ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Heaven Ivy. : WONKYU [END]

    ลำดับตอนที่ #3 : Heaven Ivy. -2- เครื่องบรรณาการมีหัวใจ

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.พ. 57


    Heaven Ivy.

     

    -2-

     

                องค์รัชทายาท...ต้องการเครื่องบรรณาการชิ้นพิเศษอีกอย่าง... ไม่สิ คงต้องเรียกว่า เครื่องบรรณาการมนุษย์เห็นจะถูก...

                โจ คยูฮยอนนั่งมองเงาสะท้อนของตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ โดยมีผู้เป็นแม่นำผ้าโพกศีรษะผืนใหม่พาดทับหน้าผากมนก่อนเรียวมือบางจะผูกปมที่หลังทอยท้ายของเขาจนเรียบร้อยดี เขาไม่รู้ว่าผ้าโพกศีรษะผืนเดิมมันหายไปไหน เขาจำได้เพียงเสียงขององค์รัชทายาทตรัสบอกว่าจะนำกฎเก่าของพระราชสำนักมาใช้กับเขา หลังจากนั้นทุกอย่างเงียบงันและมึนงง มันอาจหายไปพร้อมๆ กับอิสรภาพ ชายหนุ่มตัวขาวสัมผัสได้ว่าฝ่ามือของแม่กำลังสั่นไหวในวินาทีที่หล่อนวางมือลงบนไหล่ของเขา ดวงตาคู่โตตวัดมองเงาสะท้อนของหญิงสาว ในนัยน์ตาสะสวยกำลังคลอไปด้วยหยดน้ำตาและยอนฮวาเองก็สะกดกลั้นมันไว้ด้วยรอยยิ้มฝืนเกร็ง

                “กะ-เก็บของทุกอย่างเรียบร้อยดีนะลูก...” คำถามที่ออกจากปากของคนเป็นแม่ค่อนข้างกระท่อนกระแท่น กระเป๋าเสื้อผ้าขนาดกลางวางอยู่ใกล้ๆ คยูฮยอนสูดหายใจลึก แน่นอน เขาตัดสินใจดีแล้วว่าควรจะทำตามพระราชโองการจากองค์รัชทายาท... ในเวลานี้ การขัดคำสั่งจากโซลอาจไม่เป็นผลดีต่อเกาะพยองอัน เขาไม่รู้ว่าเหตุใดองค์รัชทายาทถึงต้องการเขาไปเป็นเครื่องบรรณาการ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดในห้วงความคิดคือ...เขาจะต้องไม่ทำการใดๆ ที่ส่งผลเสียต่อพยองอัน สิ่งที่โซลกำลังทำ คือการแสดงอำนาจว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ต่อรอง แค่ก้มหน้าและยอมรับในสิ่งที่กระทำการกระด้างกระเดื่อง

                ก่อนหน้านี้ พี่ดงกันค้านหัวชนฝาว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรส่งตัวเขาไป ในขณะที่คุณพ่อเองก็ไม่ต้องการเช่นนั้น ไม่มีใครอยากให้เขาไป แต่...จะทำอย่างไรได้ อีกคนคือองค์รัชทายาท ผู้ที่กำลังจะเป็นกษัตริย์ โจ คยูฮยอนเป็นแค่ประชาชนในเมืองประเทศราช ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีทางออกเสียทีเดียว แค่ทางออกที่ว่า...อาจต้องใช้เวลา

                ทางออกที่พี่ชายของเขาบอกว่ามันคือการ ก่อกบฏ

                “แล้วผมจะดูแลตัวเอง” เขาว่าในขณะที่ลุกขึ้นโอบกอดร่างบอบบางของแม่บังเกิดเกล้า หลับตารับสัมผัสอบอุ่นที่โอบอุ้มเขามาเสมอไม่ว่าช่วงเวลานั้นมันจะสุขที่สุดหรือเจ็บปวดที่สุด มือของเธอลูบแผ่นหลังไปตามชุดฮันบกตัวสวยสีสุภาพ ได้ยินหวานเสียงสะอื้นเบาๆ คยูฮยอนกระซิบบอกตัวเองว่าไม่ควรร้องไห้ หน้าที่ของลูกที่ดีในตอนนี้คือปลอบโยนผู้เป็นแม่ ให้ความมั่นใจกับเธอว่าเขาจะกลับมาในเร็ววัน

                “คยูฮยอน...ยอนฮวา ได้เวลาแล้ว...” เวลาแห่งการ เป็นเครื่องบรรณาการ

    เสียงของคุณแม่ใหญ่เอ่ยแผ่วมาจากหน้าประตูห้องนอน สองแม่ลูกรับรู้ในทันทีว่าเสียงเรียกที่ว่ามันคือนาฬิกาปลุกชั้นเยี่ยม และมันก็ถึงเวลาที่คนจากพระราชสำนักจะมารับตัวเขาไป...ในฐานะเครื่องบรรณาการชิ้นสุดท้ายจากเกาะพยองอัน ก้าวเดินที่เชื่องช้ากว่าปกติไม่ต่างอะไรไปจากเสียงเต้นของหัวใจที่นาบเนิบจนแทบไร้สัญญาณการเคลื่อนไหว เขาไม่ได้กลัว...แต่หัวใจของเขาก่อกำเนิดที่พยองอัน และมันก็พร้อมจะสถิตอยู่ที่บ้านเกิดแม้ในขณะที่กายหยาบของเขากำลังจะเดินทางไปที่โซล ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากเท่าวันส่งเครื่องบรรณาการในอาทิตย์ก่อน และบรรยากาศในวันนี้ก็เงียบเชียบเสียเหลือเกิน ไม่ใครอื่นนอกจากคนในครอบครัวและสาวใช้ไม่กี่คน รถยุโรปคันหรูจอดเทียบท่ารอ พร้อมราชบริพารเพียงไม่มากนัก ก่อนจะก้าวออกจากตัวบ้านฝ่ามืออุ่นๆ ของพี่ชายเอื้อมมาฉุดข้อมือของเขา คยูฮยอนสบดวงตาคมของ อี ดงกัน ภายใต้ความแข็งกร้าวเช่นนั้น เขามองเห็นความห่วงใยที่ส่งผ่านมาอย่างลึกซึ้ง

