ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GTOP] INEFFABLE #พ่อบ้านจียง

    ลำดับตอนที่ #2 : Episode 01

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 60


     

     








                หยดน้ำบนหน้าต่างห้องแข่งกันไหลลงตามแรงโน้มถ่วงไปเรื่อยๆ ในวันที่ท้องฟ้าอึมครึมเริ่มปล่อยหยาดฝนเทลงสู่พื้นดิน นัยน์ตาดำแข็งกร้าวนั่งชื่นชมบรรยากาศอันวุ่นวายของเมืองหลวงบนเก้าอี้ท่านประธานของเขาอย่างใจเย็น ทอดมองลงไปเห็นรถราที่วิ่งสวนกันไปมาอย่างเร่งรีบ


     

                ก็อกๆ


     

                ชเวซึงฮยอนเบือนหน้าหนีจากหน้าต่างไปตามเสียงเคาะขออนุญาตที่ประตู ชายสองคนใส่ชุดสูทสีดำประจำบริษัทเดินเข้ามาพร้อมคนแปลกหน้าอีกหนึ่งคน รูปร่างตัวเล็กเหมือนเด็กหนุ่มอายุราวยี่สิบต้นๆ เนื้อตัวมอมแมมพร้อมใส่เสื้อผ้าเก่าขาดๆ หากแต่ถ้าพิจารณาที่เรือนหน้านั้นแล้ว คนคนนี้ยังคงดูดีแม้จะอยู่ในสถาณภาพที่ย่ำแย่

     


                “ใคร”

     


                “เขามาทำลับๆ ล่อๆ อยู่ที่หน้าบริษัทครับ”

     


                ชเวซึงฮยอนไม่พูดตอบหากแต่โบกมือเพียงเล็กน้อยเป็นการพูดแทนว่าให้ออกไปจากห้องของเขา ชายสองคนเดินออกไปอย่างเงียบเชียบทิ้งเจ้าคนเนื้อตัวมอมแมมให้ยืนเผชิญหน้ากับเจ้าของใบหน้าตอบ

     


                “มาทำอะไรที่นี่ล่ะ” เสียงทุ้มต่ำเย็นเฉียบเป็นผู้เปิดบทสนทนาหากแต่เจ้าคนที่ยืนตัวแข็งกลับไม่พูดอะไรกลับมา ชเวซึงฮยอนนั่งเอนหลังอย่างสบายใจอยู่ที่เดิมพลันมองกลับมาที่ใบหน้าของผู้มาเยือนแล้วถามคำถามเดิมซ้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงเรียบ “มาทำอะไรล่ะ ไม่มีปากเหรอ”

     


                “ผ...ผมอยากสมัครงาน” เสียงเล็กหวานพูดออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

     


                “คุณเห็นหรือเปล่าล่ะว่าบริษัทนี้ติดประกาศรับพนักงานหรือเปล่า ถ้าไม่เห็นก็แสดงว่าไม่มีงานให้คุณทำที่นี่”

     


                ชเวซึงฮยอนไม่แม้แต่จะถามชื่อ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนมีเหตุผลก็ตามถ้าหากสุดท้ายแล้วต้องไล่กันออกไปทำไมถึงไม่ใช่ผู้รักษาความปลอดภัยสองคนนั้นพาตัวออกไปด้วยเลย เจ้าคนเนื้อตัวมอมแมมโค้งรับหนึ่งทีก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่มีข้อแม้

     


                ซึงฮยอนนั่งครุ่นคิดอยู่เกือบชั่วโมงพลางทอดมองผู้ชายหน้าหวานคนนั้นที่เดินหางานไปมาอยู่ในละแวกนี้ไม่ไปไหน เขายังดูเด็ก ชเวซึงฮยอนไม่เคยใจอ่อนกับใครง่ายๆ หากแต่ถ้าให้พูดความจริง เขาคงต้องบอกว่าเขารู้สึกถูกชะตากับคนนี้แปลกๆ

     


                บางทีอาจจะมีที่ว่างสำหรับคนๆ นึง

     


                ผู้รักษาความปลอดภัยสองคนเมื่อครู่เดินเคาะห้องสองครั้งก่อนจะเปิดประตูเข้ามาหลังจากเรียวนิ้วแกร่งยื่นไปกดปุ่มเรียกบนโต๊ะทำงาน


     

                “ช่วยพาคนเมื่อกี้มาให้ผมที”

     


                “ครับ”

     


                ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที เจ้าคนหน้าหวานผมปรกลงบนใบหน้าเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม ชเวซึงฮยอนผายมือเชิญให้นั่งบนโซฟานุ่มที่ตั้งติดอยู่กับผนังสวยที่ตกแต่งด้วยรูปแขวนก่อนจะซักประวัติผู้มาเยือน

