คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : sf. Found You [Special Part]
Title ::: [SF] Found You [Special Part]
Rate ::: PG-13
Paring ::: Siwon...X...Kyuhyun
||||||| Found You|||||||
Special Part
จั๊กกะจี้!
กลุ่มผมนิ่มเคล้ากลิ่นชมพูอ่อนๆ คลอเคลียอยู่บริเวณลำคอของชายหนุ่มจนอดไม่ได้ที่ต้องขยับตัวหนีร่างขาวจัดที่เอาแต่นอนหลับจนหน้ามึน เข้าใจอยู่หรอกว่าร่างค่อนไปทางผอมจะคิดว่าเขาเป็นหมอนข้างแต่การกระทำของเด็กดื้อๆ มันก็น่าปวดหัวเสียเหลือเกิน เล่นกลิ้งมาเบียดตัวเขาจนอีกเพียงนิดก็จะตกเตียงแบบนี้ มิหน่ำซ้ำยังซุกหน้าเข้ามาใกล้จนน่าเวียนหัว ลมหายใจอุ่นๆ รินรดต้นคอเขาสม่ำเสมอพร้อมๆ กับเสียงบ่นงึมงำราวกับเด็กขี้เซาใกล้กกหู
ชเว ซีวอนไม่ใช่พระอิฐพระปูน ฉะนั้นทนอยู่ได้ขนาดนี้ก็ยอดคนแล้ว!
“นี่ตื่น!” เสียงทุ้มกล่าวนิ่งๆ พลางเบนสายตาไปยังนาฬิกาฝาพนังเสียแทนอันที่จริงก็เพื่อจะหลบภาพใบหน้าหวานยามหลับใหล คนถูกเรียกเหมือนจะไม่รู้สึกตัว ทำเอาคนถูกเบียดจนหลังชาพรูลมหายใจนึกหน่าย
เรียกไม่ตื่นแบบนี้คงต้องใช้วิธีอื่นแล้วล่ะ!
“ไม่ตื่นฉันจะปลดกระดุมเสื้อเธอแล้วนะ เด็กน้อย” ว่าพลาง พี่ท่านก็เล่นจริงไปตามที่พูด เพราะคนที่กำลังหลับ ก็ยังหลับทั้งอย่างนั้นไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบหรือสนองคืนแต่อย่างใด มือหนาจึงเลื่อนขึ้นไปสะกิดกระดุมเสื้อนอนสีฟ้าเม็ดแรกพลางกระตุกยิ้มมุมปาก
ต้องถึงกระดุมเม็ดสุดท้ายก่อนหรือไง ถึงจะตื่น?
“ตื่น!” ซีวอนระบายยิ้มขำเมื่อความพยายามครั้งที่สองของเขาไม่เป็นผล แน่นอนว่านิ้วเรียวก็เลื่อนไปสะกิดกระดุมเป็นเม็ดที่สอง
“อื้อ...ปลดกระดุมเสื้อฉันทำไมกันน่ะ~” ชเว ซีวอนเผลอตาค้างเพราะนึกแปลกใจกับคำพูดไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเด็กขี้เซาที่ลืมตามองหน้าเขาพลางกระพริบเปลือกตาปริบๆ คยูฮยอนเอาแต่มองหน้าอีกฝ่ายนิ่งพลางก้มลงมองมือหนาที่กำลังจะสะกิดกระดุมเสื้อเม็ดที่สาม ถึงตอนนี้แล้ว ซีวอนถึงได้นึกอะไรขึ้นได้ในใจ เขาก็ไม่ได้อยากจะคิดอกุศลอะไร แต่สงสัยรายนี้...
จะยังไม่เคย...แน่
“เธอนี่ก็แปลก...นอนเบียดฉันจนเนื้อแนบเนื้อขนาดนี้ ไม่กลัวฉันจับปล้ำรึไง?”
“ก็เพราะฉันคิดว่า นายไม่กล้าทำไง ถึงได้กล้านอนเบียดนายขนาดนี้น่ะ!”
“แน่ใจได้ยังไงว่าฉันไม่กล้า” ว่าไม่ว่าเปล่า คนตัวใหญ่กว่าก็พลิกตัวคร่อมร่างขาวจัดไว้กลายๆ คราวนี้ไอ้คนที่ทำใจดีสู้เสือก็ถึงกับหน้าเสีย อยากจะดิ้นให้สุดแรงแต่แล้วไม่รู้ว่าทำไมมันขยับตัวไม่ยักจะได้ แถมอาการสะอึกก็ชักจะกำเริบไม่ถูกทีถูกเวลาอีกรอบ
“อึก...อึก...หนัก...อึก...ออกไปเลย อึก!” ซีวอนระบายยิ้มที่ตัวคยูฮยอนเองก็ดูไม่ออกเท่าไรว่าอีกคนยิ้มสื่อถึงอะไร หากเมื่อใบหน้าคมเริ่มโน้มลงมาใกล้ เขาก็รู้แจ้งกระจ่างไปถึงไหนต่อไหน
ใบหน้าหล่อเหลาแนบชิดอยู่กับหมอนใบไม่ใหญ่ไม่โต นั้นเพราะคนถูกเอาเปรียบคว้าหมอนเจ้ากรรมมาขวางไว้ก่อนจะเกิดเรื่องอย่างเมื่อค่ำวานเสียก่อน คยูฮยอนเผลอกลั้นหายใจไว้เท่าที่ความสามารถจะพึงมี หวังจะให้อาการสะอึกหายให้รวดเร็วที่สุด
…โชคดีที่อาการบ้าๆ แบบนี้ หายไปโดยที่เขาไม่ต้องโดนใครอีกคนช่วยอีก
“อึก อึก”
แต่ก็แค่ชั่วขณะหนึ่ง!
