คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : sf. STAR
เรื่องนี้แต่งไว้นานแล้ว เคยลงบ้าน วอนคยูแล้ว
เอามาใส่คลังเก็บ :)
*...Star...*
บ้านประตูไม้สีขาวคือสิ่งที่ผมกำลังจดจ้องอยู่ในตอนนี้ หัวใจกำลังเต้นตึกตักจนแทบไม่เป็นจังหวะ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่อุตส่าห์ทำใจกล้าเสียดิบดี แต่พอนึกถึงใบหน้าติดจะนิ่งเฉยกลายๆ จะดุหน่อยๆ มันก็อดไม่ได้ที่ตัวผมจะยืนตัวแข็งทื่อไม่กระดิกเท้าไปไหน
ผมตั้งท่าจะยกมือเคาะประตูอยู่หลายต่อหลายครั้งแต่จนแล้วจดรอดมันก็ไม่เป็นผล พอจะเคาะทีไรมือที่อีกนิดเดียวจะแตะสัมผัสที่ประตูไม้เป็นต้องลดระดับลงทุกที เวลานี้ผมกำลังจนตรอกจนหาทางออกไม่ได้เพียงเพราะแลปทอปเจ้ากรรมดันมาเสียเอาซะวันรุ่งขึ้นคือวันที่ผมต้องส่งรายงาน ผมลอบถอนหายใจจนนับครั้งไม่ถ้วน ใจหนึ่งก็อยากจะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเขา แต่อีกใจมันก็ไม่กล้าพอ...ผมไม่ได้กลัวเขาหรอกนะ แต่เวลาที่เราอยู่ด้วยกันทีไร ความเงียบและความรู้สึกแปลกประหลาดมันคือสิ่งที่ผมได้รับและสัมผัสอยู่เสมอ
แต่จะให้ผมบากหน้าไปโรงเรียนพร้อมกับมือที่ว่างเปล่าไร้รายงานมันก็สุดจะใช่เหตุ ฉะนั้นแล้วในเวลานี้ผมจึงต้องตัดความกังวล สูดลมหายใจลึกให้เต็มปอดก่อนจะทำใจกล้าอีกครั้ง
“คยูฮยอน ยืนทำอะไรอยู่หน้าห้องซีวอนเขานะ” เสียงแหลมของพี่แทยอนทำเอาผมถึงกับใจหล่นฮวบ เธอเป็นหญิงสาววัยทำงานที่กำลังจะแต่งงานออกเรือน ผมและพี่สาวมีอายุต่างกันเกือบรอบ เพราะอันที่จริงแล้วผมน่ะ เป็นจำพวกลูกหลง แม่มีผมต้องอายุเกือบเข้าเลขสี่ แล้วก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าหญิงอายุขนาดนี้ถ้าหากตั้งครรภ์มีโอกาสสูงที่จะเสี่ยงต่ออันตราย เด็กที่เกิดมาอาจมีความผิดปกติ ทฤษฎีนี้ให้กับผมได้แค่ห้าสิบเปอร์เซ็น ถามว่าผมผิดปกติไหมก็คงไม่ เพราะผมน่ะร่างกายก็ถือว่าแข็งแรงดี ผิดปกติก็แค่ผมน่ะเป็นคนหายใจไม่ค่อยสะดวก ป่วยบ่อยหน่อยถ้าอากาศแปรปรวน อย่างเช่น...วันนี้
อีกอย่างก็คง...กลายเป็นคนคิดอะไรเชื่องช้าเวลาอยู่กับ...พี่เขาล่ะมั้ง
“คือว่า...ผมจะยืมแลปทอปพี่ซีวอนเขาน่ะ” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม พี่แทยอนพยักหน้ารับเล็กน้อย หรี่ตามองผมด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก นึกเสียดายไม่น้อยที่จู่ๆ ความกล้าของผมก็ถูกลดหายไปเหลือเท่ากับศูนย์อีกครั้ง ทว่า...เธอกลับเดินเข้ามาหาผมก่อนจะเคาะประตูห้องพี่ซีวอนเสียแทน