     


                “ชื่อ”

     


                “ควอ-- ควอน จียงครับ”

     


                “อายุ”

     


                “28 ครับ”

     


                ชเวซึงฮยอนประหลาดใจนิดหน่อยกับเรือนหน้านั้นที่ดูเด็กกว่าอายุหลายเท่าทั้งที่ควอนจียงอายุน้อยกว่าเขาเพียงปีเดียวแต่เขากลับรู้สึกว่าควอนจียงเป็นแค่เพียงเด็กหนุ่มวัยขบเผาะ ความคิดที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้สีหน้าที่นิ่งเฉยของชเวซึงฮยอนมีมากมายเกินกว่าที่คนตรงหน้าจะหยั่งรู้ได้ว่าผู้ชายคนนี้คิดอะไรอยู่บ้าง

     


                   “ทำอะไรเป็นบ้างล่ะ”

     


                “เอ่อ-- เลขามั้งครับ”

     


                “ตลกหรือเปล่า” ชเวซึงฮยอนพูดเสียงแข็งพร้อมกับละสายตาที่มองนิตยาสารอยู่ช้อนขึ้นมามองคนตรงหน้าแทน “ประวัติการทำงานยังไม่มี เลขาไม่สูงไปหน่อยเหรอ”

     


                “เอ่อ คงเป็นงานบ้านมั้งครับ ทำมาทั้งชีวิตแล้ว” ควอนจียงฉีกยิ้มแห้งๆ ชเวซึงฮยอนมองเข้าไปยังนัยน์ตาของควอนจียงที่หวานราวกับดวงตาของผู้หญิง ภายในนั้นฉายแววตาที่เศร้าอมทุกข์ เขาอาจจะคิดไปเองแต่ว่ามันดูไม่ดีสำหรับเขาเลยสักนิด

     


                “งั้นเหรอ แต่ที่บ้านฉันมีคนคอยทำงานบ้านให้อยู่แล้ว” ชเวซึงฮยอนพูดตอบกลับแบบเดิมเหมือนครั้งก่อนหน้า ถ้าไม่อยากให้ทำงานแล้วจะเรียกขึ้นมาเพื่ออะไรของเขาหรือเขาแค่สนุกกันแน่

     


                “ผมขอตัวนะครั--“

     


                “แต่ก็ใช่ว่าฉันจะรับคนเพิ่มไม่ได้” สิ้นประโยคของท่านประธานของบริษัทเครื่องเพชรยักษ์ใหญ่ ควอนจียงหันหลังกลับมาตามเสียงหลังจากที่เขาได้ลุกขึ้นหันหลังทำท่าจะเดินออกจากห้องไป

     


                “ค--คุณจะรับผมใช่ไห--“

     


                “อืม”

     


                ควอนจียงไม่ชอบท่าทางบุคลิกของผู้ชายคนนี้เสียเท่าไหร่ ถ้าไม่ติดที่ว่าแม้แต่มินิมาร์ทเล็กๆ ยังไม่รับเขาเข้าทำงาน เขาคงไม่ตอมรับไปเป็นพ่อบ้านอีกคนให้ผู้ชายคนนี้

     

     

     

     













               

                ชเวซึงฮยอนนั่งรถส่วนตัวกลับไปยังเพนท์เฮาส์ของตัวเองในย่านกังนัมโดยมีควอนจียงนั่งรถอีกคันตามหลังมาติดๆ จนถึงที่พักควอนจียงเห็นอีกฝ่ายเดินลงจากรถหลังจากที่การ์ดจะเปิดประตูให้ก่อนจะมองตามหลังเขาเข้าไปในโรงแรมนั้น ควอนจียงเดินลงตามไปติดๆ แอบรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้มาทำงานให้คนใหญ่โตอย่างเขาคนนี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่งานเล็กๆ แต่มันก็คงเปลี่ยนชีวิตเขาให้ดีขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง

     


                เสียงกริ่งเล็กๆ ของลิฟท์ที่กดชั้นบนสุดของโรงแรม เมื่อประตูเปิดออกก็ต้องกวาดสายตามองกับสิ่งหรูหราตรงหน้า เพนท์เฮาส์ที่ตกแต่งอย่างโมเดิร์นโทนสีน้ำเงินเข้มสนิทมันทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ค่อนข้างจะมืดมนในระดับหนึ่ง

     


                หากแต่ที่ผิดสังเกตคือเขาพูดว่าที่นี่มีคนทำความสะอาดแล้วแต่ที่นี่กลับไม่มีใครสักคนเดียวหรือเขาอาจจะหมายถึงพนักงานของโรงแรมนี้ก็ได้