                “พี่จะพาเรากลับมาให้ได้” ถือเป็นคำมั่นสัญญา คยูฮยอนพยักหน้ารับ ค่อยๆ ละจากอุ้งมือหนา กวาดสายตามองบิดา มารดาทั้งสอง...พี่ชายคนเดียว พลันหลับตานิ่ง ยิ่งมองทุกคนเขาก็ยิ่งไม่อยากไป ฝืนลากฝีเท้าอันหนักอึ้ง สะเทือนใจอยู่ข้างในเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วจากเบื้องหลัง เขาไม่ควรหันกลับไปมอง ถึงอย่างนั้นหัวสมองของโจ คยูฮยอนก็ออกคำสั่งหนักแน่นว่าเขาไม่ควรอ่อนแอ...และพร้อมจะเดินหน้าต่อสู้กับอำนาจที่เขาไม่คิดจะยอมรับมันอีกต่อไป ชายสารถีเปิดประตูรถให้เขาดันตัวเองเข้าสู่เครื่องยนต์สีขาวนวล ไม่นานยานพาหนะก็เคลื่อนตัวออกจากบ้านหลังโตเพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามบินแห่งพยองอันโดยที่นั่นจะมีเครื่องบินส่วนพระองค์รอรับอยู่อีกที

                มันดูเป็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่และสมเกียรติเกินไปสำหรับเครื่องบรรณาการ คยูฮยอนเค้นยิ้มสมเพชในโชคชะตาที่กำลังผกผันในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา เพราะเขาพยศจัดในสายตาใครอีกคน เพราะเขาไม่ยินดีต่อคำสั่งจากองค์รัชทายาท เพราะเขาเป็นเพียงประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่อาจต่อรองต่อราชโองการอันแสนเอาแต่ใจ เป็นเพียงเครื่องบรรณาการมนุษย์ กระนั้น...เครื่องบรรณาการชิ้นนี้มีหัวใจ และมันก็ถูกฝังไว้ที่บ้านเกิดแห่งนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ทำลายศรัทธาและศักดิ์ศรีในตัวเขาไม่ได้ แม้กระทั่ง องค์รัชทายาท ชเว ชีวอนก็ตาม!

     

     

                ไม่มีใครเข้าใจความคิดขององค์รัชทายาทอันยากจะหยั่งถึง เว้นเสียแต่แม่นมคนสนิทที่ดูแลเลี้ยงดูองค์ชายคนโตพระองค์นี้มากับมือ หญิงชราในวัยเกษียณก้าวเท้าเข้ามาในห้องทำงานของชายหนุ่มสูงศักดิ์พร้อมด้วยแก้วซึ่งบรรจุกาแฟหอมกรุ่น เธอวางแก้วลงบนโต๊ะไม้ขัดเงา เฝ้ามองอากัปขององค์ชายที่มัวแต่จ้องมองผ้าโพกศีรษะสีน้ำตาลปักด้วยด้ายสีทอง ดวงตาคมดูอ่อนแสงลง อีกทั้งยังไม่รู้ตัวว่าเธอเฝ้ามองอยู่นานโขแล้ว อาการเหม่อลอยเช่นนี้ ไม่เคยเกิดกับองค์ชายชีวอนเลยสักครั้ง แม่นมคิม ยองจาเอ็นดูระคนประหลาดใจ

                “องค์ชาย...”

                “ครับแม่นม” ชายหนุ่มยังคงรักษามาดเคร่งขรึมแม้จะมองเห็นรอยยิ้มขบขันผ่านใบหน้าของแม่นมยองจา ฝ่ามือหนารวบเก็บผ้าโพกศีรษะของใครบางคนสู่กระเป๋ากางเกง พลางเอื้อมมือคว้าแก้วกาแฟขึ้นมาจิบแก้เก้อ

                “สิ่งที่องค์ชายเฝ้ารอกำลังจะมาถึงแล้วเพคะ อีกประมาณครึ่งชั่วโมง หม่อมฉันจัดเตรียมเรือนรับรองให้แล้ว อยู่ที่ตำหนักรองไม่ห่างจากตำหนักใหญ่มากนัก เป็นห้องที่อยู่ริมสระน้ำ มีต้นไม้ใหญ่ตามที่องค์ชายรับสั่ง” ชีวอนกระแอมไอกับคำพูดของแม่นมในประโยคที่ว่า สิ่งที่องค์ชายเฝ้ารอ ความจริงเขาก็เฝ้ารอโจ คยูฮยอนอย่างที่แม่นมกล่าวกับเขานั่นแหละ ไม่มีเหตุผลมากมายสำหรับชเว ชีวอนในเวลานี้ ไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากเต็มคำนักหรอกกับการที่หยิบเอากฎเก่าขึ้นมาใช้เพื่อนำตัวเด็กพยศจัดเข้ามาในวังมันเกิดจากความโกรธชั่วขณะที่ถูกพูดจาถือดี โจ คยูฮยอนพูดในสิ่งที่เขาพยายามมันมาตลอด นั่นคือการเป็นที่รักของประชาชน แต่ทุกครามันคือความล้มเหลว