“ซีวอน คยูฮยอนจะเข้าไปยืมแลปทอปเราน่ะ เปิดประตูให้น้องหน่อยสิ” เธอกล่าวเพียงเท่านั้น ก็หันมาทำสีหน้าหน่ายๆ ใส่ผม พี่สาวผมน่ะเป็นประเภทคิดเร็วทำเร็ว ฉะนั้นพอเห็นท่าทีเงอะงะของผมเข้า ใบหน้าสวยหวานถึงได้ดูหงุดหงิดขึ้นในทันใด
“พี่แท...”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ซีวอนน่ะเป็นลูกชายของคุณอา ยังไงก็ถือว่าเป็นพี่ชายนาย เลิกประหม่าเวลาเจอเขาได้แล้ว พี่เห็นแล้วมันขัดลูกตา” เธอกล่าวดักคอผมชนิดไวแสงไม่แม้แต่จะเว้นจังหวะให้ผมได้โต้ตอบ จริงอยู่ที่เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ในเมื่อเราไม่ได้โตมาด้วยกัน ความสนิมสนมใกล้ชิดระหว่างเราถึงได้ยังมีเส้นกั้นบางๆ อยู่
...ก็บอกแล้วไง ว่าระหว่างเราความอึดอัดคือเรื่องชินชา
“พี่ไปทำงานแล้วนะ เย็นนี้จะกลับบ้านช้าหน่อย พอดีจะไปดูชุดแต่งงาน…”
“ครับ”
“ซีวอนฝากดูแลน้องด้วยนะ” พี่แทยอนส่งเสียงอีกครั้งหวังจะให้พี่ซีวอนเขารับรู้ จนเมื่อเธอเดินลงบันไดวนไป เสียงกุกกักที่บานประตูก็เป็นสัญญาณให้ผมรู้ว่าพี่เขากำลังเปิดประตูให้ผม บานประตูค่อยๆ เปิดออกแล้วแน่นอนว่าผู้ชายนิสัยไม่ค่อยสนใจคนรอบข้างอย่างพี่ซีวอนคงไม่มายืนยิ้มรับผมอยู่ที่หน้าประตู ผมค่อยๆ แทรกตัวผ่านบานประตูพลางสอดส่ายสายตามองหาร่างสูงใหญ่ที่ชอบทำสีหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตลอดเวลา
พี่เขากำลังยืนอยู่ที่ระเบียงห้องในมือกำลังถือเครื่องดนตรีชิ้นโปรดอย่าง ‘ฟลุ๊ต’ เห็นทีผมคงเข้ามาขัดเวลาสุนทรีของพี่เขาแหงๆ ใบหน้าคมไม่ได้หันมามองผมเขาเอาแต่ทอดสายตานิ่งมองท้องฟ้าสีฟ้าสด วันนี้เป็นอีกวันที่อากาศร้อนแบบสุดๆ แต่แปลกที่บรรยากาศรอบตัวผมกลับเย็นเฉียบ…
“พี่ซีวอน คือ...ผมขอยืมใช้แลปทอปหน่อยนะ” เมื่อไม่มีเสียงตอบรับผมซึ่งกำลังจะหมดความอดทนถึงได้ถือวิสาสะนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือของพี่เขา จัดการเปิดเจ้าเครื่องแลปทอป แอบคิดในใจว่าพี่เขาจะว่าเอาหรือเปล่า...แต่มันก็คงเป็นความคิดฟุ้งซ่านของผมเพียงคนเดียว พี่เขาเป็นมนุษย์ครึ่งคนครึ่งหิน...ความรู้สึกเกือบจะด้านชาแล้วล่ะมั้ง...อารมณ์เดียวที่ผมรู้สึกจากพี่เขาก็คือ ...นิ่ง...
ผมเหลือกตาโตทันทีที่ภาพพื้นหลังของจอแลปทอปปรากฎแก่สายตา โรคหายใจติดขัดของผมกำลังกำเริบอีกครั้ง จะไม่ให้ผมตกใจได้ยังไง ในเมื่อเราไม่ได้สนิทกันแต่ทำไมรูปของผมถึงได้เด่นหราอยู่บนจอแลปทอปของพี่ซีวอนเขาล่ะ?
