คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Episode 02
ร่างภายใต้เสื้อชุดนอนตัวโคร่งที่เพิ่งออกไปซื้อมาเมื่อวานนอนขดตัวอัตโนมัติอยู่บนเตียง
เพราะอากาศภายนอกที่หนาวยะเยือกในคาบของการเปลี่ยนฤดู
ผ้าห่มถูกเรียวมือบางดึงขึ้นมาห่มกายพร้อมกันในขณะที่เจ้าตัวลืมตาตื่นขึ้นมารับแสงที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา
หนาวชะมัด...
ควอนจียงนอนตะแคงข้างหันเข้าหาหน้าต่าง
นัยน์ตาคู่สวยหรี่ลงรับแสงที่สาดเข้ามา
นอนมองวิวข้างนอกไปเรื่อยเปื่อยพร้อมถอนหายใจช้าๆ
ฟังเสียงต้นไม้ภายนอกถูกลมพัดกระทบกันสั่นไหวจนใบไม้ร่วงโรยลงสู่พื้นและปกคลุมเต็มไปหมด
เรียวนิ้วขยี้ตาสองสามครั้งก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วพาตัวเองไปอาบน้ำ
เสื้อยืดตัวโคร่งสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำดูสะอาดเรียบร้อย
ผมน้ำตาลปรกลงบนใบหน้าเล็กน้อยถูกจัดให้เป็นทรง หลังจากเช็คตัวเองดีแล้วหน้ากระจกยาวที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องก็เดินออกไปพร้อมทำหน้าที่ของตัวเอง
ทงยองเบยังไม่ตื่น
ที่เห็นมีเพียงชเวซึงฮยอนที่นั่งอยู่บนโซฟาในชุดนอนขายาวพร้อมเสื้อยืดสีขาวกำลังอ่านอะไรบางอย่างอยู่ในมือ
แฟ้มเอกสารข้อมูลสินค้าและข้อมูลของบริษัททั้งหมดถูกเรียวนิ้วแกร่งเปิดอ่านเช็คทีละหน้าอย่างใจเย็น
“อรุนสวัสดิ์ครับ”
ควอนจียงพูดทักทายตามมารยาทหากแต่ชเวซึงฮยอนกลับทำเพียงแค่พยักหน้าให้
คนอะไรหยิ่งชะมัด
ยิ่งเป็นแบบนี้
การจะเข้าหาคนอย่างชเวซึงฮยอนก็ยากพอๆ กับการเข็นครกขึ้นภูเขา
“คุณจะรับชาหรือกาแฟไหมครับ”
“เหมือนเดิม”
“ชอบดื่มชาข้าวโพดเหรอครับ
วันหลังผมต้มไว้ให้เอาไหม ดีกว่าแบบซองเป็นไหนๆ”
ชเวซึงฮยอนไม่ได้ตอบ
ทิ้งให้คำถามนั้นเคว้งคว้างจนควอนจียงต้องทำหน้ามุ่ย กลิ่นข้าวโพดอ่อนๆ
ลอยขึ้นมาแตะจมูกคนชงเบาๆ ก่อนยกเสิร์ฟเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ที่เดิม
ไม่นานทงยองเบก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเดินมาหน้าตางัวเงียขออาหารพื้นบ้านแบบเดิม
ควอนจียงยิ้มรับและคุยกันอย่างถูกคอกับทงยองเบ
ผู้ที่เพิ่งจะเป็นเพื่อนกับเขาเมื่อสองวันที่ผ่านมา
“นอนหลับสบายไหมครับ”
“สบายดี
แล้วนายล่ะ”
“หนาวไปหน่อยแต่ก็โอเคกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย
ฮ่าๆ” ควอนจียงฉีกยิ้มกว้างไม่เหมือนที่ผ่านมาที่จะพบเพียงแต่รอยยิ้มแห้งๆ จากเขา
ชเวซึงฮยอนวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะเสียงดังราวกับกระแทก
ท่าทีรำคาญเจ้าคนสองคนที่สามารถคุยกันได้อย่างถูกคอในเวลาเช้าๆ แบบนี้
เขาเดินหายเข้าไปในห้องที่ควอนจียงได้แต่ชะเง้อมองจนสุดลูกหูลูกตา
หากแต่แม้จะพยายามมองเข้าไปให้ไกลแค่ไหนกลับไม่พบอะไรเลยแม้แต่น้อย
“วันนี้คุณอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ”
“อยู่สิทำไมเหรอ”
“เปล่าหรอก
ผมจะได้มีเพื่อนอยู่ด้วยไง”
เสียงหวานพูดแกมตลกในขณะที่ตัวเองกำลังจัดสำรับอาหารให้ผู้ที่นั่งรออยู่
ชเวซึงฮยอนเดินออกมาในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด
สะโอดสะองในตำแหน่งประธานบริษัท นัยน์ตาคู่นั้นที่ดูแข็งกร้าวแต่ก็ดูอ่อนโยนในขณะเดียวกันทำเอาควอนจียงยากที่จะอธิบายว่าเขาเป็นคนประเภทไหน
“ผมอยากรู้อะไรอีกนิด
ทำไมผมถึงเข้าไปที่ห้องเขาไม่ได้ล่ะครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก
เขามีแต่เฟอร์นิเจอร์ที่ชอบสะสมไว้ในห้องน่ะ เลยไม่ให้ใครเข้าถ้าไม่จำเป็น”
ควอนจียงพยักหน้ารับ
คนอะไรสะสมเฟอร์นิเจอร์ด้วย
แปลกแฮะ