“จะขาดอาการหายใจแล้วรึยัง?” เสียงทุ้มว่าพลางกลั้นยิ้มไว้หน่อยๆ รู้สึกถึงแรงกระเพื่อมของอกเล็กที่เอาแต่กระเพื่อมอึกอักจนอดขำไม่ได้ ซีวอนเลื่อนมือขึ้นจับหมอนที่ว่านั้นหยิบออกให้พ้นทาง ถึงจะมีแรงขัดขืนอยู่บ้าง แต่ก็เท่านั้น...เด็กที่ว่าสะอึกเป็นบ้าเป็นหลังจนเริ่มหงุดหงิดตัวเอง พอเห็นตัวเขาหยิบหมอนที่ขวางอยู่ออก ดวงตารั้นๆ ก็ฉายแวววาวเหมือนโดนขัดใจ สักพักคงจะทำอะไรประชดประชันใส่เขาแน่ๆ
“ยังอยู่ดี อึก...ยังไม่ตายด้วย อึก”
“อยากหายสะอึกไหม?”
“อยาก อึก... อึก... งั้นก็จูบฉันสิ อึก... ฉันจะได้หาย อึก...”
...งั้นก็ตามใจ…
“กล้าพูดได้ยังไง บ้าไปแล้ว!!!!”
ผ่านไปแล้วก็หลายวัน หากภาพตอนที่เขาพูดส่งๆ ไปอย่างนั้นถึงได้ฉายซ้ำฉายซากอยู่ในหัวจนน่ารำคาญ ภาพตอนที่ซีวอนส่งยิ้มกวนก่อนจะโน้มหน้าลงมาจูบเขาเหมือนครั้งที่ทำให้เขาหายสะอึกครั้งแรกได้ แต่คราวนี้ไม่ได้แค่จูบเฉยๆ ชเว ซีวอนดีกรีความเจ้าเล่ห์สูงส่งจนคยูฮยอนก็คาดไม่ถึงว่าพี่ท่านจะเล่นถึงขั้นสอดมือเข้ามาใต้เสื้อกันซะอย่างนั้น
...ดีที่เขามีแรงพอที่จะเตะส่งอีกคนให้กลิ้งตกเตียงไป
เรื่องนี้ควรจะบอกพี่ยงฮวาดีไหมล่ะ?
ไม่บอกดีกว่า เดี๋ยวเรื่องใหญ่!
คยูฮยอนยืนมองเงาตัวเองในกระจกตู้เสื้อผ้าที่สะท้อนภาพเขาในชุดยูนิฟอร์มพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือเรียวยกขึ้นจับที่ปลายจมูกของตัวเองไล่มาจับที่ริมฝีปาก อีตานั่นเคยเอาปากมาแตะแทบจะทุกส่วนบนใบหน้าของเขาแล้วนะ!!!
“คยูฮยอนลงมากินข้าวสิลูก เดี๋ยวจะสายเอานะ!!” ฉับพลันคยูฮยอนสะดุ้งตัวเพียงเพราะเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ เจ้าตัวรีบคว้าเอากระเป๋าเป้วิ่งตัวปลิวออกจากห้องนอน สาวเท้าลงบันไดก่อนจะทิ้งกายนั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะอาหาร ตรงข้ามกันคือน้องชายคนเล็กที่เอาแต่เล่นอาหารใส่ชามแทนที่จะตักเข้าปาก
“วันที่ยงฮวาจะเข้ามารับลูกไปส่งที่โรงเรียน รอพี่เค้าแป็บนึงนะ” คยูฮยอนพยักหน้ารับกับคำพูดของแม่ก่อนจะรับประทานอาหารเช้าพลางคิดว่าวันนี้เป็นวันโลกแตกงั้นหรอ พี่ชายอย่างยงฮวาถึงได้ตื่นเช้าเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา
ไม่นานเกินรอ ยงฮวาก็มารับเข้าที่บ้านแถมยังหนีบเอาว่าที่พี่สะใภ้คนสวยมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถเสียด้วย คยูฮยอนเอ่ยทักทายหญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูไปนั่งที่เบาะหลัง รู้สึกราวกับว่าบรรยากาศในรถมันจะอบอวลไปด้วยสีชมพูพิลึก
“สงสัยวันนี้พายุจะเข้านะพี่ยงฮวา ตื่นเช้าเชียว!” จิกกัดพี่ชายไปสักดอกเจ้าตัวก็นั่งกอดอกยิ้มทะเล้นเป็นว่าเล่น คนเป็นพี่เผยยิ้มขำก่อนจะหันไปพูดกับแฟนสาว
“ซอฮยอน...พี่ว่าเราน่าจะจับแมวดื้อๆ แถวนี้โยนลงรถดีกว่าไหม” หญิงสาวไปไม่ได้กล่าวอะไรไปมากกว่าหัวเราะร่วนพลางยกมือตีไหล่ชายหนุ่มเป็นการตักเตือน
“อุปป้าก็”
“โอ้ย! มดกัดๆ” ถึงจะโดนตอกกลับแต่คยูฮยอนก็ยังสามารถก่อกวนพี่ชายและว่าที่พี่สะใภ้ต่อได้คล่องปรื้อ มองภาพคู่รักตรงหน้าแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ทว่ายิ้มกับตัวเองได้ไม่นาน ซอฮยอนก็หันหลังมาจ้องหน้าหวานๆ นิ่งก่อนจะยิ่งคำถามใส่เขาชนิดไม่ทันตั้งตัว
“คยูฮยอนมีแฟนรึยัง?”