...ดูเหมือนจะเป็นรูปถ่ายทีเผลอซะด้วย ถ่ายตอนไหนล่ะเนี่ย
“พี่ซีวอน...รูปผมนี่” ทั้งที่ผมเป็นคนคิดอะไรเชื่องช้าเวลาเผชิญหน้ากับพี่เขา แต่หากความสงสัยของผมมันอยู่เหนือกว่าคำว่าเพิกเฉย ปากของผมมันก็ทำงานแบบอัตโนมัติ พี่เขาแค่ปรายตาหันมามองเล็กน้อยก่อนจะตอบน้ำเสียงราบเรียบ เรียบเสียยิ่งกว่ากระดาษ
“อืม” ครับ...เขาตอบผมแค่คำเดียว พยางค์เดียว ผมถึงได้รู้ว่าขืนจะซักไซ้ไล่เรียงต่อไปยังไง พี่เขาก็คงไม่ตอบอะไรไปมากกว่านี้ ผมถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้พลางหันไปสนใจกับงานของตัวเองต่อ
...ผมไม่อยากอยู่ใกล้พี่เขาก็เพราะอย่างงี้นี้แหละ!
อารมณ์หงุดหงิดของผมพาลจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ท่าทีเฉยชาบอกกับน้ำเสียงนิ่งจนไม่น่าฟังอดไม่ได้ที่คนใจเย็นอย่างผมอยากจะร้องตะโกนใส่หน้าพี่เขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แล้วก็เพราะวันนี้เป็นวันที่อากาศร้อนที่สุดในรอบหลายปี ผมก็ชักหวั่นๆ ว่าร่างกายผมมันจะแสดงอาการผิดปกติอีกหรือเปล่า ห้องนี้ไม่ได้เปิดแอร์ทิ้งไว้เพราะเจ้าของห้องกำลังกินลมชมวิวอยู่นอกระเบียง ส่วนผมที่กำลังนั่งอุดอู้อยู่ในห้องก็เริ่มมีหยาดเหงื่อเกาะพราวตามใบหน้าและขมับ มันจะเสียมารยาทหรือเปล่านะ ถ้าหากผมสุ่มสี่สุ่มห้าเดินไปเปิดแอร์เสียเอง
คิดได้ไม่ทันจบ ผมก็รู้สึกถึงของเหลวอุ่นที่บริเวณปลายจมูก หยดเลือดสีแดงสดหยดลงบนมือของผมนั้นทำให้ผมถึงกับเบิกตาโพลงพลางร้องอุทานด้วยความตกใจ
“ตายล่ะ!!!” ผมรีบเงยหน้าขึ้นพลางใช้มืออีกข้างจับจมูกเปื้อนเลือดกำเดาของผมไว้ อาจเป็นเพราะเสียงร้องของผม มนุษย์ยุคหินนามว่า ชเว ซีวอน ถึงได้หลุดจากห้วงอารมณ์ศิลปิน พี่เขาเลิกคิ้วแปลกใจก่อนจะก้าวเข้ามาในห้อง ตอนนี้ผมไม่สนใจหรอกว่าพี่เขาจะมีท่าทียังไง ผมสนแต่ตัวผมนี่แหละ เลือดกำเดามันยังไหลอยู่อย่างนั้น ทั้งที่ผมพยายามเงยหน้าแล้วเงยหน้าอีก จะโทษพี่เขาดีไหมว่าก็รู้ดีว่าเวลาอากาศร้อนทีไร ผมเป็นต้องมีอาการแบบนี้ทุกที แต่เจ้าตัวก็ยังทำเป็นไม่ใส่ใจ เมินที่จะเปิดแอร์ให้ผม
“เงยหน้าเอาไว้สิ...” ผมสะดุ้งตัวทันทีที่พี่เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ พร้อมกับฝ่ามือหนาที่ใช้กระดาษทิชชู่เช็ดเลือดกำเดาที่ปลายจมูกของผม รู้สึกถึงแรงสัมผัสที่จับท้ายทอยของผมให้เงยสูงขึ้น ครั้งแรกเลยล่ะที่ผมเห็นหน้าพี่เขาในระยะประชิดขนาดนี้ ลมหายใจอุ่นๆ รินรดอยู่ที่หน้าผาก บรรยากาศแปลกๆ มันกำลังก่อตัวขึ้นอีกแล้วล่ะสิ