     


                “อ้าวทำไมวันนี้กลับเร็วจังวะ” ควอนจียงเห็นผู้ชายอีกคนเดินออกมาจากห้องๆ หนึ่ง ผู้ชายรูปร่างสันทัดกำยำดูดีในขณะที่ชเวซึงฮยอนออกจะผอมและสูงไปนิดหนึ่ง “ใครอ่ะ”

     


                “พ่อบ้าน”

     


                “จ้างพ่อบ้านมาเหรอ? ไหนว่าชอบอยู่ส่วนตัว”

     


                ควอนจียงยืนงุนงงเป็นบุคคลที่สามกับบทสนทนาที่เพิ่งเกิดไปเมื่อครู่ ชเวซึงฮยอนแขวนเสื้อโอเวอร์โคทสีดำไว้ที่ราวแขวนด้านหน้าก่อนสวมรองเท้าสลิปเปอร์พร้อมเดินหายลับเข้าไปในห้องกับผู้ชายอีกคน หากแต่ไม่นานก็ออกมา

     


                “เอ่อ สวัสดีครับผมทง ยองเบ”

     


                “ค--ควอนจียงครับ”

     


                “ดูขี้อายจังเลยนะ กับผมสบายๆ ก็ได้ครับแต่กับเขาระวังนิดหนึ่งก็แล้วกัน” ทงยองเบพูดจบก็ฉีกยิ้มกว้างให้อย่างเป็นมิตร “แล้วผมต้องทำอะไรบ้างครับ”

     


                “ทำความสะอาดทั่วไปนั่นแหละนะ ยกเว้นห้องของคุณชเว”

     


                “แต่ว่าทุกอย่างต้องเนี้ยบห้ามมีฝุ่นเกาะเลยนะ แล้วก็อีกอย่างคือไปซื้อของตามที่แปะไว้บนบอร์ดในห้องครัวนะครับ”

     


                ผู้ชายมาดดีที่ชื่อทง ยองเบเดินหายเข้าไปในห้องอีกครั้ง ควอนจียงถูกปล่อยให้อยู่เพียงลำพังอีกครั้ง กวาดตามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นว่าที่นี่จะต้องทำอะไรเยอะแยะมากมาย สังเกตจากสภาพแล้วเขาแทบไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำอย่างมากก็แค่ดูดฝุ่นและล้างจาน

     


                คิดไปคิดมาก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงถูกห้ามเข้าไปทำความสะอาดในห้องของชเวซึงฮยอน

     


                ก็อกๆ

     


                “ผมต้องมียูนิฟอร์มอะไรเทือกนั้นไหมครับ” ควอนจียงเคาะประตูห้องของเจ้าของบ้านอยู่สองสามครั้งก่อนที่เขาจะเปิดประตูออกมา สีหน้าที่เหมือนเดิมตั้งแต่พบกันเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วยังคงไม่เปลี่ยนไปไหน นัยน์ตาที่ไร้ความรู้สึกนั้นมองมาที่เขา “อะไรก็ได้ เอาเงินที่ยองเบไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ที่ดูเรียบร้อยกว่านี้”

     


                “ครับ” ควอนจียงฉีกยิ้มแห้งๆ

     


                สภาพอากาศวันนี้ไม่ค่อยเป็นใจเสียเท่าไหร่กับการที่จะออกไปข้างนอก หยาดน้ำฝนเม็ดเล็กยังคงเทลงมาอย่างไม่ขาดสายจนพื้นคอนกรีตแฉะชุ่ม เสียงแอ่งน้ำกระจายซู่ซ่าเมื่อมีผู้คนเดินเหยียบหรือรถขับผ่านดังน่ารำคาญ

     


                   ชเวซึงฮยอนเดินมาหยุดอยู่ที่ห้องครัวพร้อมกับหยิบไวน์แดงราคาแพงรินใส่แก้วไวน์สีใส รูปร่างสะโอดสะองทำให้ชเวซึงฮยอนดูดีในมาดของประธานบริษัท นัยน์ตาสีดำสนิทแข็งกร้าวเชยมองควอนจียงด้วยความไม่ค่อยสบอารมณ์เสียเท่าไหร่เมื่อพิจารณาเนื้อตัวของเจ้าคนตัวเล็กที่มอมแมมยืนอยู่บนพรมราคาแพง

     


                “ควอนจียง มาทางนี้” ทง ยองเบที่อยู่ๆ ไม่รู้โผล่มาจากที่ไหนกำลังเรียกเขาให้เดินตามเข้าไปในซอกหลีบเล็กๆ ที่แทบจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้เลย ทางเดินยาวเหยียดที่ซับซ้อนภายในเพนท์เฮาส์ที่กว้างขวางนำไปสู่ห้องนอนเล็กๆ

