คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ปราสาทหลังงามในป่าใหญ่
ตอนที่ 6
ปราสาทหลังงามในป่าใหญ่
ภายในห้องของผู้บัญชาการสูงสุดเขตตะวันออก ซึ่งตอนนี้ดูโล่งและบางตาลงจากเมื่อตอนเที่ยงที่แน่นขนัด
“ เฮ้อจะไปถึงไหนกันแล้วนะ” เวนอสผู้เป็นเจ้าของห้องถอนหายใจด้วยความเสียดายว่าทำไมไม่ไปกับพวกนั้นกันนะ เผื่อจะได้เจออะไรดีๆกับเค้าบ้างและเป็นการพักผ่อนจากการทำงานหลายปี ไม่มีวันไหนเลยที่ได้พักอย่างสบายใจและว่างจากงาน
“ คงยังไปไม่ถึงไหนกันหรอกครับพึ่งออกไปกันนี่ครับ” ซาเอลให้ความเห็น
“ท่านแอลริคไม่น่าเลยนะครับ น่าจะให้ผมไปด้วยรู้สึกห่วงยังไงไม่รู้ซิครับ”ซาเรสถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยเหตุผลที่ว่า ท่านองค์ชายแอลริคที่ตนรักเหมือนดั่งน้องชายแท้ๆแถมตลอดเวลาหลายปีที่ตนเองคอยดูแลอย่างดีไม่เคยห่างแต่ครั้งนี้กลับยืนกระต่ายขาเดียวว่า “ ซาเรสนายจะไปไหนก็ไป คราวนี้ฉันจะไปคนเดียว” แล้วใครกันมันจะขัดได้
“ อะไรของนายซาเรส ปล่อยท่านแอลริคไปคนเดียวซะบ้างเถอะน่าไม่ต้องห่วงหรอกมีหน่วยฮาเลมทั้งหน่วย” ซาเอลแตะไหล่เพื่อให้กำลังใจผู้เป็นน้องชายเบาๆ
“ อย่าห่วงไปเลยซาเรส ได้ยินว่าเรดส์น้อยก็เตรียมตัวไปด้วยนี่สองคนนั้นนะตั้งแต่เล็กจนโตเคยห่างกันซะที่ไหน ประมาณว่า อีกคนไปไหนอีกคนก็ตามไปด้วย”เวนอสพูดพลางลูบผมสีดำของตนไปมา
“ อ่าจริงด้วยลืมไปเลยว่าท่านเรดส์ก็จะไปด้วย แต่ยังมีอีกเรื่องที่ผมยังกังวลอยู่ว่าจะทำยังไงดี”
“ เรื่องอะไรบอกฉันมาเผื่อฉันกับท่านเวนอสช่วยได้” ซาเอลพูดขึ้น
“ ก็เรื่องที่ปล่อยให้ท่านแอลริคไปคนเดียวแล้วคราวนี้จะบอกท่านเอ็ดเวริ์ดว่ายังไงดีหละครับคราวนี้ผมต้องตายแน่” ซาเรสพูดเสียงอ่อย
“ เรื่องนั้นอย่าไปคิดมากเลย เอ็ดเวริ์ดคงไม่ว่าอะไรหรอกเดี๋ยวฉันจะช่วยพูดให้เองเชื่อมือเวนอสคนนี้เถอะน่าเรื่องแค่นี้สบายมาก” เวนอสพูดพลางยิ้มอย่างมั่นใจ
“ ครับขอบคุณครับท่านเวนอส” ซาเรสโค้งคำนับเวนอสเพื่อเป็นการขอบคุณล่วงหน้า
“ มีอีกเรื่องครับเรื่องที่ท่านแอลริคจะเข้ากันได้กับหน่วยฮาเลมรึเปล่าหละครับนี่ถึงอายุจะเท่าๆกันแต่นิสัยของท่านแอลริคนะซิครับเหมือนใครซะที่ไหน” ซาเรสพูดแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกรอบ
“ เรื่องนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกน่า ถ้านายได้รู้จักหน่วยฮาเลมกว่านี้นายจะรู้ว่าเป็นยังไง” ซาเอลพูดปลอบใจน้องชายที่แสนจะเรื่องมากและมากเรื่องของตนเองอีกรอบ
“ ฮ่าๆเรื่องนี้นี่เองเหรออย่างที่ซาเอลว่าไม่ต้องเป็นห่วงไป ถึงแม้แต่ละคนในหน่วยจะดูท่าทางแปลกไม่เหมือนชาวบ้านซักเท่าไหร่แต่พวกนี้ก็ไว้ใจได้ เชื่อมือเวนอสคนนี้เถอะน่า”
“ ครับๆขอบคุณทุกคนมากเลยนะครับที่ให้กำลังใจผมรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยครับ” ซาเรสยิ้มอย่างสบายใจ
“ เอาหละเอาเป็นว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้ กันได้แล้วมันจะทำให้ฉันเสียดายเปล่าๆที่ไม่ไปเที่ยวกับพวกนั้น เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันชักหิวแล้วซิ เราไปหาอะไรอร่อยกินกันดีกว่า วันนี้ฉันเลี้ยงเอง” เวนอสพูดพลางลูบท้องของตัวเองที่กำลังร้องหาอาหารไปมา
“ ไปกันเลยครับผมก็หิวจะแย่แล้ว” ซาเอลพูดขึ้น
“ ผมด้วยครับท่านเวนอส” ชาเรสเสริม
..............................
