ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GTOP] INEFFABLE #พ่อบ้านจียง

    ลำดับตอนที่ #3 : Episode 02

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 60










                ร่างภายใต้เสื้อชุดนอนตัวโคร่งที่เพิ่งออกไปซื้อมาเมื่อวานนอนขดตัวอัตโนมัติอยู่บนเตียง เพราะอากาศภายนอกที่หนาวยะเยือกในคาบของการเปลี่ยนฤดู ผ้าห่มถูกเรียวมือบางดึงขึ้นมาห่มกายพร้อมกันในขณะที่เจ้าตัวลืมตาตื่นขึ้นมารับแสงที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา

     

     

                หนาวชะมัด...

     

     

                ควอนจียงนอนตะแคงข้างหันเข้าหาหน้าต่าง นัยน์ตาคู่สวยหรี่ลงรับแสงที่สาดเข้ามา นอนมองวิวข้างนอกไปเรื่อยเปื่อยพร้อมถอนหายใจช้าๆ ฟังเสียงต้นไม้ภายนอกถูกลมพัดกระทบกันสั่นไหวจนใบไม้ร่วงโรยลงสู่พื้นและปกคลุมเต็มไปหมด

     

     

                เรียวนิ้วขยี้ตาสองสามครั้งก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วพาตัวเองไปอาบน้ำ

     

     

                เสื้อยืดตัวโคร่งสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำดูสะอาดเรียบร้อย ผมน้ำตาลปรกลงบนใบหน้าเล็กน้อยถูกจัดให้เป็นทรง หลังจากเช็คตัวเองดีแล้วหน้ากระจกยาวที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องก็เดินออกไปพร้อมทำหน้าที่ของตัวเอง ทงยองเบยังไม่ตื่น ที่เห็นมีเพียงชเวซึงฮยอนที่นั่งอยู่บนโซฟาในชุดนอนขายาวพร้อมเสื้อยืดสีขาวกำลังอ่านอะไรบางอย่างอยู่ในมือ แฟ้มเอกสารข้อมูลสินค้าและข้อมูลของบริษัททั้งหมดถูกเรียวนิ้วแกร่งเปิดอ่านเช็คทีละหน้าอย่างใจเย็น

     

     

                “อรุนสวัสดิ์ครับ” ควอนจียงพูดทักทายตามมารยาทหากแต่ชเวซึงฮยอนกลับทำเพียงแค่พยักหน้าให้

     

     

                คนอะไรหยิ่งชะมัด

     

     

                ยิ่งเป็นแบบนี้ การจะเข้าหาคนอย่างชเวซึงฮยอนก็ยากพอๆ กับการเข็นครกขึ้นภูเขา

     

     

                “คุณจะรับชาหรือกาแฟไหมครับ”

     

     

                “เหมือนเดิม”

     

     

                “ชอบดื่มชาข้าวโพดเหรอครับ วันหลังผมต้มไว้ให้เอาไหม ดีกว่าแบบซองเป็นไหนๆ”

     

     

                ชเวซึงฮยอนไม่ได้ตอบ ทิ้งให้คำถามนั้นเคว้งคว้างจนควอนจียงต้องทำหน้ามุ่ย กลิ่นข้าวโพดอ่อนๆ ลอยขึ้นมาแตะจมูกคนชงเบาๆ ก่อนยกเสิร์ฟเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ที่เดิม ไม่นานทงยองเบก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเดินมาหน้าตางัวเงียขออาหารพื้นบ้านแบบเดิม 

     

     

                ควอนจียงยิ้มรับและคุยกันอย่างถูกคอกับทงยองเบ ผู้ที่เพิ่งจะเป็นเพื่อนกับเขาเมื่อสองวันที่ผ่านมา

     

     

                “นอนหลับสบายไหมครับ”

     

     

                “สบายดี แล้วนายล่ะ”

     

     

                “หนาวไปหน่อยแต่ก็โอเคกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย ฮ่าๆ” ควอนจียงฉีกยิ้มกว้างไม่เหมือนที่ผ่านมาที่จะพบเพียงแต่รอยยิ้มแห้งๆ จากเขา

     

     

                ชเวซึงฮยอนวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะเสียงดังราวกับกระแทก ท่าทีรำคาญเจ้าคนสองคนที่สามารถคุยกันได้อย่างถูกคอในเวลาเช้าๆ แบบนี้ เขาเดินหายเข้าไปในห้องที่ควอนจียงได้แต่ชะเง้อมองจนสุดลูกหูลูกตา หากแต่แม้จะพยายามมองเข้าไปให้ไกลแค่ไหนกลับไม่พบอะไรเลยแม้แต่น้อย

     

     

                “วันนี้คุณอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ”

     

     

                “อยู่สิทำไมเหรอ”

     

     

                “เปล่าหรอก ผมจะได้มีเพื่อนอยู่ด้วยไง” เสียงหวานพูดแกมตลกในขณะที่ตัวเองกำลังจัดสำรับอาหารให้ผู้ที่นั่งรออยู่