“เออ...ยังครับ” พอตอบไปอย่างนั้น สาวเจ้าก็ยังไม่หยุดง่ายๆ เจ้าหล่อนเหมือนจะชะงักคิดคำถามอยู่เป็นครู่ราวกับรางคำถามมาไว้แล้วในใจ คยูฮยอนจำได้ว่าเมื่อก่อนซอฮยอนไม่ใช่คนอย่างนี้นี่นา ออกจะพูดน้อยเสียด้วยซ้ำ สงสัยจะโดนพี่ยงฮวาล้างสมองไปแล้วแหงๆ
“จูบล่ะ เคยจูบใครไหม?” คยูฮยอนเบิกตาโพลงพลางหลบสายตามาดมั่นของหญิงสาว ภาพเมื่อหลายวันก่อนมันฉายซ้ำอีกแล้ว เขาไม่ค่อยอยากจะนึกถึงมันแล้วนะ!
ตอบไม่ตอบ...เอาไงดี?
“เคยจูบพี่ยงฮวา...ตอนเด็กๆ” ตอบไปก็เพราะนึกขึ้นได้ว่าตอนเด็กๆ เขาชอบจุ๊บปากยงฮวาเวลานึกอยากจะอ้อนพี่ชาย พอโตมาแล้วก็ถึงได้รู้ว่าการที่จูบใครต่อใครน่ะ ต้องคิดและตรึกตรองให้ดีๆ เสียก่อน ไม่อย่างงั้น คงต้องตกอยู่ในสภาพที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
…สมองจะบวมอยู่แล้วเชียว!
“คยูฮยอน...พี่ว่าซอฮยอนคงไม่ได้อยากรู้เรื่องที่เราจูบพี่ชายตัวเองหรอก” ยงฮวาเอ่ยขึ้น ทั้งๆ ที่เจ้าตัวยังคงดำรงตำแหน่งคนขับรถจำเป็น ซอฮยอนพยักหน้ารับกับคำพูดของแฟนหนุ่มทำเอาคนถูกถามอย่างคยูฮยอนได้แต่ระบายยิ้มแห้งๆ
ไม่บอกไม่ได้รึไง?
“เงียบแสดงเคยจูบมาแล้ว แล้วตรงไหนล่ะ จูบเขาตรงไหน” ซอฮยอนแกล้งแหย่ถามคยูฮยอนต่อด้วยเพราะพื้นนิสัยขี้เล่น อีกครั้งที่คนถูกถามนิ่งคิดไปเป็นพักจนต้องมีตัวกระตุ้นอย่างพี่ชายแหย่เข้าให้ซ้ำสอง
“บอกไปเหอะน่า อายอะไร ไม่สมกับเป็นคยูฮยอนเลยนะเนี่ย”
“เอ่อๆ ที่แรกก็ปลายจมูกครับ” ประโยคเออออหันไปประชดเสียงใส่พี่ชาย ส่วนประโยคหลังหันไปตอบหญิงสาวเพราะนึกหมดหนทางจะหลีกเลี่ยง ตอบๆ ไปเสียจะได้จบเรื่อง
ไม่ได้ไปจูบใครเขาหรอก จะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่าถูกจูบต่างหาก
ยงฮวายกยิ้มมุมปากพลางหันไปมองเสี้ยวหน้าสวยของแฟนสาวเล็กน้อย แววตาของเธอเหมือนจะหลุดลอยไปชั่วขณะก่อนจะรู้สึกตัวหันหน้ามาสบตากับเขาตรงๆ
“จูบที่ปลายจมูกหมายถึงการหลงรัก พี่ก็จูบว่าที่พี่สะใภ้เราที่ปลายจมูกนี่แหละ”
หลงรัก??