เราสบตากันอยู่นานก่อนที่พี่เขาจะเลื่อนมือที่เช็ดเลือดให้ผมออก เขาไม่พูดอะไรเพียงแค่เดินออกจากห้องไปทิ้งให้ผมที่กำลังสับสนกระพริบตาปริบไม่เข้าใจกับการกระทำของคนเมินโลกอย่างพี่เขา ผมก้มลงมองเสื้อสีชมพูอ่อนของตัวเองก็พบว่ามีหยดเลือดสีคล้ำเปรอะเปื้อนอยู่ประปราย ผ่านไปสักพักพี่เขาก็กลับมาพร้อมกับขวดน้ำเย็นในมือ พอพี่เขาเห็นผมมองด้วยสายตานึกแปลกใจ ใบหน้าหล่อเหลาก็ถึงกับตีหน้ายุ่ง วางขวดน้ำตรงหน้าผมพลางยื่นมือไปหยิบรีโมทเปิดแอร์
“รู้ว่าตัวเองร้อนแล้วเลือดกำเดาจะไหล ทำไมไม่เปิดแอร์... แล้วก็ดื่มน้ำซะจะได้หายร้อน” พี่ซีวอนพูดประโยคที่ยืดยาวที่สุดในรอบอาทิตย์ ผมอ้าปากค้างไปสักพักแต่ก็จำต้องก้มหน้านิ่งเพียงเพราะสายตานิ่งๆ ปนดุของพี่เขากำลังเพ่งมาที่ผมเขม็งราวกับผมไปทำอะไรผิดมายังไงยังงั้น
“ผมเกรงใจนี่” ผมตอบน้ำเสียงตะกุกตะกัก ถึงกระนั้นก็ยังส่งสายตาดื้อดึงใส่พี่เขา พี่ซีวอนใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มอย่างนึกหัวเสียพลางยื่นมือหนามาผลักหัวผมเบาๆ
...แปลกๆๆ แปลกคนชะมัด
“พี่!!” ผมนึกสบถเสียงดัง พี่เขากำลังแย้มยิ้มที่มุมปาก จากที่ผมกำลังจะกลายร่างเป็นแมวขู่ฟ่อๆ เป็นต้องหูลูบหางตก อ่า~ วันนี้อากาศร้อนจนทำให้พี่ซีวอนเขาแปลกไปจริงๆ
ผมเบือนหน้าหนีสายตาอ้อล้อของพี่ซีวอนพลางตั้งใจทำรายงานที่คั่งค้างอยู่ หางตาเหลือบเห็นพี่เขานั่งลงที่เตียงพลางผิวปากสบายใจ ทว่าสักพักแลปทอปที่ใช้อยู่ก็เกิดอาการแปลกประหลาดเข้าให้ เครื่องค้างงั้นหรอ? ผมนิ่วหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะร้องเรียกขอความช่วยเหลือจากผู้ชายที่นอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง
“พี่ซีวอน แลปทอปพี่มันเป็นอะไรหรือเปล่า” ผมถามพี่เขาพลางสายตาก็ยังคงจดจ้องไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยม กำลังจะโวยวายที่พี่เขาทำเมินใส่ผมอีกแล้ว แต่หากมือหนาที่ซ้อนทับที่มือข้างที่ผมจับเมาส์ไว้อยู่กำลังทำให้หัวใจผมเต้นโครมคราม หายใจไม่สะดวกอีกแล้ว ผมรู้สึกถึงแผ่นอกกว้างที่แนบชิดไม่ห่าง พี่เขาย่อตัวลงเพื่อมองจอแลปทอปให้ถนัดพลางเอาคางวางไว้ที่ศีรษะของผมแบบไม่เกรงใจกันอย่างบรรยากาศครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา
ผมไม่กล้าแม้จะขยับตัวไปไหนถึงได้นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นหิน จ้องจอแลปทอปจนตาจะหลุดจากเบ้า ผมมองพี่ซีวอนคลิ๊กปุ่มโน้นปุ่มนี้จ้าละหวั่นก่อนที่แลปทอปจะเข้าสู่สภาวะปกติ ทั้งที่ผมรอเวลาให้พี่เขาขยับตัวหนีจากผม แต่เมื่อนานเข้าพี่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือที่ผมกำเมาส์ไว้แน่น ไม่ยอมเอาคางที่เกยอยู่ออกไปเสียที ถึงตอนนี้แล้วผมถึงได้กำลังนึกตรึกตรองอะไรบางอย่าง