ไม่ให้เสียเวลาเปล่า
ไม้ขนไก่อันเล็กในมือจียงปัดฝุ่นตามโต๊ะและซอกมุมต่างๆ
จนสะอาดเรียบก่อนจะกวาดเศษฝุ่นผงไปทิ้ง ทำทุกอย่างตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ
อย่างใจเย็นพลางฮัมเพลงที่ตัวเองเขียนขึ้นมาไปด้วยในใจ
เสียงเครื่องดูดฝุ่นดังน่ารำคาญหากแต่ทงยองเบก็ยังนั่งทำงานอยู่ที่เดิม
บนโซฟาในส่วนของห้องนั่งเล่น
“อันดราไดรท์--
ทับทิม-- แซฟไฟร์”
อันดราไดรท์?
ทับทิม?
แซฟไฟร์?
น้ำเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีดังก้องกังวานอยู่ภายในศีรษะของควอนจียง
เหมือนเคยได้ยินมันมาก่อน ทว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
ยามวิกาลที่ท้องฟ้ามืดสนิท
เดินลงมาข้างล่างจะได้ยินเสียงบุพการีทั้งสองพูดคุยกันเรื่องงานจนเวลาผ่านเลยไปจนดึกเสมอ
เขายังจำเสียงนั้นได้ดี หากแต่เขาไม่ได้อยากจะรื้อฟื้นสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาเท่าไหร่
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด
ถึงพวกเขาจะจากไปในวัยที่เขายังพอทนรับความเจ็บปวดนั้นได้
หากแต่ความใกล้ชิดที่มีต่อกันก็ทำให้เขาต้องทนเสียใจอยู่นานพอสมควร
“คุณทำอะไรอยู่เหรอครับ”
“กำลังเช็คสินค้าอยู่
ไม่มีอะไรหรอก อยากรู้ไปทำไมกัน”
“ผมก็พอรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่บ้างแหละ
ผมได้ยินคุณพูดชื่อมันออกมาตั้งหลายชื่อ”
ทงยองเบดูประหลาดใจหลังจากจียงพูดจบแล้วต่อด้วยการไล่ชื่ออัญมณีที่คนทั่วไปไม่อาจจะรู้ได้ถ้าไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับมัน
เจ้าคนที่กำลังไล่ชื่อต่างๆ
ยิ้มกว้างออกมาเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องที่เขาชอบหากแต่ต้องหุบยิ้มเมื่อไล่ถึงชื่อสุดท้าย
“ทับทิม--“
ควอนจียงหุบยิ้ม
นัยน์ตาฉายแววเศร้า
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าหรอก
แม่ผมชอบทับทิม” ควอนจียงสกัดกลั้นความเศร้านั้นด้วยการพยายามฉีกยิ้มปลอมๆ
ให้กับชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า
ชายร่างสันทัดนั่งเงียบไปชั่วครู่เหมือนพยายามนึกอะไรบางอย่างแต่ก็นึกไม่ออก
จนบรรยากาศเริ่มอึดอัด ควอนจียงขอตัวกลับไปทำหน้าที่ตัวเองต่ออย่างสุภาพ
นามสกุลควอนเหมือนเคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อนหน้านี้
นึกไม่ออกจริงๆ
“จียง
แล้วพ่อแม่นายอยู่ไหนล่ะตอนนี้น่ะ”
ทงยองเบหันไปถามผู้ที่กำลังยืนจัดหนังสือที่ชั้นทีละเล่มอย่างประณีต “อ๋อ
เสียแล้วครับ นานแล้วน่ะ”
“เสียแล้วเหรอ--
เสียใจด้วยนะ”
“พ่อแม่ผมทำงานเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เหมือนคุณนั่นแหละครับ
เป็นเจ้าของบริษัทด้วย” ควอนจียงเล่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ผมถึงพอรู้เรื่องพวกนี้บ้างไง”
ทงยองเบพยักหน้ารับหนึ่งครั้งก่อนจะหันกลับไปสนใจแล็ปท็อปตรงหน้า
ตัวอักษรถูกพิมพ์ช้าๆ ประกอบจนเป็นคำในช่องค้นหาของกูเกิล เขาพยายามหาบริษัทที่มีประธานบริษัทนามสกุลควอน
หากแต่ก็ไร้คำตอบที่เขาต้องการ
เข็มนาฬิกาสั้นยาววิ่งหมุนวนไปเรื่อยๆ
ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า
ต่างคนต่างยุ่งกับสิ่งที่ตัวเองต้องทำ
ชเวซึงฮยอนทอดกายอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม
สายตายังคงทอดมองออกไปยังหน้าต่างที่มีม่านบางๆ กั้นสายตา ในเวลาบ่ายแก่ๆ
ที่รถราในเมืองเริ่มสงบลงบ้างหากแต่ใจเขากลับไม่สงบเสียเลย
ใจหนึ่งก็นึกระแวงว่าเจ้าคนมาใหม่จะทำข้าวของเฟอร์นิเจอร์เสียหายทว่าในอีกด้านก็นึกถึงแต่เรื่องความหลังของควอนจียง
ตืด...
