คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : EP3 – ตัดสินใจดูแล
แจบอม จินยอง
มาร์คและแจ็คสันช่วยกันตรวจระเบียบยูนิฟอร์มเรื่อยๆ จนใกล้เวลาปิดประตูรั้ว
รถคันหรูของลูกนักการเมืองอย่างยูคยอมกับยองแจก็มาจอดด้านหน้า
“ไง ไม่มาซะหมดคาบแรกเลยล่ะ” แจ็คสันแขวะไปตามประสาคนปากไว
“โธ่...พี่ก็...เมื่อคืนงานเลี้ยงเลิกดึกนี่น่า”
“ไม่ต้องมาโบ้ยเรื่องงานเลี้ยงเลยยูค
ตีสองแล้วก็ยังไม่เลิกสะกิด คนจะนอนก็ไม่ได้นอน” ยองแจหันไปทำหน้ามุ่ยใส่เพื่อน
“เอาน่าคืนนี้ไม่กวนเลย
จะให้นอนตั้งแต่ทุ่มหนึ่งเลยอ่ะ” ยูคยอมรีบง้อ เพราะรู้ว่ายองแจอารมณ์ไม่ปกติเพราะนอนไม่เต็มอิ่ม
“พวกแกเนี่ยจริงๆเลย
หน้าที่ไม่ทำแล้วยังจะมาทำท่าชวนเลี่ยนใส่กันอีก รีบๆไปเลยแขยงตาแสลงหูว่ะ”
“เหอะๆ ใครจะเหมือนพี่ล่ะ
เพื่อนสนิทไม่มีใครอยากสกินชิพด้วย เนอะยูคเนอะ”
“อืม...ใช่
พี่น่ะไม่ได้สัมผัสอารมณ์สกินชิพอันอบอุ่นแบบเราสองคนหรอก เข้าห้องกันดีกว่าแจ
อย่าอยู่ใกล้คนขี้อิจฉา” งานนี้สองน้องเล็กเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยจูงมือกันขึ้นชั้นเรียน
ไม่มีเค้าแง่งอนกันเหมือนเมื่อครู่เลย
“เอาล่ะพวกเราก็ปิดประตูได้แล้ว”
“เดี๋ยวก่อนสิแจบอม” มาร์คเอามือดันประตูรั้วเอาไว้ยังไม่ให้ประธานนักเรียนปิด
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ดวงตาคมก็จ้องมองถนนหน้าโรงเรียนเหมือนกำลังรอใครบางคนอยู่
“ไม่เดี๋ยวแล้ว ได้เวลาแล้ว”
“มันกฎนะมาร์ค
หลังจากนี้ใครไม่มาก็ถือว่าสาย” จินยองดึงมือเพื่อนออกจากรั้ว
ส่วนแจบอมก็จัดการปิด แล้วยืนกอดอกรอดักนักเรียนที่มาสาย
เข้าเรียนมาได้เกือบชั่วโมงแล้ว
แต่มาร์คไม่มีสมาธิ ยิ่งแอบไลน์ไปถามสองน้องเล็กว่ากันต์พิมุกต์เข้ามาเรียนหรือยัง
คำตอบที่ได้มา ยิ่งทำให้เขาไม่มีสมาธิมากยิ่งขึ้น
“ทำไมเป็นอะไรไม่ยอมโทรบอก” เสียงทุ้มพึมพำขึ้นอย่างไม่ชอบใจนัก ทำให้แจ็คสันที่นั่งคู่ข้างๆหันมามอง
“สนใจเรียนเถอะมาร์คนี่เวลาเรียน
มัวแต่ห่วงไอ้โรคจิตนั่นอยู่ได้ คิดถึงพ่อแม่ที่ส่งมึงมาเรียนบ้าง”
“หึ...มึงหยุดตอบไลน์ผู้หญิงให้ได้ก่อนเถอะ
ค่อยมาว่ากู” มาร์คแขวะกลับ เขารู้ว่าแจ็คสันยอมรับการตัดสินใจของเขาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว
