คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ จดหมายจากแดนไกล 100%
บทนำ
จดหมายจากแดนไกล
ทองคำ...เปรียบได้ดั่งหยาดเหงื่อจากพระอาทิตย์
เงิน...เปรียบได้ดั่งหยาดน้ำตาจากดวงจันทร์
ยาบารีปิดหนังสือประวัติศาสตร์อินคาลงด้วยความอิ่มเอม
ปกหนังสือเริ่มเปื่อยยุ่ย หน้ากระดาษพองจากการเปิดอ่านซ้ำๆ เป็นเวลาหลายปี
เธออ่านมันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ได้ รู้แต่ว่าหากมีเวลาว่างเธอจะต้องหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่านทุกครั้งไป
เรื่องราวความน่ามหัศจรรย์ของอาณาจักรอินคาช่างน่าค้นหา
พื้นที่ส่วนใหญ่ของอาณาจักรตั้งอยู่บนพื้นที่สูง มีอากาศร้อนจัด
กระนั้นกลับเจริญรุ่งเรือง และอุดมไปด้วยทองคำมากมายมหาศาล
ยิ่งได้เรียนรู้...หญิงสาวก็ยิ่งเกิดความสงสัย ผลงานทางด้านประติมากรรม
สถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้างต่างๆ
รวมทั้งการสร้างถนนหลายแห่งโดยการขุดเจาะภูเขาเพื่อเชื่อมโยงไปยังถนนสายต่างๆ
ผู้คนในสมัยนั้นทำได้อย่างไร แล้วเหตุใดอารยธรรมของชนเผ่าอินคาจึงคล้ายคลึงกับอารยธรรมไอยคุปต์ ทั้งที่อยู่ไกลกันคนละทวีปเช่นนี้...
ความสงสัยเหล่านี้
ไม่สามารถค้นหาคำตอบได้ในหนังสือประวัติศาสตร์อินคาเล่มที่เธอถืออยู่
และคงไม่มีเล่มไหนๆ หรือนักโบราณคดีคนใดสามารถให้คำตอบได้
มันยังคงค้างคาใจยาบารีเรื่อยมา
หญิงสาวหมายมั่นว่าจะศึกษาอารยธรรมอินคาไปจนกว่าเธอจะแก่ชราจนหยิบจับตำราอ่านไม่ไหว
ด้วยความรู้สึกรักและผูกพันที่มีต่ออินคา เธอเชื่อว่าส่วนหนึ่งเพราะบิดาของเธอนั่นเอง...
“พ่อจ๋า รีอยากไปยังดินแดนที่เป็นบ้านเกิดของพ่อ
สถานที่ซึ่งทำให้พ่อและแม่พบรักกัน”
เธอยกมือขึ้นถอดสร้อยจากลำคอออกมาดู
เป็นสร้อยโลหะรูปพระอาทิตย์ที่บิดาเป็นคนสวมให้เธอ
ก่อนที่ท่านจะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตั้งแต่เธออายุได้เพียง 5 ปี
นับจากนั้นเธอกับมารดาก็ไม่ได้ติดต่อกับคุณย่าที่อยู่เปรูอีกเลย
คุณย่าไม่ใช่คนมีฐานะนัก ส่วนเธอกับมารดาทำร้านขายของชำเล็กๆ พออยู่ได้
ฉะนั้นการเดินทางออกนอกประเทศจึงเป็นเรื่องไกลเกินตัว
ยาบารี...