     

     

                ชเวซึงฮยอนเดินออกมาในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด สะโอดสะองในตำแหน่งประธานบริษัท นัยน์ตาคู่นั้นที่ดูแข็งกร้าวแต่ก็ดูอ่อนโยนในขณะเดียวกันทำเอาควอนจียงยากที่จะอธิบายว่าเขาเป็นคนประเภทไหน

     

     

                “ผมอยากรู้อะไรอีกนิด ทำไมผมถึงเข้าไปที่ห้องเขาไม่ได้ล่ะครับ”

     

     

                “ไม่มีอะไรหรอก เขามีแต่เฟอร์นิเจอร์ที่ชอบสะสมไว้ในห้องน่ะ เลยไม่ให้ใครเข้าถ้าไม่จำเป็น”

     

     

                ควอนจียงพยักหน้ารับ

     

     

                คนอะไรสะสมเฟอร์นิเจอร์ด้วย แปลกแฮะ

     

     

                ไม่ให้เสียเวลาเปล่า ไม้ขนไก่อันเล็กในมือจียงปัดฝุ่นตามโต๊ะและซอกมุมต่างๆ จนสะอาดเรียบก่อนจะกวาดเศษฝุ่นผงไปทิ้ง ทำทุกอย่างตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็นพลางฮัมเพลงที่ตัวเองเขียนขึ้นมาไปด้วยในใจ

     

     

                เสียงเครื่องดูดฝุ่นดังน่ารำคาญหากแต่ทงยองเบก็ยังนั่งทำงานอยู่ที่เดิม บนโซฟาในส่วนของห้องนั่งเล่น

     

     

                “อันดราไดรท์-- ทับทิม-- แซฟไฟร์”

     

     

                อันดราไดรท์?

     

     

              ทับทิม?

     

     

              แซฟไฟร์?

     

     

              น้ำเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีดังก้องกังวานอยู่ภายในศีรษะของควอนจียง เหมือนเคยได้ยินมันมาก่อน ทว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

     

     

                ยามวิกาลที่ท้องฟ้ามืดสนิท เดินลงมาข้างล่างจะได้ยินเสียงบุพการีทั้งสองพูดคุยกันเรื่องงานจนเวลาผ่านเลยไปจนดึกเสมอ เขายังจำเสียงนั้นได้ดี หากแต่เขาไม่ได้อยากจะรื้อฟื้นสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาเท่าไหร่

     

     

                ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด

     

     

                ถึงพวกเขาจะจากไปในวัยที่เขายังพอทนรับความเจ็บปวดนั้นได้ หากแต่ความใกล้ชิดที่มีต่อกันก็ทำให้เขาต้องทนเสียใจอยู่นานพอสมควร

     

     

                “คุณทำอะไรอยู่เหรอครับ”

     

     

                “กำลังเช็คสินค้าอยู่ ไม่มีอะไรหรอก อยากรู้ไปทำไมกัน”

     

     

                “ผมก็พอรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่บ้างแหละ ผมได้ยินคุณพูดชื่อมันออกมาตั้งหลายชื่อ”

     

     

                ทงยองเบดูประหลาดใจหลังจากจียงพูดจบแล้วต่อด้วยการไล่ชื่ออัญมณีที่คนทั่วไปไม่อาจจะรู้ได้ถ้าไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับมัน เจ้าคนที่กำลังไล่ชื่อต่างๆ ยิ้มกว้างออกมาเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องที่เขาชอบหากแต่ต้องหุบยิ้มเมื่อไล่ถึงชื่อสุดท้าย

     

               

                “ทับทิม--“

     

     

                ควอนจียงหุบยิ้ม นัยน์ตาฉายแววเศร้า

     

     

                “มีอะไรหรือเปล่า”

     

     

                “เปล่าหรอก แม่ผมชอบทับทิม” ควอนจียงสกัดกลั้นความเศร้านั้นด้วยการพยายามฉีกยิ้มปลอมๆ ให้กับชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า

     

     

                ชายร่างสันทัดนั่งเงียบไปชั่วครู่เหมือนพยายามนึกอะไรบางอย่างแต่ก็นึกไม่ออก จนบรรยากาศเริ่มอึดอัด ควอนจียงขอตัวกลับไปทำหน้าที่ตัวเองต่ออย่างสุภาพ

     

               

                นามสกุลควอนเหมือนเคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อนหน้านี้

     

               

                นึกไม่ออกจริงๆ

     

     

                “จียง แล้วพ่อแม่นายอยู่ไหนล่ะตอนนี้น่ะ” ทงยองเบหันไปถามผู้ที่กำลังยืนจัดหนังสือที่ชั้นทีละเล่มอย่างประณีต “อ๋อ เสียแล้วครับ นานแล้วน่ะ”

     

     

                “เสียแล้วเหรอ-- เสียใจด้วยนะ”

     

     

                “พ่อแม่ผมทำงานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เหมือนคุณนั่นแหละครับ เป็นเจ้าของบริษัทด้วย” ควอนจียงเล่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

