คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [SF] Evil and the Beast. [1/3]
ตอนที่ 1
ผมไม่เข้าใจ...
ความรักที่แสนจะเลิศหรูในทีแรก ตอนนี้กลับกำลังแตกสลายย่อยยับด้วยน้ำมือผู้ชายหัวใจโลเล นิสัยแย่ อดไม่ได้ที่ผมต้องกร่นด่าในใจไว้มากมาย หากแต่ตอนนี้ผมกลับได้แต่ยืนกำหมัด สกัดกั้นน้ำตาสีใส พลางตะโกนเรียกชื่อคนเกือบเลวสุดเสียง
“โอค แทคยอน!!! ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้าก็อย่าได้มาเจอกันอีกเลย!” ผมตะโกนอวยส่งผู้ชายคนนั้นเหมือนคนเสียสติ เขาแค่นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะก้าวเดินต่อไปตามทางเดินของสวนสาธารณะร้างผู้คน เขาก็คิดได้นะ มาขอเลิกผม ในที่ๆ เราพบกันครั้งแรก ผมแต่ได้จ้องมองแผ่นหลังกำยำนั้นเดินห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับสายตา
เหตุผลชั้นเยี่ยมที่เขาหยิบยื่นมาบอกผม ก็คือ เขาต้องเลือก เธอคนนั้น
เหอะ! ก็เพิ่งจะรู้ว่าผมกลายเป็นตัวเลือกของไอ้ผู้ชายพรรค์นั้นไปซะแล้ว...
ผมเดินกลับบ้านด้วยหัวสมองอันแสนจะยุ่งเหยิงบวกกับหัวใจที่ไม่เชิงเจ็บ แต่แทบจะแค้นใจ ว่ากันว่ายิ่งรักมาก ก็ยิ่งเกลียดเป็นทวีคูณ...นี่แหละ มันใช้ได้กับผมอย่างไม่มีข้อกังขา ผมผลักประตูรั้วบ้านด้วยอารมณ์คุกรุ่น ก้าวเท้าลงน้ำหนักจนเกิดเสียงดังปึงปัง ผมรู้สึกถึงสายตาของคุณป้าคิมขี้วีน ที่มองมาราวกับกำลังด่าทอและตักเตือนผมอยู่ในใจ
“แกจะเดินให้บ้านฉันมันพังไปเลยหรือไง” ว่าแล้วเธอก็เปล่งน้ำเสียงดังฟังชัด ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นผู้เลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เด็กๆ ผมคงไม่ยืนนิ่งให้เธอมองผมด้วยสายตาหยามเหยียดเป็นแน่ ผมผ่อนลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะโค้งขอโทษเธอ
“ขอโทษครับ” ผมตอบน้ำเสียงนิ่ง ถ้าผมทำตัวแบบนี้อย่างครั้งก่อนๆ เธอเป็นต้องดิ้นเร่าๆ แล้วสาธยายด่าผมจนเธอเหนื่อยไปเอง แต่ตรงข้ามกัน วันนี้เธอดูใจเย็นจนผมแทบไม่เชื่อสายตา ดวงตาคู่หยิ่งไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเธอจะเอื้อนเอ่ยประโยคอันแสนจะกำกวม
“ฉันมีอะไรให้แกทำ”
“ผม?”
“แกรู้ใช่ไหมว่าบ้านเรากำลังจะถูกธนาคารยึด แล้วถ้าไม่รีบหาเงินมาใช้หนี้ เราก็จะไม่มีที่ซุกหัวนอน”
“รู้ครับ” ผมตอบไปเพราะเรื่องนี้ผมก็รู้ดี แต่ถ้าเป็นปกติแล้ว คุณป้าคิมเป็นจำพวกไม่ค่อยเป็นเดือดเป็นร้อนว่าใครจะมาทวงหนี้ เจ้าหนี้มาทีไรเป็นต้องพ่นคำหยาบคายใส่กันจนพอใจ ถึงจะยอมเลิกรา ผมรู้ว่าเราคงต้องคุยกันอีกนาน ถึงได้เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามป้าคิมที่เอาแต่นั่งไขว้ห้างจ้องมองผมเหมือนกับกำลังนึกคิดอะไรบางอย่าง
“แกรู้จักคุณนายชเวใช่ไหม หล่อนน่ะเป็นหนี้บุญคุณฉันอยู่”
“แล้วไงครับ”
“ทางเดียวที่เราจะปลดหนี้ทั้งหมดได้ ก็คือ... แกต้องจับลูกชายคุณนายชเวให้ได้ซะ”
ผมถลึงตาโต ไม่ค่อยเข้าใจกับคำพูดของเธอสักเท่าไหร่ ผมก็พอจะรู้จักคุณนายชเวอยู่บ้าง เพราะหล่อนเป็นหญิงหม้ายลูกติดที่ร่ำรวยที่สุดในย่านนี้ ส่วนเรื่องเป็นหนี้บุญคุณป้าขี้วีนของผมเนี่ย ผมไม่ยักจะรู้
คุณป้าคิมเลิกคิ้วมองผมราวกับต้องการคำตอบ กลายๆ กึ่งบังคับให้ผมตกลง บอกได้เลยว่าตอนนี้ผมก็คงไม่มีทางเลือกมากสักเท่าไหร่ ถึงได้พยักหน้ารับ ในใจไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก...จะว่าผมเห็นแก่เงิน ก็เอาเถอะ...
