ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : กำเนิดดวงตายมทูต ตอนที่ 2
ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้ผมแตกต่างออกไป ผมไม่ใช่เด็กบ้านแตกสาแหรกขาดคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ผมสาวเท้าเดินผ่านประตูรั้วโรงเรียนอย่างเต็มภาคภูมิ อาจารย์นลินี จะต้องภูมิใจในตัวผม ที่นี่เปลี่ยนไปมาก ตึกสูงสี่ชั้นผุดขึ้นเรียงรายจำนวนหลายตึก แทนที่ต้นไม้และสวนดอกไม้ที่ผมคุ้นเคยในอดีต
ทางเดินมีหลังคากันแดดตลอดทางรถตำรวจวิ่งผ่านผมไปและจอดหน้าตึกที่ผมกำลังมุ่งหน้าไป ผมออกจะแปลกใจเล็กน้อยกับลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน และแล้วผมก็สลัดมันทิ้งไป ผมไม่ค่อยเชื่อถือเรื่องโชคลาง หรือลางสังหรณ์ต่างๆ แม้ว่าบ้างครั้งจะพบว่า มักจะมีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ
ไม่นานผมก็มาถึงจุดหมาย ตำรวจสองนายที่มาถึงก่อนผม เดินหายเข้าไปในห้องด้านขวา ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนเป็นห้องพักครู แต่ตอนนี้ผมไม่แน่ใจแล้ว ดูอย่างห้องทางด้านซ้ายสิ ที่เคยเป็นห้องฝ่ายปกครอง ตอนนี้ก็มีป้ายประชาสัมพันธ์ติดแทน
ผมตัดสินใจเคาะประตูห้องประชาสัมพันธ์ก่อนถือวิสาสะเปิดเข้าไป
"ติดต่อเรื่องอะไรคะ"
ในห้องมีผู้หญิงลักษณะท่าทางน่าจะอายุไล่เลี่ยหรืออายุน้อยกว่าผมเล็กน้อยอยู่สองคน ท่าทางตื่นๆ หรือจะว่าไปออกจะผวาเมื่อเห็นผมถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามา
"ขอโทษที่รบกวนครับ ผมมาพบอาจารย์นลินี ไม่ทราบว่าจะพบอาจารย์ได้ที่ห้องไหนครับ"
ทั้งสองสาวนิ่งเงียบ และมองสบตากันอยู่นานก่อนหนึ่งในนั้นจะเอ่ยปากทักทายผม
"ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับอาจารย์หรือคะ"
"ผมเป็นศิษย์เก่าที่นี่ครับ ไปเรียนต่อต่างประเทศเสียนานเพิ่งกลับมา ตั้งใจว่าจะมาเยี่ยมเยียนอาจารย์น่ะครับ"
สองสาวไม่ได้ให้คำตอบผม แต่กลับเชื้อเชิญให้ผมเดินตามเธอออกจากห้อง ไปยังห้องที่ผมเห็นตำรวจสองนายเข้าไป
ในห้อง นอกจากตำรวจสองนายที่ผมเห็นก่อนหน้านี้แล้ว ยังมีผู้ชายวัยกลางคนสวมสูทสีน้ำตาลผูกเนคไทสีน้ำเงินลายขาวนั่งอยู่บนโซฟาเยื้องกับตำรวจสองนาย และถัดไปเป็นชายเตี้ยล่ำศีรษะค่อนข้างล้านในชุดกีฬาขาสั้นที่ยืนกอดอกอยู่เบื้องหลังอีกหนึ่งคน ทั้งหมดจ้องมองมาที่ผม และประชาสัมพันธ์สาวที่พาผมเข้ามา
"มีอะไร"
คนในสูทสีน้ำตาลเอ่ยถามขึ้นมา
"คุณคนนี้มาขอพบอาจารย์นลินีค่ะ"
"ไม่ทราบว่าคุณคือ?"