บนยานของหน่วยฮาเลมที่พึ่งได้มา
"ว๊าวไม่น่าเชื่อเลยแค่รับภารกิจมาเป็นพี่เลี้ยงแค่นี้ถึงกับได้ยานมาตั้งลำ”แดนนิสร้องว๊าวแล้วกวาดตามองไปรอบๆยาน ซึ่ง เป็นยานลุ่นใหม่ล่าสุดรุ่น E21 ภายในยายนั้นกว้างมากมีห้องสำหรับพักผ่อนสองห้อง ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่นซึ่งมีมุมที่สามารถมองออกไปชมบรรยากาสภายนอกยานได้ส่วนท้ายยานมีระเบียงยื่นออกไปนอกยานส่วนชั้นล่างของยานเป็นห้องเครื่องซี่งมีไว้สำหรับควบคุมยาน
“ สุดยอดไปเลยมันยอดมากจริงๆ” เจฟพุดขึ้นแล้วเดินไปรอบๆชุดโซฟาสีขาวชุดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่น พร้อมทั้งบาเรียที่เดินไปเกาะกระจกใสแล้วมองออกไปข้างนอกแล้วยิ้มอย่างสบายมีความสุขกับบรรยากาศภายนอกที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆสีขาวเหมือนปุยนุ่น ที่ล่องลอยไปในอากาศ
ส่วนโรเซนกับฟาริสก็มิวายที่จะอยู่ที่ห้องเครื่องเพื่อศึกษาระบบของยานให้เข้าใจเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดระหว่างเดินทาง และส่วนฟาเรสกับไลท์ที่ตอนนี้ยืนอยู่ที่ระเบียงท้ายยานและดูท่าทางจะไม่ค่อยมีความสุขกับยานลำใหม่กันซักเท่าไหร่เหตุผลก็เพราะ เรื่องที่พวกเขาทำผิดไปโดยไม่รู้ตัว
“ แกคิดว่าคนๆนั้นจะจำเราได้รึเปล่าวะเนี่ย” ไลท์หันหน้าไปถามฟาเรส
“ ไม่รุ้เหมือนกันซิวะ แต่ดูท่าทางน่าจะจำได้นะเพราะตอนแรกที่คนๆนั้นเดินเข้ามาพอเห็นหน้าแกเค้าคนนั้นก็สะดุ้งเลยแหละ” ฟาเรสตอบซึ่งมันก็ทำให้ไลท์เริ่มคิดมาก
“ นั่นซิฉันว่าต้องจำฉันได้แน่เลย “
“ แต่ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้งถ้าเค้าคนนั้นจะเอาเริ่องเราคงจะไม่ปล่อยให้เราขึ้นยานมาหรอก”
“นั่นซิ แต่ก็ยังกังวลอยู่เหมือนกันหละวะ ก็วันนั้นที่วิ่งตามไล่กันนะฉันเล่นกะชากซะเต็มแรงซะขนาดนั้นแถมฉันยังได้แหวน...” ไลท์พูดก่อนจะสะดุดกับคำว่าแหวน
“ แหวน อะไรของแกไลท์”
“ ก็แหวนที่ฉันได้มาตอนที่เราวิ่งไล่คนๆนั้นอยู่ไงเล่าท่าทางจะเป็นของคนๆนั้นนะซิ”
“ อ่าวแหวนสีเงินนั้นนะเหรอ งั้นก็ดีเลยเราก็ถือโอกาส เอาแหวนไปคืนแล้วก็ถือโอกาสขอโทษเลยซิ แล้วว่าแต่แหวนนั่นอยู่ไหนหละตอนนี้”ฟาเรสยิ้มเพราะเริ่มเห็นหนทางแก้ความผิดที่ทำไปโดยไม่รู้ตัวลางๆแล้ว
“ ไม่รุ้วะลืมไปแล้วว่าเอาไปไว้ตรงไหน”และแล้วหนทางที่ทั้งสองคนจะพ้นความผิดพลาดที่ทำไปก็เริ่มเลือนรางเต็มที
“งั้นก็ไปขอโทษกัน”ฟาเรสพูดขึ้นไลท์พยักหน้ารับอย่างเต็มใจ
ฟารเรสเคาะประตูที่แอลริคพักอยู่สองสามครั้งแล้วประตูก็เลื่อนเปิดออกเพราะคนที่อยู่ข้างในอนุญาตให้เข้าไปภายในห้องพักห้องนั้นมีร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ฟาเรสกับไลทืกำลังต้องการตัว เขานั่งอยู่บนเก้าอี้แต่ขาทั้งสองข้างพาดอยู่บนโต๊ะและบนตักของเขามีโน้ตบุ๊สีดำหน้าจอบางเฉียบส่วนตัวเครื่องก็บางพอๆกับหน้าจอ ชายหนุ่มผู้นั้นมีผมสีเงิน นัยน์ตาสีดำ ผิวขาวราวกับหิมะ
“ มีธุระอะไรกับฉัน ฟาเรส ซินดอเทีย ผู้พิทักษ์ระดับ
“รู้ได้ไงวะ” ฟาริกระซิบถามไลท์เบาๆ
“ จะไปรู้เรอะ” ไลท์กระซิบตอบ
“ แล้วเธอหละไลท์อาเทีย ซินดอเทีย ผู้พิทักษ์ระดับ 1 เหมือนกันซินะ”ชายหนุ่มพูดขึ้นอีกรอบแล้วยิ้มมุมปาก
“ เอ่อพวกเราจะมาขอโทษนะที่พวกเราทำไมดีกับนายไว้” ฟาเรสก้มหน้าลงแล้วพูดตะกุกตะกัก
“ ใช่ พวกเรารู้สึกไม่ดีเอาซะเลย ฉันคิดว่านายคงจะจำได้นะ พวกเราต้องขอโทษจริงๆ” ไลท์พูดขึ้น
