คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ภารกิจ
บทที่ 1
ภารกิจ
ยามราตรีกำลังมาเยือน ดวงดาวที่เต็มท้องฟ้ากำลังทอแสงในขณะที่ ดวงจันทร์ 2ดวงของอาณาจักรกำลังค่อยๆเต็มดวง ทำให้ทุกวันที่เคยมืดมิดกลับกลายเป็นว่าสว่างผิดปกติกว่าทุกคืนซึ่งจะมีแค่อาทิตย์เดียวในรอบปีดังนั้นจึงมีการจัดงานฉลองสืบต่อกันมาเป็นประเพณีประจำปีขึ้น ในทุกเมืองจะจัดกันอย่างสนุกสนานแต่สำหรับในมหานครนั้นจัดกันอย่างยิ่งใหญ่เป็นพิเศษเพราะเป็นมุมที่มองเห็นดวงจันทร์ชัดที่สุดและเต็มดวงก่อนเมืองอื่นเทศกาลนี้ถูกเรียกว่าเทศกาล มาดิส ลาปิส
ในมหานครไมเรียนอสปิดถนนเกือบทุกสายฉลองกันในตอนกลางคืนเว้นแต่ถนนสายเดียวที่ถูกปิดให้ร้างซึ่งปกติก็ไม่มีคนอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนอยู่แล้วเพราะแถบนั้นปล่อยให้ร้างไว้นานโจรผู้ร้ายชุกชุมคนจรจัดที่ในมหานครไม่หน้าจะมีถนนสายนี้โดนเรียกว่า ถนน คลามเมีย
แต่คืนนี้มันคงไม่เงียบเหมือนเคย...
“เฮ้ยหยุดเดี๋ยวนี้นะ”เสียงหนึ่งดังขึ้นเจ้าของเสียงชี้นิ้วไปข้างหน้าในขณะที่กำลังวิ่งแล้วปัดผมสีน้ำตาลแดงที่ปิดหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาว ผิวขาว นัยน์ตาสีฟ้าคราม โดยรวมๆแล้วหน้าตาของเธอก็จัดว่าธรรมดาไม่ได้สวยอะไรมากมาย เธอกระชากเสื้อคลุมยาวสีดำแถบสีเขียวที่มีตราของผู้พิทักษ์ออกเพราะมันเกะกะ
“ หยุดให้ฉลาดรึไงว่ะ ยัยผู้พิทักษ์หน้าโง่”คนที่โดนบอกให้หยุดพูดขึ้น คนๆนั้นเป็นชายหนุ่มร่างสูงผมสีน้ำตาลดำ ใส่หน้ากากในงานเทศกาลที่พึ่งฉกมาทำให้ไม่มีใครเห็นหน้าของเขาเลย ใบหน้าที่เรียกได้ว่ายังไม่มีใครเคยเห็นเพราะเขามีเวทมนตร์บางอย่างที่สามารถเปลี่ยนใบหน้าของตัวเองให้เป็นใบหน้าของคนอื่นเพียงแค่ได้เห็นใบหน้านั้นแค่ครั้งเดียวชายหนุ่มผู้นี้ถูกเรียกว่า จอมโจรพันหน้า
“ ว่าใครโง่ว่ะอย่าให้ฉันจับแกได้นะ”
“โอ๊ยกลัวจัง”
หญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงสูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วเร่งฝีเท้าในการวิ่งให้เร็วขึ้น เพื่อที่จะไล่จับไอ้โจรปากหมาที่เธอกำลังโกรธมันสุดๆให้ทันแต่โจรหนุ่มเบื้องหน้าก็เริ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเหมือนกัน
