คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : EP2 – ก็แค่เด็กมีปัญหา
โรงฆ่าสัตว์อยู่ห่างจากโรงเรียน 4 กิโลเมตร
มาร์คเลือกพากันต์พิมุกต์เดินทางด้วยรถประจำทาง เพราะเขาต้องการสังเกตท่าทางของอีกฝ่าย
เป็นเพราะเลิกเรียนได้เกือบชั่วโมง นักเรียนส่วนใหญ่จึงกลับบ้านกันไปแล้ว
รถประจำทางเลยมีที่ว่างค่อนข้างเยอะ ทั้งคู่เลยมีที่ว่างให้นั่ง
ท่าทางของกันต์พิมุกต์ในตอนนี้นอกจากนั่งเงียบๆแล้วก็ไม่มีท่าทางผิดปกติใดๆ
“เดินเข้าซอยอีกครึ่งกิโล นายไม่มีปัญหาใช่ไหม?” มาร์คถาม เมื่อลงป้ายที่หมาย
“...”
“ไม่ตอบ ฉันถือว่านายไม่มีปัญหาก็แล้วกัน
ตามมาสิ” เมื่ออีกคนเงียบเขาก็ต้องเป็นคนสรุปและตัดสินใจด้วยตัวเอง
เขาเดินนำหน้าเข้าไปในซอย โดยมีคนที่นักเรียนทั้งโรงเรียนหวาดกลัวเดินตามหลัง
ตอนแรกก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาอย่างสม่ำเสมอ
แต่แล้วอยู่ๆมันก็เงียบหายไปดื้อๆ ทำให้ร่างสูงชะงักเท้าแล้วหันกลับไปมอง
“นายเป็นอะไร?” คิ้วเข้มของมาร์คขมวดเข้าหากันทันที เมื่อคนโรคจิตทำเหมือนกำลังหมดแรงอยู่กับพื้น
พอเขาเอ่ยปากถามหมอนั่นก็พยายามลุกขึ้นโดยการใช้กำแพงเป็นที่ยึด
หากแต่...
หมอนั่นพยายามแต่ล้มเหลว
ร่างกายอันน่าขยะแขยงร่วงไปกองกับพื้นอีกครั้ง งานนี้เสื้อนักเรียนขาวๆเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น
ทำเอาดูเหมือนคนจรจัดมากกว่าคนโรคจิตเสียอีก...
“ให้ตายเถอะ
ปากมีขอความช่วยเหลือบ้างก็ได้นะ อย่าทำให้ฉันอุบาทว์ตาสมเพชไปมากกว่านี้เลย” มาร์คทนมองต่อไปไม่ได้จริงๆ เลยต้องยื่นมือไปฉุดหมอนั่นขึ้นมา
“!? นี่นาย?...” ทันทีที่สัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย เขาถึงกับสะดุ้งโหยง
ไม่ใช่ว่าเขาโดนทำร้ายนะ! แต่อุณหภูมินั้นร้อนเกินว่าปกติ
ร้อนซะจนไม่น่าแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายที่ล้มไปกองกับพื้น!
“ปล่อย...” เสียงแหบพร่าเอ่ยออกมา พร้อมขืนตัวออกจากการช่วยเหลือ
“อย่าทำเป็นเก่ง มาฉันจะพาไปหาหมอ” ร่างสูงไม่ปล่อย หนำซ้ำยังพยุงออกมาจากซอยด้วย อันที่จริงเขาไม่ใช่คนดีศรีสังคม
แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนแล้งน้ำใจ ดังนั้นเขาจึงปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่ได้
มาร์คพากันต์พิมุกต์มาที่คลินิก หมอก็พาเข้าไปตรวจด้านใน
ทิ้งให้เขาเฝ้ากระเป๋าแล้วนั่งรออยู่ด้านนอก
“กระเป๋า...” อยู่ๆความคิดหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัว ก่อนกระเป๋าของอีกคนจะถูกเปิดออก
ไม่มีอะไรนอกจากหนังสือเล่มหนาๆหนึ่งเล่ม ซึ่งเป็นภาษาที่เขาไม่คุ้นเคย กล่องดินสอ
กระเป๋าเงินและคีย์การ์ดห้อง
มือแกร่งกำลังจะเปิดกระเป๋าเงินออก แต่ติดที่ว่า...
