ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เสน่หาอินคา

    ลำดับตอนที่ #23 : บทที่ 5 แผ่นดินทองคำ [3]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 670
      5
      30 พ.ย. 60







    ทุกคืนยาบารีทำได้แค่เพียงนอนร้องไห้ อับจนหนทางไม่รู้ว่าจะกลับไปยังยุคของเธอได้อย่างไร สร้อยพระอาทิตย์ของบิดาที่คิดว่าคงเป็นสิ่งเชื่อมต่อโลกปัจจุบันกับโลกแห่งอดีตเข้าด้วยกัน และนำพาเธอมาที่นี่ก็หล่นหาย เธอคิดว่ามันคงหล่นอยู่ที่แท่นหินอินติฮวนตานาบน
    มาชูปิกชูแน่ๆ ทว่าเธอจะกลับขึ้นไปเอาได้อย่างไร ในเมื่อชาวบ้านธรรมดาไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปบนนั้นได้ นอกจากเชื้อพระวงศ์ ทหาร ข้าราชบริพาร และนางห้ามเท่านั้น

     

    แค่คิดว่าจะต้องเดินป่าเป็นอาทิตย์เพื่อไปเมืองมาชูปิกชูก็ท้อแล้ว อีกทั้งเมื่อไปถึงแล้วก็ใช่ว่าจะมีสิทธิ์ขึ้นไป เพราะที่นั่นคือที่ประทับขององค์จักรพรรดิและพระบรมวงศานุวงศ์ ความหวังของหญิงสาวจึงดับวูบแทบไม่เหลือแสงริบหรี่เลยทีเดียว

     

    “นั่นอย่างไรล่ะเจ้าชายทูปัก วีรา” เชรีพายาบารีเดินอ้อมมายังด้านหลังศาลาของหมู่บ้าน เสาของศาลาทำจากหินแล้วมุงหลังคาด้วยหญ้าเหลืองทำให้หลังคาสูงโปร่งระบายอากาศได้ดี ตรงกลางมีแท่นหินสำหรับนั่ง และชายที่นั่งอยู่บนแท่นหินก็คือ...

     

    “เจ้าชาย...” ยาบารีแทบหยุดหายใจเมื่อได้เห็นเจ้าชายทูปัก วีรา อีกครั้ง พระองค์ประทับอยู่บนแท่นหินโดยมีชาวบ้านนั่งอยู่บนพื้น ทรงวินิจฉัยโรคและรับสั่งให้หมอผู้ช่วยของพระองค์จัดยาแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้าน

     

    “นั่นแหละเจ้าชายทูปัก วีรา พระองค์เสด็จมาที่นี่เดือนละครั้ง”

     

    “แต่เดือนก่อนข้าไม่เห็นว่าพระองค์เสด็จมา” ยาบารีนิ่วหน้าด้วยความมึนงง เพราะเธอก็อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้มาถึง 3 เดือนแล้ว

     

    “ก่อนหน้านี้พระองค์เกณฑ์หมอทั้งหมดไปรักษาทหารที่บาดเจ็บจากการปะทะกับชนเผ่าอื่น ที่แข็งข้อไม่ยอมส่งเครื่องบรรณาการมาถวายแด่องค์จักรพรรดิ เห็นว่าทรงงานหนักจนล้มป่วย ทรงรักษาทหารจนไม่ยอมบรรทม ชาวบ้านอย่างพวกเราส่วนหนึ่งรู้ข่าวก็พากันเดินทางไปให้กำลังใจที่ค่ายทหาร แต่ก็ถูกกันออกมาเพราะที่นั่นมีคนป่วยเป็นจำนวนมาก”

     

    “แค่ปะทะหรือเชรี ไม่ใช่สงครามสองพี่น้องใช่มั้ย” ยาบารีซักถามด้วยความใคร่รู้ หากว่าเหตุการณ์ต่างๆ กำลังดำเนินไปตามที่หน้าประวัติศาสตร์จารึกเอาไว้ นั่นก็หมายความว่าอาณาจักรอินคาได้นับถอยหลังถึงยุคล่มสลายเสียแล้ว

     

    “สงครามสองพี่น้องคืออะไรหรือยาบารี เจ้าไปเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน ข้าเองก็ไม่รู้มากนักหรอก คงต้องไปถามโรปาหรือไม่ก็ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ข้าเองก็ได้ยินมาอีกทีเหมือนกัน จับใจความได้เท่าที่บอกเจ้านั่นแหละ” เชรีไม่รู้แล้วก็ไม่ใคร่อยากรู้ด้วย สตรีในยุคก่อนไม่มีสิทธิ์รับรู้เรื่องการเมืองและสงคราม สตรีชาวอินคาเองก็เช่นกัน

     

    “อ๊าก!