แล้วไอ้ที่ซีวอนทำแบบนั้นมันหมายความอย่างที่พี่ยงฮวาว่าหรือเปล่าล่ะ?
บังเอิญ?
มหาวิทยาลัยในเกาหลีมีตั้งหลายแห่ง ทำไมงานสัปดาห์วิชาการ โรงเรียนของเขาถึงมาดูงานที่มหาลัยที่พี่ชายกับหมอนั่นเรียนอยู่ด้วยก็ไม่รู้ !
ถ้าจะบอกว่าอยากเจอหน้าคนๆ นั้นไหม บอกไม่ได้เต็มปากเต็มคำซะทีเดียวหรอก
คยูฮยอนอาศัยช่วงพักกลางวันโทร. ถามว่ายงฮวาอยู่ที่ไหน ก่อนจะปลีกตัวจากเพื่อนๆ โดดไปหาพี่ชายเสียแทน ยงฮวาตอนนี้อยู่ในที่สนามบาสอีกฝากหนึ่งของตึกวิศวะ เด็กหนุ่มในชุดไฮสคูลกึ่งเรียบร้อย มือข้างหนึ่งถือสูทตัวนอกสีเลือดหมู ย่างก้าวผ่านมุมตึกมุมเดิมที่พี่ชายถูกรัวหมัดใส่จนหน้าแทบหมดหล่อ และที่ๆ เขาถูกลากให้วิ่งเร็วจี๋จนขาลาก จะว่าไป...หลังจากวันที่คยูฮยอนต้องไปดูแลซีวอนที่บ้านหนึ่งวัน เขาก็ไม่ได้เจอหน้ากวนๆ ของพี่ท่านเลยสักครั้งเดียว
หรืออาจเป็นเพราะเข็ดที่ไว้ใจให้เขาไปดูแล แน่ล่ะคนอย่างโจ คยูฮยอน ทำอะไรดีๆ เป็นที่ไหน
ทำลายล้างเห็นจะถนัดกว่า!
“2,500 วอนสำหรับจานที่เธอทำตกแตก 1,750 วอนสำหรับค่าถ้วยค่าแฟอีก 2 ใบ 50,000 วอนสำหรับเสื้อเชิ้ตที่ถูกเธอแกล้งทำโน้นทำนี้หกใส่”
“ทำตัวอย่างกับเจ้าหนี้” แทบจะทันทีที่คยูฮยอนเหยียบสู่พื้นสนามบาสภายในโรงยิมขนาดใหญ่ ชายหนุ่มร่างสูงก็เดินตรงมาที่เขา ในมือถือลูกบาสสีส้มมอมๆ ก่อนจะเปิดปากทักทายเขาด้วยการทวงหนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะคิดดอกเบี้ยมาแล้วเสร็จสรรพ
“จ่ายมา”
“ไม่มี ไม่จ่าย มีอะไรไหม?” คนปากเก่งสวนกลับพลางส่งสายตาไม่ยี่หระ แน่นอนว่าซีวอนไม่ได้พูดอะไรตอบ เพียงแค่หันหลังกลับส่ายหน้านึกหน่าย แต่ก็แปลกที่มุมปากแอบยกขึ้นนิดหน่อย
...อมยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น ใช้หนี้ด้วยวิธีอีกก็ได้ ว่าไหม?” เหมือนคนฟังจะได้ยินไม่ถนัดนัก ถึงได้เอียงคอมองแผ่นหลังกว้างพลางส่งสายตาไม่เข้าใจเสียยกใหญ่ ตั้งท่าจะถามต่อแต่คนตัวใหญ่กว่าก็วิ่งเดาะลูกบาสวิ่งไปกลางสนามซะแล้ว
“เหม่ง!” เสียงทักจากด้านหลังเรียกให้คยูฮยอนหมดสิ้นซึ่งความสนใจกับคำพูดไม่ชัดคำของใครอีกคน คนที่เรียกเขาด้วยชื่อแบบนี้ เห็นก็จะมีพี่ชายคนเดียวเท่านั้น คยูฮยอนย่นคิ้วใส่พี่ชายพลางคิดอยู่ในใจว่าอันที่จริงแล้วก็มีพันธุกรรมหัวเหม่งกันทั้งบ้าน ไม่รู้จะยกปมนี้มาเรียกเป็นฉายาประจำตัวทำไมด้วยก็ไม่รู้
“วันนี้ไปนอนด้วยได้ไหม”
“อีกล่ะ?” ยงฮวาขมวดคิ้วตึง ก็แม่กลับจากต่างจังหวัดแล้วไม่ใช่หรือไง ช่วงนี้ทำไมน้องชายตัวกวนถึงนึกครึมมานอนกับเขาบ่อยเป็นพิเศษ
“เปล่าหนีออกจากบ้าน เปล่าทะเลาะกับแม่ เปล่าน้อยใจ แค่อยากไปนอนด้วยเฉยๆ”
“ยังไม่ได้ถามอะไรเลย ตอบมาเป็นชุด ว่าแต่มาดูงานวิชาการที่นี้ใช่ป่ะคงถึงเย็นเลยล่ะสิ งั้นมาหาพี่ที่นี้ล่ะกัน โอเคนะ...” พยักหน้าเข้าใจคำพูดของผู้เป็นพี่ กะจะก้าวออกจากสนามบาสแล้วเชียว หากจนแล้วจนรอด
“โอ้ย!”