     


                เมื่อเปิดไปแล้วมันไม่ใช่ห้องนอนที่ใหญ่นักแต่ก็ไม่ได้เล็กจนขยับตัวไม่ได้ เตียงเดี่ยวนุ่มๆ พร้อมผ้าปูสีขาวสะอาดมีห้องน้ำในตัวและกระจกบานเล็กๆ พร้อมทีวีหนึ่งตัวที่ตั้งอยู่ปลายเตียง ผนังลูกไม้สีน้ำเงินเข้มทำให้ห้องดูแคบหากแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ที่นี่คือห้องนอนของเขา

     


                อย่างน้อยมันก็ดีกว่าชีวิตข้างถนน

     


                ควอนจียงโค้งขอบคุณผู้นำทางหนึ่งครั้งก่อนที่ทง ยองเบจะเดินจากไป เจ้าคนตัวเล็กรีบวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อชะล้างสิ่งสกปรกให้หมดสิ้นหากแต่เมื่อเข้าไปก็เจอเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำพร้อมชั้นในแขวนอยู่บนราวพร้อมกับกระดาษโน้ตเล็กๆ ที่เขียนไว้ลงท้ายด้วยชื่อทง ยองเบ

     


                หยาดน้ำไหลลงจากฝักบัวลงสู่ร่างกายของควอนจียง ชะล้างสิ่งสกปรกที่เขาเจอมาเกือบอาทิตย์ เรือนผมสีน้ำตาลเข้มเปียกปอนรับแชมพูสระผมอย่างดีพลางนึกถึงชีวิตใหม่ในวันข้างหน้า เสื้อผ้าดีๆ ห้องนอนดีๆ อาหารดีๆ เมื่อนึกถึงก็ต้องยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่จนเห็นร่องแก้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา

     


                เสื้อยืดตัวโคร่งสีขาวถูกสวมอย่างระมัดระวัง เนื้อผ้าชั้นดีทำเอาควอนจียงหุบยิ้มไม่ได้ ในเวลาทุกอย่างมันดีไปเสียหมด ไม่ใช่ว่าในชีวิตเขาไม่เคยพบกับความสุขสบาย เขาเคยมีกินมีใช้อย่างเหลือเฟือหากแต่เรื่องมันเกิดขึ้นมานานมากจนเขาไม่อยากจะนึกถึงมันอีก

     


                เรียนยังไม่ทันจบมหาวิทยาลัยทางบ้านก็กลับล้มละลายเอาซะดื้อๆ โดยที่เขาก็ยังหาเหตุผลไม่เจอ พ่อแม่ของเขาก็ต่างจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตายไปพร้อมกัน ไม่มีเวลาให้เขาเตรียมตัวเตรียมใจ เรียนไม่จบ บ้านล้มละลาย พ่อแม่เสียชีวิต มันเป็นช่วงเวลาที่ควอนจียงไม่เคยลืม มันยังจำฝังใจอยู่ตลอดเวลา

     


                ร่อนเร่พเนจรเป็นคนไร้บ้านไปเรื่อย ใช้ชีวิตเป็นนักร้องใต้ดินอยู่นานหลายปี อย่างน้อยนั่นก็ทำให้เขายังประทังชีวิตอยู่ได้เรื่อยๆ หากแต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำเพียงอย่างเดียว ร้านมินิมาร์ทในย่านนั้นต่างปฏิเสธการเข้าทำงานพาร์ทไทม์ของจียงทุกร้าน

     


                ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวเรา ลูกไปหาคุณชเว เขาเป็นคนดีและจะช่วยลูกเอง

     


                มันเป็นข้อความที่เขียนไว้อย่างลวกๆ บนกระดาษสีขาวที่กลายเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลเมื่อเวลาผ่านไป

     


                แต่ในเกาหลีก็มีนามสกุลชเวอยู่เป็นล้านคน

     


                เขาลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำหากแต่เมื่อพบชเวซึงฮยอน ข้อความในกระดาษใบนั้นก็วกกลับมาเข้าในศีรษะอย่างอัตโนมัติ

     


                หยดน้ำเล็กๆ ที่หยดลงจากปลายผมเริ่มแห้งไปอย่างช้าๆ เมื่อควอนจียงใช้ไดร์เป่าผมที่ถูกเตรียมเอาไว้ให้ ในกระดาษโน้ตที่ลงชื่อของยองเบเขียนไว้ว่าชุดทำงานให้ใช้เพียงเสื้อยืดสีขาวและกางเกงขายาวสีดำปกติไม่ต้องมีพร็อบอะไรมาก จียงฉีกยิ้มเมื่ออ่านจบพลันคิดในใจว่าการมีชีวิตที่ดีมันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