แต่มันเป็นนิสัยของแจ็คสันที่จะต้องปากไวแขวะโน่นนี่นั่น เขาไม่ได้คิดโกรธอะไร
“ใครว่านี่กำลังเรียนอยู่
เรียนอ่านเรียนเขียนเกาหลีไง มึงไม่เข้าใจหรอกมาร์ค”
“อย่ามาแถเลยแจ็คสัน
ได้ข่าวว่ามึงอยู่เกาหลีตั้งแต่จำความได้”
“มาร์คต้วน! นี่เวลาเรียนเธอนะทำไมชวนเพื่อนคุย ลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนี้!” เสียงกัมปนาทจากหน้าชั้นเรียน ทำให้ทั้งสองคนที่กำลังจะเปิดศึกกันสะดุ้งตกใจ
“เอ่อ...” มาร์คอ้ำอึ้งหันไปมองเพื่อนข้างๆ มันนั่งตอแหลซะเนียน มองเขาด้วยสายตาตำหนิเหมือนคนอื่นๆซะอย่างนั้น
“เราบอกนายแล้วนะมาร์ค ว่านี่เวลาเรียน”
“แจ็คสันนี่...” มาร์คเกือบจะด่า ถ้าไม่ติดว่าต้องชะงักเพราะอาจารย์หน้าห้องขัดเสียก่อน
“มาร์คต้วน! เธอยังไม่สำนึกอีกเหรอ?”
“ขอโทษครับอาจารย์
แต่เพราะผมกำลังมีเรื่องเดือดร้อนใจครับ” เขาตอบด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น
“เรื่องอะไรล่ะ
อาจารย์พร้อมจะช่วยเธอนะ” อาจารย์เองก็ดูเหมือนพร้อมจะรับฟัง
ทำให้แจ็คสันถอนหายใจเฮือกยาว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามาร์คต้องรอดจากการถูกลงโทษ
เพราะมาร์คพูดอะไรมีราศีดีตลอด ใครๆก็เชื่อใครๆก็หลง แค่หน้าตามันคนก็ยังหลง
“คือคนที่บ้านผมป่วยครับ
ผมเป็นกังวลครับอยากกลับไปดู แต่จะออกไปตอนนี้ก็เกรงใจอาจารย์”
“อืม...อาจารย์เข้าใจ
เธอจะทำเรื่องลาหยุดไหมล่ะ?” อาจารย์เปิดทาง ทำให้ร่างสูงยิ้มกว้าง
ในขณะที่เพื่อนร่วมกลุ่มต่างมองหน้ากัน
“จะลาจริงๆเหรอมาร์ค?” จินยองเป็นคนถามขึ้น ดวงตาของเขาสบตากับอีกฝ่าย
เขาเคารพการตัดสินใจของเพื่อนเสมอ และรู้ด้วยว่าหลังจากนี้ ถ้ามาร์คตอบว่า “ไป” ก็เท่ากับว่าจะกลายเป็นคนคอยรับผิดชอบเด็กคนนั้นอย่างเต็มตัว
“อืม”
“ก็ได้ นายลากับอาจารย์แล้วกัน
ส่วนคาบอื่นฉันจะแจ้งอาจารย์ให้” จินยองไม่ขัด
แจบอมก็ไม่พูดอะไร แจ็คสันเองก็ยอมรับตามน้ำกับเพื่อน
มาร์คจึงพยักหน้าแล้วหันไปขอลาหยุดกับอาจารย์
เอาจริงๆมาร์คจะไม่ห่วงขนาดนี้ ถ้าไม่รู้ว่ากันต์พิมุกต์ป่วย...
และจะไม่ห่วงขนาดนี้ ถ้าไม่รู้ว่ากันต์พิมุกต์อยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีใคร...