“ญาติคนไข้
เชิญเข้ามาฟังอาการด้วยค่ะ” พยาบาลประจำคลินิกเรียกให้เขาเข้าไปด้านใน
ทำให้กระเป๋าเงินที่กำลังจะถูกเปิดออกถูกปิดลงแล้วเก็บมันกลับไปในที่ที่มันเคยอยู่
“รุ่นน้องของผมเป็นไงบ้างครับหมอ?”
“ไข้ขึ้นสูงนะครับ หมอฉีดยาให้แล้ว
ให้น้ำเกลืออีกชั่วโมงก็กลับบ้านได้ ส่วนยาหมอจะสั่งยาลดไข้ แก้เจ็บคอ
แก้ไอแล้วก็ยาบำรุงร่างกายให้นะครับ” จากอาการที่หมอบอก
ทำให้มาร์คเริ่มเข้าใจว่าที่กันต์พิมุกต์มีเสียงแหบพร่าน่ากลัว ไม่ได้เพราะเป็นลักษณะบุคลิกจริงๆ
แต่เป็นเพราะว่าป่วยอยู่จึงทำให้เสียงเป็นแบบนั้น
ช่างน่าขันเสียจริงที่ยองแจกลัวเสียงของหมอนี่จนจิตตกขนาดนั้น
“ขอบคุณครับหมอ”
“ครับ
ว่าแต่ยังไงหมออยากให้ช่วยดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดด้วยนะครับ
คนไข้ขาดสารอาหารและน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ไปเยอะมาก
หมอกลัวว่าถ้าไม่ดูแลจะเป็นหนักเอาได้นะครับ” คำพูดเหล่านั้น
ทำให้ดวงตาคมทอดมองไปยังคนที่นอนหลับพักอยู่บนเตียง จะว่าไปหมอนี่ผอมมาก
มือที่จับพยุงพามาที่คลินิกนั้นแห้งเล็กมากกว่าพวกผู้หญิงที่เขาเคยสัมผัสมาเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้น เขาแทบจะไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของตัวเลยด้วยซ้ำ
ไม่รู้ว่าวันๆได้กินข้าวบ้างหรือเปล่า
แต่ก็แปลกนะที่คนเกือบทั้งโรงเรียนดันกลัวคนที่มีแต่กระดูกอย่างหมอนี่
“ผมจะช่วยดูให้ครับ” มาร์ครับปากออกไป บางทีรับปากไปอาจจะทำให้ได้ใกล้ชิดมากขึ้น แผนการอาจจะดำเนินได้ไวกว่าเดิม
งานนี้ก็อาจจะจบเร็วกว่าที่คิดก็ได้
หลังจากให้น้ำเกลือเสร็จ ทั้งคู่ก็กลับมาที่คอนโด
มาร์คพากันต์พิมุกต์ขึ้นมาส่งที่ห้อง บอกตามตรงสภาพของห้องทำเอาเขาถึงกับใจหาย
ไม่มีอะไรนอกจากลังและข้าวของระเกะระกะ
ห้องนอนมีแค่ผ้าห่มผืนเดียว อย่าว่าแต่เตียงเลย หมอนก็ยังไม่มี
ไม่รู้ว่าหมอนี่ใช้ชีวิตยังไงกันแน่จะว่าไปอายุก็แค่สิบหก มันทำให้อดถามไม่ได้ว่าคนเป็นพ่อแม่ละเลยกันเกินไปหรือไม่?
“นายอยู่ได้ไหม?”
“....”