ตืด
เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานที่มีกองแฟ้มเอกสารวางอยู่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบดังขึ้น
หน้าจอโชว์เบอร์ของชายร่างกำยำที่ชอบยิ้มให้ควอนจียงบ่อยๆ
ทงยองเบ
“ว่าไง”
“คุ้นๆ
นามสกุลควอนบ้างไหม”
ทงยองเบถามด้วยน้ำเสียงสงสัยสุดกู่
“มีตั้งเยอะแยะไป
สงสัยอะไรอยู่หรือเปล่า” ชเวซึงฮยอนหรี่ตาลงเล็กน้อยเหมือนขบคิดตามคำถาม
“รู้ไหมว่าพ่อแม่ของควอนจียงก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เหมือนอย่างเรา
แต่พ่อแม่เขาเสียไปนานหลายปีแล้ว”
ชเวซึงฮยอนเหมือนจะนึกออกแต่ก็ไม่
ตามความจริงแล้วเขาเพียงมาดูแลบริษัทแทนพ่อของตัวเองที่ตอนนี้กำลังล้มป่วยโดยอาการก็ยังคงทรุดลงเรื่อยๆ
รอแค่วันที่จะมาถึงเพียงเท่านั้น
เขารู้ว่าพ่อไม่สามารถกลับมาบริหารบริษัทได้ดังเดิม หากแต่ความจริงแล้วตัวเองก็ยังไม่อยากยอมรับตำแหน่งนั้น
ทงยองเบที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทยังทำอะไรได้หลายอย่างกว่าเขาเสียอีก
เขาก็แค่มือใหม่
“ไม่รู้หรอก
แต่ก็น่าสนใจดี”
แก้วกาแฟเซรามิคสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะถูกยกขึ้นมาจิบเพียงนิดก่อนจะวางกลับลงไปที่เดิม
ชเวซึงฮยอนวางสายคนที่เพิ่งคุยกันไปเมื่อครู่หากแต่ประโยคที่ว่าเกี่ยวกับครอบครัวของควอนจียงนั้นมันก็มีอะไรน่าแปลกอยู่จริงๆ
ฝนตกอีกแล้ว
บรรยากาศอึมครึมครอบคลุมภายในห้องทันทีที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาทะมึน
เมฆทอดตัวต่ำมากจนเหมือนจะใช้มือเอื้อมจับได้
ความรู้สึกแปลกที่แบบว่า
ไม่ชอบแต่ก็ชอบ
ไม่อยากนึกถึงแต่ก็กำจัดความคิดนั้นไม่ได้เสียที
ชเวซึงฮยอนฟุ้งซ่านเกินกว่าที่จะตั้งสมาธิแล้วทำงานได้
เรียวนิ้วเกี่ยวกุญแจรถ สวมสูทชั้นนอกก่อนจะเดินออกจากบริษัท
ฝ่ามือยื่นออกไปรองรับน้ำฝนจนมือเย็นเฉียบ
กลิ่นอายของหยาดน้ำที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าแตะจมูกเบาๆ
ความสุนทรีย์ที่มาพร้อมกับความเศร้า
ดื่มด่ำอยู่ในห้วงอารมณ์ที่สวยงามและหม่นหมองในเวลาเดียวกัน
ควอนจียงกำลังเปิดหนังสือตำราทำอาหารที่อยู่บนชั้นอ่านโดยไม่ได้ขออนุญาต
ในขณะที่เจ้าของบ้านเปิดประตูเข้ามาพอดี หนังสือถูกยัดเก็บเข้าที่อย่างลวกๆ พร้อมกับยิ้มแห้งๆ
ที่มักจะเผยออกมาเมื่ออยู่ต่อหน้าชายที่ชื่อซึงฮยอน
“กลับเร็วจังนะครับ”
“ถ้าอยากอ่านก็ขออนุญาตดีๆ--
”
“ขอโทษครับ”
เจ้าของนัยน์ตาสวยรู้สึกว่าตัวเองมักจะต้องทำอะไรผิดเสมอเมื่อเจอซึงฮยอน
หรือไม่ก็เขาไม่เคยทำอะไรที่ถูกใจคนคนนั้นเลยสักนิด บางทีการได้อยู่กับทงยองเบยังรู้สึกดีมากกว่าเสียอีก
คนหน้าตาย...