     

                “ผมถึงพอรู้เรื่องพวกนี้บ้างไง”

     

     

                ทงยองเบพยักหน้ารับหนึ่งครั้งก่อนจะหันกลับไปสนใจแล็ปท็อปตรงหน้า ตัวอักษรถูกพิมพ์ช้าๆ ประกอบจนเป็นคำในช่องค้นหาของกูเกิล เขาพยายามหาบริษัทที่มีประธานบริษัทนามสกุลควอน หากแต่ก็ไร้คำตอบที่เขาต้องการ

     

     

                เข็มนาฬิกาสั้นยาววิ่งหมุนวนไปเรื่อยๆ

     

     

                ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า

     

     

                ต่างคนต่างยุ่งกับสิ่งที่ตัวเองต้องทำ

     

     

               

     

               

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ชเวซึงฮยอนทอดกายอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม สายตายังคงทอดมองออกไปยังหน้าต่างที่มีม่านบางๆ กั้นสายตา ในเวลาบ่ายแก่ๆ ที่รถราในเมืองเริ่มสงบลงบ้างหากแต่ใจเขากลับไม่สงบเสียเลย ใจหนึ่งก็นึกระแวงว่าเจ้าคนมาใหม่จะทำข้าวของเฟอร์นิเจอร์เสียหายทว่าในอีกด้านก็นึกถึงแต่เรื่องความหลังของควอนจียง

     

     

                ตืด... ตืด

     

     

              เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานที่มีกองแฟ้มเอกสารวางอยู่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบดังขึ้น หน้าจอโชว์เบอร์ของชายร่างกำยำที่ชอบยิ้มให้ควอนจียงบ่อยๆ

     

     

                ทงยองเบ

     

     

                “ว่าไง”

     

     

                “คุ้นๆ นามสกุลควอนบ้างไหม”

     

     

                ทงยองเบถามด้วยน้ำเสียงสงสัยสุดกู่

     

     

                “มีตั้งเยอะแยะไป สงสัยอะไรอยู่หรือเปล่า” ชเวซึงฮยอนหรี่ตาลงเล็กน้อยเหมือนขบคิดตามคำถาม

     

     

                “รู้ไหมว่าพ่อแม่ของควอนจียงก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เหมือนอย่างเรา แต่พ่อแม่เขาเสียไปนานหลายปีแล้ว”

     

     

              ชเวซึงฮยอนเหมือนจะนึกออกแต่ก็ไม่ ตามความจริงแล้วเขาเพียงมาดูแลบริษัทแทนพ่อของตัวเองที่ตอนนี้กำลังล้มป่วยโดยอาการก็ยังคงทรุดลงเรื่อยๆ รอแค่วันที่จะมาถึงเพียงเท่านั้น เขารู้ว่าพ่อไม่สามารถกลับมาบริหารบริษัทได้ดังเดิม หากแต่ความจริงแล้วตัวเองก็ยังไม่อยากยอมรับตำแหน่งนั้น

     

     

                ทงยองเบที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทยังทำอะไรได้หลายอย่างกว่าเขาเสียอีก

     

     

                เขาก็แค่มือใหม่

     

     

                “ไม่รู้หรอก แต่ก็น่าสนใจดี”

     

     

                แก้วกาแฟเซรามิคสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะถูกยกขึ้นมาจิบเพียงนิดก่อนจะวางกลับลงไปที่เดิม ชเวซึงฮยอนวางสายคนที่เพิ่งคุยกันไปเมื่อครู่หากแต่ประโยคที่ว่าเกี่ยวกับครอบครัวของควอนจียงนั้นมันก็มีอะไรน่าแปลกอยู่จริงๆ

     

     

                ฝนตกอีกแล้ว

     

     

                บรรยากาศอึมครึมครอบคลุมภายในห้องทันทีที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาทะมึน เมฆทอดตัวต่ำมากจนเหมือนจะใช้มือเอื้อมจับได้

     

                                               

                ความรู้สึกแปลกที่แบบว่า

     

     

                ไม่ชอบแต่ก็ชอบ

     

     

                ไม่อยากนึกถึงแต่ก็กำจัดความคิดนั้นไม่ได้เสียที

     

     

                ชเวซึงฮยอนฟุ้งซ่านเกินกว่าที่จะตั้งสมาธิแล้วทำงานได้ เรียวนิ้วเกี่ยวกุญแจรถ สวมสูทชั้นนอกก่อนจะเดินออกจากบริษัท ฝ่ามือยื่นออกไปรองรับน้ำฝนจนมือเย็นเฉียบ กลิ่นอายของหยาดน้ำที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าแตะจมูกเบาๆ

     

     

                ความสุนทรีย์ที่มาพร้อมกับความเศร้า

     

     

                ดื่มด่ำอยู่ในห้วงอารมณ์ที่สวยงามและหม่นหมองในเวลาเดียวกัน

     

     