“พรุ่งนี้ฉันจะพาแกไปหาคุณนายชเว อย่าลืมเล่นละครทำตัวน่าสงสารเข้าไว้ล่ะ”
แล้วทุกสิ่งอย่างก็เข้าล็อคคุณป้าคิมจอมเจ้าเล่ห์ บางทีผมอาจได้องค์หลากอารมณ์มาจากเธอก็เป็นได้ ตอนนี้ผมถึงได้บีบน้ำตาทำตัวน่าสงสารต่อหน้าหญิงวัยกลางคนที่ดูสาวกว่าวัยอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาของเธอมองผมด้วยท่าทีอ่อนโยน ไม่ต่างจากสายตาของคนเป็นแม่
ทั้งที่ผมกำลังบีบน้ำตาร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร แต่คุณป้าของผมก็ยังคงสาธยายเรื่องราวที่เธอสร้างขึ้นราวกับเนรมิต ว่าผมน่าสงสารอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ความเป็นจริง คุณป้าของผมต่างหากที่ฝ่ายต้องการเงินจำนวนมหาศาล
“เอาเป็นว่า ฉันจะให้คยูฮยอนไปอยู่กับลูกชายของฉันก็แล้วกัน อยู่คนเดียวคงจะเหงา มีคยูฮยอนไปอยู่เป็นเพื่อนคงจะได้อยู่กับร่องกับรอยบ้าง” ผมแอบสังเกตเห็นรอยยิ้มร้ายบนใบหน้าของคุณป้าคิม แต่กระนั้นเธอก็ยังคงปั้นหน้ายิ้มอย่างเป็นมิตรต่อไป เธอกล่าวขอบคุณ นายหญิงแห่งตระกูลชเว ซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่แหละครับ!...สุดยอดนักแสดงเมืองคานส์ตัวจริง
สรุปแล้วผมก็ต้องถูกส่งตัวไปอยู่กับลูกชายของคุณนายชเว คอนโดใจกลางเมืองที่ราคาแพงหูฉี่ จะมีก็แต่พวกคนรวยสมองกลวงเท่านั้นถึงจะมาอยู่ที่นี้ได้ ผมเดินตามร่างท้วมหน่อยๆ ของคุณป้าคิมจนเธอกดลิฟท์ชั้นที่ว่ากันว่าอยู่สูงที่สุดของที่นี้ ก้าวเดินไปตามทางเดินที่เปิดไฟไว้สลัวๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องในสุดของชั้นนี้
เธอกดกริ่งหน้าห้องครั้งหนึ่ง ไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของของแม่บ้านทำความสะอาด แทนที่จะเป็นเจ้าของห้อง
“เจ้าของห้องไม่อยู่หรอกคะ ดึกๆ ถึงจะกลับ มีอะไรหรือเปล่าค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะบอกเขาไว้ให้”
“ไม่มีอะไรฝากบอกหรอก แค่หลานฉันจะมาอยู่ที่นี้กับเจ้าของห้องนี้”
“หรอค่ะ งั้นเชิญค่ะ ดิฉันทำความสะอาดเสร็จพอดี” กล่าวเสร็จหญิงอายุวัยประมาณ 40 ปีก็ขนอุปกรณ์ทำความสะอาดออกจากห้องอันแสนจะหรูหรา ผมถูกคุณป้าคิมดุนหลังให้เข้าไปในห้องพร้อมกับกำชับนักกำชับหนาด้วยถ้อยคำที่ผมเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อหู
“หว่านเสน่ห์เข้าไว้นะแก” ว่าจบคุณป้าก็เพียงฉีกยิ้มกว้าง แล้วเดินจากไปจนผมเองก็ไม่รู้จะจับต้นจนปลายยังไง ตกลงแล้วคุณป้าแกต้องการแค่ส่งผมมาเป็นเหงื่อล่อหาช่องทางทำเงินของเธองั้นหรอ เหอะ! ก็เอาเถอะ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้คิดอะไรมาก จะได้เงินหรือไม่ได้ก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับผมหนิ
ผมก้าวเท้าเข้าไปในตัวห้องกว้างขวาง กวาดสายตาจ้องมองของตกแต่งโทนสีขาวดำ โดยรวมแล้วรสนิยมถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว จัดการวางกระเป๋าเป้ที่สะพายไว้บนบ่าลงบนโต๊ะกระจกหน้าจอเอลซีดีขนาดใหญ่พลางทิ้งกายนั่งลงบนโซฟาสีครีมนุ่มนิ่ม หัวของผมค่อยๆ ทิ้งลงบนพนักพิง พลางจ้องมองกรอบรูปถ่ายของผู้ชายหน้าตาดีที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสายตา
...มองเผินๆ แล้ว คนก็น่าจะเป็นคนดีล่ะนะ...
เสียงเปิดประตูและฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณที่ทำให้ผมรู้ว่าเจ้าของห้องเขากลับมาแล้ว ทั้งที่แม่บ้านบอกว่าจะกลับมาดึก แต่ตอนนี้เข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกาไม่ยักจะเฉียดเลข 12 มันยังเดินเอื่อยๆ แตะอยู่ที่เลข 9 ผมรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หากแต่ทันทีที่ร่างสูงใหญ่เห็นหน้าผม เขาก็ทำตัวราวกับเจอสัตว์ประหลาด
“นายเป็นใคร?” เขามีสีหน้าตื่นตะลึงเล็กน้อย นั่นทำให้ผมนึกสนุกกับแผนของคุณป้าคิมขึ้นมา ผมคลี่ยิ้มเต็มแก้มก่อนจะแนะนำตัวกับเขา
“ฉันชื่อ โจ คยูฮยอน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะมาดูแลนายในฐานะเพื่อนร่วมห้อง ยินดีที่ได้รู้จัก คุณชเว ซีวอน” สิ้นเสียงคำพูดของผม เจ้าของใบหน้าหล่อจัดที่ทำสีหน้าไม่ถูกในทีแรก กลับกดยิ้มที่มุมปาก พลางใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ปรายตามองผมด้วยท่าทางที่ผมเองก็ไม่ค่อยจะไม่เข้าใจนัก
“คุณแม่ส่งนายมางั้นสิ” ชเว ซีวอน ถามผมกลับทันควัน แน่ล่ะผมพยักหน้ารับ นั่นทำให้เขาถึงกับเค้นเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอ
“คุณแม่เล่นอะไรอีกล่ะ”
ถึงผมจะได้ยินเสียงบ่นงึมงำที่เล็ดรอดออกมาจากริมปากคมนั้น แต่ผมก็ยังคงใช้องค์หน้าด้านยืนส่งยิ้มหวานทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ผู้ชายตรงหน้ากำลังแผ่รัศมีแห่งความน่ากลัวออกมาเสียจนน่าอึดอัด
“ออกไปซะ... คุณแม่จ้างนายมาเท่าไหร่ล่ะ เอาเป็นว่าฉันจะจ่ายให้นายมากกว่านี้ ถ้านายออกไปจากห้องของฉันซะ” ถึงตอนนี้แล้ว จะใช้องค์ประทับไหนผมก็คงสุดจะทนเพราะคำพูดดูถูกที่ไม่เชื่อว่าจะออกมาจากปากคนหน้าตาดีมีชาติตระกูล แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังสามารถพอที่จะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมานอกจากส่งยิ้มให้แก่ผู้ชายคนนี้
“คงไม่ได้หรอกนะ...ฉันน่ะมาเพราะคำสั่งของแม่นาย ไม่ใช่เพราะเงิน ไม่เชื่อก็ไปถามแม่นายสิ” พอเขาได้ยินผมพูดอย่างนั้น คิ้วหนาก็ถึงกับเลิกสูง บางทีเขาอาจจะคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับเขา แต่ดูท่าทางแล้ว อีกไม่นาน ชเว ซีวอนจะต้องเดือดดาลแน่ๆ
“ว่าไงนะ”
“นายฟังไม่ผิดหรอก ฉันจะไม่ยอมออกไปจากที่นี่นอกเหนือคำสั่งของแม่นาย”
“ฉันบอกให้ออกไป ไม่เข้าใจหรือไง!” จู่ๆ เขาก็คำรามเสียงดัง ผมแอบผงะไปเล็กน้อยด้วยเพราะสีหน้าท่าทางของเขาดูน่ากลัวไม่หงอก แต่ขอโทษเถอะ ผมน่ะชินกับการถูกตะคอกเสียงดังๆ แบบนี้มาแล้ว เพราะผู้ชายที่ชื่อ โอค แทคยอนนั่นแหละ ถึงจะเสียงดังระดับเตะขีดสูงสุดของเดซิเบลขนาดไหน ผมก็ไม่ย่นย่อหรอก
จะว่าไป ผมก็อาจถูกองค์คุณป้าคิมสิงห์ร่างเป็นได้ ตอนนี้ผมถึงได้เรียกน้ำตามาคลอปริ่มอยู่ที่หน่วยตากลมแบบฉับพลัน เพียงแค่ผมกระพริบตาครั้งเดียวหยาดน้ำใสก็ร่วงหล่นไหลมาตามแก้มนวล ชเว ซีวอนมองภาพตรงหน้านิ่งๆ ก่อนจะเผยยิ้มอย่างคนรู้ทัน
“ฉันรู้ว่านายแค่เล่นละครตบตาฉัน เลิกเหอะ...เสียเวลา”