มีมนุษสัมพันธ์เหมือนคนอื่นบ้างหรือเปล่านะ
“ล้างไม่สะอาด”
ซึงฮยอนพูดขึ้นหลังจากหยิบแก้วไวน์ใบเดิมวางลงกับโต๊ะแล้วพบคราบเล็กๆ ใกล้ขอบแก้ว
“รู้ไหม--”
“ฉันไม่ชอบข้อผิดพลาด”
ควอนจียงพูดคำว่าขอโทษได้นับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่มาเจอกับคนบ้าเจ้าอารมณ์แสนเนี้ยบคนนี้
บางทีก็คิดว่าเอาตัวเองเข้ามาโดนด่าเพื่อแลกที่อยู่อาศัยทำนองนี้หรือเปล่า เจ้าคนที่เพิ่งถูกตำหนิเดินหน้ามุ่ยเข้าไปหาทงยองเบที่ห้องจนอีกฝ่ายเห็นเป็นต้องยิ้มในการกระทำที่เหมือนเด็กตัวเล็กๆ
“อย่าไปใส่ใจเขาเลย”
“นายไม่รู้หรอกว่าเขาแค่หาเรื่องคุยกับนายอยู่”
ทงยองเบพูดแกมตลกแต่ควอนจียงกลับไม่เข้าใจในคำพูดของเขาอีกแล้ว
ประโยคที่ดูง่าย
แต่ทำไมมันยากสำหรับเขากันนะ
“ถ้าไม่อยากโดนดุก็ลองเป็นตัวของตัวเองเหมือนที่อยู่กับฉันสิ”
เจ้าคนตัวเล็กรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตของตัวเองวันนี้
ลิสต์อาหารที่ต้องไปซื้อถูกแปะไว้บนบอร์ดเตือนความจำที่หน้าประตูพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งที่ถือว่าเยอะมากสำหรับควอนจียง
แต่โดยส่วนใหญ่แล้วที่ต้องซื้อเป็นผักและผลไม้แทบจะไม่มีของที่ทำลายสุขภาพเลย
ผู้คนเดินไปมาในช่วงเย็นช่างวุ่นวายเสียจริงบวกกับสภาพอากาศแย่ๆ
หลังฝนตกทำให้ควอนจียงไม่อยากแม้แต่จะเดินไปไหน
เจ้าคนตัวเล็กในเสื้อคอเต่าสีขาวพร้อมด้วยเสื้อฮู้ดสีดำยังคงเดินสั่นหงึกหงักถึงแม้จะใส่เสื้อหลายชั้นก็ตาม
เดินเข้ามาในซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ๆ
บ้านยังช่วยพอประทังความหนาวได้บ้าง ควอนจียงเข็นรถเข็นไปอย่างใจเย็นพลางหยิบของที่ตัวเองต้องซื้อลงไปวาง
หากแต่ก็ต้องสะดุดการกระทำนั้นไปชั่วครู่เมื่อสายตาดันไปสบกับใครบางคน
เขาคนนั้นเมื่อหลายปีที่แล้ว
ใช่
ต้องเป็นเขาแน่ๆ
อีซึงฮยอน
คนที่เขารอมาเสมอ
ราวกับเป็นภาพลวงตา
ไม่ทันได้เดินไปทักชายคนนั้นเดินหายลับไปภายในไม่กี่วินาที ควอนจียงได้แต่ยืนงุนงงอยู่ที่เดิมก่อนจะส่ายหัวเบาๆ
แล้วคิดว่าเขาคงตาฝาดไปเอง
ในระหว่างขากลับ
ร้านขนมปังปลาร้านประจำถูกควอนจียงเหมาเกือบยี่สิบชิ้น
สาบานว่าเขาสามารถทานมันหมดได้ภายในหนึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้
ประตูเปิดออกพร้อมเสียงเอียดอาดนิดหน่อย
ชเวซึงฮยอนนั่งจิบไวน์อยู่คนเดียวที่เคาน์เตอร์ทานอาหารในห้องครัว
ถุงพลาสติกที่หอบหิ้วเอาผักผลไม้ที่ซื้อมาถูกวางลงไว้ตรงหน้าซึงฮยอน
“ชอบดื่มไวน์เหรอครับ”
“ผมว่ามันขมไปน่ะ”
ชเวซึงฮยอนมองด้วยสายตาที่ถือว่าปกติที่สุดตั้งแต่มองหน้ากัน
เขาเพียงแค่มอง
“เมื่อดื่มเข้าไปมากๆ
นายก็จะชินไปเอง รสชาติที่ว่าขมอาจจะเปลี่ยนเป็นหวานได้ทั้งๆ
ที่ไม่มีใครไปเปลี่ยนมันเลย”
ทำไมควอนจียงกลับนึกถึงอีกเรื่อง
ถ้าเทียบกันแล้วเหมือนประโยคกำลังบอกว่า
ถึงแม้ซึงฮยอนจะเป็นคนเย็นชาแค่ไหน