                ควอนจียงกำลังเปิดหนังสือตำราทำอาหารที่อยู่บนชั้นอ่านโดยไม่ได้ขออนุญาต ในขณะที่เจ้าของบ้านเปิดประตูเข้ามาพอดี หนังสือถูกยัดเก็บเข้าที่อย่างลวกๆ พร้อมกับยิ้มแห้งๆ ที่มักจะเผยออกมาเมื่ออยู่ต่อหน้าชายที่ชื่อซึงฮยอน

     

     

                “กลับเร็วจังนะครับ”

     

     

                “ถ้าอยากอ่านก็ขออนุญาตดีๆ-- ”

     

     

                “ขอโทษครับ”

     

     

                เจ้าของนัยน์ตาสวยรู้สึกว่าตัวเองมักจะต้องทำอะไรผิดเสมอเมื่อเจอซึงฮยอน หรือไม่ก็เขาไม่เคยทำอะไรที่ถูกใจคนคนนั้นเลยสักนิด บางทีการได้อยู่กับทงยองเบยังรู้สึกดีมากกว่าเสียอีก

     

     

                คนหน้าตาย...

     

     

                มีมนุษสัมพันธ์เหมือนคนอื่นบ้างหรือเปล่านะ

     

     

                “ล้างไม่สะอาด” ซึงฮยอนพูดขึ้นหลังจากหยิบแก้วไวน์ใบเดิมวางลงกับโต๊ะแล้วพบคราบเล็กๆ ใกล้ขอบแก้ว “รู้ไหม--”

     

     

                “ฉันไม่ชอบข้อผิดพลาด”

     

     

                ควอนจียงพูดคำว่าขอโทษได้นับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่มาเจอกับคนบ้าเจ้าอารมณ์แสนเนี้ยบคนนี้ บางทีก็คิดว่าเอาตัวเองเข้ามาโดนด่าเพื่อแลกที่อยู่อาศัยทำนองนี้หรือเปล่า เจ้าคนที่เพิ่งถูกตำหนิเดินหน้ามุ่ยเข้าไปหาทงยองเบที่ห้องจนอีกฝ่ายเห็นเป็นต้องยิ้มในการกระทำที่เหมือนเด็กตัวเล็กๆ

     

     

                “อย่าไปใส่ใจเขาเลย”

     

     

                “นายไม่รู้หรอกว่าเขาแค่หาเรื่องคุยกับนายอยู่”

     

     

                ทงยองเบพูดแกมตลกแต่ควอนจียงกลับไม่เข้าใจในคำพูดของเขาอีกแล้ว

     

     

                ประโยคที่ดูง่าย แต่ทำไมมันยากสำหรับเขากันนะ

     

     

                “ถ้าไม่อยากโดนดุก็ลองเป็นตัวของตัวเองเหมือนที่อยู่กับฉันสิ”

     

     

                เจ้าคนตัวเล็กรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตของตัวเองวันนี้ ลิสต์อาหารที่ต้องไปซื้อถูกแปะไว้บนบอร์ดเตือนความจำที่หน้าประตูพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งที่ถือว่าเยอะมากสำหรับควอนจียง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วที่ต้องซื้อเป็นผักและผลไม้แทบจะไม่มีของที่ทำลายสุขภาพเลย

     

     

                ผู้คนเดินไปมาในช่วงเย็นช่างวุ่นวายเสียจริงบวกกับสภาพอากาศแย่ๆ หลังฝนตกทำให้ควอนจียงไม่อยากแม้แต่จะเดินไปไหน เจ้าคนตัวเล็กในเสื้อคอเต่าสีขาวพร้อมด้วยเสื้อฮู้ดสีดำยังคงเดินสั่นหงึกหงักถึงแม้จะใส่เสื้อหลายชั้นก็ตาม

     

     

                เดินเข้ามาในซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ๆ บ้านยังช่วยพอประทังความหนาวได้บ้าง ควอนจียงเข็นรถเข็นไปอย่างใจเย็นพลางหยิบของที่ตัวเองต้องซื้อลงไปวาง

     

     

                หากแต่ก็ต้องสะดุดการกระทำนั้นไปชั่วครู่เมื่อสายตาดันไปสบกับใครบางคน

     

     

                เขาคนนั้นเมื่อหลายปีที่แล้ว

     

     

                ใช่ ต้องเป็นเขาแน่ๆ

     

     

                อีซึงฮยอน

     

     

                คนที่เขารอมาเสมอ

     

     

                ราวกับเป็นภาพลวงตา ไม่ทันได้เดินไปทักชายคนนั้นเดินหายลับไปภายในไม่กี่วินาที ควอนจียงได้แต่ยืนงุนงงอยู่ที่เดิมก่อนจะส่ายหัวเบาๆ แล้วคิดว่าเขาคงตาฝาดไปเอง

     

     

                ในระหว่างขากลับ ร้านขนมปังปลาร้านประจำถูกควอนจียงเหมาเกือบยี่สิบชิ้น สาบานว่าเขาสามารถทานมันหมดได้ภายในหนึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้

     

     