ทั้งสองหญิงสาวผู้พิทักษ์กับโจรหนุ่มวิ่งกันมาได้ซักพักจนทั้งคู่เริ่มหอบ “ แฮกๆ” แต่ก็ต้องวิ่งต่อเพื่อความอยู่รอดและหน้าที่ทั้งสองยังคงวิ่งไล่กันไปเรื่อยๆจนฝ่ายผู้พิทักษ์หญิงเริ่มผ่อนแรงลงช้าๆส่วนฝ่ายโจรหนุ่มก็ยังคงวิ่งนำหน้าต่อไปใช้ความได้เปรียบระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายที่มีแรงต่างกันโดยเฉพาะโจรหนุ่มที่ต้องวิ่งหนีพวกผู้พิทักษ์อยู่บ่อยๆเขาวิ่งทิ้งระยะจากผู้พิทักษ์สาวไปซักพักแล้วเลี้ยวเข้าทางซ้ายตรงหัวมุมถนนแล้วหยุดนั่งลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยแต่ไม่ทันจะนั่งให้หายเหนื่อยเลยความซวยก็เริ่มมาเยือน
“จะรีบไปไหนจ๊ะคุณโจรพันหน้า”
เสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้นซึ่งมันก็เป็นเปรียบเป็นสัญญาณเตือนภัยสำหรับโจรหนุ่มที่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว ผู้มาใหม่ปัดผมสีน้ำเงินของตัวเองเบาๆแล้วปรือตาสีฟ้าขึ้นแล้วยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์
“ โถ่เว้ยไอ้พวกผู้พิทักษ์พวกนี้”
ชายหนุ่มหนุ่มผมสีน้ำตาลดำที่โดนเรียกว่า โจรพันหน้าสบถใส่ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเบื้องหน้าที่ถูกเรียกว่าผู้พิทักษ์ สาเหตุที่เขารู้มันก็ง่ายๆผู้พิทักษ์ส่วนมากจะมีเสื้อคลุมและแถบสีที่บ่งบอกถึงระดับส่วนชายหนุ่มผมสีน้ำเงินผู้นี้ใส่เสื้อคลุมแถบสีเขียว
“นี่พวกแกจะเอายังไงกับฉันขอบอกว่าตอนนี้ฉันเหนื่อย”โจรหนุ่มสบถแล้วขยับหน้ากากที่ใส่อยู่เบาๆ
“ก็มันเป็นหน้าที่ของพวกฉันนี่นาช่วยไม่ได้ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องจับแก”
“หน้าที่บ้าบออะไรของพวกแกวะก็แค่ผู้พิทักษ์กระจอกๆ”ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเลิกคิ้วขึ้นสูง
“แกว่าไงนะกระจอกงั้นเหรอ อย่างกะแกมันไม่กระจอกงั้นแหละ โถ่แกมันก็แค่ใช้เวทบ้าๆเปลี่ยนหน้าของตัวเอง พลางตัวบ้าบออะไรนั่น ถ้าแกไม่มีอะไรพวกนั้น แกคิดว่าจะหนีพวกฉันรอดตั้ง 1ครั้งงั้นเหรอ พูดอย่างงี้แกอยากตายเร็วใช่ไหม”
ผู้พิทักษ์หนุ่มพูดรัวและเร็วพร้อมกับคว้าคอเสื้อของโจรหนุ่มขึ้น แล้วส่งสายตาอำมหิตใส่
“นี่แกจะทำอะไรของแกวะเนี่ยไอ้ปากแมว”
“จะทำอะไรนะเหรอก็จับแกไงหละ ถามโง่ๆแล้วอย่ามาว่าฉันปากแมวอีก”
“จับงั้นเหรอ ฝันไปเหอะนี่ฉันถามอะไรหน่อยเหอะพวกพิทักษ์มันทำกันแบบที่แกทำนี่เหรอ เหมือนนักเลงข้างถนนซะมากกว่า” หลังจากคำพูดเสียดๆแทงๆของจอมโจรจบไปทุกอย่างก็เงียบลงได้ยินแต่เสียงของลมที่พัดไปมาเบาๆทั้งสองฝ่ายต่างจ้องหน้ากันอย่างไม่ละสายตา