แต่เมื่อได้รู้จัก ได้อยู่ด้วย บางทีมุมมองของควอนจียงก็สามารถเปลี่ยนไปมองเขาในอีกมุมได้ทั้งๆ
ที่ชเวซึงฮยอนก็คือชเวซึงฮยอน
“ถือว่าเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่คุณคุยกับผมเลยนะครับ”
ควอนจียงเผยยิ้มกว้างที่เขาไม่เคยเผยให้ซึงฮยอนเห็นมาก่อน
ยิ้มจนแก้มกลมแป้นขึ้นมาเป็นลูกๆ
อย่าว่าแต่ทงยองเบจะต้องยิ้มเมื่อเห็นแบบนี้
ต่อให้เป็นซึงฮยอนเขาก็ต้องกลั้นรอยยิ้มตัวเองออกมาเหมือนกันเพราะความอีโก้สูงของตัวเอง
“อ้อ
ผมซื้อข้าวโพดมาด้วยนะ เผื่อคุณจะอยากลองดื่มแบบต้มเอาเองบ้างน่ะ”
ควอนจียงจัดเก็บทุกอย่างเข้าที่จนเหลือแต่ถุงขนมปังปลาที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์
“ลองกินนี่สิครับ”
ถุงกระดาษสีขาวสามใบที่ถูกพิมพ์ลงไปว่าไส้ถั่วแดง ไส้ครีมและไม่มีไส้ถูกเลื่อนเชิงเสนอแนะให้ชเวซึงฮยอนลองทาน
“ฉันไม่ชอบกิน”
บางทีชเวซึงฮยอนก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
“โตป่านนี้แล้วยังกินอะไรเด็กๆ”
เจ้าของบ้านพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปโดยทิ้งแก้วไวน์ไว้ให้ล้าง
โธ่เว้ย
เขาเป็นคนแย่ๆ
จริงตามนั้นนั่นแหละ
เขาอยากรู้เอาเสียจริงๆ
ว่านิสัยปากคอเราะรายของผู้ชายคนนี้มาจากไหนกัน ไอท่าทีที่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
แต่คำพูดจิกกัดนี่มันน่าหมั่นไส้จนควอนจียงอยากจะเอาขนมปังปลาที่ซื้อมาปาใส่หน้าเขาให้รู้แล้วรู้รอด
ควอนจียงรีบจัดการทุกอย่างจนครบหมดเรียบร้อยก่อนจะรีบพาตัวเองกลับไปที่ห้อง
ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม
ไม่มีอะไรสบายเท่านี้อีกแล้ว
นัยน์ตาคู่สวยทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่างเห็นรถคันเล็กจากบนสะพานแม่น้ำฮัน
ดื่มด่ำกับแสงไฟยามราตรีหลังตะวันลับฟ้าก่อนจะหลับตาลงฟังเสียงความสงบของบรรยากาศในห้อง
ในขณะเดียวกันที่ชเวซึงฮยอนก็กำลังทอดกายบนเตียงนุ่ม
จ้องมองต้นไม้ใหญ่ที่สั่นไหวเพราะแรงลม จินตนาการว่าจะรู้สึกหนาวเพียงใดเมื่อถูกลมเย็นนั้นพัดปะทะกับร่างกาย
ไม่ปล่อยให้ตัวเองเหม่อลอย
ชเวซึงฮยอนสลัดความคิดทุกอย่างออกไปจากศีรษะของตัวเอง
ทอดขาเดินเข้าไปในห้องนอนของทงยองเบที่อยู่ข้างๆ
บนโต๊ะทำงานมีกองเอกสารที่มองดูแล้วชวนปวดหัว
“ลมอะไรหอบมาห้องฉันได้ละ”
“เปล่า
ช่วงนี้รู้สึกสมองว่างแล้วตัวเองชอบเหม่อลอย”
“มีเรื่องอะไรให้คิดอยู่ละ
ทำไมอยู่ๆ ก็เป็น”
ทงยองเบรู้ดีว่าซึงฮยอนของเขาไม่ใช่คนช่างพูด
ออกจะเป็นคนเงียบๆ ที่วันหนึ่งสามารถนับคำพูดเขาได้ว่าพูดออกมากี่คำ ถ้าไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจเขา
ชเวซึงฮยอนคงไม่เป็นแบบนี้
“ใช่ควอนจียงหรือเปล่า”
ทงยองเบหันไปมองหน้าอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ก็คงใช่
แค่ส่วนหนึ่ง--”
“--แต่ส่วนมากก็คงเรื่องพ่อ”