“ แน่หละ ถึงพวกนายไม่มายอมรับฉันก็คิดว่าจะจัดการพวกนายอยู่แล้ว รุ้ไหมว่าวันนั้นฉันต้องเสียรายได้ไปเท่าไหร่ แถมยังโดยพวกนายมาหาว่าฉันเป็นขโมยแถมยังดึงแขนฉันวะแทบหลุดใครมันไม่เอาเรื่องก็บื้อเต็มทนแล้ว” แอลริคลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วชี้หน้าไลท์
“ก็ฉันขอโทษไปแล้วไงแล้วทำไมต้องมาชี้หน้าฉันด้วย” ไลท์เงยหน้าขึ้นมองหน้าของแอลริค ใครกันมันจะไปยอมให้คนอื่นมาชี้หน้าด่าทั้งที่ขอโทษคนๆนั้นๆไปแล้ว
“แล้วทำไมฉันจะชี้หน้าเธอไม่ได้มันเป็นเรื่องของฉัน เธอนี่มันแย่จริงๆทำงานก็ทำแบบมั่วๆไม่ได้เรื่องฉันจะบอกให้พี่เวสไล่พวกนายออกซะให้หมด” แอลริคตะโกนใส่หน้าไลท์ ไลท์ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่ากำลังโกรธแอลริคเอามากๆเธอกำหมัดแน่นเพื่อพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองที่กำลังพุ่งถึงขีดสุด ส่วนฟาเรสตอนนี้กำลังรู้สึกว่าอยากไปจากที่นี่เต็มทีแล้วแต่เพื่อนสุดสนิทมันยังอยู่แล้วอีกอย่างไอ้ประโยคที่ว่าฉันจะไล่พวกนายออกให้หมดมันยังก้องอยู่ในหัวถ้าโดนไล่ออกละก็มีหวังไอ้ที่เรียนมาสามปีรวมไปถึงงานที่ทำมาหนึ่งปีอันแสนอยากลำบากก็สูญเปล่า
“ พอแล้วยังไงเราก็ก็สุ้เค้าไม่ได้ รีบออกไปเถอะ” ฟาเรสกระซิบบอกไลท์เบาๆแล้วแตะบ่าของไลท์เบาๆ เธอนิ่งเงียบไม่พูดอะไรส่วนแอลริคก็ยืนจ้องหน้าไลท์อย่างไม่ลดละ
“ เงียบทำไม” แอลริดพูดเสียงเย็น
“ฉันไม่ได้เงียบแค่ไม่อยากเถียงกับคนแย่ๆอย่างนาย” ไลท์เงยหน้าขี้นมองหน้าแอลริคอีกรอบ
“ หึๆแย่งั้นเหรอก็ดัฉันจะได้ไล่พวกเธอออกไปซะทั้งหน่วยในโทษฐานที่ทำงานไม่ได้เรื่อง ทำให้คนอื่นเดือดร้อนและพุดไม่เข้าหูฉัน” แอลริคแสยะยิ้มใส่ไลท์
“จะไลท์ก็ไล่ฉันคนเดียวซิอย่างเอาคนอื่นมาเกี่ยวด้วย”
“ไม่ดีมั้งถ้าจะไล่ก็ต้องไล่ออกให้หมดจะเหลือไว้ทำงานผู้พิทักษ์แย่ๆที่ทำงานพลาด”
“ โอ้ยนายนี่มันคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหนมาทำแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน”ไลท์ตะโกนใส่หน้าแอลริคเพราะเหลืออดต้มทีจานั้นก็ง้าวหมัดเตรียมจะต่อยแอลริคแต่โชคดียของแอลริคที่ฟาเรสคว้าหมัดไว้ทันวะก่อน
“ ใจเย็นๆเดี๋ยวเรื่องก็แย่ไปกว่านี้หรอก” ฟาเรสที่ดูใจเย็นิดปกติที่ตอนนี้อารมณ์เดือดปุดๆ
“ รุ้แล้วเพื่อนนายนี่ใช้เป็นแต่กำลังซินะไม่มีมองเอาซะเลยนะ” แอลริคหันไปพูดกับฟาเรสแล้วเหลือบตามาทางไลท์
“ นี่นายจะลงโทษก็ลงโทษฉันคนเดียวซิ” ไลท์ตะโกนใส่หน้าแอลริคอีกรอบสายตาอันแหลมคมของแอลริคมองมาที่ไลท์ด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยดีนัก
“งั้นก็ดีเธอก็มาเป็นทาฉันซะไม่ว่าฉันจะทำอะไรเธอก็ต้องทำตมจนกว่าฉันจะพอใจ”แอลริคตะโกนใส่หน้าไลท์กลับแล้วหันหลังกลับไปนั่งที่เก้าอี้
" ก็ได้" ไลท์ตอบเสียงอ่อย
“ งั้นก็รีบๆออกไปจากห้องนี้ซะไป” แอลริคตะโกนไล่ทำเอาฟาเรสที่ยืนอยู่ใกล้ๆสะดุ้งโหยง
“ ออกไปกันเถอะเค้าไล่แล้ว” พอพุดจบไลท์ก็กระชากคอเสื้อของฟาเรสแล้วลากออกจากห้องโดยที่ชายหนุ่มไม่
ทันจะตั้งตัว แอลริคละสายตาจากโน้ตบุ๊คแล้วแล้วหันไปมองไลท์พลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
พอเดินออกมาพ้นประตูไลท์ปล่อยคอเสื้อฟาเรสจากนั้นเอกระทืบเท้าปังๆแล้วหายไปจากสายตาของฟาเรส ที่ตอนนี้เป็นห่วงไลท์เอามากๆถ้าตามไปตอนนี้คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาแน่ได้แต่คิดว่าเรื่องแค่นี้มันคงไม่เอาไปคิกมากและเครียดอะไรมากมายหรอกมั้ง....