               

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                แสงแดดสาดส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่มีเพียงม่านโปร่งแสงบางๆ กั้นไว้ ดวงตาเรียวสวยลืมขึ้นมารับไออุ่นจากแสงอาทิตย์อย่างช้าๆ เริ่มเช้าวันใหม่ด้วยรอยยิ้มที่สดใส มอดทอดออกไปพบเป็นวิวแม่น้ำฮัน เรือนผมสียาวจนปรกลงมาเกือบถึงปลายจมูกถูกจัดให้เป็นทรงก่อนจะเดินออกจากห้องนอนอย่างอารมณ์ดี

     


                “อรุณสวัสดิ์ครับคุณชเว” ชเวซึงฮยอนนั่งไขว่ห้างมาดเท่อยู่บนโซฟาราคาแพงหน้าทีวีอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับประจำวัน “ขอชาด้วย”

     


                ควอนจียงรับคำสั่งก่อนเดินหายวับเข้าไปในพื้นที่ห้องครัว แต่ละตู้มีกระดาษเขียนติดไว้อย่างชัดเจนว่าส่วนไหนใช้เก็บอะไร เรียวมือสวยคว้าหยิบกล่องชาลงมาก็ต้องยิ้มเมื่อมองเข้าไปในตู้นั้นมีแต่ชาข้าวโพดเต็มไปหมด ชเวซึงฮยอนต้องชอบดื่มมันมากแน่ๆ

     


                เขาเองก็ชอบเช่นกัน ในขณะชงก็คิดถึงวันเก่าๆ ที่แม่ของเขามักจะต้มชาข้าวโพดใส่ไว้ในตู้เย็นให้เสมอๆ และภายในไม่กี่วันก็หมดอย่างรวดเร็ว มันเป็นเครื่องดื่มที่ควอนจียงชอบตั้งแต่เด็กเสมอมาไม่เคยเปลี่ยน

     


                เสียงจานกระเบื้องเคลือบที่ใช้รองแก้วกระทบลงกับพื้นโต๊ะกาแฟที่เป็นกระจกทำเสียงกอกแกกเสียดหู ไอร้อนจากชาที่เพิ่งชงใหม่ๆ ลอยขึ้นมาเป็นระยะในขณะที่ซึงฮยอนกำลังจิบมันทีละนิด

     


                “ผมต้องทำอะไรอีกหรือเปล่าครับ” ชเวซึงฮยอนเพียงแค่ส่ายหัวเล็กน้อยเป็นการตอบกลับ ในขณะเดียวกันที่ทงยองเบเดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มหนาๆ เล่มหนึ่งที่ยื่นให้ผู้ที่นั่งจิบชาอย่างใจเย็นไปเมื่อครู่

     


                “คุณควอน ผมขออาหารเช้าด้วยครับ” ผู้ชายร่างกำยำพูดอย่างสุภาพ ยิ้มจนตาหยีให้เขา

     


                “เรียกผมจียงก็ได้ครับ” เมื่อได้ยินการเรียกชื่อที่แสนสุภาพแบบนั้นทำเอาควอนจียงไม่ชินหูแม้แต่น้อย

     


                “ปกติทานแบบตะวันตกหรือทานปกติครับ” ควอนจียงเอ่ยปากถามฝ่ายตรงข้ามก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นในห้องครัวดูว่ามีอะไรที่พอจะทำให้ยองเบทานเป็นอาหารเช้าได้บ้าง “อา-- ในตู้เย็นเหลือแต่กิมจิกับหัวไชเท้า”



                “มีอะไรก็เอามาเถอะ ผมกินได้หมด”

     


                “ฉันเข้าบริษัทแล้วส่งข้อมูลอัญมณีล็อตใหม่ให้ด้วยนะ” เสื้อโค้ทยาวสีน้ำตาลเข้มถูกสะบัดแล้วสวมเข้าไปก่อนที่เจ้าของนัยน์ตาสีเข้มจะเช็คร่างกายตัวเองที่หน้ากระจกก่อนหยิบกระเป๋าแล้วเดินลับหายไป

     


                น่าแปลกที่ควอนจียงเพิ่งนึกได้ว่าครอบครัวเขาก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับอัญมณีเหมือนกันหรือคุณชเวที่พ่อแม่บอกไว้เมื่อครานั้นจะเป็นผู้ชายคนนี้ คิดไปแล้วก็รู้สึกตลกที่อยู่ๆ เขาก็ได้เจอกับคนคนนี้

     


                กลิ่นกิมจิและหัวไชเท้าหอมกรุ่นพร้อมด้วยซุปสาหร่ายและข้าวสวยร้อนๆ ถูกจัดลงสำรับไปเสิร์ฟให้กับทงยองเบที่นั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ก่อนที่ผู้รับจะพูดขอบคุณตอบกลับด้วยความสุภาพ

     


                ตืด... ตืด...