ทุกครั้งที่มีคนเรียกชื่อของเธอ
ทำให้เธอหวนคิดไปถึงเรื่องราวที่มารดาเล่าให้เธอฟัง ท่านทั้งสองพบกันที่เปรู
มารดาเป็นสาวใช้ติดตามเจ้านายไปที่นั่น เมื่อทั้งสองพบรักกัน
บิดาบอกรักและขอมารดาของเธอแต่งงานที่แม่น้ำยาบารี
และเมื่อทั้งสองมีพยานรักตัวน้อยๆ ถือกำเนิดขึ้น เธอจึงได้ชื่อว่า ยาบารี
พันธ์วิรา ชื่อที่หากใครได้ยินก็มักจะคิดว่าเธอเป็นอิสลาม นั่นเพราะชื่อ ใบหน้าคมขำ
ดวงตากลมโต และผิวสีน้ำผึ้งทำให้ทุกคนคิดเช่นนั้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องทำให้ยาบารีตื่นจากภวังค์
“คะแม่” เธอรีบเดินไปเปิดประตู ยิ้มกว้างเมื่อเห็นมารดา
แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อมารดามีสีหน้าไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด
เธอรีบประคองมารดาเข้ามาในห้อง
“ยาบารี ปีนี้หนูก็อายุ 18
แล้วสินะ” พรพรรณทอดสายตาอ่อนโยนมองบุตรสาว
ยาบารีนั้นเหมือนบิดา เธอรูปร่างสูง ท่าทางปราดเปรียว ผิดแผกจากสาวๆ
วัยรุ่นในประเทศไทยที่นิยมผิวขาวตัวเล็กกะทัดรัด
ทว่าใบหน้าสวยเฉี่ยวทำให้แมวมองจากโมเดลลิ่งต่างๆ มาทาบทามอยู่เนืองๆ แต่ยาบารีก็ไม่ยอมปลงใจ
ลูกสาวของเธอรักที่จะเรียนสาขาวิชาประวัติศาสตร์ ขลุกอยู่กับหนังสือเล่มหนาได้เป็นวันๆ
“ค่ะ
อีกไม่กี่เดือนรีก็จะอายุครบ 19 ปีแล้วค่ะ” เธอกอดเอวมารดา
ก่อนจะอิงศีรษะซบลงบนไหล่ของมารดาอย่างออดอ้อน พรพรรณยีผมบุตรสาวอย่างเอ็นดู กระนั้นในแววตาก็ยังฉายชัดว่ากำลังกังวล
และครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ
“หนูอยากไปเยี่ยมคุณย่าหรือเปล่าลูก”
หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบ
มันเป็นความใฝ่ฝันของเธอมาโดยตลอด ว่าสักวันเธอจะไปกราบคุณย่า
ได้ไปยังดินแดนบ้านเกิดของบิดา “รีคิดเอาไว้ว่าถ้าเรียนจบ
ทำงานเก็บเงินสักพัก รีอยากไปหาคุณย่าค่ะ รีแทบจำหน้าคุณย่าไม่ได้หากไม่ดูจากรูปถ่าย
แต่รีเข้าใจนะคะว่าฐานะอย่างเรา การจะข้ามน้ำข้ามทะเลไปเยี่ยมท่านมันเป็นเรื่องยาก
แต่แม่ไม่ต้องเป็นห่วง อีกไม่กี่ปีรีก็เรียนจบแล้วค่ะ ถึงตอนนั้นรีจะพาแม่กลับไปที่เปรูให้ได้
เพื่อที่เราจะได้เอากระดูกส่วนหนึ่งของพ่อกลับเปรู”
พรพรรณยิ้มเศร้ามองดูใบหน้าของบุตรสาวด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
ไม่เคยมีสักวันที่เธอไม่คิดถึงสามีที่มาด่วนจากไปก่อนวัยอันควร แต่เพราะมียาบารี
ตัวแทนของความรักที่สามีทิ้งเอาไว้ให้ เธอจึงยืนหยัดเลี้ยงบุตรสาวมาด้วยตัวเอง
“แม่ว่าถึงตอนนั้นอาจไม่ทัน
คุณย่าคงอยากพบหนูให้ไวที่สุด”
หญิงวัยกลางคนยื่นกระดาษจดหมายให้บุตรสาว ยาบารีเปิดซองจดหมายออกอ่าน
ถึง ยาบารี
คุณคงแปลกใจที่ได้รับจดหมายฉบับนี้ ผมชื่อโซลาโน่ เขียนจดหมายฉบับนี้มาเพื่อบอกว่าคุณย่าโรมีนาป่วย ท่านชรามากแล้วจึงอยากพบหลานซึ่งเกิดจากบุตรชายคนเล็กของท่านสักครั้ง
หากคุณสะดวกกรุณาเดินทางมาตามวันและเวลาที่กำหนดข้างล่างนี้
ผมได้ส่งตั๋วเครื่องบินและค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางมาให้คุณแล้ว
แล้วพบกันที่สนามบิน...