บุรุษหนุ่มผู้พิทักษ์ค่อยๆคลายคอเสื้อของฝ่ายโจรเบื้องหน้าออกแล้วยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์”งั้นเอางี้ก็ได้นะถ้าแกคิดว่าฉันเป็นนักเลงข้างถนน เรามาสู้กันไหมหละถ้าแกแพ้แกต้องให้ฉันจับ ถ้าฉันแพ้ฉันจะปล่อยแกไป”ฝ่ายโจรหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วตอบกลับ “ ได้”
“ว่าแต่แกจะใส่หน้ากากสู้งั้นเหรอ” ผู้พิทักษ์หนุ่มถามอย่างเจ้าเล่ห์
“ ก็ได้ถอดก็ได้”
โจรหนุ่มรับข้อเสนอแล้วค่อยๆเอื้อมมือไปถอดหน้ากากในขณะคนที่บอกให้ถอดกำลังลุ้นตัวโก่งกับไอ้คนที่ใครๆบอกกันนักกันหนาว่าไม่เคยเห็นหน้าที่แท้จริงของมัน
“ นี่ไงถอดออกแล้วเป็นไงหล่อไหม คุณผู้พิทักษ์ปากแมว”
โจรหนุ่มยิ้มกว้างมันช่างต่างกับบุรุษเบื้องหน้าอีกคนที่กำลังโกรธจนตัวสั่น
“นี่แกคิดยังไงมาเลียนแบบหน้าหล่อๆของฉัน” เสียงตะโกนของคนที่คิดว่าตัวเองหล่อดังลั่นเมื่อเห็นใบหน้าสีผมสีตาของตัวเองและปากที่กำลังยิ้มเจ้าเล่ห์
“ เหมือนไหม”
“วันนี้แกตายแน่”
พูดไม่ทันขาดคำหมัดของผู้พิทักษ์หนุ่มก็รอยแหวกอากาศไปอย่างรวดเร็วจนคนเบื้องหน้าไม่ทันตั้งตัวโดนเข้าเต็มๆที่แก้มซ้ายจนเลือดสดๆไหลออกมาจากริมฝีปากหลังจากนั้นหมัดก็ถูกปล่อยออกมาเรื่อยๆอย่างไม่ยั้งเขาเอี้ยวตัวหลบอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัวแต่หมัดมาทางซ้ายแต่เจ้าตัวดันหลบไปทางเดียวกับหมัดนี่ซิก็เลยเต็มๆอีกซะที่หน้าท้องล้มฟุบลงไปที่พื้นพลางกุมท้องแล้วเลือดสดๆก็ไหลออกมาจากปากอีกครั้ง
“ เป็นไงคราวนี้ยอมให้จับยังวะแกนะมันไร้ฝีมือริอาจจะมาสู้กับฉัน” ผู้พิทักษ์หนุ่มยิ้มเยาะคนที่ถูกเยาะเย้ยกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ
“ใครว่าฉันแพ้แกกันเล่า”โจรหนุ่มค่อยๆพยุงตัวขึ้นช้าๆแล้วพึมพำอะไรบางอย่างออกมาว่า “ ไวด์รีอาฟาย”ทันใดนั้นปีกนกจำนวนมหาศาลก็พุ่งเข้าใส่ผู้พิทักษ์หนุ่มเขาอึ้งไปซักด้วยความแปลกใจแล้วโบกมือผ่านอากาศแล้วเริ่มร่ายเวทเพื่อหยุดพายุปีก ปีกนกที่คมเหมือนกับใบมีดกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ ไอซ์บอลเรีย” ผู้พิทักษ์หนุ่มตะโกนขึ้น กำแพงหิมะก็เกิดขึ้นปีกนกที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วปะทะกับม่านหิมะอย่างแรงปีกนกหล่นลงกับพื้นอย่างง่ายดายผู้พิทักษ์หนุ่มโบกมือผ่านอากาศอีกครั้งกำแพงหิมะก็หายไป
“ ร้ายเหมือนกันนะแกไอ้......”พูดยังไม่ทันจะจบประโยคร่างของโจรที่จะพูดด้วยก็ดันหายไปซะแล้ว
คราวนี้จะทำไงดีหละทีนี้....