จู่ๆ ลูกบาสสีส้มสว่างก็ลอยละล่องมากระทบศีรษะของคนหน้าหวานชนิดตรงศูนย์กลางเหม่งพอดิบพอดี คยูฮยอนยู่หน้ามุ่ยเพราะมึนหัวบวกกับนึกหงุดหงิดคนที่ทำให้ลูกบาสกลมๆ ไม่มีชีวิตลอยมาตกใส่เขาเสียได้ ฝากฝั่งยงฮวาแม้จะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อครู่ ครั้นพอเห็นตัวต้นเหตุก็อดจะกลั้นเสียงหัวเราะไว้แต่เพียงลำคอไม่ได้
“เหม่ง! คู่กรณีมาแล้ว” เรียวหน้าขาวเงยหน้าสบเข้ากับเจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เหมือนกับเลือดในกายกำลังพุ่งพล่านยังไงไม่รู้ เจ้าตัวถึงได้ร้องเสียงสูงใส่อีกคนจนคนในโรงยิมต้องหันมามองเป็นตาเดียว
“นายอีกแล้วหรอ ฮึ่ย!” ซีวอนก็แค่คิดว่าคยูฮยอนคงอาจต่อปากต่อคำกับเขาต่อ ทว่าที่ไหนได้ คนตัวบางกลับเดินตัวปลิวออกจากโรงยิมพร้อมๆ กับใบหน้าที่ปริ่มจะปล่อยโฮเต็มทน ยงฮวามองภาพตรงหน้าก็ได้แต่ส่ายหัว พลางหันไปตบไหล่หนาด้วยแรงที่ไม่มากนัก ก่อนจะแสร้งแหย่พ่อคนจอมหยิ่งเข้าให้สักตั้ง
“ในฐานะที่กูเคยเป็นเพื่อนกับมึง ไม่สิ...กูยังเป็นเพื่อนมึงอยู่ เหม่งมันงอแงไปงั้นแหละ อย่าคิดมาก ไปซ้อมบาสต่อได้แล้ว รึมึงจะง้อ แต่กูลืมไปว่ามึงง้อใครไม่เป็น ปล่อยให้เหม่งมันไปแอบร้องไห้เหอะ ไม่เป็นไรๆ”
“เชี่ย...” ซีวอนสบถคำด่าที่แทบจะไม่เคยได้พูดกับยงฮวาด้วยลักษณะคำพูดแบบนี้มานานหลายปี ใบหน้าคมหันไปมองตาวาวใส่ก่อนจะวิ่งออกจากโรงยิมไป
...เอ่อ กูรู้ กูง้อใครไม่เป็น แต่แม่งน้องมึงก็โคตรขี้งอนเลย!
วิ่งอ้อมโรงยิมได้สักพัก ซีวอนก็ได้แต่ถอนหายใจพรืด เพียงเพราะเด็กโตแต่ตัวที่นั่งกอดเข่าซบหน้าอยู่บนม้านั่งใกล้สระน้ำหลังโรงยิม สักเกตจากหัวไหล่ที่ไม่ได้สั่นเทาแล้วเขาก็พอจะเดาออกว่าเจ้าตัวคงสะกดอารมณ์ไว้เรียบร้อยแล้วแหงๆ
“เจ็บไหม?” ว่าพลางซีวอนก็ส่งมือใหญ่ไปลูบหัวทุยเบาๆ ทำเอาอีกคนถึงกับสะดุ้งตัว เงยหน้าจากเข่าส่งสายตามึนๆ ใส่ ชายหนุ่มมองภาพตรงหน้าก็แต่ได้ยกยิ้มมุมปาก หน้าผากแดงเป็นจ้ำ แถมจมูกยังแดงเทือกอีกต่างหาก ถึงว่าล่ะทำไมถึงหงุดหงิดจนต้องร้องไห้ขนาดนี้
“ไม่ลองโดนเองอ่ะ”
“โกรธฉัน?”