    องค์รัชทายาทเช่นเขาใช้ชีวิตราวกับไร้หัวใจขึ้นทุกขณะ ไม่แปลกเลยสักนิดที่โจ คยูฮยอนจะตัดสินเขาเช่นนั้น

     อีกประการคงเพราะเขาถูกใจ...ใช่แล้ว ชเว ชีวอนถูกใจในรูปลักษณ์ที่มองอย่างไรก็ไม่รู้เบื่อ น่ามองแม้ว่าดวงตาจะดูรั้นไปสักหน่อย ใบหน้าขาวเชิดหยิ่งไปนิด แสดงกิริยากระด้างกับเขาแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว สายตาขององค์รัชทายาทไม่ได้ผิดเพี้ยนไปแน่ เขากำลังมองเครื่องบรรณาการมนุษย์จากพยองอันพิเศษกว่าสิ่งใด ทว่าก่อนอื่นเขาจะต้องจัดการกับท่าทีหยิ่งพยศให้อยู่มือเสียก่อน!

                “แม่นมไปพักเถอะครับ ถึงเวลาเมื่อเขามาถึงประเดี๋ยวผมจัดการเอง” แม่นมส่งยิ้มเฉกเช่นคนรู้ทันและนั่นก็ทำให้ชีวอนอดจะพรูลมหายใจอย่างหน่ายๆ ไม่ได้ ตั้งแต่แม่ของเขาหรือองค์ราชินีเสด็จสวรรคตไปเมื่อประมาณเกือบสิบปีก่อน แม่นมยองจาก็คือบุคคลที่ใกล้ชิดเขามากที่สุดในเวลานั้น คอยเลี้ยงดูอุ้มชูเขามาเสมอ ดังนั้นเธอจึงเป็นคนเดียวที่อ่านความคิดของเขาออกมาได้อย่างแจ่มแจ้ง

                “น่าแปลกใจนะเพคะที่หนุ่มน้อยคนนั้นเป็นที่ต้องใจองค์ชายได้มากขนาดนี้” ไม่วายจะพูดให้เขาสะอึกแทบสำลักกาแฟ

                “ก็แค่...อยากปราบพยศเสียหน่อย” เขาตอบไปสั้นๆ นึกถึงใบหน้าขาวจัดของอีกคนไปพลาง ทว่าเสียงของแม่นมพร้อมคำพูดของเธอกลับกระชากให้ชีวอนสะท้อนในใจว่าเขาได้ลืมอะไรบางอย่างไปเกือบสนิทใจ

                “...พระองค์ยังมีพันธะ และหากพันธะของพระองค์รู้เข้า เกรงว่าสิ่งล้ำค่าจากพยองอันอาจเดือดร้อน” ใช่แล้ว...คิม ยูอี คู่หมั้นจากตระกูลดังในโซล เขาลืมเธอไปเสียสนิท นั่นเพราะชีวอนไม่ได้สนใจในตัวเธอมากนัก หญิงสาวจะแวะเข้ามาที่วังเป็นครั้งคราว ออกงานกับเขาก็เฉพาะงานใหญ่ๆ ความสัมพันธ์เพียงฉาบฉวยไม่ได้จริงจัง หากจะเปรียบก็คงเหมือนคู่รักแต่เพียงฐานะ หาได้มีหัวใจที่ตรงกันไม่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะผู้ใหญ่จัดหา และเธอเองก็เปรียบดั่งฉนวนระเบิดในอดีต เขาถอนหายใจอีกครั้ง ชายหนุ่มทราบว่ายูอีไม่ใช่คนร้ายกาจ แต่พ่อแม่ของเธอต่างหากที่เสี้ยมสอนลูกสาว ชี้ทางเดินต่างๆ ให้เธอจนยูอีปราศจากความเป็นตัวของตัวเอง

                เขาจะต้องจัดการกับพันธะครั้งนี้ให้เด็ดขาดเสียแล้ว

                “ผมรับมือเรื่องทุกอย่างได้ครับ หากจะวุ่นวาย ความวุ่นวายที่ว่าผมจะเป็นคนทำให้เรื่องพวกนี้มันจบลงไปเอง” หญิงชรายิ้มบางรับฟังคำพูดของเขา เธอโค้งคำนับสื่อเป็นสัญญาณบอกลาก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานของเขาโดยไม่พูดจาใดๆ อีก องค์รัชทายาทชีวอนก้มหน้ามองกาแฟในแก้วที่พร่องลงไปเพียงนิด ความคิดด้านดีและด้านเลวตีกันในหัวสมอง บางทีชายหนุ่มก็สับสนว่าสิ่งที่ตนทำอยู่มันใช่วิถีทางแห่งการเป็นกษัตริย์ที่ดีหรือไม่ เขานึกอยากแก้เผ็ดอีกคนถึงได้อ้างเรื่องเครื่องบรรณาการกับโจ คยูฮยอน ทั้งๆ ที่รู้ว่าในวังแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยสำหรับคนคนนั้นเลย

                และท่ามกลางสภาวการณ์การเมืองเช่นนี้ ข่าวลือเรื่องเกาะพยองอันเตรียมก่อกบฏ... เขาไม่ต้องการจะให้สิ่งล้ำค่าจากพยองอันเป็นข้อต่อรองเรื่องก่อกบฏเลยสักนิด แต่หากมีใครอื่นภายในพระราชสำนักหรือกลุ่มมือที่สามหยิบเอาช่องว่างตรงนี้ขึ้นมาใช้ เห็นทีว่าโจ คยูฮยอนคงตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน!