     

    เสียงคนบาดเจ็บร้องครวญครางทำให้ทั้งสองสาวแอบมองเข้าไปในศาลาด้วยความใคร่รู้ จึงได้เห็นว่าชายคนหนึ่งมีไม้ปลายแหลมเสียบคาที่ขาเอาไว้จนแผลเหวอะหวะ คาดว่าคงพลัดเหยียบกับดักของนายพรานในป่าที่ใช้ดักสัตว์เป็นแน่

     

    ยาบารียืนนิ่งเห็นเลือดแล้วรู้สึกเวียนศีรษะ แต่ก็พยายามแข็งใจดู เห็นเจ้าชายทรงยืนแล้วสั่งให้นำคนเจ็บนอนบนแท่นหิน ทรงล้างแผลอย่างพระทัยเย็น ทว่าหยาดพระเสโท[1] หยดโตไหลเกาะปลายพระนาสิกนั่นแสดงว่าพระองค์ทรงกังวลไม่น้อย

     

    ทรงจัดการเย็บแผล[2] ได้อย่างคล่องแคล่ว ทว่าคนแอบมองถึงกับใจสั่นเมื่อได้ยินเสียงร้องครวญครางเพราะเป็นการเย็บแผลสด เธอถอยห่างเดินหนีออกมาปล่อยให้เชรียืนดูอยู่เพียงลำพัง เพราะขืนทนดูต่อคงต้องเป็นลมแน่ๆ

     

    “อะไรเล่ายาบารี ข้ากำลังดูเจ้าชายเพลินๆ เชียว”

     

    เชรีปัดมือที่เอื้อมมาสะกิดไหล่ออก ยังลอบมองเจ้าชายทูปัก
    วีรา ด้วยท่าทางคลั่งไคล้ สาวๆ ในเมืองกุสโกมีใครบ้างเล่าไม่หลงรักเจ้าชายทูปัก วีรา นั่นเพราะในบรรดาพระโอรสของอดีตจักรพรรดิวา
    นาคาแพ็ค ที่มีอยู่มากมาย ไม่มีพระองค์ใดพระพักตร์หล่อเหลาเท่าเจ้าชายทูปัก วีรา นั่นอาจเพราะพระมารดาของพระองค์มีพระสิริโฉมงดงามกว่านางสนม หรือแม้แต่อดีตพระนางโคยา[3] ที่ว่างามยังเทียบความงามของพระมารดาเจ้าชายทูปัก วีรา มิได้เลย

     

    นอกจากพระสิริโฉมแล้ว เรื่องน้ำพระทัยและความเมตตาก็ทำให้ประชาชนรักและเทิดทูนเจ้าชาย เพราะไม่ทรงถือพระองค์ และพูดคุยเข้าถึงชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง ต่างจากพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นๆ ที่แทบไม่เคยเสด็จออกนอกพระราชวัง เว้นแต่จะแปรพระราชฐานไปยังวังอื่นเพื่อพักผ่อนในฤดูต่างๆ เท่านั้น

     

    “อะไรเล่ายาบารี เจ้านี่ยังไงนะ!” เชรีหมุนตัวกลับอย่างเร็วหมายใจจะต่อว่าเพื่อนสาว ทว่ากลับชนเข้ากับแผงอกหนาของใครบางคนเข้าเสียก่อน

     

    “อุ๊ย!

     

    เชรีผงะถอยหลังทว่ากลับสะดุดขาตนเองจนแทบหงายหลังล้มลง โชคดีที่ชายหนุ่มตรงหน้าคว้าร่างเธอเอาไว้ได้เสียก่อน

     



    [1] เสโท แปลว่า เหงื่อ

    [2] เป็นที่น่าแปลกการแพทย์สมัยอินคา มีการใช้ยารักษาโรคโดยการใช้สมุนไพร มีการผ่าตัด และหมอชาวอินคาสามารถผ่าตัดเปิดและปะกะโหลกมนุษย์ได้

