ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : กำเนิดดวงตายมทูต ตอนที่ 1
ผมเคยสงสัยอยู่เสมอว่า "ผมเกิดมาทำไม" ในวันที่ผมเกิด แม่ก็ตายก่อนที่จะได้เห็นหน้าผมเสียอีก ยายเล่าว่าหมอพยายามยื้อชีวิตแม่ที่ถูกพ่อทำร้ายทั้งที่ท้องกว่าเจ็ดเดือนจนอาการสาหัส แต่สุดท้ายหมอก็เดินออกมาบอกยายว่าแม่ร่างกายอ่อนแอทำให้ทนพิษบาดแผลไม่ไหว
ยายยังเล่าต่อว่าอายุครรภ์ยังน้อยเกินไป หมอจึงไม่ทำคลอดให้ อีกทั้งแม่หยุดหายใจไปก่อนที่จะถึงมือหมอทำให้โอกาสรอดของเด็กในท้องมีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์
แต่แล้วขณะที่ยายจัดการเอกสารต่างๆ อย่างท้อแท้และสิ้นหวังนั้น พยาบาลก็เข้ามาแจ้งข่าวว่าเด็กคลอดออกมาจากท้องศพเอง ในขณะที่กำลังจะถ่ายเลือดเพื่อฉีดฟอร์มาลีน ทุกคนจึงตั้งฉายาผมว่า "ไอ้เด็กดวงแข็ง"
ฉายาไอ้เด็กดวงแข็งของผมถูกเรียกมาจนกระทั่งอายุได้สิบขวบ ผมก็ได้ฉายา "ไอ้ลูกฆาตกร" เข้ามาแทนที่ เมื่อพ่อที่ติดคุกหลังจากทำร้ายแม่จนตายได้พ้นโทษออกมาก่อคดีฆ่าชิงทรัพย์จนต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน แต่ก็ไปไม่รอดเมื่อพ่อพยายามขัดขืนการจับกุมทำให้ถูกวิสามัญในที่สุด
ผมจำได้ว่าก่อนนั้นผมเคยมีเพื่อน จนกระทั่งได้ฉายาใหม่ เพื่อนๆ ผมก็หายหน้าไปทีละคนๆ จนกระทั่งไม่เหลือใคร ด้วยเหตุผลที่ว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่อยากให้ลูกคลุกคลีกับลูกฆาตกรอย่างผม
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมเสียใจเท่ากับวันที่ยายจากผมไปตอนผมอายุได้สิบสี่ปี ผมกลายเป็นภาระที่เหล่าญาติต่างโยนใส่กัน และจบตรงที่ผมถูกส่งเข้าโรงเรียนประจำ ประสบการณ์เลวร้ายในชีวิตวัยเยาว์ของผมทำให้ผมไม่กล้าคบเพื่อนเพราะกลัวประวัติครอบครัวผมจะกลับมาทำร้ายความสัมพันธ์นั้นอีก และแล้วผมก็จบการศึกษาระดับมัธยมปลาย อาจารย์ที่ปรึกษาประจำชั้นเรียนและอาจารย์แนะแนวเรียกผมไปพบ
"นที เธอมีเป้าหมายที่จะเรียนต่ออะไร"
"ผมยังไม่ทราบครับ คงต้องถามที่บ้านก่อน"
ผมตอบกลับไปอย่างเลื่อนลอย และกังวล ผมคิดว่าผมคงไม่มีโอกาสได้เรียนอีกแล้ว เพราะตั้งแต่ถูกส่งเข้าโรงเรียนประจำ ญาติๆ ก็ขาดการติดต่อไปเลย รวมถึงค่าเล่าเรียนของผมด้วย โชคดีที่ผมได้ทุนการศึกษาจากการมุ่งมั่นเอาการเรียนเป็นที่พึ่งทางจิตใจ ทำให้ผมไม่
ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายในโรงเรียนจนกระทั่งเรียนจบ แต่นับจากออกจากโรงเรียนนี้ไปแล้ว ผมยังมองไม่เห็นอนาคตของตัวเองเลย
"เอาอย่างนี้ ถ้าเธอยังไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเรียนต่อที่ไหน ลองเอาใบสมัครสอบชิงทุนนี่ไปพิจารณาดูนะ เด็กเรียนดีอย่างเธอ น่าจะสอบชิงทุนได้ไม่ยาก"
ผมรับเอกสารจากอาจารย์และนำมันติดกระเป๋ามาด้วย หลังจากออกจากโรงเรียนผมก็ตรงไปที่บ้านยาย ซึ่งตอนนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของป้าไปแล้ว