“นายมีอะไรกินไหม? อย่าลืมนายมียาก่อนกินข้าวและหลังกินข้าว นายอดไม่ได้นะ”
ทุกคำถามที่ถามออกไปมีเพียงความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น
ทำให้มาร์คถือวิสาสะเดินไปทางห้องครัว
แน่นอนว่าพอเห็นห้องครัวก็ต้องส่ายหัว!
สรุปห้องนี้มันไม่มีอะไรเลย!
เป็นแค่ห้องชุดที่มีแค่พื้นไม้โล่งๆกับห้องน้ำ
เฟอร์นิเจอร์สักชิ้นก็ไม่มี ที่ห้องครัวอย่าว่าแต่อ่างล้างจานเลย
โต๊ะสักตัวก็ไม่มี!
เขามองลังบะหมี่สำเร็จรูปและขวดน้ำเปล่า แล้วถอดหายใจเฮือกยาว
ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาแล้วเดินกลับไปหากันต์พิมุกต์ที่ห้องนอน
“นี่ใช่ไหมสาเหตุที่ทำให้นายขาดสารอาหารจนผอมขนาดนี้
นายกินแต่ไอ้นี่ใช่ไหม? และถ้าให้เดานายก็คงกินมันดิบๆด้วยไม่ต้มเลยล่ะสิ
ถามจริงๆเถอะกันต์พิมุกต์นายอยู่ได้ยังไงกัน?” ความจริงเขาไม่ใช่คนจุ้นจ้านเรื่องชาวบ้าน
แต่แบบนี้ไม่ชอบใจจริงๆ ไม่ชอบใจจนพูดเชิงประชดออกไปเป็นชุดแบบนั้น
“อย่ายุ่ง” คนที่เอาผ้าห่มคลุมตัว แล้วนั่งซุกอยู่ตรงมุมห้องพูดตอกกลับมาสั้นๆ
บอกตามตรงมาร์คไม่พอใจกับท่าทางก้าวร้าวแบบนี้!
“ฉันจะยุ่ง! ตอนนี้ฉันคือคนดูแลนาย ถ้าไม่อยากให้ฉันยุ่งก็รีบหายป่วยซะ
ที่หล่นอยู่เนี่ยคีย์การ์ดสำรองใช่ไหม? ฉันเอา..”
“ไม่ให้!”
“จะเอา! ฉันจะเก็บมันเอาไว้จนกว่านายจะหาย รออยู่นี่จะไปซื้อข้าวมาให้
แล้วไม่ต้องทำตัวโรคจิตมองฉันแปลกๆด้วย สภาพนายน่ะ ฉันผลักทีเดียวก็ลุกไม่ขึ้นแล้ว
อย่าคิดว่าฉันจะกลัวนาย
แล้วก็อย่าลืมขอบคุณในความเมตตาของฉันที่ช่วยดูแลนายขนาดนี้” ร่างสูงทิ้งท้ายแล้วเดินออกไปจากห้อง ไม่สนใจว่าไอ้โรคจิตนั้นจะอกแตกตายเพราะคำพูด
และการกระทำของเขาหรือไม่
ราวๆครึ่งชั่วโมง เขาก็กลับมาที่ห้องของกันต์พิมุกต์
พร้อมกับโจ๊กร้อนๆ และที่สำคัญไม่ลืมแวะหยิบหมอนและผ้าห่มมาจากห้องของตนเองมาด้วย
เขาคิดได้ว่าบางทีที่หมอนี่ป่วยอาจเป็นเพราะมีผ้าห่มบางๆเพียงผืนเดียว
ดังนั้นมันคงดี หากเขาจะสละผ้าห่มผืนหนาๆและหมอนนุ่มๆให้สักใบ
อย่างน้อยมันก็ทำให้อุ่นและนอนหลับสบายขึ้น
เขาถือวิสาสะเข้ามาให้ห้องนี้โดยไม่เคาะ
ไม่เรียกผู้เป็นเจ้าของ เมื่อพาตัวเองเข้ามาอยู่ด้านในแล้ว เขาเดินตรงไปยังห้องนอนหมายเรียกให้อีกฝ่ายมากินยาและอาหาร
“ฮึก...คุณแม่...แม่ครับ...”