“รู้ซะด้วยแหะ” ผมใช้หลังฝ่ามือปาดน้ำตาก่อนจะเชิดหน้ามองใบหน้าคมคายอย่างไม่นึกเกรงกลัว ไม่ต่างอะไรไปจากเขาที่จ้องหน้าผมราวกับจะฆ่าจะแกงกัน ถ้าหากเขาคิดว่าผมกลัว เขาก็คงเสียเวลาเปล่า...ผมรู้สึกว่าแผนของคุณป้าคิมมันชักจะน่าสนุกขึ้นมาทุกๆ ทีแล้วล่ะสิ
“ตกลงจะไม่ออกไปใช่ไหม” เขาถามผมเสียงเย็น ผมหัวเราะหึในลำคอก่อนจะตอบกลับ
“ใช่”
“งั้นก็คงต้องเจอดี” ว่าแล้วเขาก็กระชากตัวผมเข้าไปหา ก่อนจะคร่อมตัวผมลงกับโซฟาตัวยาวข้างๆ ผมไม่นึกโกรธเรื่องที่เขาทำอะไรบ้าบอหรอกนะ แต่ไม่ชอบใจที่หมอนี่กระชากแขนผมจนเกือบร้าวต่างหาก ฝ่ามือหนาตรึงไหล่ของผมไว้แน่นก่อนเรียวปากจะระบายยิ้มกริ่ม
“อยากจะทำอะไรก็เชิญ ฉันรู้นะว่านายไม่ใช่พวกอย่างนั้น กลั้นใจทำได้งั้นหรอ” ชเว ซีวอน นิ่งไปครู่หนึ่ง ใช่...หมอนี่กำลังถูกผมตอกกลับเขาให้ ผมชันขาขึ้นเพื่อให้หัวเข่าแตะสัมผัสกับส่วนนั้นของเขา แน่นอนว่าใบหน้าคมแลดูเตลิดไปเล็กน้อย ยิ่งได้เห็นสีหน้าทำอะไรไม่ถูกของซีวอน ผมก็ยิ่งนึกสนุก จากที่แค่ยกขาขึ้นธรรมดาๆ ตอนนี้มือของผมก็เลยแกล้งเลื่อนไปจับที่หัวเข็มขัดหนังคล้ายจะปลดมันออก ถึงตอนนี้แล้วเป็นผมเองที่ถือไพ่เหนือกว่าร่างสูงใหญ่เก่งแต่ปาก หมอนั่นลุกพรวดขึ้นจากตัวผมพลางส่ายหน้ากับตัวเองอย่างหัวเสีย
“นายนี่มัน...”
“มันอะไร” หมอนั่นยกนิ้วชี้หน้าผมค้างไว้กลางอากาศพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมกำลังยิ้มเยาะอย่างไม่ปกปิด นั่นทำให้ซีวอนแลดูยิ่งควบคุมความโมโหไม่อยู่
“นายมันเดวิลชัดๆ คุณแม่ส่งคนร้ายกาจอย่างนี้มาได้ยังไง”
“ถ้าฉันเป็นเดวิล นายก็คงเป็นอสูรในคราบเทพบุตรล่ะมั้ง” ผมตอบกลับยิ้มๆ ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับสายตาเคืองโกรธของคนตรงหน้าเลยสักนิด ดวงตาคมกริบฉายแววไม่พอใจก่อนจะลดมือที่ชี้หน้าผมลงเปลี่ยนมาเป็นท้าวเอว เอียงคอมองหน้าผมเสียแทน
“นาย
“กลัวตายล่ะ...ฉันมีหน้าที่แค่ดูแลความเป็นอยู่ของนายเพียงอย่างเดียว ส่วนนายจะคิดทำอะไรก็ตามใจเถอะ แต่อย่าทำอะไรโง่ๆ ล่ะ ฉันขี้เกียจตอบคำถามแม่นาย!” ซีวอนถลึงตามองผมด้วยอารมณ์ที่สับสนปนเป ผมโค้งตัวให้เขาเล็กน้อยก่อนจะก้มลงหยิบเป้ที่วางอยู่ที่โต๊ะกระจกตัวเตี้ย หมุนตัวเดินไปยังห้องนอนว่างที่นายหญิงตระกูลชเวมอบให้ผมใช้เป็นห้องนอนส่วนตัวตลอดระยะเวลาที่พักอยู่ที่นี่ มือล้วงหยิบกุญแจห้องที่ได้มา กำลังจะไขกลอนประตูแล้วแท้ๆ หากแต่มือใหญ่กลับฉวยเอากุญแจดอกเล็กๆ นั่นไปชูขึ้นจนสุดแขน ผมซึ่งตัวเล็กกว่าผู้ชายตรงหน้ามาก ถึงได้กระโดดเหยงๆ หวังจะคว้ากุญแจห้องนอนกลับมาด้วยความยากลำบาก
“เก่งจริงก็เอาให้ได้สิ” ชเว ซีวอน กล่าวน้ำเสียงทะเล้น ผมตวัดตามองเขาเพราะรู้สึกเหนื่อยหน่าย หมอนี่กำลังทำตัวเด็กจนน่ารำคาญ ผมส่งเสียงฮึดฮัดในลำคออยู่นานก่อนจะคิดไม้เด็ดได้
“ประเมินฉันต่ำไปแล้วนะ” กล่าวเพียงเท่านั้น ผมก็กระโดดสุดตัว แต่หาใช่คว้าลูกกุญแจไม่ ผมตั้งใจเอาปากประทับกับปากของหมอนั่นก่อนจะกัดที่มุมปากสีอมส้มของผู้ชายตัวกวนจนเป็นฝ่ายเขาเองที่ต้องดิ้นหลุดออกจากผมอย่างง่ายดาย ผมรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ภายในปาก และแน่นอนว่าซีวอนกำลังยกหลังมือขึ้นปาดรอยเลือดที่มุมปากด้วยท่าทางเหมือนหมาบ้าโดนสาดน้ำ
“ย่าห์!!!...”