“เปล่า...แค่ไม่ชอบ แกล้งกันอยู่ได้ เวลาอยู่กับนายมันอึดอัดไม่เหมือนเวลาอยู่กับพี่ยงฮวา”
“ก็ยงฮวาเป็นพี่ชายเธอ แต่ฉันไม่ใช่” พอได้ยินซีวอนพูดอย่างนั้น คนอายุน้อยกว่าก็ได้แต่ถอนใจมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตัดพ้อ นิ่งคิดไปเป็นครู่ก่อนพลั้งปากถามประโยคตรงๆ กับชายหนุ่มที่ยืนเอามือลูบหัวเขามานานสองนาน
“แล้วสำหรับนาย ...ฉันเป็นอะไร?” คนโดนถามนิ่งเงียบจนเด็กดื้อตรงหน้าเริ่มถอดใจ ยกมือบางจับฝ่ามือหนาที่ลูบศีรษะของเขาอยู่ออก ยิ่งเห็นชายหนุ่มตรงหน้าเงียบมากเท่าไหร่ ตัวเขาเองก็ยิ่งไม่อยากจะฟังคำตอบ หรือเขาจะเป็นฝ่ายคิดมากวุ่นวายไปเองล่ะ?
“พรวิเศษที่พระเจ้าทรงมอบลงมาให้…เธอน่ะคือพรวิเศษสำหรับฉัน”
ที่บอกว่าจะไปนอนบ้านยงฮวาเห็นทีคงต้องยกเลิก เพียงเพราะน้องชายคนดีเปลี่ยนเป้าหมายจากหมอนข้างใบเดิมไปเป็นหมอนข้างใบใหม่อย่าง ชเว ซีวอน เสียแทน ใครจะหาว่าชอง ยงฮวาเอาน้องใส่พานถวายเพื่อนตัวเองก็เอาเถอะ ในเมื่อคนที่ยินดีลงไปในพานเองคือเจ้าเด็กหัวเหม่งๆ ต่างหากล่ะ
“ทำไมนายกับพี่ยงฮวาถึงทะเลาะกัน” คนตัวเล็กกว่าเอ่ยถามขึ้นพลางทรงตัวอยู่บนราวเหล็กเตี้ยระดับเข่าที่กั้นเป็นเขตล้อมสนามเด็กเล่นเล็กๆ โดยมีอีกมือยึดไว้แน่นเหมือนเป็นฐานช่วยให้เจ้าตัวไม่ตกลงมา ซีวอนที่ยืนอยู่บนพื้นถนนคอนกรีตปกติเผลอระบายยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบไปด้วยประโยคสั้นห้วน
“ทิฐิ”
“ยังไง?”
“ตอนที่อยู่ ม.ต้น ฉันกับยงฮวาลงแข่งบาสให้กับโรงเรียน แต่ในครั้งนั้นฉันถูกคู่ต่อสู้เบียดเข้าเข้ามาชนตอนที่กำลังจะชู้แต้มสำคัญ ฉันล้มลงพร้อมๆ กับความพ่ายแพ้ของโรงเรียน แต่มันก็แค่ข้อเท้าร้าวจนเล่นต่อไม่ได้ ฉันก็ดันโยนความผิดทั้งหมดไปให้ยงฮวาหาว่ามันไปรู้จักกันคู่ต่อสู้ไว้แถมยังพลั้งปากไปถากถางมันเรื่องครอบครัวที่ตอนนั้นพ่อแม่เธอเพิ่งหย่ากันใหม่ๆ สรุปแล้วฉันมันทิฐิสูงไปเอง”
“งั้นก็เลิกทิฐิสิ” ว่าพลางก็มองเสี้ยวหน้าหล่อไปพลาง คยูฮยอนแอบเห็นว่าซีวอนมีแววตาที่ครุ่นคิดอยู่แว้บหนึ่ง เห็นอย่างนั้นแล้วเขาก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไรว่าซีวอนกับพี่ยงฮวาจะเกี่ยวก้อยคืนดีกันได้ง่ายๆ
“ฉันเลิกทิฐิได้แล้ว ผู้ชายน่ะไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก มองหน้ากันก็คืนดีกันได้”
“ง่ายขนาดนั้น”
“...ถ้าอย่างนั้นเธอจะให้รางวัลอะไรกับฉันดีล่ะ ในฐานะที่ฉันกลับมาเป็นเพื่อนพี่ชายเธอเหมือนเดิมแล้ว” คยูฮยอนเบิกตาโพลงกับสิ่งที่ได้ฟัง ถึงว่าล่ะทำไมพี่ยงฮวาถึงไม่ค่อยพูดอะไรมาก ตอนที่เขาบอกไปว่าซีวอนจะดูแลเขาหนึ่งวันแลกกับการที่โยนลูกบาสมาใส่หน้าผากเข้าจังๆ
อีกอย่างก็ถือว่าเจ๊าๆ กับที่เขาไปดูแลซีวอนเมื่อครั้งก่อน
“รางวัล?” ทวนคำพูดของอีกฝ่ายพลางหยุดเดินบนราวเหล็กก่อนจะกระโดดลงมายืนตรงหน้าชายหนุ่ม เรียวปากอิ่มอมยิ้มส่งไปให้คนตัวสูง แน่นอนว่าซีวอนพยักหน้ารับหนักแน่นแลดูมีแววขี้เล่นเล็กๆ
“อืม”
“งั้นให้จูบ” คนฟังอย่างซีวอนกรีดยิ้มกว้าง นึกขำกับท่าทีของคนตรงหน้า สาบานได้นะ ว่าชเว ซีวอนไม่ได้เรื่องร้องมากมาย ก็แค่หยอกไปอย่างนั้น
“ไม่ได้สะอึกอยู่หนิ”
“เรื่องมาก” ใบหน้าขาวจัดมุ่ยหน้าเล็กน้อยกับท่าทีกวนประสาทของคนตัวโตกว่า ตั้งใจเขย่งตัวเอาเรียวปากแตะริมฝีปากอมส้ม ครั้นจะเลื่อนใบหน้าออกเพราะนึกร้อนฉ่าที่ใบหน้า หากแต่ฝ่ามือใหญ่กลับประคองแก้มร้อนๆ นั้นไว้พลางแต้มจูบตอบด้วยสัมผัสแผ่วเบา ดวงตากลมโตกลอกไปมาราวกับนึกอะไรได้บางอย่าง เด็กหัวรั้นระบายยิ้มขำก่อนจะเป่าลมกลับไปสู่ชายหนุ่มผ่านเรียวปากที่ยังคงประกบกันอยู่ แม้จะนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย หากซีวอนกลับยกยิ้มกริ่มก่อนจะเป่าลมตอบ เรียกรอยยิ้มจากอีกคนจนตัวเขาเองก็อดยิ้มตามกับจูบขี้เล่นระหว่างกันและกันไม่ได้
มันออกจะบ้าไปหน่อย แต่ฉันก็ชอบนายมากจริงๆ! ชเว ซีวอน!