“โถ่เว้ยแกหายไปไหนของแกวะไอ้โจรเวร” ผู้พิทักษ์หนุ่มตะโกนลั่นก่อนจะพึมพำด่าตัวเองในใจเบาๆว่า “เฮ้อไม่น่าฉลาดน้อยเลยเรา”
อีกด้านจอมโจรพันหน้าที่พึ่งวิ่งหนีผู้พิทักษ์จอมตื้อมาได้กำลังวิ่งอย่างอ่อนแรงแถมบาดเจ็บ ตาก็เบลอๆจนเกือบจะปิดมันเป็นผลจากการต่อสู้มาอีกทำให้วิ่งไม่ค่อยจะเร็วซักเท่าไหร่เร่งความเร็วก็เร่งไม่ขึ้นได้แต่พึมพำกับตัวเองในใจว่า “แทนที่คืนนี้จะได้ไปล้วงกระเป๋าคนในงานเล่น ไปหาควงสาวๆเป็นเพราะไอ้พวกผู้พิทักษ์หน่วยบ้านี้แท้ๆเจ็บใจโว้ย”
“หวัดดีจะรีบไปไหนนะ”เสียงหนึ่งของใครบางคนดังขึ้นโจรหนุ่มได้ยินเสียงนั้นชัดแจ๋วแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
เพราะเสียงนี้ที่ได้ยินมันคงไม่ดีกับเจ้าตัวแน่ “อะไรกันอีกว่ะเนี่ย”
“นี่วิ่งไม่ไหวก็หยุดเถอะอย่าให้ใช้ความรุนแรงเลย” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งแต่โจรหนุ่มก็ทำเป็นว่าไม่สนใจอีกครั้งแล้ววิ่งต่อไปแล้วพยายามเร่งความเร็วขึ้นอีกแต่ขาเจ้ากรรมที่ทำท่าจะไม่ไหวเอาซะเลยกำลังชาวิ่งได้ก็บุญแค่ไหนแล้วแต่ไม่ทันจะคิดว่าจะทำยังไงต่อไปเขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกระโดดข้ามหัวเขาไป ความรู้สึกที่ไม่อยากรู้สึกเอาซะเลย เขาค่อยๆเงยหน้าหน้าขึ้นหลังจากที่ก้มมาตลอดแล้วภาพชายเบื้องหน้าก็ปรากฏขึ้นถึงแม้จะเป็นภาพที่เบลอๆแต่นั่นมันก็ทำให้เขาขยาดได้
มาได้ไงกัน...
“ บอกให้หยุดก็ไม่หยุด” ชายผู้มาใหม่เบื้องหน้าพูดขึ้นซึ่งมันก็ทำให้โจรหนุ่มตกใจ
ชายหนุ่มผู้นั้นมีใบหน้าเหมือนกับผู้พิทักษ์ที่พึ่งสู้กับโจรหนุ่มมาทั้งสีของตาเว้นแต่สีผมที่เป็นสีดำแกมน้ำเงินที่ถ้าไม่สังเกตดีๆคงไม่รู้ว่าเป็นคนละคนกันแล้วยิ่ง โจรหนุ่มที่ตาเบลอๆอยู่แล้วคงนึกว่าเป็นคนๆเดียวกัน
“ นี่แกเป็นอะไรของแกทำหน้ายังกะเห็นผี” ชายหนุ่มผู้มาใหม่พูดขึ้นอีกครั้งจอมโจรเบื้องหน้าที่ดูสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักก่อนจะพูดขึ้นว่า “ กะแกทำไมตามมาเร็วจังวะไอ้ผู้พิทักษ์ปากแมว”
“ตามมาเร็วอะไรของแก”เจ้าของผมสีดำแกมน้ำเงินตอบแล้วจ้องหน้าของโจรเบื้องหน้าอย่างจดจ่อก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า
“นี่แก...”แต่ไม่ทันจะพูดจบใครบางคนก็ตัดบทซะก่อน “ แกจะเป็นยังไงฉันไม่สนใจแล้วไปหละ” โจรหนุ่มพูดเสร็จก็เลี้ยวขวาเข้าซอยอีกซอยไปปล่อยให้ใครบางคนยืนสบายใจอยู่
คิดว่าจะตามไม่ทันรึไง...