“ถ้าคิดว่าจะข่มเหงกันง่ายๆ ก็เลิกคิดซะเถอะ ฉันไม่เหมือนพวกผู้หญิงที่โอนอ่อนให้นายหรอกนะ” ผมคว้าเอากุญแจห้องที่ตกกับพื้น สะบัดหน้าใส่คนที่ร้อนจนได้ที่ ไขกลอนเข้าห้องก่อนจะปิดบานประตูสีขาวเสียงดังสนั่น แว่วตามมาด้วยเสียงสบถด่าของชเว ซีวอนที่ฟังไม่ถนัดนัก ผมแค่ระบายยิ้มขำ ไม่คิดว่าคนหน้าตาดูเป็นคนดีจะเป็นเอามากได้ถึงขั้นนี้
...ใช่อยู่...ว่าผมมาที่นี่ด้วยเหตุผลอันแสนละโมบของคุณป้าคิม
แต่เพราะ ตัวแปรนิสัยเสียนี่สิ กำลังทำให้ผมนึกสนุกอยากจะอยู่ที่นี่นานๆ เข้าแล้ว!
ผมตื่นเช้าขึ้นมาด้วยสภาพคนนอนเต็มอิ่ม ลุกขึ้นทำอาหารเช้าอย่างง่ายๆ ให้พ่อเทพบุตรหล่นจากสรวงสวรรค์ เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวเข้ามาใกล้เคาน์เตอร์ครัวมากขึ้น อดไม่ได้ที่ผมจะเงยหน้ามองผู้ชายนิสัยเสียให้เต็มตา ไม่ลืมที่เอ่ยทักอรุณสวัสดิ์ แต่พ่อคุณก็หยิ่งจนน่าหมั่นไส้ ตาคมปรายตามองผมผ่านๆ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเอากระป๋องเบียร์ออกมาซะอย่างนั้น
“ตื่นเช้าก็ดื่มเบียร์แล้วงั้นหรอ...เสียสุขภาพนะ จะบอกให้” ไม่มีอะไรไปมากกว่าเสียงหัวเราะอย่างเค้นๆ หมอนั่นวางกระป๋องเบียร์ลงบนเคาน์เตอร์พลางจ้องหน้าผมด้วยสายตาแกมดุ
“ยุ่ง”
“งั้นก็ตามใจ...ร่างกายนายหนิ ใครสนล่ะ ดื่มเอง โทรมเอง”
“...นายกัดปากฉันทำบ้าอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น จับได้ถึงความไม่พอใจอย่างสุดขีด ผมที่กำลังหันหลังตระเตรียมอาหารเช้าก็ได้แต่กลอกตาไปมา ...นั่นน่ะก็เพราะนายเองยั่วโมโหฉันไม่ใช่หรือไง! ผมได้แต่คิดนึกโทษอยู่ในใจ แต่กระนั้นผมก็เพียงแค่หันไปยิ้มหวานตามแบบฉบับ
“นายกวนฉันเอง ช่วยไม่ได้”
“เหอะ! งั้นหรอ” เขาตอบผมกลับด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารเช้าด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ผมเลื่อนมือไปหยิบกระป๋องเบียร์ที่ยังเหลืออีกค่อน ทิ้งลงถังขยะซะ...แทนที่หมอนั่นจะร้องโวยวายแต่ซีวอนกลับใช้สายตามองผมนิ่ง ส่ายหน้ากับตัวเองเบาๆ ก่อนจะรินน้ำเปล่าดื่มเสียแทน ก็ดีไป...ผมป่วยการนักที่จะเถียงกับคนนิสัยโตแต่ตัวแบบนี้