     

               

                องค์ชายเล็กแห่งราชวงศ์ชเวหลบมุมเสาเพื่อเฝ้ามองผู้มาใหม่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาพอจะทราบว่าวันนี้จะมีเครื่องบรรณาการชิ้นพิเศษมาถึงวัง แต่ใครจะรู้ว่าบรรณาการที่ว่าคือชายหนุ่มผิวขาวพร้อมใบหน้าหวานเกินชายเช่นนั้น เด็กชายยืนมองอยู่ห่างๆ เรือนร่างสูงโปร่งในชุดฮันบกสีสุภาพก้าวเดินไปตามทางด้วยกิริยาสงบเสงี่ยม อดคิดร้ายๆ ไม่ได้ว่าคนคนนี้แท้จริงอาจเป็นเพียงกีแซงหรือนางโลมที่พี่ชายของเขานึกอยากจะได้มาบำเรอ แต่ทว่าดวงตาคู่โตที่ทอประกายเศร้าสร้อยราวกับสะกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกที่แล่นโถมอยู่ภายในทำให้ซูโฮสลัดความคิดนั้นทิ้งไปอย่างง่ายดาย

                “พี่ชีวอนใจร้ายชะมัด...” องค์ชายซูโฮนึกสบถ มองกลุ่มคนที่อารักขาเครื่องบรรณาการมนุษย์ไปตามเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังตำหนักรอง ไม่กี่อึดใจซูโฮสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีฝ่ามือของใครบางคนแตะลงที่หัวไหล่ของเขา

                “เฮ้ย...พะ พี่ยูอี” คู่หมั้นของพี่ชายส่งยิ้มบางมาให้ ในวันนี้หล่อนแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนทับด้วยเสื้อโค้ทสีครีม เด็กชายปรับสีหน้าตกใจเมื่อครู่ให้เป็นปกติพลางโค้งศีรษะเป็นการทักทาย

                “สวัสดีจ้ะ ว่าแต่วันนี้ที่วังมีอะไรหรือเปล่า บรรยากาศแปลกไปนะ” หล่อนว่าพลางทอดสายตาไปยังกลุ่มคนซึ่งกำลังเดินไปสู่ตำหนักรอง ซูโฮกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ กระอักกระอ่วนที่จะพูดว่าความผิดปกติของวังที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เพราะมีเครื่องบรรณาการมนุษย์มาถวายตัวแด่องค์รัชทายาทต่างหาก

                “ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับพี่ยูอี ในวังมีเรื่องแปลกๆ เป็นประจำอยู่แล้ว อ้อ! ถ้าอย่างนั้น...ผมขอตัวก่อนนะครับ พี่ชีวอนอยู่ที่ห้องทำงาน เชิญตามสบายครับผม” ซูโฮรัวคำพูดออกไปในประโยคเดียวและก้าวขายาวๆ เข้าตำหนักใหญ่ไปอย่างรวดเร็วโดยมีสายตาของหญิงสาวมองตามหลัง

    คิม ยูอี ไม่ใช่คนโง่ ที่ตามใครไม่ทันถึงจะได้ไม่รู้ว่าในวังแห่งนี้มีการเคลื่อนไหวใดๆ บ้าง แม้เรื่องนี้จะถูกปิดเงียบเชียบ ไม่ถูกเปิดเผยแก่สาธารณชน เครื่องบรรณาการมนุษย์ถูกถวายตัวเข้ามาในวันนี้มีหรือที่เธอจะปิดหูปิดตาไม่รับทราบ และนี่ก็คือเหตุผลที่ยูอีเข้าวังมาได้ถูกช่วงถูกเวลา แค่ต้องการความมั่นใจว่าเครื่องบรรณาการมนุษย์เป็นใคร และหน้าตาเช่นไร

                ชายหนุ่มผิวพรรณดีดั่งน้ำนม...ไม่น่าเชื่อว่ามาจากแดนไกลฝั่งทะเลอย่างเกาะพยองอัน เธอนึกคุ้นหน้าเสียเหลือเกินแต่นึกเช่นไรก็นึกไม่ออกว่าเหตุใดถึงได้รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอคนคนนั้นมาก่อน อย่างไรก็ดีเธอมั่นใจว่าองค์รัชทายาทคงไม่คิดจะยกย่องเครื่องบรรณาการมนุษย์จากประเทศราชขึ้นมาแทนที่เธอ ...ตำแหน่งองค์ราชินีองค์ถัดไป จะต้องเป็นของคิม ยูอีอย่างที่พ่อแม่ของเธอปรารถนา

                สำหรับวันนี้ บางทีอาจต้องปล่อยให้คนอื่นคิดว่าเธอไม่ทราบเรื่องนี้ไปก่อนเห็นจะดีกว่า ยูอีตัดสินใจกลับออกจากวังทั้งที่ไม่ได้เข้าพบองค์รัชทายาทนั่นเพราะรู้ดีว่าในเวลานี้คนที่พระองค์อยากเจอมากที่สุดหาใช่เธอไม่ แต่เป็นเครื่องบรรณาการมนุษย์คนนั้นต่างหาก...