แต่นี่เพราะรู้เลยนิ่งเฉยไม่ได้
มันอาจเป็นความสงสาร ความสังเวชใจ
แต่เขาก็เลือกที่จะพาตัวเองกลับมาที่คอนโดพร้อมโจ๊กร้อนๆอีกหนึ่งถุง
เขาเข้ามาในห้องของกันต์พิมุกต์ด้วยคีย์การ์ดสำรองที่ถือวิสาสะยึดมา
สภาพด้านในยังเป็นเหมือนที่ออกไป ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
รวมทั้งคนที่เป็นเจ้าของห้องด้วย ยังนอนอยู่ด้วยท่าทางไม่ต่างจากเมื่อคืนนัก
คลุมตัวด้วยผ้าห่มแล้วซุกตรงมุมห้องข้างลังเสื้อผ้า
“รู้สึกเหมือนหมอนจะไม่มีค่าสำหรับนายเลยนะ” อดบ่นไม่ได้เมื่อหมอนเองก็ยังวางอยู่ตำแหน่งเดิมไม่ได้ถูกนำไปใช้
ยังดีที่หมอนั่นเห็นค่าของผ้าห่มเอาไปใช้ ไม่อย่างนั้นเขาคงเสียแรงแบกมาให้ฟรี
“กันต์พิมุกต์...กันต์พิมุกต์...” เมื่อยืนสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจเข้าไปปลุก
จะได้รู้อาการและตัดสินใจถูกว่าจะดูแลกันอย่างไรต่อไป
พอได้ยินเสียงปลุกเรียก
คนที่หลับอยู่ก็สะดุ้งตื่นแล้วมองไปรอบๆอย่างงัวเงีย ทำให้มาร์คถอนหายใจเฮือกยาวโล่งอก
ยังรู้สึกตัว ก็แสดงว่าอาการไม่น่าห่วง
คงเป็นเพราะกินยาไปเมื่อคืนแล้วน่าจะหลับเพลินเสียมากกว่า
“ตื่นมากินข้าวกินยาบ้างหรือยัง?”
“....” ถามออกไปอีกฝ่ายก็เงียบ
มองซ้ายมองขวาอยู่ครู่ ก่อนจะลุกโงนเงนขึ้นไปหยิบเสื้อผ้านักเรียนที่ยังอยู่ในถุงออกมา
“ไม่ต้องไปแล้ว
นี่มันจะสิบโมงอยู่แล้ว” พอพูดออกไปแบบนั้น
อีกฝ่ายก็ทิ้งถุงเสื้อผ้าลงกับพื้นแล้วไปนอนต่อ ทำเอาเขาส่ายหัว แล้วเก็บถุงเสื้อผ้าขึ้นมา
“ยังดีนะที่นายไม่ใส่เสื้อผ้าชุดเก่าซ้ำๆ” เอาจริงๆก็กำลังพูดประชดนั่นแหละ ไอ้เด็กนี่มันเหลือเกินจริงๆ
เสื้อผ้าไม่คิดส่งซัก ยัดใส่ลังลูกเดียว
พอจะใส่ก็เอาที่อยู่ในถุงยังไม่ได้แกะแบบใหม่สุดๆมาใส่
ที่ลือกันว่าพ่อแม่รวยท่าจะจริงล่ะสิ แต่รวยแล้วไม่สนใจลูกแบบนี้ก็ไม่ไหวนะ!
“นายย้ายมาเกือบสามเดือนไม่เคยส่งซักเลยใช่ไหม?
ให้ตายเถอะนี่ฉันพูดอยู่คนเดียวหรือไง? ไม่ต้องนอนเลยนะ
ไปล้างตาล้างตาแล้วมากินยาซะ จะได้กินข้าวฉันซื้อมาให้แล้ว”
มาร์คที่พูดพร่ำอยู่คนเดียวโวยวาย เขาออกจะเป็นคนเงียบๆด้วยซ้ำ
แต่พอมาอยู่กับหมอนี่ ถ้าเขาไม่พูดก็คงต้องสื่อสารกันทางกระแสจิตแล้วล่ะ! มันเงียบกว่าเขาเสียอีก!
“....”