ส่วนไลท์ที่ตอนนี้นั่งเครียดอยู่ในห้องเก็บของเงียบๆคนเดียว เธอรู้สึกแย่มากและเซงสุดๆที่ต้องมาเจอคนแบบแอลริคทีคิดว่าตัวเองเป็นเจ้านายของเธอแล้วมาทำตัวเอาแต่ใจทำตามใจชอบ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลยปากนี่ก็ร้ายกาจซะเหลือเกืนซะยิ่งกว่าใครที่เคยเจอมา แต่ยังไงซะเธอก็ต้องยอมเป็นทาสของเขา ทั้งๆที่ไม่อยากเลยซักนิดแต่ถ้าขืนไม่ยอมมีหวังไอ้น้องชายเจ้านายคนนี้ไปฟ้องพี่มันแน่ดีไม่มีดีโดนไล่ออกทั้งหน่วยจริงๆแน่ แต่ชะตากรรมของเธอจะเป็นยังต่อไปนั้นมันไม่สามารถคาดเดาและไม่อยากคิดเลยว่ามันจะเป็นยังไงต่อไปแต่ที่รู้ๆมันคงไม่ดีแน่...
อีกด้านหนึ่งโรเซนกับฟาเรสที่ตอนนี้กลังศึกษาระบบของยานเดินสำรวจห้องเครื่อง แล้ววิจารณ์การออกแบบขายของวิศวกร ห้องเครื่องนั้นมีจอภาพขนาดประมาณแปดสิบนิ้ว ปุ่มควบคุมต่างๆที่ดูสับสนวุ่นวาย พร้อมทั้งที่นั่งบังคับยานสองที่ ที่มีไว้สำหรับบังคับยานในขณะฉุกเฉินหรือตอนที่ไม่ได้เปิดระบบบินอัตโนมัติ
“เจ๋งไปเลย คนออกแบบยานลำนี้” ฟาเรสพูดขึ้นพลางมองไปรอบๆ
“ ยานลำนี้เป้นของบริษัทเอวานเดลคอมปานีซินะ” ชายหนุ่มก้มมองตราสัญลักษณ์ที่ติดอยู่กับตัวเครื่อง ตราสัญญาลักษณ์นั้นเป็นรูปโล่มีตัวอักษร เอ ดี สลักอยู่
บริษัทเอวานเดลเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ภายในอาณาจักรเป็นบริษัทที่ลิตยานพาหนะและลิตอาวุธให้กับผู้พิทักษ์รวมไปถึงธุรกิจต่างๆมากมายในเครือของเอวานเดล มีประธานบริษัทคือบาลอส เอวานเดล ซึ้งตระกุลเอวานเดลนั้นเรียกได้ว่าร่ำรวยติดอันดับต้นๆของอาณาจักรหรือเรียกง่ายๆก็คือตระกูลมหาเศรษฐี
“ อืมใช่” โรเซนพูดเบาๆแล้วกดปุ่มเปิดกล้องวงจรปิด จอภาพขนาดแปดสิบนิ้วแสดงภาพห้องต่างๆภายในยาน ยกเว้นห้องพักสองห้องและห้องน้ำซึ่งถือว่าเป็นห้องส่วนตัว
“ เอวานเดลคอมปานีเค้ารับแต่พวกหัวกะทิซินะอย่างฉันนี่พอจะไหวไหมหละนี่ถ้าปีหน้าลองไปสอบดูเห็นเค้าบอกว่าขอแค่ทำแบบทดสอบได้ไม่ต้องรียนมาโดยตรงก็ได้นิ”ฟาริสพุดขึ้นแล้วยิ้มอย่างสบายใจ
“ อย่างนายได้อยุ่แล้วหละ” โรเซนพุดพลางมองไปที่จอภาพสำรวจตามมุมต่างๆภายในยาน
“ ฮ่าๆขอบคุณโรเซน แต่ว่าแต่นายเถอะ ทำไมไม่ไปลองสอบดูหละฉันว่าอย่างนายผ่านฉลุยเลยหละแถมถ้าได้ทำงานที่นั่นเงินเดือนก็สูงมากๆเลยแค่ตำแหน่งเล็กๆก็เทียบเท่าเงินเดือนของเราแล้ว”
“ อะไรมันจะไปสำคัญกว่าสิ่งที่เราอยากทำหละ” โรเซนกหันมาตอบฟาเรสแล้วหันกลับไปมองจอภาพต่อชายหนุ่มมองไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งมี เจฟนั่งอ่านหนังสืออยู่ แดนนิสนอนหลับอยู่บนโซฟาข้างๆเจฟ ส่วนบาเรียหลังจากที่ยืนเกาะกระจกมองดูก้อนเมฆและวิวข้างนอกเธอก็หันมานั่งโดยการลากโซฟามานั่งดูแทนดูไปยิ้มไปนานๆทีจะได้เห็นแบบนี้ ส่วนฟาเรสอยู่ในห้องครัวและกำลังค้นตู้เย็นหาของกินอย่างขะมักเขม้นแต่ไลท์หายไปไหนกัน
ชายหนุ่มเริ่มมองหาไลท์ไปตามระเบียงต่างๆแต่ก็ไม่เจอทั้งๆที่น่าจะอยุ่ในห้องครัวแท้ๆแต่ก็ไม่อยู่ซะงั้น
เขามองไปเรื่อยจนไปสะดุดตาเข้ากับภาพของห้องเก้บของซึ่งตอนนี้ไลท์กำลังนั่งก้มหน้าเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจอยุ่คนเดียว ชายหนุ่มรุ้สึกแปลกๆที่ปกติแล้วไลท์ไม่ค่อยชอบอยู่คนเดียวยิ่งตอนบ่ายๆบบนี้ท่าไม่ร้องหาของกินก็หาเรื่องแกล้งเพื่อนๆแล้วแต่นี่กลับมานั่งอยุ่คนเดียว ชายหนุ่มเห้นดังนั้นจึงรีบเดินไปยังห้องเก็บของอย่างเงียบๆโดยที่ปล่อยให้ฟาริสที่ตอนนี้หกำลังพุดชื่นชมยานลำนี้ไม่หยุดพุดอยู่คนเดียว
“ นายว่าไหมโรเซน ยานลำนี้นะสุดยอดไปเลยยากมีเป็นของตัวเองวักลำจังถ้าเก็บเงินซื้อเองมันจะนานแค่ไหนนะกว่าจะซื้อได้”ฟาเรสหันไปขอความเห็นจากโรเซนแต่กลับไม่เจอแม้แต่เงานี่เราบ้าพุโคนเดียวตั้งแต่เมื่อไหร่กันหละเนี่ย...