               

     

                เรือนรับรองในตำหนักรองสวยงามอย่างที่เลื่องลือ พระราชวังแห่งโซลแทบจะทุกส่วนคือผลผลิตจากความประณีตบรรจงที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อคนชั้นสูง เรือนรับรองแห่งนี้กว้างขวางพอสมควร มีสัดส่วนการใช้สอยที่ชัดเจน ตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นต่างจากภายนอกที่ดูเป็นศิลปะเก่าแก่ จะแปลกก็ตรงที่ไม่มีห้องครัว บางทีนี่อาจเป็นการบังคับผู้ที่เข้ามาพักในที่แห่งนี้เป็นกลายๆ ว่าการไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารของวังคงเป็นมารยาทอันดับหนึ่งที่ไม่ควรลืม

    อีกครั้งที่คยูฮยอนรู้สึกว่าตนยืนอยู่บนสิทธิพิเศษแต่สิทธิที่ว่ากำลังตอกย้ำว่าเขาไร้ซึ้งอิสรภาพ คนจากในวังมาส่งเขาถึงเพียงหน้าเรือนรับรองก็จากไปโดยไม่พูดจาใดๆ อีก ข้าราชบริพารหลายๆ คนปฏิบัติต่อเขาในระดับที่เรียกได้ว่าดีมาก ไม่มีทีท่ามาดร้ายหรือดูแคลนใดๆ แต่นั่นมันก็เพียงภายนอก แท้จริงคนพวกนั้นอาจมองว่าเขาเป็นเพียงบรรณาการไร้ค่าชิ้นหนึ่ง เจ้าของร่างโปร่งบางทรุดตัวนั่งลงบนเตียงขนาดใหญ่ สัมผัสพื้นเตียงนุ่มๆ ไม่ได้ช่วยให้เขาผ่อนคลาย และเนื้อที่บนเตียงมันก็พอสำหรับคนสองคน... นัยยะทุกอย่างชี้ชัดเป็นอย่างดีแล้วว่าองค์รัชทายาทมีสิทธิในเครื่องบรรณาการมนุษย์เช่นเขาเต็มตัว

                คยูฮยอนตกอยู่ในห้วงความคิดจนไม่อาจทราบว่ามีใครอีกคนย่างกายเข้ามาสู่เรือนรับรอง องค์รัชทายาทหยุดฝีเท้าเว้นระยะห่างหลายช่วงตัวเพื่อเฝ้ามองภาพจิตรกรรมตรงหน้า มันถือกำเนิดขึ้นโดยบังเอิญ ร่างโปร่งบางภายใต้ชุดฮันบกนั่งอยู่ที่ปลายเตียงโดยมีแสงแดดยามเย็นส่องกระทบผิวพรรณให้เปล่งปลั่งเสียยิ่งกว่าเดิม ลมแผ่วๆ จากภายนอกทำให้ผ้าม่านสีขาวซึ่งประดับเสาเตียงบิดพลิ้วไปตามแรง ชเว ชีวอนไม่อาจต้านต่อแรงดึงดูด เขาถึงได้พาตัวเองมายืนอยู่เบื้องหน้าเครื่องบรรณาการมนุษย์ ฝ่ามือหนายกขึ้นเชยคางได้รูปเพื่อพินิจมองดวงตาสีดำนิลซึ่งแสดงความท่าทีดื้อรั้นอยู่ในที

                “สมใจองค์ชายแล้ว จากนี้เครื่องบรรณาการอย่างกระหม่อมก็คงไม่ต่างอะไรไปจากลูกไก่ในกำมือ” ดวงตาคล้ายแมวรื้นน้ำตาทว่าเสียงที่เอ่ยกลับฟังดูมั่นคงไร้แววสั่นเครือ คนที่มีตำแหน่งเป็นถึงองค์รัชทายาทพรูลมหายใจ เขาอยากจะพูดจาดีๆ กับคนคนนี้แทนที่จะเป็นคำพูดประชดประชันอย่างคราวก่อน ไม่ต้องการสร้างภาพความร้ายกาจไปมากกว่านี้ นั่นเพราะโจ คยูฮยอนคงมองว่าเขามันเป็นองค์รัชทายาทใจยักษ์ไปเสียแล้ว

                “ฉันไม่ใช่คนใจร้าย ขอให้เข้าใจไว้” ปลายนิ้วที่ยังคงเชยคางของเจ้าของใบหน้าหวานเลื่อนขึ้นลูบริมฝีปากสีอ่อน พลันเมื่อหยดน้ำร่วงเผาะผ่านเนินแก้ม องค์รัชทายาทจึงไม่รีรอที่จะเช็ดมันออกด้วยเรียวนิ้วอย่างเบามือ เขามองเห็นนัยน์ตาที่ตระหนกในการกระทำของเขาถึงอย่างนั้นชีวอนก็ยังคงจดจ้องใบหน้าของเครื่องบรรณาการมนุษย์ราวกับอยากจะจดจำในทุกๆ รายละเอียด ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ผ้าโพกศีรษะของโจ คยูฮยอนคือสิ่งเดียวที่ทำให้นึกถึงคนคนนี้แทบจะตลอดเวลา เขาตั้งใจเก็บมันขึ้นมาในจังหวะที่คยูฮยอนไม่ทันได้สังเกตครั้นปะทะวาจาเมื่อหลายวันก่อน และผ้าโพกศีรษะผืนนี้ก็แทบไม่ห่างตัวเขาไปไหน... อาจจะฟังดูน่าตลกดี แต่ในวันนี้ เวลานี้ ชเว ชีวอนกำลังหลงใหลในเสน่ห์ที่รัญจวนใจของร่างตรงหน้าอย่างไร้สาเหตุ และมันก็มากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจยั้งไม่อยู่หากเขาไม่มีสมาธิพอในการหักห้ามใจ

                “แต่การกระทำขององค์ชายบอกกระหม่อมว่า องค์ชายใจร้าย” นั่นเพราะเขาพรากโจ คยูฮยอนจากบ้านอันแสนอบอุ่นอย่างนั้นสินะ...