แล้วผลลัพธ์คือ ผมก็ยังเป็นคนคิดอะไรเชื่องช้าเวลาอยู่กับพี่ซีวอนตามเคย พอรู้ตัวอีกทีใบหน้าหล่อจัดก็เลื่อนต่ำลงมาใกล้ ริมฝีปากของเรากำลังแนบชิดกัน ทั้งที่ผมไม่ค่อยกล้าจะสบตากับพี่เขาแต่ในเวลานี้ความกล้าของผมมันกลับเล่นตลก จ้องมองดวงตานิ่งแกมดุของพี่เขาอย่างไม่วางตา ปล่อยให้พี่เขาบดเบียดริมฝีปากตั้งแต่มุมปากอีกด้านจนถึงอีกด้าน ผมไม่เคยจูบกับใครมาก่อนฉะนั้นตอนนี้พี่เขาก็เปรียบเสมือนครูที่กำลังค่อยๆ สอนนักเรียนอย่างค่อยเป็นค่อยไป จูบเนิ่นนานที่ดูดกลืนกลีบปากของผมซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมหดคอหนีพี่เขาเพียงเพราะต้องการอากาศหายใจแต่สุดท้ายเราก็ต่างพ่ายแพ้ต่อแรงดึงดูด
พี่เขาจงใจรั้งท้ายทอยของผมให้ประชิดพลางทาบทับริมฝีปากลงมาอีกครั้งราวกับคนเอาแต่ใจ ครั้งนี้ผมเผลอเปิดโอกาสให้พี่เขาดุนดันลิ้นอุ่นสอดแทรกเข้ามาอย่างไม่ขัดขืน ยอมให้พี่เขามอบรสจูบอ่อนโยนอย่างไม่นึกบ่ายเบี่ยง ผมแปลกใจที่ตัวเองยังคงจ้องหน้าพี่เขาอยู่แบบนั้น สายตาคมๆ ของพี่เขาก็ไม่ได้ต่างกัน เขากำลังจ้อง และจ้องผมอยู่ทั้งอย่างนั้น พี่เขากำลังเล่นสงครามประสาทกับผม เขาถึงได้เบี่ยงเบนความสนใจกันเสียดื้อๆ ท่อนแขนแกร่งสอดรวบเอวผมไว้แนบตัวก่อนจะค่อยๆ เลิกเสื้อของผมให้สูงขึ้น สูงจนผมรู้สึกว่าแผ่นหลังตัวเองกำลังสัมผัสกับแรงลมจากแอร์อันเย็นยะเยือก ฝ่ามือตั้งใจสำรวจผิวกายละเอียดอย่างนึกถนอม ผมกำลังถูกพี่เขาอุ้มในลอยขึ้นก่อนจะโถมน้ำหลังลงบนเตียงข้างๆ เสื้อเนื้อบางๆ ของผมกำลังถูกพี่เขาเลิกจนเกือบเห็นส่วนบนในทุกตารางนิ้ว
ผมกำลังสับสนในตัวเองและความรู้สึกนึกคิดของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องตรงหน้า พี่เขาเลื่อนใบหน้าลงมาบรรจงแต่งแต้มรอยสีกุหลาบที่ซอกคอก่อนจะขบเม้นไปทั่วทั้งแผ่นอกและหน้าท้อง มือของผมถูกตรึงไว้เหนือศีรษะพร้อมๆ กับเสื้อที่ถูกพี่เขาดึงให้หลุดออกไปเป็นที่เรียบร้อย ถึงผมจะไม่เข้าใจกับการแสดงออกของเขาแต่ถึงกระนั้นร่างกายของผมกลับตอบสนองสัมผัสของพี่เขาอย่างไม่น่าให้อภัย
“อื้อ...” ผมครางเสียงในลำคอเพราะรู้สึกว่าพี่เขากำลังรุกเร้าผมมากจนเกินไป มือหนากำลังหยุดที่อยู่ขอบกางเกงขาสามส่วนของผม ค่อยๆ กระตุกลงจนตัวผมนึกสะดุ้ง พี่เขากำลังดึงมันลงจนผมรู้สึกว่าช่วงเอวและสะโพกกำลังสัมผัสอากาศเย็นของแอร์ พี่เขาเลื่อนมือมาไล้สัมผัสที่สะโพกของผมราวกับกระตุ้นอารมณ์กันทางอ้อม ผมคิดอะไรเชื่องช้าอีกจนได้พี่เขาสอดมือเข้ามาใต้เนื้อผ้าก่อนจะเค้นคลึงส่วนนั้นจนผมต้องบิดตัวหนี
“ระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้...นายคิดอย่างนั้นใช่ไหม” พี่ซีวอนก้มกระซิบที่กกหูของผมด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยอีกครั้ง ร่างสูงใหญ่ตรงหน้ากำลังสอดแทรกตัวเข้ามาพลางแยกขาของผมให้อ้าออก แรงสัมผัสดุนดันอุ่นๆ ที่ช่วงล่างกำลังแตะอยู่ที่ต้นขาของผม นั้นสามารถเรียกเลือดไปหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าชนิดเฉียบพลัน เราต่างคนก็ต่างมีอารมณ์รุ่มร้อนที่กู่ไม่กลับ ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง หัวสมองกำลังประมวลผลเป็นพัลวัน
“ถ้าพี่อยากให้มันเป็นไปได้...พี่ก็ทำตามใจตัวเองซะสิ” ไม่รู้ว่าสมองส่วนไหนมันสั่งให้ผมตอบพี่เขาออกไปแบบนั้น ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรชั่ววูบหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ปากคมกำลังกรีดยิ้มกว้าง มองผมด้วยสายตาวาวประกายแฝงอะไรบางอย่าง เขาก้มลงมาจูบที่ปากผมอีกครั้งก่อนที่อะไรๆ มันดำเนินต่อไปอย่างผิดๆ
ความเจ็บปวดที่ช่วงล่างกำลังเล่นงานขนิดไม่ปราณี นิ้วเรียวที่สอดใส่เข้ามาในช่องทางอ่อนกำลังดุนดันให้ลึกและเพิ่มจำนวนนิ้วจนคนถูกกระทำใจเต้นระส่ำ ผมข่มตาแน่นพร้อมกับออกแรงจิกเล็บลงบนต้นแขนแกร่ง ไม่นานนักสิ่งที่ผมได้รับจากการพูดประโยดถูกใจก็คือตัวพี่เขาที่ค่อยๆ แทรกกายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผมทีละน้อย ทั้งที่รู้สึกปวดหนึบ หายใจติดขัดแต่แปลกที่ผมกลับยินดีกับสัมผัสแบบนี้ แรงกระทั้นอ่อนโยนในช่วงจังหวะแรกกำลังแทรกลึกแปรเปลี่ยนเป็นความลุ่มหลง จังหวะเข้าออกที่ถี่ขึ้นกำลังทำให้ผมแทบสำลักความสุข
แรงหายใจที่ถี่และพรูแรงกว่าทุกครั้ง อดไม่ได้ที่คนเป็นพี่เผลอใจหาย ถึงจะลดแรงลงบ้างแต่เพราะอารมณ์ที่กำลังพุ่งแตะขีดสุด เขาถึงได้ขยับกายจนแทรกลึกมากกว่าเก่า ขาของผมกำลังเกร็งสั่น เสียงครึมครางยิ่งกระตุ้นความอยากที่จะดื่มด่ำกับทุกสัมผัสวาบหวาม เนิ่นนานจนเราต่างคนต่างถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ พี่เขาถึงเคลื่อนกายออกหากแต่กลับรั้งตัวผมเข้าไปกอดจนแทบจะแทรกเข้าไปในแผ่นอกกำยำ
“ขอโทษที่พี่ตามใจตัวเอง”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็คงต้องขอโทษพี่ด้วยงั้นสิ ที่ผมก็ตามใจตัวเองเหมือนกัน”
บทสนทนาของเราจบลงพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ บทใบหน้าหล่อเหลา ผมเผลอหลับในอ้อมกอดอบอุ่นนั้น ผมรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่เพราะพจนานุกรมของเราทั้งคู่ มันไม่มีคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ฉะนั้นผมคงไม่ผิดที่จะยอมอยู่ในอ้อมกอดของคนที่มีสายเลือดเดียวกัน คุณคิดอย่างงั้นไหมล่ะ?