พอใกล้เที่ยง ชเว ซีวอนก็เพิ่งคิดได้ว่ามีธุระ เห็นว่า...กับแฟนสาว หมอนั่นกุลีกุจอวิ่งเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว จัดการกับตัวเองเสร็จสรรพ เดินสบายตัวออกมาจากห้องแต่งตัวด้วยลุคส์ผู้ชายมาดผู้ดี เอาเป็นว่าซีวอนถือเป็นผู้ชายที่แต่งตัวจัดใช่เล่น ผมก็แค่คิดว่าถ้าเขาเอาสมองอันฉลาดเป็นกรดเรื่องทำตัวหล่อไปวันๆ ไปช่วยแม่บังเกิดเกล้าบริหารงานในบริษัทเห็นจะดีกว่าเป็นพันเท่า
ก่อนซีวอนจะออกไป ผมซึ่งกำลังใช้แลปทอปส่วนตัวทำวิทยานิพนธ์เตรียมจบก็ต้องหันไปตามต้นเสียงที่ตะโกนมาจากหน้าห้องประตูห้อง
“คืนนี้น่ะ...จะดีมาก ถ้านายไม่อยู่ที่ห้อง” พูดจบร่างสูงใหญ่ก็ปิดประตูห้องเสียงดังเหมือนประชดกัน ผมได้แต่ระบายยิ้มเล่ห์ เสียใจด้วยนะ ไม่ว่าซีวอนจะพาผู้หญิงมาเริงร่าที่คอนโด ผมก็จะอยู่เป็นก้างขวางคอให้รำคาญเล่นไปเลย
RRRRRR
ผมหยิบมือถือที่นอนส่งเสียงร้องขึ้นมารับสาย เพราะคนที่โทร. เข้ามาก็คือ คุณป้าคิม ประโยคแรกที่เธอเอ่ยกับผมก็คงหนีไม่พ้นเรื่องแผนการปลดหนี้ด้วยวิธีการกันแยบยลเป็นแน่
‘เป็นไงบ้าง...มีความคืบหน้าอะไรไหม’
“ก็ยังไม่มีอะไรหนิครับ...”
‘รีบทำให้ลูกชายคุณนายชเวหลงแกเร็วๆ ล่ะ’ ผมขมวดคิ้วตึง แอบถอนหายใจเล็กน้อยกับคำพูดแสนเอาแต่ใจของคุณป้าวัย 40 ปลายๆ จะทำให้หมอนั่นหลงผมได้ยังไง ในเมื่อกะอีแค่จะทำอะไรผมเขายังไม่กล้าเลย เอาแต่ร้องโวยวาย คำรามใส่ผมไม่หยุดหย่อนขนาดนี้
“ชเว ซีวอนน่ะ เขาไม่ได้ชอบผู้ชายนะครับป้า คงยากหน่อยที่แผนของคุณป้าจะสำเร็จ”
‘แกก็ทำให้เขาทั้งรักทั้งหลงแกให้ได้สิ...ใกล้ชิดกันขนาดนั้นไม่หวั่นไหวก็ให้มันรู้ไป อีกอย่างหรือแกไม่อยากมีที่ซุกหัวนอน ทำแผนของฉันให้สำเร็จก็เป็นพอ’ ว่าแล้วเธอก็ตัดสายฉับ ไม่รีรอให้ผมได้โต้เถียงอะไรกลับไปอีก แล้วแต่คุณป้าคิมแกจะคิดก็แล้วกัน ผมก็จะอยู่ของผมอย่างนี้นี่แหละ หมอนั่นจะหลงไม่หลงผมมันอีกเรื่องหนึ่ง
...ผมว่าผมลืมอะไรไปอย่างหนึ่งนะ
...ใช่...