"สวัสดีครับ ผม นที ครับ ผมเคยเป็นศิษย์เก่าที่นี่ แค่จะมาเยี่ยมเยียนอาจารย์เท่านั้นแหละครับ"
ทั้งห้องเงียบไปชั่วขณะ จนผมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามทำลายบรรยากาศอันตึงเครียดเสียเอง
"ไม่ทราบว่า มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ"
"เอ่อ คืออย่างนี้นะ คุณ? นทีใช่ไหม? อาจารย์นลินีเสียแล้วครับ ผมเสียใจด้วย"
สันหลังผมเย็นวาบ เป็นอีกครั้งที่หูของผมอื้ออึง ตาพร่าลายไปหมด
"เมื่อไหร่ครับ"
ผมกัดฟันถามออกไป ท่าทางร้อนรนของชายในชุดสูทสีน้ำตาล ทำให้ผมเริ่มมั่นใจกับลางสังหรณ์ของผม ว่าจะต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่
"เมื่อคืนครับ"
ตำรวจนายหนึ่งหันมาบอกกับผม
"ไม่ทราบว่าคุณมีความสัมพันธ์กับผู้ตายยังไงครับ"
"ผมเคยอาศัยอยู่กับอาจารย์นลินีก่อนจะสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศเมื่อหลายปีก่อน"
ตำรวจนายนั้นพยักหน้าก่อนจะหันกลับไปกล่าวขอตัวกับชายในชุดสูทสีน้ำตาล
"ผมขอตัวไป ขอสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม แล้วยังไงอาจต้องรบกวนไปให้ปากคำที่สน.อีกทีนะครับ"
"ที่จริงแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ"
ชายชุดสูทน้ำตาลขยับเนคไทให้คลายออก
"คือว่า คุณนที ผมเห็นว่าอาจารย์นลินีไม่เข้าสอนและไม่ได้แจ้งใครไว้ ผมเลยวานให้อาจารย์ดนัยไปดูให้"
ชายในชุดสูทสีน้ำตาลหันไปพยักหน้าให้ชายในชุดกีฬาเป็นผู้เล่าต่อ
"คือ ผมไม่มีชั่วโมงสอนเลยเป็นหน้าที่ผมที่ต้องไปดูให้ ผมไปบ้านพักอาจารย์ราวๆ เก้าโมงเช้า ยืนเรียกอยู่พักใหญ่ ก็ไม่มีใครตอบกลับ ผมลองขยับลูกบิดประตูก็เห็นว่าไม่ได้ล็อค ก็เลยถือวิสาสะเปิดเข้าไป ก็พบว่าอาจารย์เสียชีวิตแล้ว"
ผมนั่งฟังด้วยท่าทีที่สงบกว่าที่ควรเป็น ทั้งที่ในใจเริ่มร้อนระอุ อุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศ ไม่ทำให้อุณหภูมิในตัวผมเย็นลงได้ ผมรู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่ดูจะอึดอัดจนผมอยากจะทึ้งมันออกจากร่างกาย
"แล้ว สาเหตุการเสียชีวิตละครับ"
"เรายังไม่ทราบแน่ชัดนัก"
ตำรวจที่ยังนั่งอยู่อีกนายเป็นผู้ตอบ
"แสดงว่า ไม่ใช่สาเหตุธรรมดาสินะครับ"
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ เพราะที่เกิดเหตุ มีร่องรอยการต่อสู้ ตำรวจจึงสันนิษฐานว่าเป็นคดีฆาตกรรม"
"แล้วได้ผู้ต้องสงสัยบ้างหรือยังครับ"
"ก็ ยังครับ"
"ถ้าอย่างนั้น ผมขอดูที่เกิดเหตุได้มั้ยครับ"
"ผมคิดว่าจะไม่เป็นผลดีต่อรูปคดี ควรจะรอให้กองพิสูจน์หลักฐานทำงานให้เรียบร้อยก่อนจะดีกว่านะครับ"
"อาจารย์มีพระคุณต่อผมมาก ผมเองก็อยากทราบว่าใครทำร้ายอาจารย์ได้ลงคอ อย่างน้อยความรู้ที่ผมเรียนมาอาจเป็นประโยชน์ในการช่วยสืบหาเบาะแสก็ได้นะครับ"
