คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 8 You got me going crazy
“สวัสดีครับป้า ที่นี่มีห้องว่างมั้ยครับ?”
เสียงทุ้มๆที่ดังขึ้นทำให้หญิงวัยกลางคนที่กำลังหมกมุ่นกับตัวเลขในบัญชีเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงทันที...เด็กหนุ่มอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปี คิ้วเข้มพาดตรงตัดกับใบหน้าขาวเนียน กำลังส่งยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรเต็มที่....
“เธอจะเช่าเหรอ”
เจ้าของหอพักเอ่ยถามพร้อมกับมองลอดแว่นไปที่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่หลังของเขา ซึงรียิ้มกว้าง รีบหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาทันที
“ใช่ครับ ผมจะเช่าแบบรายเดือนน่ะครับ คือผมเพิ่งเข้ามาเรียนมหาลัยตรงนี้ แต่ยังหาหออยู่แถวๆนี้ไม่ได้เลยครับ”
“เธอมาเอาป่านนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ หอแถวนี้เต็มหมดแล้ว”
“แล้วที่นี่...”
“เต็มแล้วเหมือนกัน”
คำตอบของคุณป้าทำให้เด็กหนุ่มถึงกับคอตกด้วยความผิดหวัง เขายืนหมดอาลัยตายอยากอยู่ครู่หนึ่งก็ขยับจะเดินออกไป ป้าเจ้าของหอเหลือบมองธนบัตรที่แพลมออกมาจากกระเป๋าเงินของเขาแล้วเอ่ยขึ้นกะทันหัน
“แต่ที่จริงก็ว่างอยู่ที่นึงนะ”
“จริงเหรอครับ??”
ลีซึงฮยอนหันมาถามเจ้าของหอทันที ตาโตๆคู่นั้นมีประกายแห่งความหวังวิบวับ คุณป้าที่ยังไม่ละสายตาจากเงินวอนพยักหน้าเล็กน้อย
“จริงสิ แต่มันเป็นห้องรวมนะ เธอต้องอยู่ร่วมกับเจ้าของห้องเดิมแบบไม่มีอะไกั้น แต่ที่จริงแล้วพื้นที่ห้องก็กว้างเหมือนมีสองห้องในห้องเดียวนั่นแหละ”
“ถ้างั้นตกลงเลยครับ ผมอยู่ได้”
เด็กหนุ่มรับคำอย่างกระตือรือร้น ทว่าข้อแม้ของหญิงวัยกลางคนก็ยังไม่หมด...
“แต่...ต้องจ่ายราคาเต็มนะ”
*
*
*
กุญแจดอกเล็กๆ ถูกโยนให้ลอยขึ้นเล็กน้อยก่อนจะร่วงลงมาในอุ้งมือตามเดิม ลีซึงฮยอนยิ้มแป้น มองกุญแจในมืออย่างสบายใจ
“ในที่สุดชั้นก็ได้แกมาแล้ว จบกันทีภารกิจเดินตามหาที่ซุกหัวนอน เฮ่อ....”
เด็กหนุ่มระบายลมหายใจก่อนจะกดลิฟต์ไปยังชั้นที่ตัวเองพักอยู่ เลขห้าเรืองแสงขึ้นมาทันที ไม่ใช่เพราะซึงรีเป็นคนกด แต่เป็นนิ้วเล็กๆของอีกคน....
“เฮ่ย!!”
ทั้งสองคนหลุดอุทานออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ซึงรีมองเด็กสาวร่างบางในชุดนักเรียนม.ปลายแล้วยกมือขึ้นชี้หน้าเธอ เป็นจังหวะเดียวกับที่ซอนมีชี้หน้าเขาพอดี
“ยัยแบนราบ!!”
“ไอ้ขอบตาดำ!!!”
ฉายาที่คนรับไม่ได้เต็มใจหลุดออกมาจากปากแทบจะพร้อมกัน ซึงรีตาลุกวาว
“นี่เธอด่าชั้นว่าไงนะ!!”
“แล้วนายด่าชั้นว่าอะไรล่ะ!!”
“ชั้นเป็นพี่เธอนะเว้ย เรียกชื่อให้มันดีๆหน่อย!!”