                “จะคิดเช่นนั้นก็แล้วแต่...” ท้ายที่สุดองค์รัชทายาทกลับต้องตัดใจกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ใบหน้าเปื้อนน้ำตาทว่ามองดูหยิ่งพยศเบือนหนีฝ่ามือของเขา

                “สิ่งที่องค์ชายปฏิบัติต่อกระหม่อมมันชัดเจนดีแล้ว”

    “ดี...สิ่งที่เธอแสดงต่อฉันมันก็ชัดเจนเช่นกัน” ชายหนุ่มเลือกที่จะผละออกจากระยะใกล้ชิดระหว่างเขาและใครอีกคน สืบเท้าเดินกลับไปที่หน้าประตูเรือนรับรอง หากก่อนที่เขาจะจากไปก็ยังไม่ลืมจะหันกลับไปออกคำสั่งกับเครื่องบรรณาการล้ำค่าจากพยองอัน “เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปรับประทานอาหารด้วยกัน หรือถ้าไม่ เธอเองก็อาจต้องนอนท้องร้องอยู่ที่เรือนรับรองทั้งคืน”

    เสียงหับประตูมาพร้อมกับความเงียบงัน องค์รัชทายาททิ้งความรู้สึกหนักอึ้งให้แก่เขา และเสียงจางๆ จากที่ไหนไม่ทราบก็ทำให้คยูฮยอนย่นหัวคิ้วไม่ชอบใจ แต่ความจริงแล้ว มันคือเสียงหัวใจของเขาต่างหาก มันเต้นแรงในวินาทีที่เรียวนิ้วยาวแตะสัมผัสน้ำตาจนพ้นกรอบหน้า ไหนจะดวงตาคมกริบที่จ้องลึกเข้ามาสำรวจความในใจคล้ายกับกำลังต้อนเขาให้จนมุม หนุ่มน้อยไม่ต้องการทราบหรอกว่าแท้จริงแล้วผู้ชายคนนั้นเป็นคนเช่นไร มีหัวใจหรือหัวใจยังคงทำงานอยู่หรือไม่

    สำหรับคยูฮยอน องค์รัชทายาทก็แค่ผู้ชายแสนเยือกเย็นที่ไม่ควรเข้าใกล้ นั่นเพราะชเว ชีวอนคือภัยอันตรายร้ายแรงต่อจิตใจของเขา ความคิดของเขา และอิสรภาพของเขา!

     

    บางทีเขาคงเครียดจนลืมความรู้สึกหิวชั่วขณะ... โจ คยูฮยอนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดลำลองปกติ มองลอดผ่านหน้าต่างของเรือนรับรองที่ปรากฏให้เห็นสระน้ำขนาดกลาง ใกล้กันนั้นมีศาลาริมน้ำเล็กๆ แสงพระจันทร์ยามดึกเชื้อเชิญให้เขาไม่อาจต้านทานต่อความงดงามของบรรยากาศภายในพระราชวังใจกลางกรุงโซล คงต้องขอบคุณที่เขายังสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ แม้จะอยู่ในฐานะเครื่องบรรณาการแต่มารยาทที่มีอยู่ในตัวก็บอกเขาเสมอว่าไม่ควรเพ่นพ่านไปไกลจากบริเวณนี้ให้มาก คยูฮยอนคว้าเอาเสื้อโค้ทขึ้นมาคลุมทับหัวไหล่ก่อนจะตัดสินใจออกไปรับลมที่ศาลาริมน้ำสักหน่อย

    ถ้าไม่เคยไปเรียนถึงอังกฤษ คยูฮยอนก็คงไม่ชินกับการที่ต้องอยู่ไกลบ้านเกิด ทว่าครั้งนี้มันออกจะตลกร้ายเหลือเกินที่พระราชวังแห่งโซล สถานที่ที่ใครก็ปรารถนาจะเข้ามาเยี่ยมชมหรือเข้ามารับใช้เหล่าราชวงศ์กลับเป็นกรงขนาดใหญ่ที่สร้างความขมขื่นให้แก่เขาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เจ้าของผิวขาวจัดทอดสายตามองน้ำภายในสระที่ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว มันนิ่งสงบแตกต่างจากใจข้างในของเขาลิบลับ คยูฮยอนถอนหายใจให้กับความคิดที่โลดแล่นสับสนท่ามกลางคำถามที่เขาไม่กล้าไขคำตอบ

    เขาจะทำอย่างไรหากเกิดการก่อกบฏขึ้นมาจริงๆ ใช่...เขาจะต้องหลุดพ้นจากการเป็นเครื่องบรรณาการอย่างแน่นอน และทุกเมืองประเทศราชก็จะหลุดจากการปกครองของโซลเช่นกัน

    แล้ว? องค์ราชา องค์รัชทายาท และเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น คยูฮยอนไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงหรือมีใครต้องเป็นอะไรไปเพราะการก่อกบฏ แต่ดูเหมือนมันคงไม่ง่ายนักหากโซลยังมีนายกรัฐมนตรีปาร์ค ผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังการปกครองอันไร้ความยุติธรรมและเป็นฉนวนเหตุความตึงเครียดในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา ประชาชนเกลียดชังนายกรัฐมนตรีปาร์คยิ่งกว่าใครในแผ่นดินเกาหลี