ดูเหมือนว่าพิษไข้จะทำให้หมอนั่นละเมอเพ้อออกมา
เอาจริงๆมันเป็นภาษาแปลกๆ เขาฟังไม่รู้เรื่อง
แต่น้ำเสียงของคนที่เพ้อออกมานั้นกำลังสะอื้นด้วย
ถึงมันจะแหบพร่าแต่ก็สะท้อนจิตใจของผู้เป็นเจ้าของ…
โศกเศร้า...
โดดเดี่ยว...
เหมือนกำลังแตกสลาย...
ร่างผอมแห้งขดอยู่ในผ้าห่ม แล้วนั่งซุกตรงมุมห้องข้างลังเสื้อผ้า
เหมือนกับเด็กที่แอบหนีพ่อแม่มาแอบหลับ ทำเอาร่างสูงที่มองอยู่มีแววตาที่อ่อนลง
เขาเคยอ่านหนังสือเจอว่าอาการซุกตัวในผ้าห่ม
ชอบเข้าไปอยู่ในที่แคบ เป็นอาการของผู้มีความรู้สึกหวาดกลัวต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และต้องการความปลอดภัย
คิดว่าที่แคบๆคือที่ปลอดภัย
หรือบางทีอาจจะกำลังจินตนาการว่าที่แคบๆนั้นเป็นอ้อมกอดของใครคนใดคนหนึ่งที่กำลังปกป้องตนเองอยู่ก็ได้
แม้จะมีหมอนมาด้วยแต่มาร์คไม่กล้าดึงหรือเปลี่ยนท่านอนให้
เขาทำเพียงห่มผ้าเพิ่มให้อีกผืน แล้วถอยห่างออกมาอย่างเงียบเชียบ
มาร์คตัดสินใจให้กันต์พิมุกต์นอนหลับอีกสักชั่วโมง
แล้วค่อยปลุกให้ตื่นขึ้นมากินข้าวกินยา ในระหว่างที่รอก็จัดของให้เข้าที่เข้าทาง และทำความสะอาดปัดกวาดฝุ่นให้สะอาด
พอมาถึงตอนนี้แล้วมาร์ครู้สึกว่าห้องนี้ไม่ได้เป็นที่อยู่ของไอ้โรคจิตน่ากลัว
แต่เป็นที่อยู่ของเด็กมีปัญหา ถูกทิ้งขว้างขาดความเอาใจใส่ต่างหาก
เด็กก็เหมือนผ้าขาวจะสะอาดบริสุทธิ์ หรือเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนหรือไม่
พ่อแม่ผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดูเป็นผู้กำหนด
สำหรับกันต์พิมุกต์ เท่าที่เห็นบางทีคนเป็นพ่อแม่อาจจะไม่ได้กำหนดอะไรเลย
หมอนี่ถึงได้ดูเหมือนล้มลุกคลุกคลานจนอ่อนแรงขนาดนี้...
เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ มาร์คก็ปลุกคนป่วยให้ตื่นขึ้นมากินยากินข้าว
ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตามอย่างว่าง่ายไม่มีขัดขืนหรือแผลงฤทธิ์อะไรใส่อย่างที่มาร์คแอบนึกกลัว
“นี่เบอร์โทรของฉัน
ถ้ามีอะไรก็เรียก แล้วก็พรุ่งนี้ฉันต้องไปช่วยแจบอมตรวจระเบียบเครื่องแบบ ออกแต่เช้าไม่ได้มาดูนาย
นายจัดการตัวเองได้ใช่ไหม?”