ผมหยุดอยู่หน้ารั้วสีขาวโพลน ซึ่งจำได้ว่ามันเคยเป็นสีน้ำตาลมาก่อน ผมยืนไว้อาลัยให้กับความทรงจำเก่าๆ พร้อมกับสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อทำใจยอมรับความเปลี่ยนแปลง ก่อนจะเอื้อมมือไปกดออดเรียกคนในบ้าน หลายนาทีทีเดียวกว่าประตูบ้านจะเปิดออก หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งยื่นหน้าออกมามองผม ก่อนถามว่า
"มาหาใครจ๊ะพ่อหนุ่ม"
ผมไม่ยักจำได้ว่าแกหน้าตาละม้ายคล้ายญาติคนไหนที่ผมรู้จัก แต่ถึงกระนั้นผมก็ตอบกลับไป
"ผมมาหาป้าวรรณครับ"
"ป้าวรรณ ไหนจ๊ะ ที่นี่ไม่มีคนชื่อป้าวรรณหรอกนะ มีแต่ป้ากับลูกสาวชื่อสำลีอยู่ด้วยกันสองคน พ่อหนุ่มคงจะจำผิดบ้านกระมัง"
สันหลังผมเย็นเฉียบ และออกจะงุนงง สับสนอย่างมาก
"ผมจำได้ว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านของยายผม และต่อมาก็เป็นของป้า ผมอยู่โรงเรียนประจำเพิ่งจะกลับมาครับ"
"ถ้าอย่างนั้นก็เสียใจด้วยนะหลานชาย ป้ากับลูกสาวซื้อบ้านหลังนี้มาจากธนาคารได้สอง-สามปีแล้วหล่ะ เจ้าของเก่าคงจะย้ายออกไปนานแล้ว"
ประตูบ้านปิดไปนานแล้ว หูของผมมันอื้ออึงไปหมดน้ำตาลูกผู้ชายที่แห้งเหือดไปตั้งแต่หลังงานศพยายกลับหลั่งรินอีกครั้ง ผมเดินจากบ้านหลังนั้นมาอย่างไม่กล้าหันกลับไปมอง เพราะกลัวความอบอุ่น ความรัก ความหวังดีของยาย จะตามหลอกหลอนจนผมอาจล้มลงขาดใจตายในที่สุด
ผมเดินอย่างไร้จุดหมาย ขึ้นรถโดยสารคันแล้วคันเล่า จนกระทั่งเกือบค่ำ ไม่รู้ว่าทำไมปลายทางของผมจึงกลับกลายเป็นโรงเรียนที่ผมเพิ่งจะเดินออกจากประตูเมื่อเช้า
ผมยืนนิ่งอยู่หน้าประตูโรงเรียนอยู่นาน น้ำตายังไหลไม่หยุด จนกระทั่งอาจารย์ที่ปรึกษา ไม่สิ อดีตอาจารย์ที่ปรึกษาของผมเดินมาพบเข้า
ผมได้ยินอาจารย์เฝ้าถามผมอยู่หลายครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น ผมอยากตอบอาจารย์กลับไปว่า ผมเองก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผม
แต่สุดท้ายถ้อยคำที่พรั่งพรูจากปากผม มันก็เริ่มตั้งแต่วันที่ผมเกิด วันที่พ่อเป็นฆาตกร วันที่เสียยายไป และสุดท้ายจบลงตรงที่ผมกลายเป็นเด็กเร่ร่อนบ้านแตกสาแหรกขาด
ท้ายที่สุด สวรรค์ยังพอเมตตาผมอยู่บ้าง เมื่ออาจารย์ยื่นความอบอุ่นให้หัวใจที่หนาวเหน็บของผม ผมจึงได้พักอยู่กับอาจารย์ในบ้านพักของโรงเรียน
หลังจากนั้นไม่กี่เดือนผมก็สอบชิงทุนเรียนต่อได้ แต่ไม่ใช่ทุนที่อาจารย์เคยแนะนำก่อนหน้านี้ ผมสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศได้ โดยเป็นทุนของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอเมริกา เพียงเพราะคำพูดของอาจารย์ที่ทำให้ผมดิ้นรนที่จะมีชีวิตต่อไปทำให้ผมดิ้นรนสอบชิงทุน