    “คุณคยูฮยอนคะ...องค์ชายรับสั่งให้ดิฉันนำอาหารมาให้คุณค่ะ” เสียงนุ่มนวลของหญิงชราทำให้คยูฮยอนหลุดจากภวังค์ความคิด เขาหันไปสบตากับเจ้าของเสียง พร้อมกันนั้นเขาเห็นถาดอาหารในมือของเธอ มื้อเย็นหน้าตาน่าทานซึ่งไม่ได้ดูเย็นชืดลงเลยอาจเพราะเพิ่งจะอุ่นมาใหม่ๆ “เดี๋ยวดิฉันนำไปไว้ที่เรือนรับรองนะคะ แล้วคุณเองก็อย่าลืมทานด้วย หากคุณไม่ทานเกรงว่าจะส่งผลต่อสุขภาพ” ร่างสง่าของเธอซึ่งแปลกไปจากคนในวัยเกษียณทั่วไปสาวเท้าเดินตรงเข้าไปในเรือนรับรองอย่างที่เธอบอก คยูฮยอนอยากจะนั่งรับลมอยู่ที่ศาลาอีกสักครู่จึงไม่รีบร้อนที่กลับเข้าไปทานอาหาร จวบจนเมื่อเงาของใครบางคนทาบทับตัวเขา และรูปร่างโดดเด่นก็บ่งบอกชัดเจนว่าผู้ที่เข้ามารบกวนเขาในเวลานี้คงไม่ใช่ใครอื่น

    “ต่อจากนี้ไป ถ้าไม่อยากรบกวนแม่นมยองจานำอาหารมาให้ถึงที่ เธอก็ควรไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารภายในตำหนักใหญ่” คิ้วเรียวขมวดมุ่นในประโยคเอาแต่ใจของอีกฝ่าย ผู้ชายคนนี้ทำไมจึงต้องนำหญิงชราคนนั้นมากดดันเขาเรื่องทานอาหารในทางอ้อมด้วยกัน ทำเช่นนี้กะจะให้เขารู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ?

    “กระหม่อมไม่เห็นว่าเครื่องบรรณาการคนนี้สมควรจะไปร่วมรับประทานอาหารกับองค์ชายหรือคนในราชวงศ์คนอื่นๆ”

    “อย่าเอาคำว่าเครื่องบรรณาการมาลดค่าตัวเธอเอง...” ลดค่า? เขาควรตีความหมายคำว่า ลดค่า อย่างไรดี? ทำไมวันนี้โจ คยูฮยอนถึงได้เจอแต่เรื่องตลกร้ายทั้งนั้น องค์รัชทายาทใช้กฎการนำเครื่องบรรณาการเข้ามาในวังกับเขา แต่กลับเอ่ยวาจาว่าไม่ควรลดค่าตัวเองด้วยคำว่า เครื่องบรรณาการถ้าเช่นนั้น โจ คยูฮยอนคนนี้มีค่าเป็นอะไรกันแน่!

    การเป็นเครื่องบรรณาการ... ไม่ได้มีความหมายไปมากกว่า การเป็นทาส คยูฮยอนคงไม่อาจทราบว่าคำพูดเมื่อครู่ของเขามันทำให้องค์รัชทายาทขุ่นเคืองขึ้นมาในใจอย่างไร้สาเหตุ สิ่งล้ำค่าของพยองอันมีผลต่อจิตใจของชเว ชีวอนมากเชียวล่ะ และชายหนุ่มเองก็รู้สึกหงุดหงิดเป็นบ้าที่คนตัวขาวแสดงท่าทางบึ้งตึงใส่กันเหลือเกิน เรียวหน้าหวานผินมองเพียงสระน้ำเบื้องหน้า แม้แต่อากาศรอบกายที่โอบล้อมพวกเขาอยู่มันยังน่าอึดอัดพิกล

    แต่เธอก็ควรจะรู้ว่าเครื่องบรรณาการเช่นเธอได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าใคร หรือจะเลือกเป็นทาสอย่างที่ต้องการ! เสียงทุ้มตวาดลั่นก่อนความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณศาลาริมน้ำ คยูฮยอนผ่อนลมหายใจหนักๆ เขาเหนื่อยเกินไป และไม่อยากจะโต้เถียงให้อีกคนต้องฉุนเฉียวไปมากกว่านี้

    “....”

    “ได้โปรดล่ะ แค่เธออย่าทำให้ฉันโมโหแล้วทุกอย่างมันจะดีเอง” องค์รัชทายาทมักพาลมพายุอารมณ์มาพัดโถมใส่เขาและจากไปด้วยความเงียบงันเสมอ คยูฮยอนขยับกายนั่งในท่าชันเข่าพร้อมกับซบลงใบหน้าลงอย่างอ่อนล้า เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป...ต้องนิ่งเฉยเป็นเพียงตุ๊กตามีชีวิตและมีหน้าที่ทำตามคำสั่งของผู้ชายคนนั้นโดยที่เขาเองไม่มีสิทธิเรียกร้องใดๆ อย่างนั้นใช่หรือไม่ แค่คิดหัวสมองของเขาก็เกิดอาการหยุดประมวลผลอย่างเฉียบพลัน ตัวตนของโจ คยูฮยอนคงไม่อาจนำมันมาโลดแล่นต่อหน้าใครๆ ได้อีกต่อไป

    แค่อย่าทำให้องค์รัชทายาทโมโห

    แค่อย่าทำตัววุ่นวาย

    แค่ทำตัวเป็นเครื่องบรรณาการที่ดี...