“ชั้นก็เป็นน้องนายนะเว้ย ทำไมต้องพูดมึงมาพาโวยด้วยล่ะ!!”
“เธอมาที่นี่ได้ยังไง ยัยกุ้งแห้ง!!”
“โว๊ะ....ยังมีหน้ามาถามอีก ชั้นต่างหากที่ต้องถามว่านายมาหาพระแสงดาบง้าวอะไรที่นี่ อีตาแพนด้าหน้าหื่น!!”
ทั้งคู่ตะเบ็งเสียงใส่กันจนหอบเหนื่อย แต่ก็ไม่ยอมเลิกฟาดฟันอีกฝ่ายด้วยสายตา และในตอนนั้นเอง เสียงลิฟต์ก็ดังขึ้นพอดี....
“ติ๊ง....”
ซอนมีกับซึงรีหันขวับไปมองลิฟต์ ก่อนจะหันกลับมาสบตากันอย่างพร้อมเพรียง....
ประหนึ่งมีเสียงนกหวีดให้สัญญาณ ร่างสูงกระโจนเข้าหาลิฟต์แทบจะทันที แต่ความเร็วนั้นก็ยังช้าไปสำหรับซอนมี เด็กสาวคว้ากระเป๋าใบโตของเขาได้ทันแถมยังออกแรงดึงจนคนตัวใหญ่กว่าหน้าหงาย ร่างบางจะฉวยโอกาสวิ่งเข้าไปในลิฟต์ แต่ซึงรีก็ไม่ยอมง่ายๆเหมือนกัน ทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่พักหนึ่งซึงรีก็พลาดท่าถูกขัดขาจนล้มลงไปนอนเค้เก้ ได้แต่มองเด็กสาวจอมแสบที่กระโดดแผล็วเข้าไปอยู่ในลิฟต์แล้วด้วยความเจ็บใจ
“ยัยเด็กนรก ฝากไว้ก่อนเถอะ!!!”
“รีบมาเอาคืนนะจ๊ะ รออยู่>O<”
ซึงรีลุกขึ้นมองประตูลิฟต์ที่ปิดลงไปพร้อมกับใบหน้ายียวนกวนเบื้องล่างของเด็กสาว ตากลมโตของชายหนุ่มตวัดไปมองบันไดด้วยความมุ่งมั่น
“ให้มันรู้กันไปว่าซึงรีคนนี้จะเอาชนะยัยเด็กบ้านี่ไม่ได้ ชั้นห้าก็ชั้นห้าวะ สู้ตายโว้ย!!”
*
*
*
“ติ๊ง
”
ในที่สุด ประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออกที่ชั้นห้า ลีซอนมียื่นหน้าออกมามองสำรวจไปรอบๆ แล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ร่างบางเดินยืดออกมาได้ไม่นานก็ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าสลับกับเสียงหอบใกล้เข้ามา เด็กสาวถอยหลังไปดูที่บันไดทันที...
ร่างสูงของเด็กหนุ่มที่มีกระเป๋าใบโตสะพายหลังกำลังวิ่งขึ้นบันไดมาประหนึ่งว่ากำลังฝึกทหาร หน้าคมที่เคยขาวโดดเด่นตอนนี้กลับแดงเถือก เหงื่อกาฬแตกพลั่กด้วยความเหนื่อยถึงขีดสุด แต่พอเห็นร่างบางอยู่ไม่ไกลเขากลับมีแรงเพิ่มความเร็วขึ้นมาได้อีก
“โว๊ะ...วิ่งขึ้นบันไดมาชั้นห้าเนี่ยนะ....อีตานี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ-*-”
ซอนมีพึมพำพร้อมกับโกยแน่บไปที่ห้องของตัวเอง เด็กสาวรีบล้วงกุญแจขึ้นมาราวกับว่าถ้าเข้าห้องก่อนได้จะเป็นฝ่ายชนะ แต่ยังไม่ทันจะเอากุญแจมาไข ก็มีคนชิงตัดหน้าเสียบกุญแจเข้ากับลูกบิดเสียก่อน...
“อีตาแพนด้า ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย มายุ่งอะไรกับห้องคนอื่น ไปเปิดห้องตัวเองซี”
“ห้องคนอื่นอะไร ก็นี่มันห้องชั้น!!”