    [3] พระนางโคยา หมายถึง อัครมเหสี










    เสน่หาอินคา
    เพียงฤทัย
    www.mebmarket.com
    ยาบารี ยาบารี ที่รักของข้า? เสียงเรียกอันแสนคุ้นเคยของใครบางคนที่ ยาบารี หญิงสาวลูกครึ่งไทย-เปรู ฝันถึงตั้งแต่ครั้งแรกที่เดินทางมายังเปรูดินแดนต้นกำเนิดอาณาจักรอินคาที่เธอหลงใหล เสียงปริศนาดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในยามหลับและยามตื่นราวกับกำลังเรียกเธอให้ไปหา... แล้วปาฏิหาริย์ก็ชักนำให้เธอหลงกาลเวลาไปยังอาณาจักรอินคา ดินแดนแห่งทองคำเมื่อสี่ร้อยกว่าปีก่อน ด้วยสร้อยพระอาทิตย์ของสำคัญที่บิดาทิ้งไว้ให้ก่อนจะเสียชีวิต ณ ที่แห่งนี้ เธอได้พบและผูกพันหัวใจไว้กับเจ้าชายทูปัก วีรา เจ้าชายหมอผู้สูงศักดิ์ ท่ามกลางสงครามและยุคสมัยแห่งการล่มสลายของอาณาจักรที่รุ่งเรือง หญิงสาวผู้มาจากอนาคตและเจ้าชายหนุ่มจะร่วมกันแก้ไขหน้าประวัติศาสตร์ได้หรือไม่ แล้วเธอจะหาทางกลับมายังปัจจุบันได้อย่างไร เมื่อยังมีสายสัมพันธ์รักอันยิ่งใหญ่กับชายสูงศักดิ์เกี่ยวกระหวัดให้หัวใจมิอาจลืมเลือน ***ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นจากหัวใจรัก นำพาให้คนทั้งสองได้พบเพื่อจาก และพรากเพื่อเจอ ตราบใดที่หัวใจทั้งสองดวงยังคงร้อยรัดด้วยสายใยแห่งรักและผูกพัน ปาฏิหาริย์จะชักพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาเคียงคู่กันในสักวัน

    ซากุระผลิที่กลางใจ
    เพียงฤทัย
    www.mebmarket.com
    หลิวหลุดเข้าไปใน 'ยุคสมัยเฮอัน' ซึ่งย้อนอดีตไปถึงพันปีเหตุการณ์กลับตาลปัตรเมื่อเธอกลายเป็นคุณหนูของคฤหาสน์อาจิไซ บุตรีขององคมนตรีชั้นเอกผู้เป็นข้ารองบาทขององจักรพรรดิในขณะเรื่องราวผิดฝาผิดตัวสร้างความโกลาหลวุ่นวายหัวใจของหญิงสาวก็เบ่งบานไม่ต่างจากดอกซากุระ

    ดวงใจปฏิพัทธ์
    สะมะเรีย
    www.mebmarket.com
    เลือดต้องล้างด้วยเลือด จักต้องแผดเผาศัตรูให้พินาศย่อยยับแต่เหตุใดเล่า... เมื่อเห็นนางเจ็บ เขากลับเจ็บยิ่งกว่า! องครักษ์หนุ่มนัยน์ตาสีน้ำเงิน ผู้ที่เข้ามาทำให้โลกของเจ้าหญิงครีษมาสดใส นางหลงรักเขาอย่างหมดหัวใจ ทว่าการที่องครักษ์หนุ่มเข้ามาใกล้ชิดนางนั้นกลับเต็มไปด้วยเงื่อนงำ... เมื่อองครักษ์หนุ่มคืนสู่ศักดิ์อันแท้จริง เขาคือเจ้าชายภานรินทร์ที่หายสาบสูญ เขากลับมาอีกครั้งเพื่อขจัดความอยุติธรรม พร่าเกียรติและศักดิ์ศรีเจ้าหญิงผู้สง่างามให้พลิกผันเป็นเพียงนางบำเรอชั้นต่ำ!นาง...เจ็บเจียนตายแต่หัวใจกลับรักเขาเขา…แค้นฝังใจแต่มิอาจปล่อยมือจากนางบทสรุปความรักจะเป็นเช่นไร...รักฤาชัง

    มายามรณะ
    รางนาก
    www.mebmarket.com
    ภาพหลอน! ความกลัว! ความตาย! และความสิ้นหวัง! ประดังเข้าสาดซัดนางเอกสาวดาวรุ่งราวกับห่าฝนในคืนเดือนมืด เมื่อมือที่มองไม่เห็นยื่นมากระชากชีวิตของหญิงสาวให้เปลี่ยนไปตลอดกาล...

    มะนาวซ่อนหวาน
    สะมะเรีย
    www.mebmarket.com
    ใครๆ ต่างพากันตั้งฉายาให้ มะนาว ว่า...ไฮโซขาวีน และ ไฮโซมือตบแต่...อย่าได้แคร์สื่อ เธอยังคงสวย เริด เชิด หยิ่งจนกระทั่งผู้เป็นบิดาต้องงัดไม้เด็ดมาปราบลูกสาวหัวดื้อทางด้าน เตชธรรม ถึงกับกุมขมับเมื่อได้รับมอบหมายให้ดัดนิสัยยายตัวร้ายที่เขาให้คำจัดความว่าตั้งแต่แรกเห็นว่า‘ชอบเที่ยวกลางคืน ยั่วยวนผู้ชาย ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว’ชายหนุ่มจึงงัดสารพัดวิธีที่มั่นใจว่าได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ออกมาจัดการทว่า...ผิดคาด เมื่อมะนาวลูกนี้ไม่ได้มีดีแค่ความเปรี้ยวซ่าอย่างที่คิดและกว่าจะรู้ตัวว่า...ผิดแผน หัวใจก็ลิ้มรสหวานจนถอนตัวถอนใจไม่ขึ้นเสียแล้ว