โซลาโน่
หญิงสาวกำจดหมายไว้แน่น
ใบหน้าคมขำซีดเผือดกับข่าวที่ได้รับ
“คุณย่าป่วย” เธอยกมือขึ้นปิดหน้า นึกเสียใจที่ไม่เคยไปหาท่านเลยสักครั้ง
มีเพียงแค่จดหมายปีละหนึ่งถึงสองฉบับพร้อมรูปถ่ายของเธอส่งไปให้ท่าน
เพราะท่านไม่เคยตอบจดหมายกลับมา
หญิงสาวจึงไม่สามารถเดาได้ว่าท่านยังจำหลานที่ชื่อยาบารีได้หรือไม่
แต่เดี๋ยว...คนที่เขียนจดหมายมา
นายโซลาโน่อะไรนั่น ดูวางก้ามและเผด็จการที่สุด เขาเป็นใครนะ
หรือว่าเป็นหลานคนใดคนหนึ่งของคุณย่า ยาบารีนึกไม่ชอบใจเจ้าของลายมือสวยในจดหมาย
เพราะในจดหมายมีแต่คำสั่งและดูคล้ายตำหนิเธอกลายๆ
“แม่คะ รีจะไปเปรูค่ะ”
เธอบอกความจำนงแก่มารดา โชคดีที่ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมพอดี
ไม่เช่นนั้นแล้วเธออาจเสียการเรียน เพราะไม่รู้ว่าเธอจะต้องไปอยู่ที่เปรูสักกี่วัน
“ไปเถอะลูก
ช่วยดูแลคุณย่าแทนแม่กับพ่อด้วย”
“ความจริงแม่ซื้อตั๋วเครื่องบินเพิ่มอีกใบ
แล้วไปด้วยกันกับรีก็ได้นี่คะ เราน่าจะพอมี...” หญิงสาวเสนอ เธอเชื่อมาตลอดว่ามารดาอยากกลับไปที่นั่นอีกครั้ง
เพราะที่เปรูเต็มไปด้วยสถานที่แห่งความทรงจำระหว่างมารดากับบิดา
ทว่ามารดากลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“แม่ทิ้งร้านไปไม่ได้หรอก
อีกอย่างแม่ไม่อยากเอาเงินเก็บออกมาใช้เกินความจำเป็น เผื่อมีอะไรฉุกเฉินต้องใช้
ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกนะลูก” พรพรรณถอนหายใจเฮือกใหญ่
ก่อนจะพยายามฝืนยิ้มให้บุตรสาว
“หนูไปเถอะ คุณย่าคงคิดถึงหนูมาก
ท่านจะว่ายังไงบ้างนะ ถ้าเห็นว่าหนูมีหน้าตาคล้ายพ่อขนาดนี้”
เสียงเครืออย่างไม่สามารถกักเก็บความสะเทือนใจเอาไว้ได้ ก่อนที่หยาดน้ำไสจะไหลออกจากหางตาช้าๆ
“แม่...”
ยาบารีกอดมารดาเอาไว้แน่น
ด้วยรู้ดีว่า...เวลาไม่เคยทำให้ความรักของมารดาที่มีต่อบิดานั้นลดน้อยลงเลย
ความรักที่ท่านทั้งสองมอบให้แก่กันนั้นเป็นรักแท้ที่หาได้ยากเหลือเกินในยุคปัจจุบัน
ที่เดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิกจนเห็นเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว
|
|
|
|
|
|
ความคิดเห็น