    ทำทุกอย่าง...อย่างที่องค์รัชทายาทต้องการ

     

     

    เช้านี้คยูฮยอนทำตามคำสั่งขององค์รัชทายาทโดยไม่มีข้อกังขาแต่อย่างใดตั้งแต่การมารับประทานอาหารร่วมกันที่ตำหนักใหญ่ แม้จะแปลกที่ห้องอาหารกว้างขวางมีเพียงเขา องค์รัชทายาทและองค์ชายเล็กอีกคน คยูฮยอนไม่อาจพูดความสงสัยใดๆ ออกไปได้นอกเสียจากก้มหน้ารับประทานอาหารไปอย่างเงียบๆ รู้สึกอึดอัดที่ถูกจ้องโดยสายตาของใครบางคน แน่นอนอยู่แล้ว เขาไม่เจริญอาหาร เรียวมือที่จับช้อนค้นซุปครีมโดยไม่ตักมันเข้าปากหลังจากทานคำแรกไปเมื่อสิบนาทีก่อน

    “ซุปไม่ถูกปากหรือคะคุณคยูฮยอน” เป็นเสียงของแม่นมยองจาที่เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบบนโต๊ะอาหาร ซูโฮเหลือบสายตามองเจ้าของดวงตาเจือความเศร้าที มองใบหน้าของพี่ชายที เขารับรู้ถึงได้บรรยากาศความอึดอัดซึ่งแผ่ออกมาจากคนทั้งคู่

    “เปล่าครับ แค่รู้สึกไม่ค่อยหิว”

    “ทานเยอะๆ หน่อยนะคะคุณคยูฮยอน เดี๋ยวจะปวดท้องเอาระหว่างวัน”

    “ขอบคุณครับ แต่ตอนนี้ผมอิ่มแล้วจริงๆ คงต้องขอตัว” เรือนร่างโปร่งบางลุกขึ้นจากเก้าอี้ภายในห้องอาหารพร้อมกับเดินฉับๆ ออกไปเสียดื้อๆ ซูโฮมองตามหลังนั่นด้วยนึกสงสัย ก็ถ้าคนคนนี้อยู่ที่นี่ด้วยความเต็มใจคงไม่แสดงท่าทางแบบนั้น เป็นไปได้สูงมากที่พี่ชายของเขาไปแผลงฤทธิ์ใส่บรรณาการมนุษย์คนนั้นจนต้องยอมถวายตัวเข้ามาในวัง

    “พี่ชีวอน...ใจร้ายกับเขาคนนั้นมากไปรึเปล่า ผมไม่เห็นว่าเขาจะความสุขที่ต้องเข้ามาอยู่ในวังเลยสักนิด”

    “เดี๋ยวเขาก็ดีขึ้นเอง” ซูโฮยู่หน้าเมื่อพี่ชายบอกปัดคำพูดของเขาเสียอย่างนั้น

    “เขาจะดีขึ้นเองได้ยังไง ดูก็รู้ว่าเขากำลังขาดพลังในการใช้ชีวิต พี่ชีวอนเป็นคนทำให้เขาเป็นแบบนั้น พี่เองก็ต้องรับผิดชอบไม่ใช่หรือไง” ชายหนุ่มรูปหน้าคมสันวางช้อนจากการทานซุป เงยหน้าจ้องมองน้องชายคนเดียวผ่านท่าทีแกมดุ ซูโฮไม่หลบสายตาและมั่นใจว่าสิ่งที่ตนพูดมันถูกทุกอย่าง

    “อย่ายุ่งเรื่องนี้เลยซูโฮ เรื่องของผู้ใหญ่

    “พี่ชีวอนกำลังทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจต่างหากล่ะ!” พี่ชายของเขาก็ยังคงเป็นผู้ชายที่ยากจะอ่านความคิดได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย เด็กชายไม่ชอบใจนักหรอกที่ชีวอนหยิบเอาคำว่า เรื่องของผู้ใหญ่มาอ้าง เห็นๆ กันอยู่ว่าคนโตแต่ตัวที่แสร้งเย็นชาไปอย่างนั้นกำลังทำตัวเป็นเด็กที่อยากได้อะไรก็ต้องได้ต่างหาก มันน่าประหลาดใจดีแท้เมื่อผู้ชายเคร่งขรึมเอาการเอางาน ไม่ค่อยสนใจใครคนนี้มาทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจกับเครื่องบรรณาการมนุษย์คนนั้น แต่กับคิม ยูอี ซูโฮทราบดีว่าพี่ชายไม่ได้มีใจต่อเธอเลยแม้แต่น้อย

    หรือว่า...

    พี่ชายของเขากำลังเสียศูนย์เพราะเจ้าของเรียวหน้าหวานจัดคนนั้นกันล่ะ?

     

    องค์ชายเล็กมองว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว เพราะนั่นมันความหมายว่า พี่ชายของเขาเข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่า ความรักเสียแล้ว

     

    Talk*

    ตอนสองช่างห่างจากตอนแรกไปหลายวันเลยทีเดียว โงร้ยยยยยยยยย ซอรี่จริงๆค่ะ ไม่มีคำแก้ตัว อนุญาตให้เรียกเราว่านังทาสไรเตอร์ได้ตามใจ 555555555555 ตอนสองเรายังอยากปูเรื่องไปก่อน พ่อแง่แม่งอนไปก่อน ตอนสามคงเริ่มอีโรติกขึ้นนิดๆ แล้วล่ะ... (หวังว่าน่ะนะ ถถถ) นี่คือภาพเตียงในเรือนรับรองของยอนนะ เป็นแบบนี้

     

    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×