเสียจนเขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้คือคนคนเดียวกับคิม ยูอีเมื่อหลายปีก่อน ทั้งคำพูดคำจาหยามเหยียด ถ้อยเสียงไม่น่าฟัง นัยน์ตาหยิ่งยโสเช่นนี้ มันทำลายความรู้สึกดีๆ ที่เขาเคยมีให้เธอไปอย่างหมดสิ้น

    ดูเหมือน...เธออาจคะนองปากไม่พอจนสาแก่ใจถึงได้เชิดปลายคางและกล่าวต่ออย่างไม่ยี่หระ

    “หรือบางทีเด็กนั่น...อาจจะเต็มใจปรนนิบัติปรนเปรอก็ได้ ใครจะรู้”

    “คุณพูดเกินไปแล้ว!

    “เหอะ! ที่แท้ก็แค่ส่งน้องชายมาบำเรอเชอภักดิ์องค์รัชทายาทเสียไม่ว่า”

    “คิดว่าผมไม่กล้าทำร้ายผู้หญิงหรือยังไง คิม ยูอี!

    สุภาพบุรุษเช่นเขาไม่เคยคิดจะทำกิริยาไม่ดีต่อสุภาพสตรีอยู่แล้วทว่าการที่ดงกันชี้หน้าคิม ยูอีเช่นนี้ราวกับการประกาศสงครามกันกลายๆ ว่าไม่ว่าอย่างไร...เธอก็ห้ามแตะต้องน้องชายคนเดียวของเขาแม้แต่ปลายก้อย แม้เมื่อก่อนเธอจะสำคัญแค่ไหน หากในวันนี้เธอเป็นแค่คนโซลจิตใจคับแคบดั่งที่เขาเคยปรามาสไว้นั่นเอง “อย่าคิดว่าผมเคยรักคุณ...แล้วคุณจะพูดให้ร้ายคยูฮยอนยังไงก็ได้” ชายหนุ่มตวาดลั่นอย่างเหลืออด ถึงอย่างนั้นคนที่ปวารณาตัวเองว่าสูงส่งนักหนากลับไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด

    “...ฉันไม่เคยสนใจความรัก แต่ชีวิตของฉันเองต่างหากที่สำคัญ”

    คิม ยูอีคนเดิม...ได้ตายจากไปแล้วจริงๆ

    “ขอบคุณคุณจริงๆ ที่ทำให้ผมตาสว่าง และขอบคุณจริงๆ ที่ทำให้ผมไม่เสียใจเลยที่เลิกรักคุณ!” ทิ้งท้ายประโยคพร้อมดวงตาวาวโรจน์ก่อนร่างสูงใหญ่จะเดินจากไปอย่างไม่คิดไยดีหญิงสาวคนรักเก่าอีกต่อไป อดีตที่ผ่าน...อี ดงกันจะถือว่ามันเป็นแค่ภาพฝันจอมปลอมก็แล้วกัน!

     

     

    ชายหนุ่มเฝ้ามองบานประตูเรือนรับรองอยู่นานสองนาน ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเข้าไปรบกวนอีกคนในเวลานี้หรือไม่ เนื่องด้วยนี้ก็เกือบจะตีสองเข้าให้แล้ว ค่ำคืนอันดึกสงัดเช่นนี้เขาเผลอทำงานจนลืมเวลา...ลืมว่าตนต้องเข้ามาพบเด็กหนุ่มจากพยองอันในทุกๆ คืนก่อนเข้านอน บางทีองค์รัชทายาทก็เพิ่งจะทราบความจริงข้อนี้ที่ว่า...แค่ได้เห็นหน้าก็หลับฝันดีเป็นเช่นไร ดังนั้นองค์ชายคนโตแห่งชเวจึงยอมทำตัวเอาแต่ใจโดยการเคาะประตูไม้ชั้นดีไปสองสามครั้ง ไม่นานก็มีเสียงแว่วตอบรับกลับมา...

    “ใครครับ? แม่นมยองจาหรือเปล่า” ฟังจากน้ำเสียงที่ปราศจากความง่วงงุนนั่นแสดงว่าอีกคนยังไม่เข้านอน เขาจึงไม่ลังเลที่จะเอ่ยปากขออนุญาต

    “ฉันเอง ขอเข้าไปได้ไหม”

    “องค์ชายหรือครับ ...รอกระหม่อมสักครู่” ได้ยินเสียงกุกกักไม่ถึงนาทีบานประตูจึงถูกเปิดออกโดยฝีมือของเจ้าของห้องตัวขาว สบตาดวงตากลมใสตรงหน้าพลางก้าวเท้าเข้ามายืนภายในเรือนรับรอง มองไปที่เตียงจึงพบว่าโคมไฟเหนือหัวเตียงขึ้นไปถูกเปิดใช้งานอยู่ บางทีคยูฮยอนอาจนอนอ่านหนังสือจนลืมเวลาเช่นเดียวกับเขา หรือหากจะคิดเข้าข้างตัวเองสักหน่อย สิ่งล้ำค่าจากพยองอัน...คงรอให้เขาเข้ามาพบดังเช่นทุกคืนก็เป็นได้ ความคิดในหัวสมองของชายหนุ่มยังผลให้รูปหน้าหล่อจัดเผยยิ้มทะเล้นโดยไม่รู้ตัว