ทางด้านโรเซนที่รีบเดินมาต้อนนี้อยู่หน้าห้องเก้บของที่ไลท์อยู่เรียบร้อยแล้ว
“ ไลท์อยู่ในนั้นใช่ไหมเป็นอะไรรึเปล่า” โรเซนถามไลทืด้วยความเป็นห่วงไลท์ที่ได้ยินเสียงโรเซนเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปทางประตู
“ ใช่ฉันอยู่ในนี้ฉันไม่เป็นอะไรหรอกนายไม่ต้องห่วง”
“ แล้วไปอยุ่ทำไมในนั้นท่าไม่เป็นอะไร”
“งั้นออกไปก็ได้” ประตุห้องเก้บของเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นร่างที่ชุ่มเหงื่อของหญิงสาว เส้นผมสีน้ำตาลแดงชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเปียกไปทั้งศีรษะแต่ถึงยังไงเหงื่อที่ไหลออกมานั้นมันก็ทำให้เธอหายเครียดลงไปลงไปได้บ้าง
“ ครืนๆๆ” เสียงยานดังขึ้น ไลทืกับโรเซนเซไปทางขวา ทีซ้ายที
“ ยานลำนี้มันเป็นอะไรหละเนี่ย” ไลท์พูดแล้วเซไปทางซ้ายทีขวาที ส่วนโรเวนที่ตอนนี้ก้กำลังทรงตัวไม่อยู่เหมือนกัน ชายหนุ่มคว้าขอบประตูห้องเก็บของที่ยังไม่ปิดไว้ได้ทันแล้วพยายามทรงตัวก่อนที่จะมองหาไลท์ที่ตอนนี้ยังทรงตัวไม่ได้
“ เฮ้ยๆ” ไลท์ตะโกนออกมาในขณะที่กำลังจะล้มลงกับพื้นเธอหลับตาปี๋เตรียมรับชะตากรรม แต่ทำไมทั้งๆที่หน้าจะล้มลงกับพื้นนานแล้วแต่ทำไมไม่รุ้สึก...
ไลท์ตัดินใจลืมตาขึ้นเธอพบกับใบหน้าขาวนวลของโรเซนดวงตาภายใต้แว่นของเขาจ้องมาที่ไลท์หลังจากที่เขาคว้าเอวของเธอไว้ทันก่อนที่เธอจะล้ม
โรเซนดึงร่างของไลทืขึ้นมาประชิดตัว ไลท์มองโรเซนอย่างตกตะลึงดวงตาของทั้งคู่บตากันดดยบังเอิญ
“ โรเซน” ไลท์พูดเบาๆ
“เอ๋อ” โรเซนอ้ำอึ้งก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวใบหน้านวลของชายหนุ่มตอนนี้แดงก่ำพราะกำลังอายอย่างไม่เคยอายอะไรแบบนี้มาก่อน ส่วนไลท์เกาศีรษะของตัวเองอย่าง งงงวยในขณะที่หน้าของเธอก็แดงพอๆกับโรเซน
“ หลีกทางซิมายืนทำอะไรกันตรงนี้เกะกะ” เสียงของแอลริคดังขึ้นไลท์ที่ได้ยินดังนั้นจึหันไปมอง ชายหนุ่มหันกลับมามองไลท์ด้วยหางตาแล้วเดินต่อไป
“ นิสัยแย่ชะมัด” ไลท์บ่นุบอิบ
“ ไลท์ฉันไปดุห้องเครื่องก่อนนะดูซิว่ามันเป็นอะไร”
“ฉันไปด้วย” ไลท์พุดขึ้นแล้วรีบวิ่งตามโรเซนไปที่ห้องเครื่อง
ภายในห้องเครื่องนั้น มีฟาริสที่กำลังจ้องไปที่จออย่างกังวลแล้วนิ้วมือทั้งสองข้างก็กำลังกดปุ่มอะไรบางอย่างด้วยความรวดเร็วและฟาเรสที่ยืนอยุ่ข้างๆคอยเหน็บแนม
“ แกทำมั่วอะไรของแกวะฟาริส”
“ แกไม่รู้เรื่องอย่ามาพูดเลยน่าคนกำลังยุ่งอยุ่”
“ ยานเป็นอะไรฟาริส” โรเซนถามขึ้น
“ ระบบมันล็อคนะซิอยู่ดีก็ควบคุมอะไรไม่ได้แถมยังลงจอดเองอีก” ฟาริสตอบแล้วปาดเหงื่อที่หน้าผากเบาๆ
“ ล็อคได้ไงกัน เครื่องยนต์รุ่นนี้ได้รับการรับรองแล้วนะว่าปลอดภัยจากการล็อคหรือการ
แฮคระบบ”ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าหน่วยและจากาการที่ศึกษาข้อมูลมาเยอะพูดด้วยความสงสัย
“ หา! ล็อคยังไงกันมีแบบนี้ด้วยรึ” ไลท์ร้องอุทาน
“ รอแปปขอเช็คดีๆก่อน”ฟาริสพูดเสียงแผ่ว
เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีทุกคนต่างนิ่งเงียบเพราะไม่อยากรบกวนสมาธิของคนที่เรียกได้ว่าไอ้เรื่องเทคโนโลยีเนี่ยถือว่าเก่งที่สุดแล้ว ชายหนุ่มผุ้ชำนาญการเงยหน้าขึ้นแล้วปาดเหงื่ออีกรอบทั้งๆที่อากาศตอนนี้ไม่ได้ร้อนเลยซักนิด