“อย่ามากวนประสาทฉันนะ
ถ้านายกวนมากๆนอกจากฉันจะไม่คืนคีย์การ์ดแล้วฉันจะย้ายมาอยู่กับนายด้วย”
“บ้าเหรอ?” ประโยคแรกของวันหลุดออกมาจากปากของกันต์พิมุกต์ ทำให้มาร์คกระตุกยิ้มหยัน
“ก็ไม่แน่ ถ้านายไม่ทำตัวดีๆ
ฉันอาจจะบ้ากว่าจิตกว่าก็ได้ นายทนได้ให้รู้ไป”
“...” อีกฝ่ายลุกขึ้นแล้วเดินผมเผ้าปิดหน้าปิดตายุ่งเหยิงเข้ามาหยุดตรงหน้า
มาร์ครู้ว่ากำลังถูกจ้องอยู่ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะผวา เพราะท่าทางก็ดูแอบจิตไม่น้อย
“ไม่ต้องมาทำท่าขู่
ตัวเองยังเอาไม่รอด คิดว่าฉันจะกลัวหรือไง? ไปล้างหน้าแปรงฟันเดี๋ยวนี้เลย
อย่าช้าไม่อย่างนั้นฉันจะไปย้ายของมาเดี๋ยวนี้เลย ก็ดีนะค่าเช่าไม่เสีย
ค่าน้ำค่าไฟไม่ต้องจ่าย ประหยัดดี”
“บ้าแน่ๆ...” เสียงแหบๆพึมพำก่อนจะก้าวขาเข้าห้องน้ำไปอย่างช้าๆ
มาร์คมองตามหลังแล้วส่ายหัว เขาไม่ได้บ้าหรอก ก็แค่คนอย่างกันต์พิมุกต์ต้องถูกกระตุ้น
ไม่อย่างนั้นก็ทำเงียบดื้อไม่รู้สึกรู้สาใส่คนที่จะเข้าใกล้
อีกฝ่ายอยู่ในห้องน้ำมาร์คก็จัดการเทโจ๊กใส่ถ้วย
แน่นอนว่าถ้วยของเขาเอง เอามาเมื่อคืนนี้ ก็บอกแล้วว่าห้องของกันต์พิมุกต์ไม่มีของพวกนี้หรอก
จากนั้นก็ยกลังเสื้อผ้าที่ถูกใส่แล้วออกมานอกห้อง
โทรบอกให้แม่บ้านมารับไปซัก พอจัดการเสร็จอีกคนก็ออกมาจากห้องน้ำพอดี
“เบอร์โทรอะไร?” เขาถามเมื่อกันต์พิมุกต์กินข้าวเสร็จเรียบร้อย
“...”
“อย่าให้ถามซ้ำ” เมื่อมาร์คทำเสียงดุใส่ อีกฝ่ายก็ส่ายหัวช้าๆ
ทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแล้วมองไปรอบๆห้อง บางทีหมอนี่อาจไม่ได้โกหก เพราะขนาดโทรศัพท์ห้องยังไม่เสียบเลย
มือถือก็คงไม่มีจริงๆ
“งั้นค่อยว่ากันทีหลัง
ใช้โทรศัพท์ห้องไปก่อนแล้วกัน” พูดไปก็ต่อโทรศัพท์ห้อง และไม่ลืมที่จดเบอร์ห้องเบอร์มือถือของตนติดเอาไว้ให้ด้วย
“เบอร์ฉันก็ใส่กระเป๋านักเรียนไว้ให้แล้ว
มีอะไรให้ช่วยก็โทรหาแล้วกัน”
“ทำไมต้องยุ่ง?” คำถามจากคนที่นั่งกอดเข่าชิดผนังห้องดังขึ้นทำให้ร่างสูงชะงัก
“ก็ไม่ได้อยากยุ่ง
แต่ฉันทนมองไม่ได้ ถ้ารำคาญฉันก็ทำตัวให้ดีขึ้นสิ
ดูแลตัวเองให้ดีหน่อยฉันจะได้ไม่ยุ่ง”
“ทำไปมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก”
“มันขึ้นอยู่กับว่านายทำเพื่อใครต่างหาก
ถ้าทำเพื่อคนอื่นมันอาจไม่มีอะไรเปลี่ยนถ้าคนๆนั้นไม่มอง
แต่ถ้านายทำเพื่อตัวนายเอง มันเปลี่ยนอยู่แล้ว”
“ไม่เจอกับตัวใครๆก็พูดได้” น้ำเสียงแหบแห้งติดอ่อนแรงหมดกำลังใจ ทำให้มาร์คถึงกับสะอึก
ใช่...คนที่ไม่เคยเจอเรื่องร้ายๆ ย่อมไม่เข้าใจ
ปากก็สอนได้ว่าควรทำอย่างนั้นอย่างนี้
โดยไม่ได้คิดว่าจิตใจของคนเรามันไม่เหมือนกัน แบกรับอะไรได้หนักไม่เท่ากัน
บางทีเรื่องที่เรามองว่าเล็กไร้สาระ มันอาจจะเป็นปัญหาที่เปลี่ยนชีวิตใครบางคนเลยก็ได้
ถ้าไม่เคยเป็นคนที่ใจเคยแหลกสลายอย่าพูดง่ายๆว่าให้เข้มแข็ง...