                ประตูเปิดออกพร้อมเสียงเอียดอาดนิดหน่อย ชเวซึงฮยอนนั่งจิบไวน์อยู่คนเดียวที่เคาน์เตอร์ทานอาหารในห้องครัว ถุงพลาสติกที่หอบหิ้วเอาผักผลไม้ที่ซื้อมาถูกวางลงไว้ตรงหน้าซึงฮยอน

     

     

                “ชอบดื่มไวน์เหรอครับ”

     

     

                “ผมว่ามันขมไปน่ะ”

     

     

                ชเวซึงฮยอนมองด้วยสายตาที่ถือว่าปกติที่สุดตั้งแต่มองหน้ากัน เขาเพียงแค่มอง

     

     

                “เมื่อดื่มเข้าไปมากๆ นายก็จะชินไปเอง รสชาติที่ว่าขมอาจจะเปลี่ยนเป็นหวานได้ทั้งๆ ที่ไม่มีใครไปเปลี่ยนมันเลย”

     

     

                ทำไมควอนจียงกลับนึกถึงอีกเรื่อง

     

     

                ถ้าเทียบกันแล้วเหมือนประโยคกำลังบอกว่า

     

     

                ถึงแม้ซึงฮยอนจะเป็นคนเย็นชาแค่ไหน แต่เมื่อได้รู้จัก ได้อยู่ด้วย บางทีมุมมองของควอนจียงก็สามารถเปลี่ยนไปมองเขาในอีกมุมได้ทั้งๆ ที่ชเวซึงฮยอนก็คือชเวซึงฮยอน

     

     

                “ถือว่าเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่คุณคุยกับผมเลยนะครับ”

     

     

                ควอนจียงเผยยิ้มกว้างที่เขาไม่เคยเผยให้ซึงฮยอนเห็นมาก่อน ยิ้มจนแก้มกลมแป้นขึ้นมาเป็นลูกๆ

     

     

                อย่าว่าแต่ทงยองเบจะต้องยิ้มเมื่อเห็นแบบนี้ ต่อให้เป็นซึงฮยอนเขาก็ต้องกลั้นรอยยิ้มตัวเองออกมาเหมือนกันเพราะความอีโก้สูงของตัวเอง

     

     

                “อ้อ ผมซื้อข้าวโพดมาด้วยนะ เผื่อคุณจะอยากลองดื่มแบบต้มเอาเองบ้างน่ะ”

     

     

                ควอนจียงจัดเก็บทุกอย่างเข้าที่จนเหลือแต่ถุงขนมปังปลาที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์

     

     

                “ลองกินนี่สิครับ” ถุงกระดาษสีขาวสามใบที่ถูกพิมพ์ลงไปว่าไส้ถั่วแดง ไส้ครีมและไม่มีไส้ถูกเลื่อนเชิงเสนอแนะให้ชเวซึงฮยอนลองทาน

     

     

                “ฉันไม่ชอบกิน”

     

     

                บางทีชเวซึงฮยอนก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น

     

     

                “โตป่านนี้แล้วยังกินอะไรเด็กๆ” เจ้าของบ้านพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปโดยทิ้งแก้วไวน์ไว้ให้ล้าง

     

     

                โธ่เว้ย

     

     

                เขาเป็นคนแย่ๆ จริงตามนั้นนั่นแหละ

     

     

                เขาอยากรู้เอาเสียจริงๆ ว่านิสัยปากคอเราะรายของผู้ชายคนนี้มาจากไหนกัน ไอท่าทีที่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่คำพูดจิกกัดนี่มันน่าหมั่นไส้จนควอนจียงอยากจะเอาขนมปังปลาที่ซื้อมาปาใส่หน้าเขาให้รู้แล้วรู้รอด

     

     

                ควอนจียงรีบจัดการทุกอย่างจนครบหมดเรียบร้อยก่อนจะรีบพาตัวเองกลับไปที่ห้อง

     

     

                ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ไม่มีอะไรสบายเท่านี้อีกแล้ว

     

     

                นัยน์ตาคู่สวยทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่างเห็นรถคันเล็กจากบนสะพานแม่น้ำฮัน ดื่มด่ำกับแสงไฟยามราตรีหลังตะวันลับฟ้าก่อนจะหลับตาลงฟังเสียงความสงบของบรรยากาศในห้อง ในขณะเดียวกันที่ชเวซึงฮยอนก็กำลังทอดกายบนเตียงนุ่ม จ้องมองต้นไม้ใหญ่ที่สั่นไหวเพราะแรงลม จินตนาการว่าจะรู้สึกหนาวเพียงใดเมื่อถูกลมเย็นนั้นพัดปะทะกับร่างกาย

     

     

                ไม่ปล่อยให้ตัวเองเหม่อลอย ชเวซึงฮยอนสลัดความคิดทุกอย่างออกไปจากศีรษะของตัวเอง ทอดขาเดินเข้าไปในห้องนอนของทงยองเบที่อยู่ข้างๆ บนโต๊ะทำงานมีกองเอกสารที่มองดูแล้วชวนปวดหัว