“ ฉันรุ้แล้วระบบมันไม่ได้ล็อคเองมีคนแฮคเข้ามานะซิแฮคเข้ามายังไม่พอถือวิสาสะควบคุมยานแล้วล็อคระบบไม่ให้เราใช้ได้” ฟาริสพุดด้วยสีหน้ากังวลนิดๆ
“ เฮ้ยได้ไงกันใครมันจะไปแฮคได้” ฟาเรสเลิกคิ้วขึ้นสูง
“ แฮคไม่ได้มันก็แฮคไปแล้วหละ แต่ที่รู้ๆไอ้คนที่มันแฮคมันต้องอยู่ในยาน”
“ แล้วแกจะแน่ใจได้ไง”
“ แล้วใครที่ไหนมันจะไปแฮคได้ท่าไม่มีเครือข่ายเชื่อมต่อในยาน ยานลำนี้บินอยู่กลางอากาศนะต่อให้ฝีมือแค่ไหนมันก็ต้องอยู่ในยานลำนี้ไม่ว่าจะมีการเชื่อมต่อทางไหนก็ตามแค่เสียบปลั๊กท่ามันเก่งระดับเทพจริงๆมันก็ทำได้แล้วโว้ย”ฟาริสอธิบายยาวทำเอาคนที่ไม่ค่อยจะยุ่งกับไอ้เรื่องเทคโนโลยีเท่าไหร่อย่างฟาเรสงงเป็นไก่ตาแตกหาทางกลับสุ่มไม่ถูก
“ แล้วพอจะมีทางแก้ไหม” โรเซนถามขึ้น
“ เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว ระดับฉันฟาริสคนนี้สบายมาก” ฟาริสมั่นใจฝีมือของตัวเองที่ได้ครุดีพร่ำอนมาตั้งแต่เด็กแต่มันก็ทำเอาแฝดผู้น้องทำแหวะอย่างหมั่นไส้ใส่
“ งั้นดีท่านายมั่นใจฉันขอไปสำรวจรอบๆยานเผื่อจะพบอะไรดีๆมาเป็นเบาะแส”พอพูดจบโรเซนก็เดินออกจากห้องไป
“ โรเซนไปด้วย” ไลท์พยายามวิ่งตามโรเซนออกไปแต่พบว่าร่างของชายหนุ่มหายไปแล้ว หายไปเร็วมากจริงๆ
“ อ่าวหายไปไหนซะแล้วหละเร็วจริงๆตามไม่ทันทุกที” หญิงสาวอุทานกับตัวเองเบาๆ
“ ตามไม่ทันหละซิอยากชักช้าดีนัก” ฟาเรสแขวะใส่ไลท์
“ ก็ไม่ต้องมาแขวะเลยไอ้ปากแมวเอ้ย”
“ โอ้ยพวกแกรีบไปไกลๆเท้าฉันเลยไปรำคาญ คนกำลังเครียดอยุ่ไม่เห็นรึไง” ฟาริสตะโกนใส่ไลท์กับฟาเรสด้วยความโมโห แล้วกับไปเคร่งเครียดอยู่กับการแก้ระบบต่อ
“ อ๋าเจอตัวแล้ว ทุกคนมานี่เร็วๆ” เสียงของหญิงสาวผมสีน้ำตาลยาวดังขึ้นนัยน์ตาสีเขียวมรกตของเธอทอประกายเหมือนมีอะไรบางอย่างแต่ที่รู้ๆเธอคงมีความสุขกับสิ่งนั้น
“ไปไหน” ไลท์กับฟาเรสพูดขึ้นพร้อมกัยอย่างไม่ได้นัดหมาย
“มาเถอะน่า” บาเรียจับแขนของไลท์และฟาเรสแล้วลากทั้งสองออกไปจากห้องเครื่องขนสุดแรง ปล่อยให้ฟาริสที่กำลังเครียดอยุ่กับการแก้ระบบอยุ่คนเดียวอย่างงงมันจะลากกันออกทำไมหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก..แต่ช่างมันเถอะทำไอ้นี่ให้มันบรรลุซะก่อนดีกว่า
“ นี่ยัยหัวฟูจะลากพวกฉันไปไหน” ชายหนุ่มผมดำพูดด้วยน้ำเสียงแข้งกร้าวแล้วสลัดมือเล็กของหญิงสาวที่ตนพึ่งเรียกว่ายัยหัวฟูทิ้งโดยไม่คิดเลยว่าหญิงสาวจะเจ็บแขนเพียงใด
“ ใช่แล้วจะพาเราไปไหนกัน” ไลท์พูดเรียบๆโดยไม่มีน้ำเสียงแข้งกร้าวแบบฟาเรสแต่เธอมีสีหน้าสงสัยเล็กน้อย
“ บาเรียก็แค่จะพา คุณฟาเรสกับไลท์ไปดูอะไรสวยๆเท่านั้นทำไมต้องเรียกว่าหัวฟูด้วยหละ” บาเรียค่อยๆปล่อยแขนของเพื่อนทั้งสองแล้วก้มหน้าลงอย่างสลดไลทืหันไปมองฟาเรสเพ่อขอความเห็นแต่ชายหนุ่มกลับเบ้ปากแล้วส่ายศีรษะไปมาอย่างไม่สนใจ
“ เอาหละไปก็ไป” ไลท์ที่ห่วงความรู้สึกความรู้สึกของบาเรียพูดขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก
“ อ่าดีงั้นไปเลยนะ” พอพูดจบหญิงสาวผมสีน้ำตาลก็ลากเพื่อนทั้งสองของเธอไปยังจุดมุ่งหมาย พวกเขาเดินลงจากยาน ก็พบว่าบริเวณที่ยานลงจอดนั้นเป็นป่าทั้งหมด และต่อจากนั้นพวกเขาก็เดินลักเลาะไปตามถนนสายเล็กผ่านต้นไม้ดอกไม้หลากหลายชนิด จนมาถึงจุดมุ่งหมายของพวกเขามันเป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ มีดอกไม้หลากหลายสีสันมีผีเสื้อและผึ้งบินว่อนซึ่งบรรยากาศทั้งหลายมันก็ทำให้หญิงสาวผู้หน้าน่ารัก หรือยัยหัวฟูเคลิ้มไปกับความงามของมันมาก ส่วนไลท์กับฟาเรสไม่ได้เคลิบเคลิ้มไปกับมันซักเท่าไหร่แต่กับต้องตะลึงไปกับภาพน้ำตกขนาดใหญ่เจ็ดชั้นเบื้องหน้า เสียงน้ำกระทบกับโขดหินนั้นมันให้ความรู้สึกสดชื่นสบายกายบายใจแล้วยิ่งละอองของน้ำที่ลอยไปตามอากาศบริเวณยิ่งทำให้รู้สึกเย็นและสดชื่นเข้าไปใหญ่ มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งคู่แทบจะไม่เคยรู้สึกมาหลายปีหลังจากที่เรียนหนักและทำงานมหาโหดมาตลอดหลายปี และนี่คงเป็นครั้งแรกที่พวกเขา
รู้สึกผ่อนคลายขนาดนี้...
“ ทำไมมันสดชื่นอย่างนี้นะไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ” ไลท์ผายมือทั้งสองข้างออกเพื่อรับอากาศและความสดชื่นอย่างเต็มที่ส่วนฟาเรสที่ตอนแรกไม่อยากจะมาเท่าไหร่ตอนนี้กลับเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศซะยิ่งกว่าใคร
“ นั่นซิทำไมรุ้สึกดีอย่างนี้นะ” ชายหนุ่มประสานมือไว้ที่หน้าอกแล้วสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด
“ เห็นไหมคราวหลังอย่ามาว่าคนอื่นอีกนะคุณฟาเรสไม่งั้นจะโกรธจริงๆด้วย”บาเรียพุดแล้วเบ้ปาก
“ เอ๋อขอโทษก็ได้วะยัยหัวฟู...เอ้ยบาเรีย”
“ ไลท์ บาเรีย ฟาเรสมานี่เร็ว” เสียงตะโกนของใครบางคนดังขึ้นทั้งสามคนหันไปทางต้นเสียง เสียงนั่นดังมาจากชั้นบนสุดของน้ำตก บนนั้นมีร่างของหญิงสาวผมทอง นัยน์ตาสีฟ้าซึ่งนั่นก็คือเจฟยืนอยู่
“ ขึ้นไปทำอะไรบนนั้นเดี๋ยวก็ตกหรอก” ไลท์ตะโกนเรียกเจฟด้วยความเป็นห่วงพลางเอามือปิดตาเพราะแสงแดดที่ส่องมามันแสบตาซะเหลือเกิน
“ ฉันไม่ตกหรอกน่าขึ้นมาเล่นด้วยกันซิ”เจฟพูดแล้วเดินย่องๆไปตามโขดหิน
“ ฉันไปหายัยเจฟก่อนนะรู้สึกร้อนโว้ย” ฟาเรสพูดขึ้นแล้วรีบวิ่งหาเจฟ
“ อ่าวคุณฟาเรสรอด้วยซิ” บาเรียกำลังจะออกตัวแต่โดนไล่จับแขนลั้งไว้ซะก่อน
“ อย่าพึ่งไปให้ไลท์มีอะไรจะถามบาเรียก่อน”
“ อืมว่ามาเลยจ๊ะเร็วๆนะเดี่ยวไม่ทันคุณฟาเรส”
“ บาเรียมาที่นี่ได้ไง”
“ อ่อเดินตามท่านแอลริคมาบาเรียเห็นท่านแอลริคเดินมาคนเดียวก็เลยชวนเจฟตามออกมาด้วยแล้วก็มาเจอที่นี่หละ” บาเรียตอบอย่าใสซื่อ
“ แล้วไอ้คนนั่นมันไปไหน”ไลท์ถามด้วยความโมโห คิดถึงหน้าไอ้ผมสีเงินคนนั้น ทีไรเป็นต้องฉุนทุกที
“ ใครไอ้คนนั้นบาเรียไม่รู้จัก”
“ ก็ท่านแอลริคนะ”
“อ๋อเดินเข้าไปในป่าด้านนู้นนะ บาเรียจะตามไปก็ไม่ให้ตามไปบอกให้รออยู่ตรงนี้”บาเรียพุดพลางชี้ไปที่ป่าด้านทิศตะวันตก