ซึงรีเถียงคอเป็นเอ็น ถ้าไม่ใช่ห้องเขากุญแจมันจะเปิดได้ยังไง ยัยเด็กนี่บ้าไปแล้วหรือเปล่า
“ห้องนายที่ไหน นี่มันห้องชั้นต่างหาก!!”
ซอนมีโวยกลับพร้อมกับดึงกุญแจเขาออกแล้วเปิดประตูด้วยกุญแจตัวเอง เด็กสาวหันมายักคิ้วให้กวนๆ เมื่อเปิดประตูได้จริงๆ ซึงรีนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง....
“อึ้งเลยล่ะสิ ก็บอกแล้วว่านี่ห้องช้าน....”
ลีซอนมีพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อซึงรีลองเปิดประตูด้วยกุญแจของเขาแล้วมันก็เปิดได้เหมือนกัน ซึงรีทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง
“ทำไม?? ทำไมต้องเป็นยัยบ้านี่ด้วยวะเนี่ย?!”
*
*
*
ร่างโปร่งในชุดสูทลำลองสีขาวดำนั่งเคร่งเครียดอยู่กับกองเอกสารที่วางเป็นกองพะเนินอยู่บนโต๊ะ ควอนจียงใช้สายตาคมๆของตัวเองมองลอดแว่นไปที่ตัวอักษรในกระดาษตรงหน้าราวกับจะไม่ให้หลุดไปแม้แต่ตัวเดียว
แต่แล้วท่าทางจริงจังนั้นก็มีอันต้องมลายหายไป เมื่อจู่ๆ ภาพของใครบางคนดันลอยขึ้นมาในหัว.....
ตากลมโตคู่นั้น....กลิ่นหอมอ่อนๆของร่างเล็ก...กับริมฝีปากที่นุ่มนิ่มราวกับไม่เคยมีใครสัมผัสมาก่อน....
ให้ตายเถอะ....ยัยบ้านี่ตามหลอกหลอนเขาได้ทั้งวี่ทั้งวัน!!
“โอ๊ย!! หงุดหงิดโว้ยยยย!!”
จียงร้องขึ้นดังๆอย่างหัวเสีย ทำเอาฮยอนซึงที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามายืนเอ๋อไปชั่วขณะหนึ่ง เลขาหนุ่มมองเจ้านายที่โยนแฟ้มลงกับพื้นแล้วกุมขมับตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ
“จะ....เจ้านาย....เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่รู้ สงสัยจะเป็นบ้า....”
จียงตอบคำถามฮยอนซึง แต่กลับทำท่าเหมือนพึมพำอยู่คนเดียวมากกว่า เลขาหนุ่มทำหน้าเหวอ
“บะ...บ้าจริงๆเหรอครับ...”
จียงไม่สนใจเลขาแสนซื่อของเขา ชายหนุ่มหมุนเก้าอี้ให้หันไปหาหน้าต่างกระจกเบื้องหลัง สูดลมหายใจลึกอย่างตั้งสติ...ใช่แล้ว...มีงานเหลือให้เคลียร์อีกตั้งเยอะ ทำไมเขาจะต้องเสียเวลามาคิดเรื่องนี้ด้วย เรื่องแค่นี้มันกระจอกเกินไปสำหรับคาสโนว่าอย่างเขา
ก็แค่จูบ...
ที่สำคัญ มันก็ไม่ใช่จูบแรกระหว่างเขากับยัยเด็กแสบนั่นสักหน่อย....
จียงคลายยิ้มออกมาได้ ชายหนุ่มจะหันกลับไปหาฮยอนซึงอยู่แล้ว ถ้าสมองไม่เถียงขึ้นมาเสียก่อน....
แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งแรก....
ก็ครั้งนี้....เขาเป็นคนเริ่มก่อนนี่นา....
“โอ๊ยยย!! เมื่อไหร่จะหยุดคิดได้สักทีเนี่ย!!”
จียงร้องขึ้นอีกรอบด้วยความหงุดหงิดใจ คุณเลขาจางหน้าเหวอหนักกว่าเก่า ชายหนุ่มค่อยๆ วางแฟ้มงานลงบนโต๊ะอย่างระแวดระวัง แต่แล้วจียงก็ทุบโต๊ะดังปัง ทำเอาคนที่ระแวงอยู่แล้วสะดุ้งเฮือก
“ฮยอนซึง!!”