     

     

                “ลมอะไรหอบมาห้องฉันได้ละ”

     

     

                “เปล่า ช่วงนี้รู้สึกสมองว่างแล้วตัวเองชอบเหม่อลอย”

     

     

                “มีเรื่องอะไรให้คิดอยู่ละ ทำไมอยู่ๆ ก็เป็น”

     

     

                ทงยองเบรู้ดีว่าซึงฮยอนของเขาไม่ใช่คนช่างพูด ออกจะเป็นคนเงียบๆ ที่วันหนึ่งสามารถนับคำพูดเขาได้ว่าพูดออกมากี่คำ ถ้าไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจเขา ชเวซึงฮยอนคงไม่เป็นแบบนี้

     

     

                “ใช่ควอนจียงหรือเปล่า” ทงยองเบหันไปมองหน้าอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ข้างๆ

     

     

                “ก็คงใช่ แค่ส่วนหนึ่ง--”

     

     

                “--แต่ส่วนมากก็คงเรื่องพ่อ”  

     

     

                เขาไม่สนิทกับชายผู้ที่เป็นบิดาของเขาเสียเท่าไหร่ หากแต่เพียงตอนนี้เมื่อท่านล้มป่วย มันก็เป็นความรู้สึกของลูกคนหนึ่งที่ห่วงครอบครัวตัวเองได้เหมือนกัน กลัวว่าถ้าวันหนึ่งท่านเป็นอะไรไปก็จะไม่มีผู้นำครอบครัวที่ดีได้อย่างเขาอีกแล้ว

     

     

                เขาถูกฝากฝังทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ ครอบครัวหรือแม้กระทั่งเรื่องแต่งงาน

     

     

                ชเวซึงฮยอนคิดไม่ตกกับเรื่องสุดท้ายที่ว่าไป เขาเป็นคนมีปมเรื่องนี้มากกว่าใคร

     

     

                เพราะแค่ฐานะต่างกัน ความรักจึงเป็นไปไม่ได้

     

     

                “แล้วคิดยังไงเรื่องควอนจียงล่ะ” ทงยองเบพูดขึ้นหลังจากที่ปล่อยบทสนทนาเงียบเมื่อครู่ “อืม ไม่รู้สิ รู้สึกถูกชะตาแปลกๆ เหมือนเป็นชะตากรรมที่ต้องมาเจอกันแบบนี้หรือเปล่า”

     

     

                “เหมือนเราไง”

     

     

                ทงยองเบยิ้มมุมปาก นึกขอบคุณในใจที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตเขาให้ดีขึ้น หวังว่ากับควอนจียงก็คงจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน

     

     

                “อืม แล้วช่วงนี้การตลาดเป็นยังไงบ้าง”

     

     

                “นายก็รู้ช่วงนี้เศรษฐกิจค่อนข้างจะตกต่ำ แต่ว่ามีแบรนด์เสื้อผ้าอยู่แบรนด์หนึ่งกำลังแพลนเรื่องแฟชั่นโชว์ ธีมเป็นเรื่องเกี่ยวอัญมณี ได้เบอร์โทรติดต่อมาแล้วด้วย--” ทงยองเบค้นกองเอกสารหาข้อมูลเกี่ยวกับงานครั้งนี้ให้ชเวซึงฮยอน “อยู่ที่ว่านายจะสนใจหรือเปล่า”

     

     

                ชเวซึงฮยอนใช้สายตาพินิจข้อมูลทั้งหมดบนกระดาษสองสามใบนั้น เรียวนิ้วลูบนามบัตรใบเล็กอย่างสองจิตสองใจ เก็บเอาเรื่องทั้งหมดไว้ตัดสินใจภายหลัง

     

               

                “คิดดูก่อน รีบหรือเปล่า”

     

     

                “อีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ตัดสินใจเร็วก็ยิ่งตัดคู่แข่งได้เร็วเท่านั้นแหละ”

     

     

                ชเวซึงฮยอนเดินออกมาจากห้องนอนของชายมาดดีคนนั้นก่อนพบว่าควอนจียงกำลังสวมใส่รองเท้าผ้าใบคู่เก่า อยู่ในเสื้อคอเต่าสีขาวพร้อมด้วยเสื้อโค้ดพอดีตัวสีดำ ชายเจ้าของบ้านหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก็ดูดีไม่น้อยถ้ารู้จักแต่งตัว

     

     

                ควอนจียงหันมา

     

     

                “เอ่อ ผมจะไปข้างนอกสักแปปหนึ่ง ผมไปได้หรือเปล่าครับ”

     

     

                “จะไปไหนก็ไป”

     

     

                ไม่น่าถามให้เปลืองน้ำลาย  

     

               