“ มีแค่นี้ใช่ไหมไปก่อนนะดูซิคุณฟาเรสไปไกลแล้ว” พอพูดจบบาเรียก็รีบวิ่งตามฟาเรสไป ไลท์ที่ตอนนี้กำลังปะติดปะต่อเหตุการณ์ณืที่มีคนแฮคระบบยานแล้วนำยานลงจอด สงสัยต้องเป็นไอ้หัวเงินแน่เลย น่าสงสัยที่สุด น่าสงสัยมากๆ“ โอ้ยตอนนี้ช่างมันถอะไปเลนน้ำดีกว่านานๆทีมีโอกาส” ไลท์พึมพำกับตัวเองเบาๆแล้วกำลังจะเดินตามเพื่อนทั้งสองที่พากันหนีไปเล่นน้ำแล้วแต่หูที่แสนจะดีเหลือเกินกลับไปได้ยินเสียงของบุคคลไม่พึงประสงค์ที่พึ่งตวาดใส่เธอ
“ นี่ยัยบื้อมานี่ซิ”
ไลท์หันควับไปที่ป่าด้านทิศตะวันตกอย่างรวดเร็วและแล้วเธอก็พบกลับ ชายหนุ่ม ผมสีเงิน ผิวขาวยืนอยู่แล้วกำลังส่งเสียงเรียกเธอ
“นายมีอะไร”ไลท์ตะโกนถาม
“ มานี่ซิ”
“แล้วทำไมฉันต้องไป”
“บอกให้มาก็มาซิรึว่าเธอลืมที่รับปากฉันไว้แล้ว”แอลริคพุดแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ โอ้ยไปก็ได้วะนิสัยแย่ชะมัด” ไลท์สบถกับตัวเองเบาๆแล้วเดินเข้าไปหาแอลริคที่ยืนยิ้มเจ้าเล่ห์อยุ่อย่างไม่เต็มใจ
“ มีไรว่ามา”
“ตามฉันมานี่” พอพูดจบชายหนุ่มก้เดินนำหญิงสาวเข้าไปในป่าพลางหันมาเช้คว่าหญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงจะเดินตามเขามารึเปล่าแต่จนแล้วจนรอดเธอก็เดินตามเขามาทั้งๆที่เซงสุดๆ
ทั้งสองเดิน่านป่าขนาดใหญ่ซึ่งมีต้นไม่หลากหลายชนิดล้อมรอบแต่ที่มีเยอะมากก็กว่าต้นไม่ชนิดอื่นก็คงจะเป็นต้นเมเปิ้ล ซึ่งมันก็ทำให้ไลทืเคลิบเคลิมไปกับต้นไม่สุดโปรดของเธอซึ่งก็คือต้นเมเปิ้ลที่ตอนนี้ใบของมันกำลังร่วงลงพื้นหญิงสาวไม่พลาดที่จะหยิบใบของมันออกมาหมุนเล่นแก้เครียดแก้เซง พอทั้งสองเดินมาจนสุดเขตป่าก็เป็นลำธารเล็กซึ่งมีสะพานโค้งสีน้ำตาลพาดอยู่
“ น้ำใสจังแฮะ” ไลท์พูดกับตัวเองเบาๆพลางมองลงไปยังสะพาน แอลริคที่แอบได้ยินพูดกับตัวเองเหลือบตามามองแล้วเดินต่อไป
พอพ้นเขตสะพานก็เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีพร้อมทั้งปราสาทขนาดกลางหลังสีขาวสะอาดตา ดูสวยและงดงามด้วยศิลปะการตกแต่งแบบประยุคสมัยเก่าและสมัยใหม่เข้าด้วยกันและดูลงตัวแต่เธอกับรุ้สึกสงสัยอะไรบางอย่างที่ทำไมปราสาทสวยๆอย่างนี้มาตั้งอยุ่กลางป่าได้...
ประตูประสาทเปิดออกอย่างอัตโนมัติแอลริคเดินเข้าไปในปราสาทอย่างปกติส่วนไลท์กำลังอึ้งอยุ่เล็ก น้อยปราสาทสวยๆขนาดนี้มาตั้งอยู่กลางป่ามันแปลกๆ
“ นี่เธอเข้ามาซิยืนบื้อทำไมอยุ่ข้างนอกไม่เคยเห็นรึไงบ้านะ”แอลริคพูดเหน็บแนม ไลท์ได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินเข้าไปในปราสาทอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีเรื่องอะไรยุ่งอยากไปมากกว่านี้
บ้านงั้นเรอะประสาทหละมากกว่า
ภายในปราสาทนั้นยังคงเป็นสีขาวสะอาดตาเหมือนข้างนอกถูกประดับตกแต่งอย่างเรียบง่ายม้าม่านสีแดงติดอยู่ทั่วซึ่งตอนนี้ถูกเลื่อนปิดหมดจนทำให้บรรยากาศในปราสาทนั้นอึมครึมเล็กน้อย ส่วนห้องโถงนั้นมีโคมไฟระย้าห้อยลงมาและมีชุดโซฟาสีขาวชุดใหญ่ตั้งอยู่ รวมไปถึงทีวีขนาด50 นิ้วติดผนังที่ตอนนี้ถูกเปิดอยู่ บนโซฟานั้นไลท์สังเกตเห็นร่างของชายหนุ่ม ผู้หนึ่งนอนอยู่ เขามีผิวที่ขาวจนเกือบซีดและผมสีแดงเพลิงเป็นประกาย
ก๊ากๆๆเคี้ยกๆๆกว่าตอนนี้จะแต่งเสร็จเหอๆๆขอฝากท่านนักอ่านที่นไป่นมาขะขอรับช่วยอ่านให้หน่อยเม้นด้วยยิ่งดีใหญ่ ฮื่อจะอัพให้เร็วที่สุดอาทิตย์หน้าเลยเป็นไงตอนที่7 5555+โม้ไปงั้น
ความคิดเห็น