     


              มือถือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตถูกหยิบออกมาก่อนจะถูกกดรับโดยทงยองเบ ชายตรงหน้าได้แต่กินอาหารเช้าไปคุยไปในขณะที่ข้าวก็เต็มปาก

     


                “จียง ฉันฝากนายเอาของไปให้คุณชเวหน่อยสิ” ควอนจียงได้แต่ชื่นใจที่อีกฝ่ายเปลี่ยนคำสรรพนามแล้วคุยกับเขาแบบสนิทสนมกว่าเดิมจนลืมคำไหว้วานของทงยองเบ

     


                “หะ อะไรนะครับ”

     


                “ฝากเอาของไปให้คุณชเวหน่อย รู้ใช่ไหมว่าบริษัทอยู่ไหน” ทงยองเบวางเงินหลายหมื่นวอนลงกับเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินหายเข้าไปหยิบสิ่งของที่ว่า แฟ้มอีกเล่มที่คล้ายๆ กับเล่มที่ชเวซึงฮยอนอ่านอยู่ก่อนหน้านี้ถูกยื่นใส่มือของควอนจียง

     


                “เอาไปให้ดีๆ ล่ะ”

     

     

     

     

     

     

     

     

               

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                วันนี้อากาศดีฝนไม่เทลงมาเหมือนเมื่อวานหากแต่แค่เพียงเดินออกมาจากตึกก็ต้องพบกับความวุ่นวายของย่านกังนัมที่มักจะวุ่นวายอยู่เสมอ ควอนจียงโบกแท็กซี่อย่างเร่งรีบหวังรีบไปให้ทัน หลังจากบอกที่อยู่ปลายทางเรียบร้อยก็ถอนหายใจเบาๆ

     


                เหม่อมองภาพวิวข้างทางก็นึกหวนกลับไปเมื่อสองวันที่แล้วถ้าเกิดเขาไม่ได้เข้าไปเจอชเวซึงฮยอนก็คงจะไม่ได้มาอยู่ที่ดีๆ เหมือนตอนนี้ มองไปเห็นสนามเด็กเล่นใกล้ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยพาตัวเองไปหาที่ซุกหัวนอนในท่อสไลด์เดอร์เด็กเล่น

     


                มองเห็นมินิมาร์ทเรียงรายที่เขาเข้าไปขอสมัครงานนับร้อยครั้ง

     


                มองเห็นทุกอย่าง

     


                ในย่านธุรกิจอย่างเขตกังนัมที่การจราจรวุ่นวายอยู่เสมอ สุดท้ายก็พาตัวเองมาถึงที่ที่มาเมื่อสองวันที่แล้ว หน้าบริษัทของชเวซึงฮยอน เกือบจะได้ก้าวขาผ่านประตูบริษัทแต่กลับถูกผู้คนแถวนั้นเดินชนอย่างแรงจนแฟ้มเล่มที่ถือมาร่วงลงไปอยู่บนพื้น

     


                กระดาษใบแล้วใบเล่าปลิวกระจายอยู่ทั่วพื้นโดยที่ไม่มีใครสนใจหากแต่ก็ไม่พ้นสายตาของชวซึงฮยอนที่มักจะชอบมองลงมาดูความวุ่นวายของเมือง

     


                ควอนจียงก้มเก็บมันอย่างช้าๆ โชคดีที่ไม่มีลมมากในเวลานี้


     

                ก็อกๆ

     

     

              ประตูห้องของชเวซึงฮยอนถูกเคาะสองสามครั้งก่อนที่ร่างบางจะเปิดเข้ามาอย่างเบามือพลางยิ้มให้กับผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน นัยน์ตาแข็งกร้าวมองควอนจียงอย่างไม่สบอารมณ์เช่นเคย


     

                จียงไม่ชอบแบบนั้น

     


                “คุณทงฝากมาให้ครับ”

     


                “ซุ่มซ่ามแบบนี้เหรอจะเป็นเลขา ทีหลังถ้าใช้งานไม่ได้ก็ไม่ต้องรับคำ” ชเวซึงฮยอนพูดลอยๆ พร้อมรับแฟ้มเล่มนั้นมาตรวจเช็คดูอย่างละเอียด หน้ากระดาษมีรอยยับและขาดนิดหน่อยแต่ไม่มีแผ่นไหนที่หายไปแม้แต่แผ่นเดียว

     