ผมลืมไปเลยว่าวานเมื่อก่อนเพิ่งเลิกกับผู้ชายใจโลเลหนิ...ทั้งที่ผมน่าจะเสียใจ เพราะเราต่างก็คบกันมาเกือบ 2 ปี แต่จู่ๆ หมอนั่นก็บอกเลิกผมด้วยเหตุผลที่แสนจะฟังขึ้นหู น่าแปลกใจอยู่นะที่ทั้ง โอค แทคยอน และ ชเว ซีวอน มีความเหมือนกันอยู่หลายอย่าง แต่ก็นะคนเราก็ย่อมมีส่วนที่แตกต่างกัน แทคยอนเป็นผู้ชายที่ใช้วาจาและคำพูดที่สวยหรู แตกต่างจาก ซีวอนที่ปากร้ายจนน่าหงุดหงิด แทคยอนโมโหแบบเงียบๆ แต่ซีวอนโมโหเหมือนฟ้าจะถล่ม จะว่าไปพวกเขาสองคนเหมือนกันที่รูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นลูกคนรวย ดูเป็นผู้ดีล่ะมั้ง มองเผินๆ แล้วสไตล์การแต่งตัวก็ยังเกือบจะคล้ายกันเลย
ผมนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่คอนโดพลางเขียนวิทยานิพนธ์ด้วยหัวสมองกันโล่งโปร่ง พอมองนาฬิกาอีกที เข็มสั้นก็ชี้ไปที่เลข 7 ตอนนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเข้มพร้อมๆ กับหมู่ดาวที่เริ่มปรากฏตัว ผมก้าวเดินไปยังระเบียงนอกห้องทอดอารมณ์มองวิวทิวทัศน์ในกรุงโซลที่แลดูวุ่นวายเพราะด้วยความที่เป็นเมืองหลวง สักพักเสียงเคาะประตูดังปึงปังก็เรียกความสนใจจากผมได้ไม่น้อย เดินตรงไปมองที่จอขนาดเล็กที่กำลังฉายภาพสีหน้าร้อนรนจนหน้าขำของ ชเว ซีวอน
ทันทีที่เปิดประตูหมอนั่นก็ฉุดมือผมให้เดินตามจนขาแทบพันกัน ฝ่ามือหนาจัดการเปิดประตูห้องนอนผมออก ก่อนจะลากตัวผมเข้าไปคุยราวกับกำลังถูกไฟลนก้น
“ซูจองจะมาที่นี่ นายต้องซ่อนตัวไม่ให้เธอเห็น” ผมเอียงคอมองซีวอนแสร้งทำเหมือนไม่ค่อยเข้าใจกับคำพูดของเขา ผมรู้อยู่เต็มอกหรอกนะว่ายังไง หมอนี่ก็ต้องมาแฟนมาที่คอนโดฯ แล้วทำไมผมต้องซ่อนตัวด้วยล่ะ ผมไม่ใช่แรงงานหนีเข้าเมืองสักหน่อย ผมมาอยู่ที่นี่เพราะคำสั่งของคุณนายชเว ผมมาอย่างถูกต้องนะ...
“งั้นหรอ...อื้ม...โอเค ฉันจะอยู่แต่ในห้อง” ผมรับปากเขาอย่างว่าง่าย ทั้งที่ในใจวางแผนเป็นฉากๆ แล้วเรียบร้อย ซีวอนมีสีหน้าทีผ่อนคลายมากขึ้นก่อนจะก้าวฉับๆ ออกจากห้องของผมด้วยใบหน้าที่ระบายยิ้มเต็มแก้มอย่างไม่ปกปิด ผมแอบลอบยิ้มกับตัวเองพลางนั่งลงบนเตียงนุ่มรอเวลาให้เจ้าหล่อนของซีวอนย่างกายเข้ามาที่คอนโดอย่างใจจดใจจ่อ
...งานนี้มีเฮแน่ๆ ชเว ซีวอน!
ไม่นานนัก ผมก็ได้ยินเสียงพูดคุยกระหนุงกระหนิง เสียงหนึ่งเป็นของผู้ชายจอมเอาแต่ใจและแน่นอน เสียงเล็กๆ แหลมๆ เห็นจะเป็นของแฟนสาวของซีวอนเป็นแน่แท้ ผมเดินไปที่หน้ากระจกจ้องมองร่างของผมในตอนนี้ จัดการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ใส่ให้ลึกลงมาจนถึงช่วงอก เปลี่ยนกางเกงจากยีนส์ขายาวเป็นกางเกงขาสั้นที่สั้นขึ้นมาครึ่งต้นขา นานๆ ทีถึงจะหยิบมันมาใส่สักครั้ง ยีทรงผมสีน้ำตาลอ่อนให้ดูยุ่งเหยิงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน
“ซีวอนค่ะ ห้องนี้ห้องอะไรหรอ” ดูเหมือนเธอคนนั้นจะสงสัยว่าทำไม ซีวอนที่อยู่ตัวคนเดียวถึงได้มีห้องนอนถึงสองห้อง ทีแรกผมก็สงสัยเหมือนกัน แต่ก็พอจะรู้อยู่หน่อยๆ ว่าหมอนี่กะยกถวายหัวให้แฟนสาวในอนาคตแหงๆ เผลอๆ อาจทิ้งห้องให้ร้างและลากแฟนไประเริงรักทั้งคืนมากกว่า...