“ตามมันไป ตามไป” ผู้พิทักษ์หนุ่มคนที่เคยสู้กับโจรตีนแมวตอนแรกที่พึ่งมาเขาทำท่าทางแปลกๆแล้วมองไปที่คนที่หน้าตาเหมือนกันกำลังยืนกอดอกอย่างสบายใจ
“นี่ฟาริสนายไม่ตามมันไปหละ”
“ขี้เกียจ ไม่อยากตาม”ชายคนที่โดนเรียกว่าฟาริสตอบ
“หา!ไอ้แฝดบ้าแกจะไม่ตามมันไปใช่ไหม”ผู้พิทักษ์หนุ่มผมสีน้ำเงินสบถใส่ฝาแฝดของตัวเองยืนสบายใจ
“ ใช่แล้วแกจะทำไมวะฟาเรส” แฝดเจ้าของผมพูดกวนๆในขณะที่คนโดนกวนกำลังโกรธจัดและเตรียมคำด่านานับประการที่จะด่าแต่พอจะด่าจริงๆกับด่าไม่ออก
“ถ้าแกไม่ไปฉันไปเองก็ได้วะไอ้แฝดเวร ไม่มีอารมณ์จะทะเลาะแล้วโว้ย” พอพูดจบผู้พิทักษ์หนุ่มที่โดนเรียกว่าฟาเรสก็รีบวิ่งตามจอมโจรที่วิ่งไป
“เฮ้อมันจะตามไปทำไมของมัน” พูดไม่ทันขาดคำฟาริสก็ตามฟาเรสไปอย่างใจเย็น
อีกด้านหนึ่งของจอมโจรที่ไม่คิดอะไรเลยว่าทำไมฟาริสถึงปล่อยตัวเองมาง่ายๆพายายามฝืนวิ่งต่อไปเรื่อยๆพลางคิดถึงความซวยที่เกิดขึ้นวันนี้และคิดว่าจะมีอะไรที่ซวยอีกไหมวันนี้แล้วสูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วเร่งฝีเท้าวิ่งต่อไปแต่ไม่นานความซวยที่คิดถึงก็บังเกิดเมื่อเจอกับ
ทางตัน...
แถมพ่วงท้ายมากลับคนที่ดูเหมือนจะยืนรออยู่ชายหนุ่มผมสีทอง นัยน์ตาสีดำสนิทสีหน้าดูนิ่งๆเฉยชากำลังยืนกอดอกรออยู่ดูแค่เสื้อคลุมก็พอจะรู้แล้วว่ามันหน้ากลัวขนาดไหนเสื้อแถบแดงผู้พิทักษ์ระดับ 3 หรือระดับเลมาเนอร์ ระดับที่ถือว่าฝีมือร้ายกาจ
“อะไรวะเนี่ย ดันมาเจอไอ้แว่นหน้าโหดนี่ ซวยอีกแล้ว”โจรหนุ่มพึมพำในใจแล้วรีบกลับหลังหันเพื่อที่จะวิ่งหนีแต่ความซวยก็พัดมาอีกระลอก
ไอ้ปากแมว...