                ควอนจียงเปลี่ยนจากการนอนฆ่าเวลาในห้องมาเป็นการออกไปเดินเล่นข้างนอกแทน ถึงตอนนี้อะไรอะไรก็เปลี่ยนหากแต่เขาก็ยังเคยชินกับการที่อยู่คนเดียว คิดอะไรคนเดียว ตัดสินใจด้วยตัวเอง พอมีเพื่อนหรือคนที่สามารถคุยด้วยได้แล้วมันก็รู้สึกค่อนข้างแปลกไปนิดหน่อย

     

     

                มองเห็นครอบครัวหนึ่งกำลังยืนซื้อของที่หน้าร้านขนมปังที่ถนนอีกฝาก เด็กน้อยตัวเล็กอายุราวห้าขวบถือลูกโป่งสีชมพูมาก่อนที่จะทำมันหลุดมือ ลมที่พัดอยู่เบาๆ พัดเอาลูกโป่งไปตกอยู่ริมถนน

     

     

                ลางสังหรณ์ไม่ดี

     

     

                ควอนจียงรู้ว่าเด็กคนนั้นจะต้องเดินไปเก็บและรถราบนถนนในเวลานี้ก็เยอะแยะมากมายเสียเหลือเกิน ไม่ทันขาดคำ แสงไฟหน้ารถสาดส่องมาแต่ไกลบวกกับความเร็วที่สามารถพุ่งชนเด็กคนนั้นได้ภายในไม่กี่วินาที

     

     

                “คุณครับ! ลูกคุณน่ะ!” ควอนจียงตะโกนสุดเสียงจนผู้เป็นพ่อได้ยินก่อนจะหันไปคว้าตัวเด็กน้อยไว้หากแต่ก็ไม่ทัน เหตุการณ์ฉุกเฉินเกินกว่าจะรับมือไหว ร่างของชายในชุดทำงานล้มลงบนพื้นมีเลือดไหลออกมาจากศีรษะพร้อมกับลูกสาวที่อยู่ในอ้อมกอด

     

     

                ควอนจียงช็อคไปชั่วครูก่อนพยายามดึงสติตัวเองกลับมา รีบวิ่งข้ามไปอีกฝั่ง

     

     

                “รีบๆ โทรเรียกรถพยาบาลสิครับ” หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยท่าทีที่ลุกลี้ลุกลน สติไม่อยู่กับเนื้อตัว บรรยากาศที่แสนกดดัน สามีตัวเองนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น ลูกสาวที่นั่งร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว หล่อนแทบไม่เหลือสติใดใดทั้งสิ้น

     

     

                “เอามานี่ คุณจับลูกไว้ดีๆ นะ” ควอนจียงกดเบอร์โทรฉุกเฉินที่มีเลขไม่กี่หลักก่อนที่ปลายสายจะรับ

     

     

                ใช้เวลาเพียงไม่นาน เสียงไซเรนรถพยาบาลดังก้องในพื้นที่นั้น รถราบนถนนต่างพร้อมใจกันหลบเพื่อให้มาถึงตัวผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว ร่างที่นอนอยู่บนพื้นถูกหามขึ้นไปบนรถพยาบาลพร้อมเครื่องช่วยหายใจ ควอนจียงเลือกที่จะกระโดดขึ้นไปด้วยพร้อมกับหญิงสาวและลูกของหล่อน

     

     

                “คุณตั้งสติก่อนนะ” ควอนจียงให้อีกฝ่ายหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อเป็นการผ่อนคลายในขณะที่เด็กสาวตัวเล็กยังคงนั่งสะอื้นด้วยความหวาดกลัว

     

     

                ผู้ประสบอุบัติเหตุถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็วทันทีเมื่อถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ส่วนเด็กผู้หญิงถูกส่งไปตรวจร่างกายว่าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า ควอนจียงนั่งอยู่กับหญิงสาวคนนั้นที่หน้าห้องฉุกเฉิน เวลาช่างเดินผ่านไปช้าเหลือเกิน

     

     

                “เป็นแบบนี้แล้วคุณยังมีสติอยู่ได้ยังไงนะ” ผู้หญิงในชุดทำงานเปื้อนเลือดพร้อมมัดผมหางม้าพูดขึ้นมา “เพราะผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งไงล่ะ-- กับพ่อแม่ผมเอง”

     

     

                “ผมไม่มีสติ ทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายทุกอย่างมันก็สายเกินไป”

     

     

                “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉัน”

     

     

                “คุณนั่งรอตรงนี้ก็ได้นะ เดี๋ยวผมดูแลลูกคุณให้จนกว่าหมอจะออกมาก็แล้วกัน เธอชื่ออะไรครับ”

     

     

                “คิม-- คิมจองฮวาค่ะ”

     

               

                ควอนจียงยิ้มรับหนึ่งทีก่อนจะเดินไปรอรับจองฮวาที่หน้าแผนกกุมารเวช เด็กหญิงตัวเล็กมัดแกละสองข้างเดินมาพร้อมกับพยาบาลที่ดูใจดีในมือมีตุ๊กตาหนึ่งตัวเป็นของปลอบใจ

     

     