    “ทำไมยังไม่นอนล่ะ” คำถามของเขาทำให้ใครอีกคนนิ่งไปชั่วอึกใจ ท่าทีอ้ำอึ้งราวกับกำลังควานหาเสียงในลำคอทำให้ทราบในทันที่ว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทคาดเดาไว้เมื่อครู่คงไม่ผิดไปจากที่คิดนัก

    “กระหม่อมนอนไม่หลับ แค่อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ จนลืมเวลา”

    “ฉันก็นอนไม่หลับเหมือนกัน อยากจะมาพบหน้าเธอ...เผื่ออาการนอนไม่หลับขึ้นมาเสียดื้อๆ จะทุเลาลงสักหน่อย” คนฟังก้มหน้างุดพลางยกเรียวมือขึ้นเกี่ยวเส้นผมสีน้ำตาลเข้มทัดใบหูตนเอง มองดูแล้วช่างเป็นปฏิกิริยาที่น่าพึงใจเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มผู้มีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทแย้มยิ้มเอ็นดูพลางสืบเท้าสบายๆ ไปทิ้งกายลงบนเตียงนุ่ม เหยียดตัวยาวพลางไพล่มือประสานกันเพื่อรองศีรษะ แสร้งไม่สนใจเจ้าของห้องหน้าแมวซึ่งยืนเก้อเสียจนไม่อาจออกปากห้ามปรามอะไร

    “องค์ชาย...นอนทับหนังสือของกระหม่อม” แม้เนื้อประโยคจะฟังดูหงุดหงิดทว่าใบหน้าน่ารักกลับไม่คิดจะสบตาเขาเลยสักนิด โจ คยูฮยอนเอื้อมมือมาใกล้บริเวณที่เขานอนทับหนังสือเจ้ากรรม เมื่อคว้าสิ่งที่ตนต้องการได้จึงเดินนำมันไปวางไว้ที่โต๊ะมุมห้อง การกระทำทุกอย่างของเด็กหนุ่มอยู่ภายใต้สายตาขององค์ชายชีวอนทั้งสิ้น ดูเหมือนสิ่งล้ำค่าจากพยองอันจะพยายามทำอะไรให้ช้ากว่าปกติเพื่อที่ตนจะได้ไม่เข้ามาใกล้รัศมีของเขามากเกินจำเป็นทั้งที่วันก่อนๆ คยูฮยอนไม่ยักจะมีท่าทางเช่นนี้...เขาล่ะจนใจกับนิสัยเหมือนแมวขี้ตื่นเสียเหลือเกิน

    ไม่อาจให้ค่ำคืนนี้มันเต็มไปด้วยบรรยากาศอันแสนอึดอัด พลันชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งบนเตียง ตรึงสายตาไปยังเรือนร่างโปร่งบางพลางเอ่ยปากออกกึ่งขอร้องกึ่งคำสั่ง

    “มานั่งที่เตียงเถอะ...ฉันแค่อยากคุยกับเธอแค่เรื่องเดียวเท่านั้น” ไอ้ครั้นจะว่าง่ายก็ง่ายเสียจนนึกขำ คยูฮยอนเดินกลับมานั่งที่เตียงแต่โดยดี ถึงอย่างนั้นก็ยังรักษาระยะห่างพอสมควร ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเริ่มบทสนทนา “อยากกลับพยองอันหรือเปล่า?”

    คนถูกถามเลิกคิ้วสงสัย ละล่ำละลักถามอย่างไม่เชื่อ “องค์ชายหมายความว่าอย่างไร”

    “ฉันถามว่า...เธออยากกลับเกาะพยองอันหรือเปล่า ฉันยินดีจะโมฆะเรื่องเครื่องบรรณาการ” ทั้งที่เคยตั้งมั่นว่าจะรั้งคยูฮยอนไว้กับเขาจนกว่าเรื่องบ้านเมืองจะเรียบร้อยดี แม้สถานการณ์ยังสุ่มเสี่ยงแต่ อี ดงกันเองก็อาจปกป้องคยูฮยอนในฐานะน้องชายได้ดีกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ทว่าองค์ชายผู้นี้เพียงแค่อยากจะทราบความจริงในใจของเด็กหนุ่มจากพยองอันเช่นกัน ขึ้นชื่อว่า การฉุดรั้ง ย่อมมีความหมายในแง่ลบ...มันแสดงถึงความดื้อดึงที่ชายหนุ่มมีในตัวเสียเต็มประดา

    ชีวอนเคยได้ยินมาเสมอว่า หากรั้งได้แต่กาย...ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรในการเอาชนะใจใครสักคน

    “กระหม่อม...” องค์ชายชีวอนรู้สึกได้ถึงอาการสับสนและลังเลจากบรรณาการล้ำค่า ถึงได้ย้ำด้วยถ้อยคำไม่ถือโทษหากอีกคนตอบในสิ่งที่อาจไม่ตรงใจเขา