“มึง!!! น้องมึงแพ้อาหารอะไรรึเปล่า ตอนนี้แม่งตัวแดงพูดไม่รู้เรื่องแล้วว่ะ!!!”
ชเว ซีวอนกรอกเสียงใส่เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ชนิดไม่เกรงว่ามือถือคู่ชีพจะพังเสียหายไปหรือไม่ หากเพราะร่างโปร่งบางที่เอาแต่นั่งหน้ามึน ตัวแดงเริ่มมีผื่นขึ้นราวกับแพ้อะไรบางอย่าง แถมพูดไม่เป็นคำไม่ต่างอะไรไปจากคนเมา ทำเอาเขาแทบคลั่ง กุลีกุจอต้องโทร.หายงฮวาทันทีที่สังเกตเห็นอาการแปลกๆ นั้น ซึ่งคำตอบที่ได้มา ก็ทำเอาเขาถึงกับปวดขมับ
“คยูฮยอนแพ้เหล้าจีน อาม่ามึงทำอาหารจีนวันนี้ใช่ไหม”
“เออว่ะ! แล้วทำไง”
“ไปหายาแก้แพ้สิครับท่านซีวอน!”
“เออ! ขอบใจ!!!” ซีวอยตัดสายฉับ เปิดประตูห้องนอนพลางสาวก้าวยาวๆ วิ่งลงไปเปิดตู้ยาในห้องครัวชั้นล่าง หยิบแผงยาแก้แพ้อย่างที่ยงฮวาบอกไว้ถึงจะดูเงอะงะวุ่นวายบ้าง แต่ในเวลาที่ร้อนรนใจเพราะเห็นอีกคนท่าทางไม่ดีแบบนี้แล้ว คงจะเสียเวลาเปล่าถ้าเขามานั่งทำตัวไม่ถูกเนื่องด้วยไม่เคยดูแลใคร
พอขึ้นมาถึงห้องพร้อมกับยาแก้แพ้แล้วแก้วน้ำในถาด ชายหนุ่มก็ถึงกับต้องวางถาดไว้บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ข้างๆ อย่างรวดเร็วเพียงเพราะเจ้าของร่างโปร่งบางที่นอนหอบอยู่บนเตียง มือคู่ขาวสองข้างยกขึ้นกุมขมับพลางบ่นงึมงำฟังแล้วจับใจความได้ชัดเจนว่าตัวเจ้ากำลังทรมานกับอาการแพ้แอลกอฮอล์ขั้นรุนแรง
ซีวอนดึงร่างผ่ายผอมขึ้นให้ลุกจากเตียงก่อนจะนั่งซ้อนหลังให้คนป่วยใช้อกของเขาพักพิงแผ่นหลัง ก้มมองใบหน้าที่แดงกร่ำถึงว่าทำไมเมื่อตอนเย็นหลังอาหารเย็นถึงได้บ่นว่าร้อน ผ่านไปไม่นานมากนัก อาการก็แสดงให้เห็น ฝ่ามือใหญ่เลื่อนขึ้นมาจับแก้มแดงจัดพลางตบเบาๆ เพื่อให้อีกคนพอรู้สึกตัวมีสติ หากก็ไม่เป็นผล
“กินยาก่อนสิ จะได้หาย” เหมือนอีกคนจะได้ยินแต่กลับไม่ยักจะสนใจ เอาแต่นอนเอาหัวพิงกับออกแกร่งทำตาปรือจะหลับเสียให้ได้ ซีวอนเข้าใจว่าคงเป็นอาการข้างเคียงที่คล้ายกับคนเมา เขาถึงได้ส่ายหน้าหน่ายๆ พลางหยิบเม็ดยาแก้แพ้มาวางไว้บนฝ่ามือ
“นาย...ฉันปวดหัว... ร้อนด้วย” จากที่งัวเงียอยู่นานสองนาน คยูฮยอนก็เพิ่งจะเอ่ยปากขึ้นมาเป็นประโยคแรก ตากลมๆ จ้องใบหน้าหล่อจัดนิ่งๆ ก่อนจะเริ่มดิ้นขลุกขลักเหมือนเด็กไม่สบายที่แสดงอาการงอแง
RRRRRR