                “จองฮวามาหาพี่เร็ว” รอยยิ้มกว้างของควอนจียงสามารถทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้เสมอ แขนกว้างอ้ารับเด็กสาวเข้ามากอดปลอบพร้อมลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ไปหาคุณแม่กันเถอะ”

     

     

                เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วโมงจนควอนจียงลืมเวลาที่เขาต้องกลับบ้าน เขาไม่มีโทรศัพท์มือถือหรือแม้แต่เบอร์โทรของทงยองเบหากแต่หลังจากนึกขึ้นได้ไม่นาน สุภาพบุรุษในเสื้อกาวน์สีขาวก็เดินออกมาพร้อมกับข่าวดี

     

     

                “พ้นขีดอันตรายแล้วนะครับ ไม่มีส่วนไหนที่สาหัส”

     

     

                “ขอบคุณค่ะ”

     

     

                “ผมว่าผมต้องกลับบ้านแล้วครับ ขอให้เขาอาการดีขึ้นไวๆ นะครับ” ควอนจียงพูดขึ้นหลังจากที่คุณหมอเดินจากไป “ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ขอบคุณจริงๆ”

     

               

                “พี่ไปแล้วนะ จองฮวา” ควอนจียงนั่งยองลงกับพื้นพร้อมหยิกแก้มเด็กสาวที่แดงระเรื่ออย่างเอ็นดู มือเล็กป้อมโบกมือลาควอนจียงด้วยรอยยิ้ม

     

     

                ควอนจียงเลือกที่จะนั่งรถประจำทางกลับบ้านแทนที่จะเดิน ถึงจะไม่ไกลมากแต่นี่ก็ดึกมากพอแล้ว ยิ่งเนื้อตัวสกปรกมอมแมมแบบนี้ถ้ากลับไปเจอซึงฮยอนมีหวังเขาต้องโดนตำหนิอีกครั้งแน่ๆ

     

     

                สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนจะเปิดประตูบ้านเข้าไปก็พบทั้งซึงฮยอนและยองเบนั่งอยู่ที่โซฟาสองตัวอย่างเคร่งเครียดพร้อมรับรู้ถึงชะตากรรมที่กำลังตามมาในไม่ช้า

     

     

                “ไปแปปเดียวแต่นี่กี่โมงแล้ว ควอนจียง”

     

     

                ชเวซึงฮยอนหันมาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่นัยน์ตากลับแข็งกร้าวราวกับเขาทำผิดมหันต์ นัยน์ตาคู่สวยมองไปยังนาฬิกาเรือนที่แขวนอยู่บนผนังบอกเวลาว่านี่เกือบเที่ยงคืนแล้ว

     

     

                “ขอโทษครับ พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อย ผมไปโรงพยาบาลมาน่ะ”

     

     

                นัยน์แข็งกร้าวเปลี่ยนแววที่ฉายอยู่ ควอนจียงรับรู้ได้ถึงความห่วงใยเล็กๆ จากนัยน์ตานั้น จากคนที่ยังคงมีทิฐิสูง

     

     

                “เป็นอะไรมากหรือเปล่า-- ไปโดนอะไรมา” ทงยองเบตื่นตระหนกราวกับเป็นกระต่ายตื่นตูม

     

     

                “เปล่าครับ มีคนโดนรถชน ผมอยู่ตรงนั้นพอดี”

     

     

                “ผมต้องรอดูอาการเขา ผมจะโทรบอกพวกคุณแล้วแต่ผมไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเบอร์ใครเลย”

     

     

                สีหน้าของชเวซึงฮยอนและทงยองเบเปลี่ยนกลับมาเป็นสีหน้าที่ดูโล่งใจที่ไม่มีใครเป็นอะไรในคืนนี้

     

     

                “งั้นก็ไปอาบน้ำแล้วนอนซะ ดึกแล้ว” ชเวซึงฮยอนพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินลับกลับเข้าในยังห้องของตัวเองพร้อมกับทงยองเบที่แยกทางไปพร้อมๆ กัน

     

     

                ควอนจียงกลับไปที่ห้องของตัวเองพร้อมจัดการชำระล้างร่างกายที่มอมแมมเมื่อครู่ สวมชุดนอนเสื้อยืดสีขาวพร้อมผมเปียกที่ปรกลงมาบนใบหน้าหวาน ทั้งรู้สึกเหนื่อยเพลีย ทั้งรู้สึกอิ่มเอิบใจที่ได้ช่วยคนอื่น ฝังตัวเองลงบนเตียงนุ่มๆ ที่รอคอยพร้อมกับหลับตาลง

     

     

                ในไม่ช้าก็เข้าสู่ห้วงนิทราเพราะความเหนื่อยล้า











    - Writer's Talk -

              หนึ่งคอมเมนต์เท่ากับหนึ่งกำลังใจน้าาา :) พูดคุบเมาท์มอยกันได้ที่ทวิตเตอร์แฮชแท็ก #พ่อบ้านจียง ฝากกดติดตามฟิคน้อยๆ เรื่องนี้ด้วยเนอะ :) <3 

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×