ผมพยายามเสนอตัว แต่ใจจริงผมอยากจะรู้ว่าใครทำร้ายอาจารย์ของผมมากกว่าที่อยากจะช่วยตำรวจ
"ไม่ทราบว่าคุณ เป็นนักสืบหรือครับ"
"เปล่าครับ ผมเป็นจิตแพทย์"
เป็นอีกครั้งที่ผมถูกมองด้วยสายตา ราวกับผมเป็นตัวประหลาด หรือพวกเขาได้ยินคำพูดที่น่าตลกที่สุดในโลก ผมต้องสะกดกลั้นโทสะที่เริ่มปะทุขึ้นอย่างอยากลำบาก
"คือ สำหรับที่นี่คุณอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องแปลก ที่จิตแพทย์จะสามารถบ่งชี้เบาะแสคนร้ายได้อย่างไร แต่ที่อเมริกา ผมเคยชี้เบาะแสคนร้ายให้กับเอฟบีไอ จากการคาดคะเนพฤติกรรมของฆาตกร นำไปสู่สภาวะทางจิต สภาวะสังคม ครอบครัว หน้าที่การงาน จนกระทั่งบุคลิกลักษณะ จากการตรวจสอบหลักฐานในที่เกิดเหตุ"
"เรื่องนั้นผมเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ถ้าคุณหมอยืนยันอยากจะไปดูสถานที่เกิดเหตุ ผมจะพาเข้าไปก็ได้ ขอตัวก่อนครับ"
ร้อยตำรวจตรีมั่นคง ลักษณาวรรณ หันไปกล่าวขอตัวกับบุคคลที่เหลือในห้อง ก่อนจะเชื้อเชิญผมให้ก้าวตามออกไป
"คุณทำงานกับซีไอเอหรือครับ"
ร้อยตำรวจหนุ่มเอ่ยชวนผมคุยในขณะที่กำลังเดินเคียงข้างกันตรงไปยังบ้านที่เคยแสนอบอุ่นของอาจารย์นลินี
"อันที่จริง หลักๆ แล้วผมทำงานในโรงพยาบาลใช้หนี้ทุนค่าเล่าเรียนน่ะครับ แต่เรื่องช่วยงานเอฟบีไอ มันเป็นเหตุบังเอิญ"
"แล้วนี่คุณตั้งใจกลับมาเยี่ยมผู้ตายเท่านั้นหรือครับ"
"เปล่าครับ ผมตั้งใจว่าจะกลับมาเปิดคลีนิคที่ประเทศไทย และจะกลับมาดูแลอาจารย์ด้วย"
"ถ้าเช่นนั้น เสียใจด้วยนะครับ หากอาจารย์ของคุณยังอยู่คงจะภูมิใจในตัวคุณมาก ที่คุณประสบความสำเร็จขนาดนั้นแล้วยังไม่ลืมท่าน"
"ครับ ผมเองก็เสียใจที่กลับมาช้าไป ถ้าผมกลับมาเร็วกว่านี้เพียงแค่วันเดียวก็คง.."
"อย่าคิดมากเลยครับ ไม่มีใครรู้อะไรล่วงหน้าหรอกครับ แล้วเราก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ด้วย"
ดวงตาผมชื้นไปด้วยน้ำที่เอ่อออกมา ก่อนผมจะกลืนความรู้สึกกลับเข้าไปยังก้นบึ้งของหัวใจ รู้สึกเจ็บปวดปลาบแปลบกับคำพูดของร้อยตำรวจหนุ่มที่ช่างใกล้เคียงกับคำพูดพร่ำสอนของอาจารย์นัก
ในบ้านพักที่เก่าจนมองสีเดิมแทบไม่ออกนั้นยังคงสภาพไม่ต่างจากตอนที่ผมจากไป ภายในบ้าน ข้าวของเครื่องใช้ตลอดจนเครื่องเรือนยังคงมีจำนวนชิ้นที่เท่าเดิม
"ระวังอย่าเหยียบอะไรที่เป็นการทำลายหลักฐานเข้าล่ะคุณหมอ"
"ครับ ผมจะระวัง"
เจ้าหน้าที่ประมาณสอง-สามคน กำลังก้มๆ เงยๆ เก็บหลักฐานและถ่ายรูปอยู่
"ได้ร่องรอยอะไรที่สำคัญๆ บ้าง"
"เสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศ ที่ลำคอมีรอยเขียวคล้ำโดยรอบ ยังไม่ทราบอาวุธที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าเป็นเชือกซึ่งคนร้ายคงนำติดตัวออกไปทิ้งที่อื่น พบรอยคล้ายเลือดสองสามจุดทั้งๆ ที่ศพไม่มีบาดแผล คาดว่าอาจเป็นของคนร้ายต้องรอผลจากแล็ป"