อย่าพูดง่ายๆว่าเรื่องแค่นี้ไม่เป็นไร...
ถ้าไม่เข้าใจจริงๆก็อย่าพูดมันออกมาเลย...
มาร์คนั่งลงข้างๆโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ในห้องเงียบซะจนได้ยินเสียงร้องไห้อันแผ่วเบาของคนที่กำลังอ่อนแอ
มาร์คไม่รู้เบื้องหลังของอีกฝ่าย
ไม่รู้ว่าอะไรทำให้กันต์พิมุกต์อ่อนแอได้ถึงเพียงนี้ เลยไม่กล้าที่จะพูดอะไร
เขากลัวว่าบางทีคำพูดที่หวังดีจะกลายเป็นมีดกรีดใจของกันต์พิมุกต์ให้เป็นแผลเพิ่ม
“หมับ...” เมื่อพูดออกไปมันอาจจะได้ผลตรงกันข้าม สิ่งที่ดีที่สุดคงเป็นอ้อมกอด
เขาจึงดึงร่างผอมแห้งมากอดเอาไว้
อีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนหากแต่สะอื้นไห้เบาๆ
คนในอ้อมแขนช่างเปราะบางเหมือนแก้วร้าวที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
มาถึงตอนนี้มาร์คไม่เชื่อแล้วว่ากันต์พิมุกต์จะเป็นอย่างที่ทุกคนพูด
เด็กที่อ่อนแอขนาดนี้จะทำร้ายใครก่อนได้ มันต้องมีเหตุผลสิ
เหตุผลที่ทำให้กันต์พิมุกต์ทำร้ายพี่ชาย...
เหตุผลที่ทำให้กันต์พิมุกต์ทำตัวไม่น่าคบหา...
แต่เขาจะไม่ถามหรอก
เขาจะไม่ล้ำเส้นที่กันต์พิมุกต์ขีดขึ้นมา
เขาเลือกที่จะรอหากวันใดวันหนึ่งกันต์พิมุกต์อยากจะลบเส้นพวกนั้นทิ้ง
เขาคงจะได้รู้เหตุผลพวกนั้นเอง
อาทิตย์หนึ่งแล้วที่มาร์คพาตัวเองเข้าไปในชีวิตของกันต์พิมุกต์
หลังจากร้องไห้ในวันนั้นอีกฝ่ายก็ทำตัวเงียบๆ แทบจะไม่พูดอะไรออกมาอีก
แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้ขอคีย์การ์ดคืน ยอมทำตามที่พูดมากขึ้น
มาร์คถือว่านี่เป็นสัญญาณที่ดี
“ได้ข่าวว่าเธอเป็นคนดูแลกันต์พิมุกต์” ผู้อำนวยการโรงเรียนที่กำลังเดินผ่านมาหยุดและพูดขึ้น
“ครับ
มีอะไรที่ผมควรจะรู้ไหมครับผอ.?”