เราสองคงก็คงเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าที่ได้แต่ทอแสงระยิบระยับแต่ยากที่จะเปิดเผยตัวตนในยามกลางวันเพราะแสงสว่างของดวงอาทิตย์บดบัง ความสัมพันธ์ของเราถึงแม้จะเปิดเผยไม่ได้ แต่เพราะเราเป็นดวงดาวที่เคียงข้างกันอยู่บนท้องฟ้าซะอย่าง นี้ก็คือสิ่งที่ดีที่สุดของผมในตอนนี้แล้วล่ะ...
End*
/// Special ///
สายตาของผมทอดมองไปยังมือหนาของคนตัวสูงที่กอดผมไว้แน่นหลังจากที่เรา ‘ทำตามใจตัวเอง’ รอยสักที่ข้อมือของพี่เขาคือสิ่งที่ผมสงสัยเมื่อแรกที่เราพบกัน แต่ในวันนี้ผมได้รู้แล้วล่ะ ว่ามันหมายความว่ายังไง
...Possible…
เรื่องของเราเป็นไปได้ ถ้าหากเราทำตามใจตัวเอง
เมื่อนึกได้ว่าตัวเองยังทำรายงานไม่เสร็จผมถึงได้ยันตัวลุกขึ้นจากเตียงด้วยความยากลำบาก คว้ามือไปหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนเตียงบ้าง พื้นห้องบ้าง รู้สึกกระดากอายที่ตัวเองจะต้องลุกเข้าไปในห้องน้ำด้วยร่างกายที่ปราศจากเสื้อผ้าอาภรณ์แต่ผมก็จำต้องกลั้นใจ ก้าวเดินบนพื้นเย็นเฉียบทั้งที่ยังเจ็บช่วงล่าง รู้สึกเหมือนพี่เขายังคงเป็นส่วนหนึ่งในตัวผม กำลังจะก้าวพ้นเขตเตียงอยู่แล้วเชียว ผ้านวมผืนใหญ่ก็ถูกโอบรอบกายผมด้วยฝีมือของผู้ชายเมินโลก พี่เขากำลังตีหน้านิ่งพลางเลิกคิ้วมองผมด้วยท่าทางไม่พอใจนัก
“เดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก” ใช่อยู่ว่าผ้านวมคือสิ่งที่คลุมกายของผมอยู่ในตอนนี้แต่เพราะสัมผัสเนื้อแนบเนื้อระหว่างเรากำลังทำให้ผมร้อนเห่อที่หน้า ตั้งท่าจะกระทุ้งแขนใส่หน้าท้องของพี่เขาแต่ก็ผิดคาด พี่เขาเอี้ยวตัวหลบทันมิหน้ำซ้ำยังก้มตัวเอาปากมาจูบปิดเสียงกันซะอย่างนั้น
“ปล่อยได้แล้ว...ผมหายใจไม่ออก”
“พี่จะตามใจตัวเองซะอย่าง นายจะทำไม” เชื่อเขาเลย ว่าพี่ซีวอนเป็นบุคคลแปลกประหลาดแห่งยุค นึกจะชอบเก็กหน้านิ่งพี่เขาก็ทำได้ นึกจะยิ้มทะเล้นยียวนพี่เขาก็สามารถ...ผมชักสีหน้าเหนื่อยหน่ายพลางดิ้นขลุกขลักในวงแขนพันธนาการ
“เกินไปแล้วนะ”
“ไม่สนใจซะอย่างล่ะนะ...นายเป็นของพี่แล้วหนิ”
“ของพี่? มากไปมั้ง”
“ช่างเหอะ! เหนียวตัวไปอาบน้ำดีกว่า…”
…ผมต้องบอกพวกคุณไหมว่าพี่เขาจะทำอะไรตามใจตัวเองอีก ไม่ต้องหรอกมั้ง?
End* (จริงๆ)
ความคิดเห็น