    มนตราสีกุหลาบ
    สะมะเรีย
    www.mebmarket.com
    มนตราแห่งเพตรา ดลบันดาลให้หัวใจสองดวงผูกพัน ก่อเกิดเป็นความรักร้อนแรงจนแม้แต่แสงจากดวงอาทิตย์ก็มิอาจเทียบ หลังจากผิดหวังในความรัก ยี่สุ่น...หญิงสาววัยเบญจเพสจึงตัดสินใจเดินทางมายังจอร์แดนตามคำชักชวนของมารดา พร้อมความเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้พบรักแท้ และเมื่อเธอมาถึงนครเพตรา?นครศิลาสีชมพู เธอก็ได้พบรัฟฟาน หนุ่มจอร์แดนมาดเข้ม เธอหลงคิดว่าเขาเป็นไกด์พื้นเมืองจึงใช้งานเขาสารพัด รัฟฟาน... ตำรวจสากลผู้ได้รับมอบหมายให้มาสืบหาแหล่งผลิตยาเสพติดที่นครเพตรา ยินยอมเป็นไกด์ให้ยี่สุ่นเพราะต้องการปลอมตัวให้แนบเนียน ไม่เป็นที่สงสัยของคนร้าย แต่นักท่องเที่ยวสาวกลับทำให้เขาต้องคิดทบทวนว่าเขาคิดผิดหรือไม่ที่ยอมเป็นไกด์ให้เธอ เพราะเธอเปิ่นและบ้าดีเดือดชนิดไม่มีใครเหมือน ซ้ำยังทำให้หัวใจเขาหวั่นไหว ท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ ความรักได้ก่อเกิดขึ้นจากความใกล้ชิด พร้อมกับอันตรายที่คืบคลานเข้ามาให้เขากับเธอร่วมกันฟันฝ่า เพื่อพิสูจน์ว่ารักแท้มีอยู่จริง +++++++++++++“ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะเชื่อว่าผมไม่ได้ตั้งใจลวนลามคุณ ผมแค่เข้ามาปลุกคุณไปกินอาหารเย็น” รัฟฟานหัวเสียไม่น้อย นี่ล่ะเขาถึงไม่อยากมีแฟนเพราะรำคาญผู้หญิงที่ชอบพูดไม่รู้เรื่อง เอะอะก็โวยวายเอาไว้ก่อนไม่เคยฟังเหตุผลอะไรเลยสักอย่างเดียว“ฉันไม่เชื่อ”“ถ้าอย่างนั้นผมจะทำให้ดู”“คุณ...”รัฟฟานไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวโวยวายไปมากกว่านี้ เขาปิดปากอิ่มได้รูปด้วยริมฝีปากเรียวอย่างรวดเร็ว ยี่สุ่นพยายามโวยวายแต่กลับเป็นการเปิดเรียวปากให้ชายหนุ่มแทรกลิ้นร้อนเข้าไปตวัดเร้าควานหาความหอมหวานจากปากนุ่มสีกุหลาบ ยี่สุ่นสั่นไปหมดทั้งตัว หัวสมองหนักอึ้ง รู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจ แต่แล้วเขาก็เติมเต็มลมหายใจให้เธอพร้อมๆ กับฉกฉวยมันไป สลับไปมาจนเธอชาวาบจนถึงปลายเท้า แข้งขาอ่อนแรงจนแทบยืนไม่ติดพื้น เมื่อเขาบดจูบเร่าร้อนยาวนานจนเธอเผลอกอดตอบเขาและเผลอ...จูบตอบเขาอย่างไร้เดียงสารัฟฟานผละออกจากริมฝีปากอิ่มอย่างเสียดาย ยี่สุ่นทรุดฮวบลงไปกองที่พื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง คิดหาคำพูดหรือคำด่าทอไกด์หนุ่มไม่ถูก นั่งบื้อใบ้หัวสมองมึนงงด้วยความสับสน“คราวนี้เชื่อหรือยังว่าผมมาปลุกคุณให้ตื่นไปรับประทานอาหารเย็น ไม่ได้ตั้งใจเข้ามาลวนลาม เพราะถ้าผมตั้งใจจะทำ...ผมจะทำแบบเมื่อครู่นี้ เอาละ...อีกสิบห้านาทีผมจะกลับเข้ามารับ อย่าช้าล่ะเพราะที่นี่จัดอาหารเย็นแบบบุฟเฟต์หากเกินเวลาไปมากกว่านี้อาจไม่เหลืออะไรให้คุณกิน” พูดจบเขาก็เดินออกไปทิ้งให้หญิงสาวนั่งหน้าแดงก่ำจูบแรกของฉัน...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×