“ฮะฮ้าฮาๆๆหนีไม่รอดแล้วไอ้โจรตีนแมว” ฟาเรสเยาะเย้ยอย่างซะใจ
“ โถ่โว้ย”โจรหนุ่มตะโกนออกมาอย่างหมาจนตรอก จนฟาริสเดินมาแล้วหยุดข้างๆฟาเรส
“ พวกแกรุมฉัน พวกแกรุมฉัน”
โจรหนุ่มตะโกนออกมาอีกรอบฟาเรสเริ่มทนไม่ไหวกำลังจะออกมาซัดคนที่ทำให้โมโ แต่ฟาริสห้ามไว้ซะก่อน แต่ทันใดนั้นร่างๆหนึ่งก็ทะยานลงมาจากหลังคาร่างนั้นทะยานเข้าใส่โจรหนุ่มที่กำลังมองอย่างอึ้งๆแล้วคิดว่าใช่ยัยผู้พิทักษ์ที่เจอคนแรกรึเปล่าแต่ปรากฏว่าพอเข้ามาใกล้ๆก็ใช่จริงๆผมแดงนัยน์ตาสีน้ำเงิน เธอทะยานมาพร้อมกับหมัด หมัดที่บัดนี้กระแทกกับหน้าของโจรหนุ่มเข้าเต็ม เขารอยลงไปกระแทกกับพื้นแล้วสลบไปในที่สุด
“ไลท์” ฟาเรสตะโกนขึ้น
“อะไรของพวกของแกฟาเรสเรียกซะดัง”หญิงสาวผมแดงที่พึ่งถูกเรียกว่าไลท์พูดก่อนจะหันไปสบตากับหัวหน้าหน่วยที่ทำหน้าเครียดสายตาคมดุที่ซ่อนอยู่ใต้แว่น หันไปสบตาไลท์ตอบ
“แล้วจะเอาไงกับไอ้โจรนี่”ฟาริสพูดก่อนจะยกคอเสื้อของโจรหนุ่มขึ้น
“เรียกบาเรียเอารถมารับพากลับศูนย์บัญชาการ”หัวหน้าหน่วยนาม โรเซน พูด ไลท์หยิบเครื่องมือสื่อสารไร้สายสีเงินมันที่มีขนาดเล็กมันมีชื่อเรียกว่า คอมเมท คอมเมทสามารถเปิดโหมดภาพและเสียงได้ถ้าเปิดโหมดภาพจะสามารถเห็นคนที่เราจะคุยด้วยได้ถ้าโหมดเสียงก็ได้ยินแต่เสียง ไลท์เปิดโหมดเสียงแล้วติดต่อไปที่ศูนย์บัญชาการในถนน ฟอมัลเรส
“ สวัสดี ไลท์ จะให้ไปรับใช่ไหม” เสียงหวานของบาเรียทัก
“ ใช่เช็คเอานะว่าพวกฉันอยู่ไหน อะแค่นี้แหละ”ไลท์ตอบเรียบๆสั้นๆแล้วเดินเข้าไปหาโรเซนที่ยืนพิงผนังอยู่
“นี่โรเซนพาไปหาเสื้อหน่อย”โรเซนเงยหน้าขึ้นแล้วค่อยๆพยักหน้า
“อย่าลืมดูโจรนั้นด้วยหละ”โรเซนพูดเบาๆ ฟาเรสกับฟาริสที่กำลังเริ่มจะทะเลาะกันเงียบแล้วฟังอย่างตั้งใจ แต่พอเวลาไลท์พูดหละก็ทั้งที่เสียงดังกว่าแต่คู่แฝดนั้นกลับไม่ยอมฟัง แถมด่ากลับมาอีกด้วย นี่แหละหัวหน้าหน่วยที่น่าเกรงขาม
พอพูดเสร็จโรเซนก็เดินนำหน้าไลท์ไปเธอค่อยๆวิ่งตามไปอย่างช้าๆ
“ นี่โรเซนอย่าเร็วนักซิ” ไลท์ค่อยๆวิ่งมาใกล้แล้วหยุดข้างๆโรเซนไลท์เดินถอยหลังแล้วทำหน้าล้อเลียนโรเซนที่ทำหน้าดุอยู่ตลอดและ ไร้อารมณ์ตลอดเวลา
“ นี่หลานอย่าทำหน้าดุซิเดี๋ยวก็หน้าแก่เหมือนตาแก่หรอก” ไลท์ล้อเลียนเสียงคนแก่พลางทำหน้าบึ้งโรเซนยิ้มน้อยๆให้ไลท์