“....” เงียบก็ยังคงเป็นคำตอบเดียวที่ได้มาเหมือนเดิม
ทำให้ร่างสูงถอนหายใจเฮือกยาวอีกที
“สรุปว่าได้ นอนพักเยอะๆแล้วกัน
ผ้าห่มกับหมอนนั่นฉันให้ใช้ซะ ไปล่ะ” เขาต้องเป็นคนสรุปทุกอย่างเอง
จากนั้นก็คว้าถุงขยะออกมาจากห้อง
ดวงตาคมมองประตูห้องอีกครั้งก่อนจะเดินไปที่ลิฟท์
อดคิดไม่ได้ว่าขนาดคนอย่างเขายังทนนิ่งดูดายไม่ได้
พ่อแม่ของเด็กนี่ช่างใจดำเสียจริงที่ปล่อยให้ลูกมีสภาพแบบนี้
ทำไมไม่เหลียวแล?...
ทำไมไม่หันกลับมามอง?...
ทำไมไม่เอ็นดูเมตตา?...
กันต์พิมุกต์มีความผิดมากเลยหรือ ถึงได้ปล่อยให้หายใจไปวันๆอย่างโดดเดี่ยวแบบนี้
“มาร์คเมื่อวานเป็นไงบ้าง
ทำไมกูโทรไปมึงไม่ยอมเล่าอะไรเลยวะ?” แจ็คสันพุ่งปรี่เข้าหาทันทีที่มาร์คปรากฏตัวขึ้น
เขาอยากรู้ใจจะขาดว่าไอ้โรคจิตนั่นมันทำอะไรแปลกๆบ้างไหม
“ก็ไม่เป็นไง”
“ไม่เป็นไงได้ยังไง
ไอ้นั้นมันโรคจิตนะโว้ย!”
“แค่เด็กมีปัญหามากกว่า” มาร์คพูดออกไปตรงๆอย่างที่ตนเห็น แจบอมกับจินยองมองหน้าปรึกษากัน ผิดกับแจ็คสันที่ไม่เห็นด้วย
“แค่เด็กมีปัญหา มันคงไม่เอาปากกาแทงตาพี่มันหรอก
มึงไปตกหลุมพรางน่าสงสารของมันเข้าหรือไง ถึงได้มองมันดีขึ้นแบบนี้”
“แจ็คสัน!”
“กูพูดจริง! แม่ง! มึงอย่าลืมสิมันจะตัดนิ้วกูเชียวนะ!” ประธานชมรมฟันดาบเริ่มหยาบคายขึ้น เมื่อโดนมาร์คเสียงดังใส่ เขารู้สึกว่าเพื่อนกำลังเสียรู้ไอ้โรคจิตนั่น!
“กูไม่ลืม! และก็ไม่ได้ลืมด้วยว่ามึงไปกร่างใส่มันก่อน! เอาเถอะจะโรคจิตหรือไม่โรคจิตกูคอยดูเอง
กูจะหาหลักฐานให้ ถ้ามันโรคจิตเราก็เขี่ยมันไป แต่ถ้ามันเป็นแค่เด็กมีปัญหา
เราก็ต้องช่วยมัน หรือมึงจะใจแคบนิ่งดูดายห๊ะแจ็คสัน?”
“ตกลงมาร์คจะเอาแบบที่ว่ามาใช่ไหม?” จินยองถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“อืม
ฉันไม่อยากกลายเป็นคนที่ร่วมทำร้ายเด็กนั่น เพราะถ้าเด็กนั่นไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนตัดสิน
คิดกันบ้างไหมว่าเรากำลังฆ่าคนๆหนึ่งให้ตายทั้งเป็นอยู่?”
“....” งานนี้ทุกคนถึงกับเงียบ
จริงอย่างที่มาร์คพูด ถ้าทั้งหมดที่ไอ้โรคจิตเป็นมันเกิดจากการเป็นฝ่ายถูกกระทำ
ที่พวกเขาคิดจะไล่เด็กนั่นไปก็เท่ากับเป็นการร่วมมือกันฆ่าเด็กนั่น!
ฆ่าให้ตายทั้งๆที่ยังหายใจ...
ความคิดเห็น