ซีวอนอ่านชื่อสายโทร.เข้าก็พบว่าเป็นยงฮวา อาจจะเพราะห่วงอาการน้อง ถึงได้โทรเข้ามา เขากดรับสายก่อนจะได้ยินเสียงยงฮวาถามอาการทั้งที่คนรับสายยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ
“คยูฮยอนกินยารึยัง”
“ยังว่ะ น้องมึงงอแงไม่ยอมกิน” ตอบพลางส่ายหน้านึกเหนื่อยหน่าย นี้ถ้าคนตัวบางไม่ยอมกินยาแล้วอาการบ้าๆ เนี่ยมันจะหายหรือเปล่า
...เพิ่งจะรู้วันนี้เอง ว่าการดูแลคนอื่นยากขนาดไหน ยิ่งกับคนที่รู้สึกพิเศษด้วยแล้ว ก็ยากที่จะควบคุมอารมณ์ร้อนรนในสถานการณ์น่าปวดหัว
“ป้อนเลยมึง”
“ยังไง?” ซีวอนเผลอย่นคิ้วไม่เข้าใจ ก็จะป้อนอยู่นี้ไง แต่คนป่วยไม่ยอมกิน แล้วจะให้ป้อนยังไงอีก
“ปากต่อปากน่ะ มึงอมยาไว้ในปากแล้วก็ส่งให้คยูฮยอนอีกที ทำได้ไหม ตอนเด็กๆ กูก็ทำแบบนี้” พอได้ยินยงฮวาเล่าแจ้งแถลงไข ซีวอนถึงได้ร้องอ๋อ ฉับพลันเขาก็นึกสะกิดกับคำพูดของเพื่อนเพิ่งคืนดีเมื่อครู่
“หมายความว่ามึงเคยจูบน้องมึงเอง”
“ทำไม พี่น้องจูบกันไม่ได้ รึมึงหึง sorry ว่ะมึง พี่ชายอย่างกูหาไม่ได้บนโลกนี้ง่ายๆ หรอก ดูแลน้องดีขนาดนี้น่ะ” ยงฮวาตอบอีกคนด้วยน้ำเสียงอ้อล้อ ฟังน้ำเสียงเมื่อครู่ของปลายสายแล้วก็ได้แต่นึกขำ สงสัยคงจะหน้าหยิกจนกลายเป็นคุณลุงแล้วแหงๆ
“เอ่อ...ก็ทั้งหวงทั้งหึง ขอบใจ!”
ว่าแล้วซีวอนก็โยนโทรศัพท์เจ้ากรรมไปอีกฝากของเตียง นึกชั่งใจกับวิธีการของยงฮวาได้สักพักก็แสนจะจนใจ ท่าทางถ้าปล่อยไปแบบนี้รังแต่จะให้อีกคนต้องอาการหนักเข้าไปใหญ่ เขาหยิบเม็ดยาส่งเข้าไปในปากของตัวเองก่อนจะก้มลงประกบกับกลีบปากนุ่ม รับรู้ว่าในอีกไม่ช้ารสยาขมๆ อาจเริ่มออกฤทธิ์ ฉะนั้นแล้วเขาจึงพยายามส่งเม็ดยาเล็กๆ ไปให้อีกคนผ่านโพรงปากอุ่นร้อน ถึงแม้จะยากไปหน่อยที่ต้องดุนดันให้คนตัวบางเปิดปาก แต่ก็นับว่าวิธีของยงฮวาใช้ได้ผลจริงๆ
“หลับไปแล้วหนิ” เขานึกบ่นพึมพำกับตัวเองเพราะได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอประกอบกับคนในอ้อมแขนเริ่มนิ่ง หยุดดิ้นไปได้สักพัก ถึงตอนนี้แล้วซีวอนจึงผละออกพลางจัดแจงวางคนป่วยให้นอนหนุนหมอนสบายๆ
...หลับไปขนาดนี้แล้วคงจะจำไม่ได้หรอกนะว่าถูกเขาป้อนยาด้วยวิธีไหน?
“จำไว้นะว่าฉันเคยป้อนยาเธอ ไม่ใช่มีแต่พี่ชายเธอที่ทำแบบนี้คนเดียว...”
ทั้งหวงทั้งหึง
เขิน!
…ใครว่าจำไม่ได้ จำได้หมดแหละ
END*
ความคิดเห็น