"ได้รอยนิ้วมือคนร้ายมั้ย"
เพื่อนร่วมทางระยะสั้นๆ ของผมแยกตัวออกไปร่วมหาเบาะแสกับเจ้าหน้าที่เก็บหลักฐาน
"ไม่พบรอยนิ้วมือคนอื่นนอกจากรอยนิ้วมือของผู้ตายเลยครับ"
"สอบปากคำอาจารย์ที่อยู่บ้านพักหลังอื่นหรือยัง"
"สอบปากคำแล้วครับ ทุกคนให้การว่าส่วนใหญ่เข้านอนแต่หัวค่ำ และก็ไม่พบผู้ต้องสงสัย รวมทั้งยืนยันว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยครับ"
ผมนั่งลงบนโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กๆ ติดหน้าต่างข้างซ้ายของตัวบ้าน ที่ครั้งหนึ่งผมเคยใช้อ่านหนังสือ และยกเท้าวางบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ที่ตอนนี้เล็กเกินกว่าผมจะนั่งได้อีกแล้ว ผมควักสมุดพกเล่มเล็กๆ และปากกาออกมาจากระเป๋าเสื้อ ก่อนกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง
ผมเริ่มตัดสัมผัสรอบข้างที่ไม่เกี่ยวข้องออกทีละนิด สอดส่ายสายตาไล่วิเคราะห์ทีละจุด เริ่มจากประตูทางเข้าและหน้าต่างแต่ละบ้าน ที่ไร้ร่องรอยการงัดแงะ เครื่องเรือน
และอุปกรณ์การใช้ ไม่มีร่องรอยการหยิบจับ รื้อค้น ผมลดสายตามองพื้นที่มีเศษข้าวของกระจัดกระจายอันน่าจะร่วงลงมาจากโต๊ะข้างโซฟาสีฟ้า มีนิตยสารสองสามเล่ม หนังสือพิมพ์
และกรอบรูปอาจารย์สมัยยังสาวนอนแอ้งแม้งอยู่ ข้าวของที่ร่วงหล่นกระจายอยู่โดยรอบวงสีขาวที่เขียนรอบศพผู้ตายก่อนย้ายศพออกไป ยกเว้นรีโมททีวีที่ไม่ได้อยู่ในที่ๆ มันควรอยู่
ภาพเจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานสอง-สามคนที่เดินขวักไขว่เริ่มเลือนหายไป ข้าวของที่ตกกระจัดกระจายกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แสงแดดลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาให้ความอบอุ่นแก่ห้องอีกครั้ง
ภาพอาจารย์เดินลงบันไดมา ปฏิบัติภารกิจส่วนตัวยามเช้า เริ่มแจ่มชัดขึ้นในมโนสำนึกของผม อาจารย์มักจะเริ่มมื้อเช้าด้วยกาแฟ บนโซฟาหน้าทีวี เพื่อชมข่าวสารตอนเช้า ก่อนที่จะล้างหน้าแปรงฟัน และไปรับประทานอาหารเช้าในห้องพักครูกับเพื่อนร่วมงาน
ขอบตาของเขาเริ่มร้อนผ่าว ในมโนภาพความทรงจำเกี่ยวกับอาจารย์นลินีผู้มีพระคุณยังแจ่มชัดเสมอมา บนโซฟาตัวนั้นกับกลิ่นกาแฟหอมกรุ่น
"ตื่นแล้วหรือ นที เช้านี้เธออยากกินอะไร อาจารย์จะทำให้"
"อย่าดีกว่าครับ ผมทำให้อาจารย์บ้างดีกว่า น้ำเดือดแล้วนะครับ เดี๋ยวผมชงกาแฟมาให้"
"วันนี้เธอจะอ่านหนังสืออยู่บ้านหรือจะไปห้องสมุดพร้อมอาจารย์"
"ผมว่าจะทำงานบ้านก่อนครับ เดี๋ยวตามไปทีหลัง"
"เธอไม่ต้องทำทุกอย่างหรอกนะ นที ไปอ่านหนังสือให้เต็มที่เถอะ เดี๋ยวจะเหนื่อยเกินไป ทิ้งไว้ตอนเย็นอาจารย์จะกลับมาทำเอง"
"หมอ"
"ไม่เป็นไรครับ ผมอ่านทันอยู่แล้ว"
"คุณนทีครับ"