“ห้องนอนน่ะ ผมกะจะให้คุณอยู่ในอนาคตไง” นั่นไง ถูกต้องอย่างที่ผมคิด ตอนนี้แล้วผมกำลังกรีดยิ้มกว้าง ยื่นมือไปหยิบขวดน้ำหอมที่วางอยู่ใกล้มือที่สุดก่อนจะปล่อยมันลงกับพื้น ...มันเกิดเสียงดังปังพอที่จะทำให้ใครข้างนอกได้ยิน ขวดน้ำหอมไม่ได้แตกกระจายเพราะเป็นขวดแก้วเนื้อแข็ง ฉับพลันเสียงผู้หญิงคนนั้นก็ดังขึ้นมาอีก
“มีใครอยู่ที่นี่อีกหรือเปล่าค่ะ” คราวนี้ผมรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจที่ต้องกดเก็บของเธอ แต่ให้ทายสิว่าตอนนี้เธอคงกำลังแค่ทำสีหน้านิ่งเฉย ทั้งที่ใจจริงร้อนไปกว่าครึ่ง
“ไม่มีหนิครับซูจอง” แล้วก็เข้าสเต็ปที่ซีวอนต้องเอ่ยปฏิเสธ ผมรู้อยู่หรอกว่าถึงหมอนั่นจะบอกปัดยังไง แม่คุณทูนหัวก็คงไม่มีทางปักใจเชื่อเป็นแน่ ผู้หญิงน่ะถ้ามีอะไรมาสะกิดต่อมความสงสัยเข้าหน่อย รับรองไม่มีรายไหน ปล่อยความสงสัยให้ล่องลอยหายไปเฉยๆ หรอก
“แต่ซูจองแค่อยากรู้ว่าห้องนี้ไม่มีใครจริงๆ” สิ้นเสียงคำพูดชัดถ้อยชัดคำของเธอ ก็เกิดเสียงกุกกักชุลมุนเล็กน้อย ไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของหญิงสาวร่างบางผมสยายดัดลอนสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาหวานค่อนไปเยือกเย็นคมจ้องเขม็งมายังผมที่กำลังนั่งรอเวลาระเบิดตูมตามอยู่ที่เตียงพอดิบพอดี ผมแค่หันไปยิ้มบางก่อนจะปรายตามองซีวอนที่ยืนกุมขมับอยู่ข้างหลัง
“คุณเป็นใคร? มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? รู้จักกับซีวอนงั้นหรอ?” เธอแสดงสีหน้าตระหนกไปเป็นครู่ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยประโยคคำถามออกมาชนิดคนถูกถามอย่างผมไม่รู้จะเลือกตอบคำถามไหนดี
“แล้วคุณคิดว่าคนที่นอนอยู่ในห้องนี้จะมีความสัมพันธ์กับแฟนของคุณในรูปแบบไหนล่ะ รู้จักกันเพียงผิวเผิน หรือลึกซึ้งไปมากกว่านั้น...” ผมตอบกลับน้ำเสียงเรียบแฝงไปด้วยความนัย ซูจองก็ถึงกับกัดฟันกรอด ภาพลักษณ์หวานๆ คล้ายจะพังทลาย...เธอไม่ได้โต้ตอบอะไรเพียงแค่เชิดหน้าใส่ผมที่เอาแต่ยิ้มบางให้ พลางหมุนตัวหันหลังเดินชนไหล่ซีวอนเต็มแรง สาวก้าวออกจากห้องด้วยท่าทางที่บอกได้คำเดียวว่า...น่ากลัวแบบสุดๆ
“ทำอะไรน่ะ แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้...” ซีวอนร้องโวยวายเสียงดังตามธีมประจำของเขา ดวงตาคมกำลังจ้องมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเบือนหน้าหนีราวกับไม่อยากต้องสายตากับผมที่จ้องตอบเขาอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ก็ไม่ทำไมหรอก” ผมตอบเขากวนๆ พลางก้าวเข้าไปประชิดตัวเขา ท่าทางของซีวอนทำเอาผมต้องลอบยิ้มซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะนอกจากจะไม่ยอมมองหน้าผม เขายังเอาแต่ผ่อนลมหายใจร้อนๆ หลายต่อหลายครั้งราวกับสงบสติอารมณ์เท่าที่ความสามารถของเขาจะพึงมี ยิ่งเห็นผมก็ยิ่งนึกสนุก แสร้งยกขึ้นคล้องคอซีวอนไว้ก่อนจะกระพริบตาปริบจ้องหน้าหล่อจัดในระยะใกล้ รับรู้ถึงท่าทีรนรานของหมอนี่จนเกือบหลุดขำ
“ฉันไม่ได้ชอบผู้ชายนะ อย่ามายั่วกันหน่อยเลย”
“งั้นหรอ...อันที่จริง ทีแรกฉันก็ไม่ค่อยสนใจนายสักเท่าไหร่หรอก แต่เพราะนายเป็นอย่างนี้ไง ฉันถึงได้...”
“ถึงได้...อะไร”
“ชอบนายยังไงล่ะ”
ใครที่เล่นบ้านวอนนาบี น่าจะเคยอ่านเรื่องนี้นะ
กลับไปอ่านแล้วชอบ เกิดอาการคันไม้คันมืออยากแต่งต่อ เลยเอามาลงชิมลางเสียก่อน...
ความคิดเห็น