“ไม่มีหรอก แค่สงสัยฉันเหมือนที่คนอื่นสงสัย
แล้วเธอก็ลองหาคำตอบดู” ผู้อำนวยการโรงเรียนพูดด้วยรอยยิ้ม
ท่านกำลังจากออกไป ถ้าไม่ติดว่ามาร์คเอ่ยถามคำถามหนึ่งเสียก่อน
“ผอ.
รู้เบื้องหลังของกันต์พิมุกต์ใช่ไหมครับ?”
“ไม่หรอก
ฉันรู้เท่าๆกับที่พวกเธอรู้”
“แต่ผอ.พูดเหมือนว่ารู้” ดวงตาคมจ้องมองคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าอย่างจับผิด
หากแต่อีกฝ่ายก็ยังยิ้มแบบสบายๆ
“ยืนยันคำตอบเดิมว่ารู้เท่ากับเธอ
แต่ฉันเป็นครูมาค่อนชีวิต ฉันเชื่อว่าเด็กคนนั้นมีบางอย่างที่ต้องค้นหา
ในเมื่อเธอดูแลเขาแล้วก็ช่วยค้นหาหน่อยสิ เจอเมื่อไหร่ก็บอกฉันด้วยแล้วกัน” เมื่อพูดจบผู้อำนวยการโรงเรียนก็เดินจากออกไปจริงๆทิ้งให้มาร์คยืนคิดตามคำพูดพวกนั้น
“ผอ.แม่งจิตว่ะ...ทำอย่างกับนี่เป็นการ์ตูนโคนัน”
“แจ็คสัน! มาร์คกำลังเครียดอยู่นะ” จินยองตำหนิที่แจ็คสันปากไวไม่ดูสถานการณ์
“แล้วเจอปมอะไรบ้างไหมล่ะมาร์ค?
สรุปเด็กนั่นอันตรายไหม?” แจบอมถามขึ้น
เพราะเอาจริงๆ
ตั้งแต่วันที่มาร์คลาหยุดไปก็ถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์พอดี
บวกกับมาร์คเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว จึงไม่ได้เล่าอะไรให้พวกเขาฟังสักเท่าไหร่
“ไม่...เด็กนั่นไม่ได้โรคจิต
ไม่ได้อันตรายเป็นแค่เด็กที่หัวใจสลาย หมดกำลังใจที่จะมีชีวิต”
“แบบนั้นแย่กว่าการเป็นโรคจิตอีกนะ
หมดกำลังใจที่จะมีชีวิต คนแบบนั้นเขาพร้อมที่จะตายทุกเมื่อเลยนะ” จินยองที่มีความอ่อนโยนค่อนข้างสูงรู้สึกใจหาย ในขณะที่แจบอมก็เห็นด้วย
“พาเขามาสิมาร์ค
พวกเราจะได้ช่วยกันดูแล”
“เอ้า! พระเอกยกกลุ่มแต่นางเอกคือซาดาโกะค่ะ
ตกลงกูก็ต้องพระเอก...แม่ง! เซ็ง!” แจ็คสันมีอาการตอบรับค่อนข้างขวางโลก แต่เพื่อนๆในกลุ่มรู้ดีว่าแจ็คสันไม่ใช่คนเลวร้าย
และก็พร้อมที่จะช่วยเหมือนๆกับพวกเขา
“ขอบใจนะที่เชื่อฉัน”
“ก็มึงแม่ง! หล่อ! พูดอะไรใครก็เชื่อ อ๊ะ!? น้องมินซี่จ๋าไปกินข้าวกับพี่แจ็คไหมจ๊ะ?” แจ็คสันแขวะมาร์คตามประสาคนปากไวเหมือนๆเดิม
ก่อนจะดี๊ด๊าเดินตามสาวน่ารักไป ทิ้งให้เพื่อนๆส่ายหัวยิ้มๆกับนิสัยของแจ็คสัน
ความคิดเห็น