“อะ...อันนี้แฟ้มงานที่จะให้เซ็นครับ เป็นรายงานงบประมาณประจำปีของฝ่ายการตลาด ส่วนอันนี้ก็แฟ้มรายละเอียดบริษัทออแกไนซ์ที่จะร่วมงานกับเราในไตรมาสหน้า...”
หนุ่มหน้าหวานละล่ำละลักรายงานด้วยความตกอกตกใจ จียงจ้องเขาเขม็ง
“ชั้นถามอะไรหน่อย”
“ถะ...ถามอะไรครับ”
“นายพอมีวิธีที่จะทำให้ชั้นไม่ต้องแต่งงานบ้างมั้ย”
คำถามกำกวมของเจ้านายทำให้จางฮยอนซึงกลอกลูกตาไปมา
“มะ...ไม่มีครับ”
“ไม่มีไอเดียอะไรบ้างเลยหรือไง เคยดูละครหลังข่าวบ้างมั้ย พวกวางแผนกำจัดคนที่จะแย่งมรดกอะไรแบบนี้...”
“ถ้าเจ้านายไม่อยากแต่ง ก็บังคับคุณมินมินสิครับ”
เลขาหนุ่มเสนอด้วยสีหน้าแสนซื่อ จียงถอนใจอย่างเซ็งๆ
“ถ้าทำได้ง่ายขนาดนั้นชั้นจะมานั่งปวดหัวอยู่ที่นี่ทำไมล่ะ นายก็รู้ว่ายัยเด็กนั่นบังคับได้ที่ไหน ขู่ก็แล้ว เห่าก็แล้ว กัดก็แล้ว ทนทายาดชะมัด”
“งั้นก็แบล็กเมล์สิครับ มอมเหล้าแล้วจัดฉากว่ามีอะไรกัน ผมเห็นหนังทุกเรื่องทำแล้วได้ผลทู้กที”
ฮยอนซึงเสนอต่อด้วยความตื่นเต้น จียงเหล่มองเขาเล็กน้อย เลขาหนุ่มหน้าเจื่อน
“แหะๆ.....ไม่เวิร์คเหรอครับ...”
“เออ....ทำอย่างนั้นมีหวังจะได้แต่งเร็วขึ้นน่ะสิ มอมเหล้าแล้วจัดฉากว่ามีอะไรกันเนี่ยนะ ถ้ามอมเหล้าแล้วบังคับอย่างอื่นก็....ว่าไปอย่าง...”
ดวงตาของจียงเป็นประกายขึ้นมาอย่างคนที่คิดอะไรออก ในขณะที่ฮยอนซึงยังมองเจ้านายอย่างตามไม่ทัน
“ฮยอนซึง ถ้าเราจดทะเบียนสมรสไปแล้ว เราแต่งงานซ้ำซ้อนไม่ได้อีกใช่มั้ย”
“ชะ....ใช่ครับ ทำไมเหรอครับ”
เลขาหนุ่มรับคำแล้วถามต่ออย่างไม่เข้าใจอยู่ดี ร่างโปร่งหัวเราะหึๆ ดวงตาที่เปล่งประกายฉายแววเจ้าเล่ห์อีกครั้ง...
“แล้วถ้าชั้นมอมเหล้ายัยนี่ให้เซ็นใบทะเบียนสมรสกับนายล่ะ
.??”
*
*
*
ดึกแล้ว...
คิมยูบินยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าห้องทำงานของผู้เป็นสามี...ในมือถือแก้วนมอุ่นๆ ที่ตอนนี้ใกล้จะเย็นเต็มทน เพราะเธอยืนลังเลอยู่ตรงนี้นานเกินไป....
กลัวว่าถ้าเข้าไปแล้ว...จะเป็นเหมือนคืนนั้น...