"อาจารย์ไม่รู้ว่า อดีตของเธอ เธอเจอเรื่องเลวร้ายมามากมายขนาดไหน แต่มันเป็นอดีตที่ไม่ว่ายังไงเราก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ แต่ต่อจากนี้ไป เธอสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตให้ตัวเธอเองได้ เพราะฉะนั้นอย่างเพิ่งหมดหวัง เธอยังมีโอกาส เธอต้องลุกขึ้นสู้ ต่อให้คนทั้งโลกนี้จะเกลียดเธอ แต่เธอก็ยังมีอาจารย์ที่จะเป็นกำลังใจให้เธอเสมอ"
วันที่ไปส่งผมขึ้นเครื่อง แม้ว่าอาจารย์จะไม่แสดงออก แต่ผมก็ยังเห็นอาจารย์แอบเช็ดน้ำตาอยู่หลายครั้ง พลางพร่ำบอกผมเพียงแต่ว่า
"ตั้งใจเรียนนะ นที"
ผมกำกระเป๋าจนแน่น จดจำทุกคำพูดที่อาจารย์พร่ำสอน ไว้เป็นเครื่องเตือนใจยามท้อแท้และอ้างว้าง
หลายปีที่ผมตั้งใจศึกษาในคณะจิตวิทยาจนจบ และทำงานใช้ทุนจนครบสามปี ผมจึงยื่นใบลาออก ใบลาของผมใช้เวลาไม่นานนัก ก็ได้รับการอนุมัติ เพราะตลอดสามปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้มีผลงานอะไรโดดเด่น ยกเว้นผลงานสุดท้ายที่ผมทิ้งทวนไว้เพื่อเป็นการอำลา
"มิสเตอร์ไนทีน"
ขณะที่ผมสาวเท้าเข้ามายังสนามบิน นักสืบโธมัสก็ร้องเรียกผม พลางวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา
"มิสเตอร์ไนน์ทีน"
โธมัสเรียกชื่อ นที ของผม เพี้ยนตามคนอื่นๆ ที่บอกว่าชื่อของผมออกเสียงยาก ทำให้ทุกคนลงความเห็นที่จะเรียกผมว่า มิสเตอร์ไนน์ทีน
"สวัสดี มิสเตอร์โธมัส คุณมีอะไรให้ผมช่วยอย่างนั้นหรือ"
"ผมนึกว่าจะมาไม่ทันเสียแล้ว คุณจะไปจริงๆ หรือ"
ผมไม่ตอบแต่สบตากับโธมัสอย่างลูกผู้ชาย
"พระเจ้า คุณจะกลับมามั้ย"
"คุณคิดว่าไงล่ะ"
"โอ้ ผมคิดว่าอเมริกากำลังสูญเสียบุคลากรสำคัญไปน่ะสิ"
"ฮะๆๆ โธมัส คุณตลกมาก ผมก็แค่จิตแพทย์ธรรมดา คนหนึ่ง"
"เฮ้ ไม่น่ะไนทีน คุณก็รู้ว่าคุณแตกต่าง"
โธมัสจับแขนผมไว้
"ไนน์ทีน ผมรู้ว่าคุณมีความสามารถไม่ว่าคุณจะพยายามปกปิดมันไว้แค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วคุณก็หนีไม่พ้นตัวตนของคุณ"
"ผมไม่ได้มีความสามารถอะไรอย่างที่คุณว่าหรอก สิ่งเดียวที่ผมมีก็คือ ตั๋วเครื่องบิน บินกลับเมืองไทยก็เท่านั้น"
"อย่าตลกน่า ไนน์ทีน"
"คุณว่างมากหรือไงมิสเตอร์โธมัส โอ้ วันนี้วันหยุดของเหล่าอาชกรหรือยังไง"
ผมสาวเท้าเดินต่อไป โดยทิ้งโธมัสไว้เบื้องหลัง
"แน่นอนที่สุด ผมว่างอยู่แล้ว ก็เพราะจิตแพทย์มือหนึ่งที่อเมริกากำลังจะสูญเสียไปได้สันนิษฐานลักษณะของผู้ต้องสงสัยได้ตรงเป๊ะ จนผมปิดคดีเรียบสามสิบสองคดีรวดนี่นา"
ผมชะงักนิดหนึ่งก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับโธมัส
"ผมยินดีด้วยนะ"
"ไม่เอาน่า ไนน์ทีน อเมริกาต้องการคุณนะ อย่าไปเลย"
ผมไม่ตอบ ผมทำเพียงแค่ยิ้มมุมปากเล็กๆ เท่านั้น และแล้ว โธมัสก็ยิงคำถามที่ผมไม่อยากตอบมากที่สุดในโลกออกมา
"พระเจ้า ให้ตายสิ ที่นั่นมีใครรอคุณอยู่อย่างนั้นหรือไนน์ทีน"
"ผมก็อยากรู้เหมือนกัน โชคดีโธมัส"
"ลาก่อน ไนน์ทีน"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น