เขาไม่สนิทกับชายผู้ที่เป็นบิดาของเขาเสียเท่าไหร่
หากแต่เพียงตอนนี้เมื่อท่านล้มป่วย
มันก็เป็นความรู้สึกของลูกคนหนึ่งที่ห่วงครอบครัวตัวเองได้เหมือนกัน กลัวว่าถ้าวันหนึ่งท่านเป็นอะไรไปก็จะไม่มีผู้นำครอบครัวที่ดีได้อย่างเขาอีกแล้ว
เขาถูกฝากฝังทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ
ครอบครัวหรือแม้กระทั่งเรื่องแต่งงาน
ชเวซึงฮยอนคิดไม่ตกกับเรื่องสุดท้ายที่ว่าไป
เขาเป็นคนมีปมเรื่องนี้มากกว่าใคร
เพราะแค่ฐานะต่างกัน
ความรักจึงเป็นไปไม่ได้
“แล้วคิดยังไงเรื่องควอนจียงล่ะ”
ทงยองเบพูดขึ้นหลังจากที่ปล่อยบทสนทนาเงียบเมื่อครู่ “อืม ไม่รู้สิ
รู้สึกถูกชะตาแปลกๆ เหมือนเป็นชะตากรรมที่ต้องมาเจอกันแบบนี้หรือเปล่า”
“เหมือนเราไง”
ทงยองเบยิ้มมุมปาก
นึกขอบคุณในใจที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตเขาให้ดีขึ้น หวังว่ากับควอนจียงก็คงจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน
“อืม
แล้วช่วงนี้การตลาดเป็นยังไงบ้าง”
“นายก็รู้ช่วงนี้เศรษฐกิจค่อนข้างจะตกต่ำ
แต่ว่ามีแบรนด์เสื้อผ้าอยู่แบรนด์หนึ่งกำลังแพลนเรื่องแฟชั่นโชว์ ธีมเป็นเรื่องเกี่ยวอัญมณี
ได้เบอร์โทรติดต่อมาแล้วด้วย--”
ทงยองเบค้นกองเอกสารหาข้อมูลเกี่ยวกับงานครั้งนี้ให้ชเวซึงฮยอน “อยู่ที่ว่านายจะสนใจหรือเปล่า”
ชเวซึงฮยอนใช้สายตาพินิจข้อมูลทั้งหมดบนกระดาษสองสามใบนั้น
เรียวนิ้วลูบนามบัตรใบเล็กอย่างสองจิตสองใจ
เก็บเอาเรื่องทั้งหมดไว้ตัดสินใจภายหลัง
“คิดดูก่อน
รีบหรือเปล่า”
“อีกสองอาทิตย์ข้างหน้า
ตัดสินใจเร็วก็ยิ่งตัดคู่แข่งได้เร็วเท่านั้นแหละ”
ชเวซึงฮยอนเดินออกมาจากห้องนอนของชายมาดดีคนนั้นก่อนพบว่าควอนจียงกำลังสวมใส่รองเท้าผ้าใบคู่เก่า
อยู่ในเสื้อคอเต่าสีขาวพร้อมด้วยเสื้อโค้ดพอดีตัวสีดำ ชายเจ้าของบ้านหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก็ดูดีไม่น้อยถ้ารู้จักแต่งตัว
ควอนจียงหันมา
“เอ่อ
ผมจะไปข้างนอกสักแปปหนึ่ง ผมไปได้หรือเปล่าครับ”
“จะไปไหนก็ไป”
ไม่น่าถามให้เปลืองน้ำลาย
ควอนจียงเปลี่ยนจากการนอนฆ่าเวลาในห้องมาเป็นการออกไปเดินเล่นข้างนอกแทน
ถึงตอนนี้อะไรอะไรก็เปลี่ยนหากแต่เขาก็ยังเคยชินกับการที่อยู่คนเดียว
คิดอะไรคนเดียว ตัดสินใจด้วยตัวเอง พอมีเพื่อนหรือคนที่สามารถคุยด้วยได้แล้วมันก็รู้สึกค่อนข้างแปลกไปนิดหน่อย
มองเห็นครอบครัวหนึ่งกำลังยืนซื้อของที่หน้าร้านขนมปังที่ถนนอีกฝาก
เด็กน้อยตัวเล็กอายุราวห้าขวบถือลูกโป่งสีชมพูมาก่อนที่จะทำมันหลุดมือ
ลมที่พัดอยู่เบาๆ พัดเอาลูกโป่งไปตกอยู่ริมถนน
ลางสังหรณ์ไม่ดี
ควอนจียงรู้ว่าเด็กคนนั้นจะต้องเดินไปเก็บและรถราบนถนนในเวลานี้ก็เยอะแยะมากมายเสียเหลือเกิน
ไม่ทันขาดคำ แสงไฟหน้ารถสาดส่องมาแต่ไกลบวกกับความเร็วที่สามารถพุ่งชนเด็กคนนั้นได้ภายในไม่กี่วินาที
“คุณครับ! ลูกคุณน่ะ!”