ภาพความทรงจำดับวูบไป ผมกระพริบตาหลายครั้ง และเริ่มเรียบเรียงลำดับความทรงจำให้เข้าที่เข้าทาง ร้อยตำรวจตรีมั่นคงยืนอยู่ข้างหน้าผม
"หมอเป็นอะไรหรือเปล่าครับ"
"ผมไม่เป็นไร"
ผมสบตากับเขาเมื่อสติกลับมาครบถ้วนและเป็นฝ่ายเอ่ยถามความคืบหน้าจากเขาก่อน
"ได้อะไรเพิ่มเติมบ้างครับ"
"นอกจาก หลักฐานเท่าที่เห็นก็ไม่ได้อะไรมาก ต้องรอผลจากหลักฐานที่ส่งไปห้องแล็ปอีกที"
"ว่าแต่หมอเถอะ ผมเห็นเหม่อพักใหญ่แล้ว หลักฐานแค่นี้คงช่วยให้หมอสันนิษฐานอะไรไม่ได้หรอกมั้งครับ เพราะทางตำรวจเองก็ยังมืดแปดด้านเลย เพื่อนบ้านไม่มีใครรู้เห็น อาจารย์ประวัติดี ไม่เคยมีศัตรู บ้านพักไม่มีร่องรอยงัดแงะ สิ่งของมีค่าไม่มีการถูกแตะต้อง ภารโรงและยามก็ให้การว่าไม่พบผู้ต้องสงสัยหลังปิดโรงเรียน อาจารย์คนอื่นๆ ที่พักบ้านพักของโรงเรียน ก็อยู่แต่ในบ้าน"
"ไม่ทราบว่าได้เวลาเสียชีวิตที่แน่นอนหรือยังครับ"
"อ่อ ยังครับ แต่สันนิษฐานได้คร่าวๆ ว่าราวๆ ห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง"
"คุณตำรวจ คนแบบไหนที่จะเคาะประตูเรียกคุณตอนห้าทุ่ม"
"แน่นอน ถ้าไม่ใช่ญาติ ก็คงจะลูกน้องผม หมอคงจะสงสัยว่าฆาตกรรู้จักกับอาจารย์เป็นอย่างดีสินะครับ อาจเป็นคนรู้จักคนใดคนหนึ่งที่แวะเวียนมาเป็นประจำจนไม่น่าสงสัย"
"ไม่เชิงครับ ผมคาดคะเนว่า คนๆ นั้น รู้จักกับอาจารย์แต่ไม่น่าจะสนิทถึงขนาดแวะมาเป็นประจำ"
"ทำไมละครับ"
"ในครัวมีแก้วกาแฟกับแก้วน้ำอย่างละใบ ซึ่งเป็นของที่อาจารย์ใช้ประจำตั้งแต่ผมยังอยู่"
ผมรู้ว่าแท้จริงแล้วตำรวจคงจะไม่ได้คาดหวังอะไรกับการสันนิษฐานของผมนัก แต่ผมก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยปล่อยให้เวลาผ่านไปเปล่าๆ แล้วเรื่องราวถูกกลืนหายไปกับเวลาได้
"คุณตำรวจคุณอาจจะไม่เชื่อในวิธีของผมเพราะคุณเองมีวิธีของคุณ แต่ผมก็อยากจะขอกล่าวอะไรกับคุณสักเล็กน้อย เผื่อจะช่วยให้ได้อะไรมากขึ้น สิ่งที่ผม.. ขอเรียกว่าคาดคะเนก็แล้วกันนะครับ คนร้ายคาดว่าจะรู้จัก แต่ไม่ถึงขั้นสนิท ถ้าเป็นคุณ มีแขกมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่คุณจะทำหลังจากเชิญแขกนั่งแล้ว คุณจะทำอะไร"
"ไม่รู้สิ ผมคงหาน้ำหาท่าให้กินละมั้ง"
"ใช่ แต่แขกผู้มาเยือนคนนี้ไม่ได้รับการบริการนั้น"
"ก็คงจะถูกทำร้ายก่อนที่จะทันได้ไปรินน้ำ"
"ไม่หรอกคุณตำรวจ ตู้เย็นอยู่ทางนั้น คนละทางกับที่อาจารย์หันหน้าไป เพราะคนร้ายต้องเข้าประชิดตัวจากข้างหลังและค่อยๆ ล้มลงตรงนี้ มันคืออะไรกัน"
ผมเก็บสมุดพกไว้ในกระเป๋าเสื้อ และลุกขึ้นยืน ล้วงมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เหม่อมองไปทิศทางที่อาจารย์มองไป
"อะไร?"
"ก็ อะไรล่ะ ที่อาจารย์จะไปหยิบ"
ผมหันมาสบตากับร้อยตำรวจหนุ่ม
"อะไร ที่รีบไปหยิบ รีบจนไม่สนใจจะเสริฟน้ำ"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น