“เอาออกไป ชั้นไม่กิน”
น้ำเสียงปฏิเสธที่แสนจะเฉยชาดังขึ้นในมโนสำนึกของคนผิวแทน....แค่คิดย้อนไปใจก็เจ็บแปลบขึ้นมากะทันหัน...แต่สมองก็ยังไม่ยอมให้พาร่างกายออกไปจากที่นี่เพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของท็อป....วันนี้เขายังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย ตั้งแต่กลับมาก็ต้องวุ่นวายอยู่กับการสะสางงานในห้องจนตอนนี้ก็เกือบตีหนึ่งแล้ว ถ้าได้นมอุ่นๆรองท้องสักแก้วก่อนอาหารเช้าพรุ่งนี้ก็อาจจะดีขึ้น...
หลังจากยืนคิดทบทวนอยู่นาน ในที่สุดความเป็นห่วงก็ชนะ....ร่างบางตัดสินใจเปิดประตูไม้บานใหญ่เข้าไป แล้วก็ได้เห็นร่างสูงที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะทำงานอย่างหมดสภาพ รอบตัวเต็มไปด้วยเอกสารเป็นกองพะเนิน บ่งบอกได้ดีถึงงานที่เพิ่งผ่านพ้นไปว่าหนักหนาสาหัสเพียงใด....
คิมยูบินแอบอมยิ้ม....วางแก้วนมลงบนโต๊ะอีกตัวก่อนจะเข้าไปจัดเอกสารที่กระจัดกระจายให้เข้าที่ ก่อนที่มือเรียวจะค่อยๆเอื้อมไปถอดแว่นสายตาออกจากใบหน้าคม โดยที่ท็อปไม่ได้รู้สึกตัวอะไรเลยสักนิด
ท่าทางจะเหนื่อยจริงๆสินะ.....
คนผิวแทนคิดพลางมองเขาอย่าเป็นห่วง หญิงสาวมองไปรอบห้องก่อนจะตัดสินใจว่าจะย้ายเขามานอนที่โซฟาที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะทำงานเท่าไหร่นัก
ร่างบางประคองคนตัวสูงให้ลุกขึ้นอย่างยากเย็น คนผิวแทนขบฟันเล็กน้อยขณะที่พยายามวางเขาลงบนโซฟาอย่างเบามือที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น น้ำหนักที่มากกว่าของชายหนุ่มก็รั้งให้คนประคองถลาตามไปด้วยอยู่ดี และทุกอย่างก็จบลงที่ริมฝีปาก....ซึ่งสัมผัสกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ....
คิมยูบินรีบลุกขึ้นยืนทันที มองร่างสูงที่ยังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วหน้าแดงจัดด้วยความเขิน....คนผิวแทนยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆนั่งลงกับพื้น ใช้โอกาสนี้มองใบหน้าคมที่ยังไม่รู้สึกตัวอย่างชื่นชม..
ใบหน้าของเขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด....
ไม่ว่าจะในวันนี้ หรือใน ‘วันนั้น’ ก็ตาม...
“นี่ใครวะแจ”
คำถามของท็อปที่กระซิบกับแจจุงแต่ดังพอที่จะได้ยินทำให้คนผิวแทนที่นั่งอยู่บนโต๊ะหน้าแดงซ่าน....ในหัวสมองเต็มไปด้วยถ้อยคำที่บอกตัวเองว่า พี่ท็อปพูดถึงเรา.....พี่ท็อปกำลังพูดถึงเรา...
“น้องยูบิน....รุ่นน้องชั้นเอง”
คิมแจจุงตอบยิ้มๆ ทำให้ร่างสูงในชุดนักศึกษาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แน่ใจนะว่ารุ่นน้อง ปกติไม่เห็นพารุ่นน้องที่ไหนเข้ากลุ่มเรานี่นา”
ท็อปดักคอพร้อมกับมองเด็กสาวปีสองที่เพื่อนๆทั้งชายและหญิงในกลุ่มของเขากำลังรุมล้อมถามอย่างตื่นเต้นว่า เป็นอะไรกับแจจุง ทำไมถึงมาด้วยกันได้ แล้วทำไมแจจุงถึงพามากินข้าวร่วมกับกลุ่มเพื่อนแบบนี้ ทำเอาเด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งคนนั้นได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เพราะไม่รู้จะตอบอะไรดี....
จะให้ตอบว่าไม่ได้เป็นอะไรกันกับพี่แจจุง แต่ที่ยอมมากินข้าวด้วยเพราะอยากเห็นหน้าพี่ท็อปน่ะเหรอ..