ควอนจียงตะโกนสุดเสียงจนผู้เป็นพ่อได้ยินก่อนจะหันไปคว้าตัวเด็กน้อยไว้หากแต่ก็ไม่ทัน
เหตุการณ์ฉุกเฉินเกินกว่าจะรับมือไหว ร่างของชายในชุดทำงานล้มลงบนพื้นมีเลือดไหลออกมาจากศีรษะพร้อมกับลูกสาวที่อยู่ในอ้อมกอด
ควอนจียงช็อคไปชั่วครูก่อนพยายามดึงสติตัวเองกลับมา
รีบวิ่งข้ามไปอีกฝั่ง
“รีบๆ
โทรเรียกรถพยาบาลสิครับ” หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยท่าทีที่ลุกลี้ลุกลน สติไม่อยู่กับเนื้อตัว
บรรยากาศที่แสนกดดัน สามีตัวเองนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น
ลูกสาวที่นั่งร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว หล่อนแทบไม่เหลือสติใดใดทั้งสิ้น
“เอามานี่
คุณจับลูกไว้ดีๆ นะ” ควอนจียงกดเบอร์โทรฉุกเฉินที่มีเลขไม่กี่หลักก่อนที่ปลายสายจะรับ
ใช้เวลาเพียงไม่นาน
เสียงไซเรนรถพยาบาลดังก้องในพื้นที่นั้น
รถราบนถนนต่างพร้อมใจกันหลบเพื่อให้มาถึงตัวผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว ร่างที่นอนอยู่บนพื้นถูกหามขึ้นไปบนรถพยาบาลพร้อมเครื่องช่วยหายใจ
ควอนจียงเลือกที่จะกระโดดขึ้นไปด้วยพร้อมกับหญิงสาวและลูกของหล่อน
“คุณตั้งสติก่อนนะ”
ควอนจียงให้อีกฝ่ายหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อเป็นการผ่อนคลายในขณะที่เด็กสาวตัวเล็กยังคงนั่งสะอื้นด้วยความหวาดกลัว
ผู้ประสบอุบัติเหตุถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็วทันทีเมื่อถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
ส่วนเด็กผู้หญิงถูกส่งไปตรวจร่างกายว่าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า ควอนจียงนั่งอยู่กับหญิงสาวคนนั้นที่หน้าห้องฉุกเฉิน
เวลาช่างเดินผ่านไปช้าเหลือเกิน
“เป็นแบบนี้แล้วคุณยังมีสติอยู่ได้ยังไงนะ”
ผู้หญิงในชุดทำงานเปื้อนเลือดพร้อมมัดผมหางม้าพูดขึ้นมา “เพราะผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งไงล่ะ--
กับพ่อแม่ผมเอง”
“ผมไม่มีสติ
ทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายทุกอย่างมันก็สายเกินไป”
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉัน”
“คุณนั่งรอตรงนี้ก็ได้นะ
เดี๋ยวผมดูแลลูกคุณให้จนกว่าหมอจะออกมาก็แล้วกัน เธอชื่ออะไรครับ”
“คิม--
คิมจองฮวาค่ะ”
ควอนจียงยิ้มรับหนึ่งทีก่อนจะเดินไปรอรับจองฮวาที่หน้าแผนกกุมารเวช
เด็กหญิงตัวเล็กมัดแกละสองข้างเดินมาพร้อมกับพยาบาลที่ดูใจดีในมือมีตุ๊กตาหนึ่งตัวเป็นของปลอบใจ
“จองฮวามาหาพี่เร็ว”
รอยยิ้มกว้างของควอนจียงสามารถทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้เสมอ
แขนกว้างอ้ารับเด็กสาวเข้ามากอดปลอบพร้อมลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ไปหาคุณแม่กันเถอะ”
เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วโมงจนควอนจียงลืมเวลาที่เขาต้องกลับบ้าน
เขาไม่มีโทรศัพท์มือถือหรือแม้แต่เบอร์โทรของทงยองเบหากแต่หลังจากนึกขึ้นได้ไม่นาน
สุภาพบุรุษในเสื้อกาวน์สีขาวก็เดินออกมาพร้อมกับข่าวดี
“พ้นขีดอันตรายแล้วนะครับ
ไม่มีส่วนไหนที่สาหัส”
“ขอบคุณค่ะ”
“ผมว่าผมต้องกลับบ้านแล้วครับ
ขอให้เขาอาการดีขึ้นไวๆ นะครับ” ควอนจียงพูดขึ้นหลังจากที่คุณหมอเดินจากไป “ขอบคุณมากๆ
เลยนะคะ ขอบคุณจริงๆ”
“พี่ไปแล้วนะ
จองฮวา” ควอนจียงนั่งยองลงกับพื้นพร้อมหยิกแก้มเด็กสาวที่แดงระเรื่ออย่างเอ็นดู มือเล็กป้อมโบกมือลาควอนจียงด้วยรอยยิ้ม
ควอนจียงเลือกที่จะนั่งรถประจำทางกลับบ้านแทนที่จะเดิน
ถึงจะไม่ไกลมากแต่นี่ก็ดึกมากพอแล้ว ยิ่งเนื้อตัวสกปรกมอมแมมแบบนี้ถ้ากลับไปเจอซึงฮยอนมีหวังเขาต้องโดนตำหนิอีกครั้งแน่ๆ
สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนจะเปิดประตูบ้านเข้าไปก็พบทั้งซึงฮยอนและยองเบนั่งอยู่ที่โซฟาสองตัวอย่างเคร่งเครียดพร้อมรับรู้ถึงชะตากรรมที่กำลังตามมาในไม่ช้า
“ไปแปปเดียวแต่นี่กี่โมงแล้ว
ควอนจียง”
ชเวซึงฮยอนหันมาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่นัยน์ตากลับแข็งกร้าวราวกับเขาทำผิดมหันต์
นัยน์ตาคู่สวยมองไปยังนาฬิกาเรือนที่แขวนอยู่บนผนังบอกเวลาว่านี่เกือบเที่ยงคืนแล้ว
“ขอโทษครับ
พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อย ผมไปโรงพยาบาลมาน่ะ”
นัยน์แข็งกร้าวเปลี่ยนแววที่ฉายอยู่
ควอนจียงรับรู้ได้ถึงความห่วงใยเล็กๆ จากนัยน์ตานั้น จากคนที่ยังคงมีทิฐิสูง
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า--
ไปโดนอะไรมา” ทงยองเบตื่นตระหนกราวกับเป็นกระต่ายตื่นตูม
“เปล่าครับ
มีคนโดนรถชน ผมอยู่ตรงนั้นพอดี”
“ผมต้องรอดูอาการเขา
ผมจะโทรบอกพวกคุณแล้วแต่ผมไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเบอร์ใครเลย”
สีหน้าของชเวซึงฮยอนและทงยองเบเปลี่ยนกลับมาเป็นสีหน้าที่ดูโล่งใจที่ไม่มีใครเป็นอะไรในคืนนี้
“งั้นก็ไปอาบน้ำแล้วนอนซะ
ดึกแล้ว” ชเวซึงฮยอนพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินลับกลับเข้าในยังห้องของตัวเองพร้อมกับทงยองเบที่แยกทางไปพร้อมๆ
กัน
ควอนจียงกลับไปที่ห้องของตัวเองพร้อมจัดการชำระล้างร่างกายที่มอมแมมเมื่อครู่
สวมชุดนอนเสื้อยืดสีขาวพร้อมผมเปียกที่ปรกลงมาบนใบหน้าหวาน ทั้งรู้สึกเหนื่อยเพลีย
ทั้งรู้สึกอิ่มเอิบใจที่ได้ช่วยคนอื่น ฝังตัวเองลงบนเตียงนุ่มๆ
ที่รอคอยพร้อมกับหลับตาลง
ในไม่ช้าก็เข้าสู่ห้วงนิทราเพราะความเหนื่อยล้า
- Writer's Talk -
หนึ่งคอมเมนต์เท่ากับหนึ่งกำลังใจน้าาา :) พูดคุบเมาท์มอยกันได้ที่ทวิตเตอร์แฮชแท็ก #พ่อบ้านจียง ฝากกดติดตามฟิคน้อยๆ เรื่องนี้ด้วยเนอะ :) <3
ความคิดเห็น