                “อะไรนะครั-- อ่อ คุณเห็นเมื่อกี้เหรอครับ พอดีผมโดนชน” ควอนจียงได้แต่อธิบายอย่างช้าๆ พร้อมกับยิ้มแห้งๆ เหมือนเดิมหากแต่ในใจกลับร้อนรุ่มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดแต่ละประโยคของคนตรงหน้า

     


                “กลับไปได้แล้ว”

     


                เจ้าตัวเดินหน้ามุ่ยออกมาจากห้องพร้อมคิดในใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของตนเสียหน่อยที่ถูกชน ทำไมถึงต้องมาโดนด่าอะไรงี่เง่าตอนเช้าขนาดนี้ทั้งที่ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้แตะแม้แต่น้อย แค่เริ่มวันแรกก็แย่เสียแล้วควอนจียง

     


                ควอนจียงใช้เวลาที่เหลือเดินกลับเพนท์เฮาส์ เดินลัดเลาะมาตามตรอกบ้าง เดินบนฟุตบาทไปเรื่อยๆ อากาศเย็นทำให้เจ้าตัวต้องเอามือซุกลงไปในกระเป๋าตรงเสื้อฮู้ดที่ใส่มา รู้สึกแสบจมูกเล็กน้อยเมื่อหายใจเอาอากาศเย็นๆ เข้าไป ถึงจะหนาวแต่มันก็ทำให้มีเวลาได้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย

     


                ผ่านมาหลายปีแต่เขาก็ยังจำทางผ่านที่ใช้เดินไปโรงเรียนประจำได้เสมอ มือเล็กๆ ที่ถูกกอบกุมโดยมือนุ่มของผู้หญิงใจดีที่เขาเรียกว่าแม่

     


                กลับมาถึงที่พักก็ยังคงพบทงยองเบที่บาร์ทานอาหารในห้องครัวอยู่เหมือนเดิม

     


                “ไม่ไปทำงานเหรอครับ”

     


                “งานฉันไม่จำเป็นจะต้องลำบากไปถึงบริษัทหรอก” ทงยองเบยิ้มให้เล็กๆ ก่อนทำท่าจะย้ายตัวเข้าไปในห้องของตัวเอง

     


                “ด-- เดี๋ยวก่อนครับ”

     


                “คุณพอจะช่วยบอกรายละเอียดเล็กๆ เกี่ยวกับคุณชเวให้ผมหน่อยได้ไหม”

     


                “อยากรู้ไปทำไมล่ะ”

     


                “ก็เมื่อกี้โดนด่ามานิดหน่อย ฮ่าๆ แค่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ น่ะครับว่าเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร บางทีผมก็ทำตัวไม่ถูก” ควอนจียงพูดจบทงยองเบก็เดินกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง

     


                “เขาไม่ชอบคนซุ่มซ่าม ไม่ชอบข้อผิดพลาด เวลาเจอปัญหาต้องแก้ด้วยความใจเย็น เวลาที่เขาดุหรือว่าอะไร มันอาจจะแรงแต่ว่าเขาก็เป็นคนแบบนั้นแหละ ไม่ต้องใส่ใจอะไรมากหรอก--“

     


                “--ถึงเวลาถ้าเขาใจดีกับใครแล้วนายก็จะรู้เองว่ามันเป็นแบบไหน”

     


                คนที่นี่ชอบพูดอะไรง่ายๆ แต่เขาไม่สามารถเข้าใจได้

     


                ทงยองเบหายกลับเข้าไปในห้องของตนเอง ทิ้งผู้ฟังเมื่อครู่ไว้คนเดียว ควอนจียงถือโอกาสเดินสำรวจภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ถูกจัดวางไว้อย่างลงตัวถึงแม้ว่าแต่ละชิ้นนั้นดูไม่น่าที่จะตกแต่งให้เข้ากันได้เพราะสไตล์ที่ต่างกันออกไป

     


                ถึงแม้แสงตกกระทบหนังสือที่วางเรียงรายกันอยู่บนชั้นอย่างเป็นระเบียบก็แทบจะมองไม่เห็นฝุ่นราวกับแต่ละเล่มถูกนำออกมาทำความสะอาดทุกวัน เจ้าคนขี้สงสัยเอียงหัวอ่านชื่อหนังสือที่สันก็ต้องขมวดคิ้วมุ่ยเมื่อเห็นว่าหนังสือส่วนใหญ่เป็นหนังสือทำอาหาร

     


                ของชเวซึงฮยอนหรือทงยองเบกันนะ

     


                มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในศีรษะหลังจากย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ แต่สงสัยที่สุดก็คือทำไมเขาถึงเข้าไปในห้องนอนของเจ้าของบ้านไม่ได้ทั้งที่เขาก็ถูกจ้างมาทำความสะอาดแต่จะให้ยกเว้นห้องนอนห้องนั้นเพียงห้องเดียว ควอนจียงสะบัดหัวเบาๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้น

     


                “อ้อ จียง ออกไปซื้อเสื้อผ้ามาหรือยังล่ะ”

     


                “เอ้อนั่นสินะ ผมลืมไปเลย” ควอนจียงเกาศีรษะเบาๆ หลังจากทงยองเบเดินออกมาพร้อมกระป๋องน้ำอัดลมในมือ “แล้วจะไปตอนไหน”

     


                “ไปตอนนี้เลยครับ”

     


                “ไปด้วยสิ”

     


                ควอนจียงย่างก้าวอยู่บนฟุตบาทโดยมีทงยองเบเดินมาข้างๆ บรรยากาศไม่อึดอัดอย่างที่คิดไว้เมื่อต่างฝ่ายต่างชวนกันคุยโดนส่วนมากแล้วจะเป็นทงยองเบเสียมากกว่าที่ชวนเขาคุย

     


                “นายไปพูดอะไรกับเขาเหรอ ถึงได้มาทำงานถึงที่นี่”

     


                “อ่อ-- เรื่องนั้นเหรอ ผมก็ไม่แน่ใจ ผมแค่บอกว่าอยากสมัครงาน อะไรก็ได้ เขาไล่ผมลงไปทีนึงก่อนจะเรียกผมขึ้นมารอบที่สองแล้วก็ให้ผมมาที่นี่” ควอนจียงอธิบายช้าๆ อย่างแม่นยำพร้อมทำท่าประกอบ

     


                “แค่นี้จริงๆ เหรอ” ทงยองเบขมวดคิ้วมุ่น เอาเรื่องนี้มาปะติดปะต่อกับนิสัยของชเวซึงฮยอนแล้วเหมือนควอนจียงกำลังพูดโกหก ซึงฮยอนไม่เคยเป็นคนไร้เหตุผลเลยสักครั้งหากแต่ครั้งนี้ทำไมแม้แต่เขาเองก็นึกไม่ออกถึงเหตุผลที่ควอนจียงได้มาอยู่ที่นี่ ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย

     


                เดินมาเรื่อยๆ ก็มาหยุดอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดินที่คนมักจะพลุกพล่านอยู่ตลอดเวลาจนสถานีปิด ใต้ดินนี้มีร้านขายของเรียงรายมากมายเป็นสถานที่ของราคาไม่แพงมาก ควอนจียงเคยลงมาที่นี่เกือบทุกวัน ร้านเสื้อผ้าเล็กๆ ตรงหัวมุมทางเดินที่ไม่ค่อยมีคนเข้าไปพอมีเสื้อผ้าให้เขาซื้อได้นิดหน่อย

     


                “ทำไมถึงมาซื้อที่นี่ล่ะ”

     


                “ถูกดี คุณดูราคาสิ” เสื้อยืดสีขาวธรรมดาถูกหยิบขึ้นมาพร้อมเตรียมหยิบเงินเพื่อจ่าย   ทงยองเบยืนมองการใช้ชีวิตของควอนจียงโดยไม่เข้าขัดอะไรถึงแม้ว่าเขาอยากจะพาเจ้าคนยิ้มหวานคนนั้นไปซื้อเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้

     


                ทั้งสองคนใช้เวลาด้วยกันทั้งวันจนลืมเรื่องต่างๆ เดินเที่ยวด้วยกันสองคน ทงยองเบได้สัมผัสกับชีวิตอีกแบบหนึ่งที่เขาไม่เคยได้สัมผัส แวะร้านขนมปังปลาข้างทางไม่รู้กี่ร้านควอนจียงก็ยังไม่อิ่มและยังกินได้เรื่อยๆ จนผู้ที่มาด้วยต้องแปลกใจ

     


                ถุงกระดาษหลายถุงในมือทั้งสองคนกระทบกันดังกอบแกบตลอดทางที่เดินกลับ ลมหนาวเย็นพัดผ่านใบหน้าอีกครั้งหากแต่ก็มีรอยยิ้มสู้กลับ

     


                “อา-- เหนื่อยจังเลย”

     


                “เขาเลือกคนไม่ผิดจริงๆ ด้วย”












    - Writer's Talk -

    1 คอมเมนท์ = 1 กำลังใจ 

    ฟีดแบคดีอัพไว ;) ฟีคแบคไม่ดีก็อัพช้าน้าาา ;( 

    พูดคุยกันได้ที่ทวิตเตอร์แฮชแท็ก #พ่อบ้านจียง




     B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×