“ตอนนี้น่ะรุ่นน้อง แต่ต่อไปอาจเป็นแม่ของลูก”
คนผมทองตอบคำถามเพื่อนด้วยรอยยิ้มทะเล้น ท็อปเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อ
“ขนาดนั้นเชียว”
“ก็เออสิ คนนี้ชั้นเอาจริงนะ คุยกับน้องเค้าแล้วชั้นรู้สึกเหมือนมองเห็นอนาคตของตัวเองยังไงยังงั้นเลย”
“อาการหนักไปหน่อยมั้ง....พร่ำเพ้ออยู่คนเดียว น้องเค้าชอบแกด้วยหรือเปล่า”
หน้าคมถามต่อโดยไม่รู้ว่าคนผิวแทนที่นั่งฝั่งตรงข้ามได้ยินคำพูดเกือบทุกคำ และเริ่มกังวลใจแล้วว่าการมากับแจจุงครั้งนี้กำลังทำให้เรื่องบานปลาย เพราะเธอคิดกับเขาแค่พี่ชายเท่านั้น...แต่ตอนนี้ แจจุงกลับคิดไปไกลมากกว่านั้น....
“ยังหรอก แต่ชั้นจะทำทุกวิถีทางให้เค้าชอบชั้นให้ได้”
คำยืนยันมั่นเหมาะของเพื่อนสนิททำให้ท็อปนิ่งไป ชายหนุ่มหันไปมองคนผิวแทนอีกครั้ง และก็พบว่าเธอก็มองมาทางนี้พอดี ชเวซึงฮยอนอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆส่งยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างเป็นมิตร....
ใบหน้าคมที่ยิ้มให้เธอในวันนั้นกับใบหน้าคมที่หลับสนิทในตอนนี้ไม่ต่างกันมากนัก...ดวงตาคมคู่นั้นยังคงลึกลับน่าค้นหาเหมือนอย่างเคย แตกต่างกันก็ตรงที่รอยยิ้มในวันนั้น มันไม่มีให้ยูบินอีกเลยจนถึงวันนี้
เป็นเพราะหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ตัดสินใจบอกกับแจจุงว่า...จะไม่ไปกินข้าวกับเขาอีกแล้ว...
เหตุผลมันไม่ใช่เพราะไม่อยากเห็นหน้าท็อปอีก แต่เป็นเพราะรู้สึกผิดที่แจจุงพยายามทำดีกับเธอทุกอย่าง ทั้งซื้อของขวัญให้ ดูแลเอาใจใส่ จนในสายตาคนอื่นเธอกับแจจุงเข้าใกล้คำว่าแฟนเข้าไปทุกที ทั้งที่เหตุผลที่แท้จริงของเธอก็มีแค่ อยากเห็นหน้าท็อป...คนที่เธอรัก...ทุกๆวัน....
ยูบินคิดว่าการตัดสินใจเดินออกมาเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว เพราะถ้าเธอกับแจจุงก้าวไปถึงคำว่าแฟนทั้งๆที่เธอยังรักเพื่อนของเขาอยู่แบบนี้ มันคงไม่ยุติธรรมต่อตัวเขาเท่าไหร่นัก ในวันนั้นเธอเล่าเหตุผลให้แจจุงฟังทุกเรื่อง คืนของมีค่าทุกอย่างที่เขาเคยให้เธอมามากมาย และขอร้องให้แจจุงช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ....
ความลับที่ว่า เธอไปกินข้าวกับแจจุงและเพื่อนๆของเขา ก็เพราะอยากจะเห็นหน้าคนที่เธอรักทุกวัน....
เพราะการได้เห็นหน้าแค่วันละไม่กี่ชั่วโมงนั้น ก็ทำให้เธอสุขใจจนไม่รู้จะอธิบายได้อย่างไร....
แต่วันนี้....
เธอได้เห็นหน้าคนที่เธอรักทุกวัน ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ในบ้านหลังเดียวกัน....
แต่เธอกลับเจ็บปวด....จนไม่รู้จะอธิบายได้อย่างไร....
*
*
*
มาอัพเร็วหน่อยเพราะตอนสงกรานต์คงไม่ว่าง555
เจอกันหลังสงกรานต์นะคะ ^^
ความคิดเห็น