“ ยิ้มอีกซิหัวเราะด้วย พรุ่งนี้ก็พักร้อนแล้วนะ”
“ใครว่ากันเล่า งานยังไม่เสร็จใครก็ห้ามหยุด” โรเซนตัดบท ไลท์ทำหน้าหงอย
“ ว่าไงนะ
”
“ ก็พรุ่งนี้ท่าน เอ็กเพอร์หนาดเรียกให้ไปพบตอนเช้านะ” ชายหนุ่มพูดเรียบๆเหมือนไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรเลยที่พรุ่งนี้จะโดนเบียดเบียนเวลาพักร้อน แต่สำหรับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆกับตรงข้ามกับเขาโดยสิ้นเชิงอารมณ์ของเธอกำลังเดือดปุดๆเหมือนน้ำเดือดที่พอจะต้มคนได้ทั้งคน
“ ตาลุงนั่นเอาอีกแล้วนะ...”เสียงของคนที่กำลังโกรธดังขึ้น
“นี่อย่าพึ่งสนใจเลยเราไปหาเสื้อกันดีกว่า” โรเซนแนะ
“ ก็ได้โถ่โว้ย แล้วไอ้เสื้อบ้ามันหายไปไหน”ไลท์สบถแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ
“ คงเป็นพวกคนจรแถวนี้เอาไปแล้วมั้งชั่งเหอะ”
“ ได้ไงนี่มันตัวที่ 2 แล้วนะโรเซน”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรนอกจากยืนกอดอกเงียบให้ไลท์มัวแต่กระวนกระวายกับเสื้อที่หายไป
“ นี่พวกแกรีบขึ้นรถเร็วๆซิวะ” เสียงตะโกนของฟาเรสดังขึ้นในขณะโผล่หัวออกมานอกหน้าต่างรถแล้วโบกมือ
รถในอาณาจักรซานฟอเรสเป็นรถที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ รถลอยอยู่เหนือพื้น 1 เมตร ทำด้วยวัสดุจากแร่พิเศษสามารถวิ่งได้ถึง 10 กิโลเมตรต่อ 1 นาที ระบบอิเล็กทรอนิคส์ที่ทำปฏิกิริยาของโลหะเดียวกันจะไม่สามารถปะทะกันในระหว่าง 3 เมตร สามารถจุคนได้ถึง 15 คนถึงแม้จะมองจากข้างนอกเป็นคันเล็กๆ
ประตูรถเปิดออกแบบอัตโนมัติไลท์และโรเซนก้าวขึ้นรถไปไลท์นั่งข้างๆบาเรียที่เป็นคนขับรถส่วนโรเซนนั่งเบาะหลังสุด ส่วนฟาเรสนั่งเบาะข้างหลังไลท์โดยมีฟาริสนั่งอยู่ข้างๆและโจรหนุ่มที่ถูกเอาฟ้าปิดหน้านอนสลบคั้นกลางอยู่ รถสีเงินประจำหน่วยค่อยแล่นขึ้นไปบนเวย์เทรสที่ถูกจัดไว้ให้สำหรับรถวิ่ง ที่นั่นมีรถวิ่งกันเต็มไปหมดมันแล่นเร็วจนมองแทบไม่ทัน เพราะวันนี้เป็นงานเทศกาลรถก็เลยเยอะเป็นพิเศษแถมติดสุดๆงานเทศกาลที่ชวนมองเพราะแสงไฟตอนกลางคืนสวยมาก
“ เป็นไงไลท์เจ็บตรงไหนรึเปล่า” บาเรียหญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงหยิกเป็นลอนนัยน์ตาสีเขียวมรกตดูสดใสถามไลท์อย่างเป็นห่วง
“ นี่ฉันนะไม่เป็นไรหรอกแต่ไอ้ฟาเรสนะซิไม่รู้มันคิดยังไงกับไอ้โจรนั่น” ไลท์พูดกวนๆแล้วหันไปยิ้มให้ฟาเรส