    “...ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก อยากกลับหรือไม่อยากกลับก็เท่านั้น ฉันพร้อมตามใจและให้เกียรติคำตอบเธอเสมอ” มีเพียงความเงียบที่ลอยเคว้งในอากาศ มองเห็นมือคู่เรียวกำแน่นเข้าหากันบนหน้าตัก การตัดสินใจของเด็กหนุ่มกินเวลาไปสักหน่อย...ถึงอย่างนั้นองค์ชายชีวอนเองไม่ได้ตั้งใจจะบีบบังคับให้อีกฝ่ายต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีกแล้ว ขอแค่อีกคนบอกความประสงค์ที่แท้จริง...ชายหนุ่มสูงศักดิ์ก็พร้อมตามใจทุกอย่าง

    “เมื่อก่อน...กระหม่อมคิดว่าอยากหนีไปให้พ้นๆ ที่นี่ ...แต่ตอนนี้ กระหม่อมไม่ต้องการเช่นนั้น”

    “....”

    มันเป็นคำตอบที่หนักแน่นชัดเจน...

    องค์รัชทายาทใช้ดวงตาอันทรงเสน่ห์สบตาคู่กลมเพื่อมองหาความลังเลภายใน กระนั้น...เขากลับไม่พบภาพสะท้อนอื่นนอกจากตัวเขาเอง หรือจะโทษความใกล้ชิดที่ก่อตัวมาเนิ่นนาน ชายหนุ่มถึงได้ไม่รู้ตัวว่าตนเองรั้งอีกฝ่ายให้เข้ามาชิดตนตั้งแต่เมื่อใด ลมหายใจอุ่นๆ ไหนจะความงดงามดั่งภาพศิลปะคล้ายกับเชื้อเชิญให้องค์รัชทายาทชีวอนแตะเรียวปากลงเบาๆ ลงบนเนินแก้มนิ่ม เขาเพิ่งจะสังเกตได้ว่าอีกคนไม่ตัวสั่นดังเช่นคราวก่อนอีกแล้ว ระยะห่างที่แคบลงจนแทบไม่เหลือช่องว่างเช่นนี้ยิ่งทำให้อยากจะแนบจูบลงไปให้รางวัลอีกคนที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมากโข

    “...กระหม่อมยังอยากอยู่กับองค์ชายและไม่ต้องการที่จะกลับพยองอันในเวลานี้ ถ้ากระหม่อมกลับบ้านเกิดแต่ต้องทิ้งให้องค์ชายต้องเหนื่อยเพียงลำพัง กระหม่อมเองคง...ไม่ชอบใจตัวเองนัก”

    ชายหนุ่มยิ้มบางพลางไล้เรียวนิ้วไปตามริมฝีปากนุ่มนิ่ม ก่อนจะกดแนบลงไปอย่างที่ใจปรารถนาและร่างบางเองก็เงยหน้ารับจุมพิตจากเขาแต่โดยดี คำพูดเมื่อครู่ของคยูฮยอนสื่อเป็นนัยว่าคนคนนี้เลือกที่จะไว้วางใจเขาดังที่องค์รัชทายาทพยายามมาตลอด และอีกประการ...

    องค์ชายชีวอนแค่หวังว่ากำแพงในใจของคยูฮยอนมันจะถูกทำลายลงไปแล้วจริงๆ

    "ถ้าเพื่อทำให้เธอไม่หนีฉันไปไหน... ฉันจะจูบเธอไว้อย่างนี้ทั้งคืนก็ยังได้"

    ผละออกเพียงนิดเพื่อแกล้งพูดน้ำเสียงเย้า สังเกตเห็นดวงหน้าขาวค่อยๆ ระเรื่อไปด้วยสีแดงอ่อนอย่างน่ารัก องค์รัชทายาททราบแก่ใจว่าวินาทีนี้เขาคงไม่สามารถละทิ้งบรรยากาศชวนเพริดเช่นนี้ไปได้ จากที่บดคลึงเรียวปากสวยแต่พออิ่มกลับเปลี่ยนเป็นลิ้มชิมตั้งแต่มุมปาก ค่อยๆ ถ่ายโอนความรู้สึกจากเบื้องลึกผ่านรสจูบ ต้อนอีกฝ่ายให้เปิดโอกาสแด่ชิวหาอุ่นชื้นเข้าไปซึมซับความหวานซ่านภายใน ไม่เพียงแต่เขาที่ถลำลึกไปกับรสสัมผัสชวนเคลิบเคลิ้มทว่าอีกคนก็เช่นกัน...เด็กหนุ่มตอบรับการกระทำของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ก้อนหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อฝ่ายผู้นำไม่อาจทานทนต่อสิ่งล้ำค่าจากพยองอันได้อีกต่อไป ใช้สองมือประคองแผ่นหลังบางจนนอนราบไปกับเตียง เกี่ยวพันร่างกายด้วยพันธนาการที่เรียกว่า หัวใจ

     


     

    Talk*

    #อีดิทคำผิด ขอบคุณพี่ yayah-p มากๆเลยค๊าาาาา TwT

     

     

    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×