“ โถ่เว้ยก็มันเล่นเปลี่ยนหน้าเป็นฉันทั้งสีผม ทั้งตา แถมตอนนี้หน้ามันเละซะยังกะอะไรดี ดูซิ” ฟาเรสเอาผ้าออกจากหน้าโจรหนุ่ม บาเรียถึงกับอึ้งเมื่อเห็นสภาพ
“คิดไม่ออกเลยนะถ้าคุณฟาเรสเป็นซะเองจะเป็นไง”
“ แล้วจะคิดทำไมวะยัยป้าบาเรีย” ฟาเรสค้อนใส่บาเรีย
“ว่าแต่ทำไมมนตร์มันถึงไม่คลายซักทีตาทฤษฏีแล้ว แค่ ชั่งโมงเดียว มันหน้าจะคืนหน้าเดิมได้แล้วนะ”
ฟาริสพูดขึ้นในขณะที่นั่งคิดอย่างเงียบๆอยู่ตั้งนาน ทฤษฎีทั้งหมดก็ตรงตามที่ฟาริสพูดมนตร์น่าจะคายตั้งแต่1ชั่วโมงแรกนี่ผ่านมาเกือบแต่นี่3 ชั่วโมงมนตร์ยังไม่มีทีท่าว่าจะคาย
“นั่นซินะคงเป็นเพราะ มันมีเวทแปลกๆมั้ง” ไลท์ออกความเห็น
“ช่างเหอะน่าแต่ตอนนี้เอาผ้าปิดหน้ามันเอาไว้ก่อนเห็นแล้วรู้สึกแปลกๆ” พูดไม่ทันขาดคำฟาเรสก็เอาผ้าปิดหน้าโจรหนุ่มอีกครั้ง
“ เออนี่ฉันสงสัยว่าตอนนั้นที่มันเจอฉันแล้วมันทำหน้าแปลก แถมมันยังบอกว่าฉันปากแมวอีก” ฟาริสพูดขึ้นด้วยความงง แต่ดูเหมือน ไลท์ กับ บาเรียกำลังหัวเราะอย่างเมามันเพราะคำที่ว่า
ปากแมว...
“ ปากแมวมันน่าจะเป็นไอ้ฟาเรสมากกว่านะ” ไลท์พูดพลางหัวเราะส่วนคนที่โดนพาดพิงอย่างฟาเรสตะโกนออกมาว่า“ใช่ๆฉันสู้กับมันแล้วมันยังบอกว่าฉัน ปากแมว”
ไลท์กับบาเรียระเบิดหัวเราะออกมาอีกรอบอย่างไม่เกรงใจใครที่นั่งหน้าบึ้งอยู่อย่างฟาเรส
“ งั้นก็แสดงว่ามันนึกว่าฉันเป็นแกหละซิฟาเรส” ฟาริสลูบคางตัวเองเบาๆ
“ คงงั้นมั้ง ค่ะก็พวกคุณเป็นแฝดกันนี่ถ้าไม่สังเกตดีๆหละก็บาเรียยังแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร” บาเรียให้ความเห็น
“ แกนะฟาริสแกหน้าเหมือนฉัน”
“ แกนั่นแหละฟาเรสแกมันเกิดหลังฉัน 15 นาที นะโว้ยจำไว้”
“ อะไรของแกวะฟาริส แกตายซะเถอะ”
ฟาเรสโน้มตัวไปข้างๆแล้วบีบคอฟาริสเขาไม่รอช้าจี้ที่เอวของฟาเรสฟาเรสระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่เต็มใจพร้อมกันไลท์และบาเรีย แต่มีคนเดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่หลังสุดอย่างเงียบสีหน้าบ่งบอกไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่ รถค่อยๆแล่นลงสู่ที่จอดรถหน้าศูนย์บัญชาการแบบอัตโนมัติพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังลั่นไปทั่วรถ
ความคิดเห็น