คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ลำดับตอนที่ 12
บันทึกลับการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่
[By Prince-sera Fever I]
[Ost.Darkland School Final Test of Graduate Guru]
“ออกเดินทางสินะ แล้วเราต้องเตรียมอะไรบ้างล่ะเนี่ย ?” เด็กสาวผมยาวสีขาวมุขบ่น เมื่อเธอรู้ว่าจะต้องออกเดินทางเพื่อแสวงหาปราชญ์ในดาร์กแลนด์
เด็กสาวเดินกลับไปที่ห้องพักอย่างเหนื่อย ๆ ก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุคที่พกติดมาด้วย เสิร์ชหาข้อมูลจำเป็นในการออกเดินทาง เธอเหลือบมองเพื่อนร่วมหอทั้งสองคนที่หายไปไหนก็ไม่รู้ สงสัยออกเดินทางกันไปแล้ว
“เฮ้อ...โดดเดี่ยวเดียวดายในท้องเล~~~”
เมื่อเตรียมข้อมูลครบแล้วเธอจึงจัดกระเป๋าอย่างไม่เร่งรีบเท่าไหร่
“เอาชุดไปกี่ชุดดีนะ ?” เธอพึมพำพร้อมมองชุดสองสามชุดในกระเป๋าเสื้อผ้า “เอาไปหมดนี่เลยล่ะกัน” เธอเช็คของที่จะเอาไป
“น้ำยาบ้วนปาก...น้ำยาล้างเหล็กดัดฟันมีด้วยหรอ?...ชุดชั้นไม่นอนสี่ชุด...เสื้อเชิ้ตแขนยาวสี่ตัว...กางเกงวอร์มสามตัว...อ่า...อะไรอีกนะ ไอโฟนๆ”
เด็กสาวเช็คของพร้อมกับยัดใส่กระเป๋าใบพอดีตัว เสื้อผ้าที่ใช้ในการอยู่รอดตลอดสามวันสองคืน เผื่อไปหนึ่งชุดกันปัญหา “อ้อ...แผนที่ !”
เธอนึกขึ้นได้ก่อนจะหยิบแผนที่ใส่กระเป๋าไปด้วย
“เอาล่ะ พร้อมแล้วมั้ง ไปเลยดีกว่า”
เด็กสาวสวมเสื้อแขนยาวกางเกงวอร์มขาสี่ส่วน พร้อมเฮดโฟนขนาดใหญ่ครอบหู เปิดเพลงร็อคดังลั่น กระชับสายกระเป๋าแน่น พร้อมเดินออกจากห้องพักโดยไม่เหลียวหลังกลับไปอีก
“ไหนๆก็ไหนๆแล้วเราเริ่มที่บ้านตัวเองดีกว่า...”
----First----
เบลเลียมมอร์ธ แคว้นแห่งสงครามและความตาย
“คิดถึงบ้านจัง...” เด็กสาวเดินเข้ามาภายในแคว้นบ้านเกิดของตน น้ำตาแทบจะใหล แต่ต้องอดกลั้นเอาไว้ เมื่อเดินไปถึงหมู่บ้านเอสเตอร์ ในมณฑลกลาเซีย นครคาร์นิเวียน เมืองท่าโอลิเวียร์ ในฐานะอัศวินแห่งเอสเตอร์ เธอจึงเดินทักทายประชากรในหมู่บ้านที่มีไม่มากเท่าไหร่ (สองคน รวมตัวข้าด้วย ถถถว์)
ใช้เวลาพักผ่อนในบ้านไม่นาน ก็ออกเดินทางต่อไปเรื่อยๆ แวะเข้ามาเชยชมคณะรัฐศาสตร์ของแคว้น
“อ่านกี่ครั้งก็รู้สึกดีทุกครั้ง ‘ดาร์กรักความสงบ ชอบการต่อสู้ แต่ไม่นิยมสงคราม’ ”
ต่อด้วยการเดินทางไปที่แม่น้ำกลาเซียแสนเงียบเหงา หลากหลายอารมณ์ หลากหลายความรู้สึกถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทกลอนแสนไพเราะ เด็กสาวถอดเฮดโฟนขนาดใหญ่ออก แล้วลองถ่ายทอดความรู้สึกในตอนนั้นออกมาเป็นบทกลอนบ้าง
“...ที่แม่น้ำกลาเซีย
สุดแสนเงียบเหงาไร้ผู้คน
กับเพลงแสนทุกข์ตรม...
...เดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อย
ได้พักฟังเพลงเศร้าเคล้าทรวงใน
เรื่องชายหน้ากากเงิน...
...ขอเวลาพักผ่อน
ก่อนได้ฤกษ์เริ่มเดินทางต่อ
แสวงและหาปราชญ์...”
เด็กสาวใช้เวลาอยู่ที่แม่น้ำกลาเซียอยู่นาน ท้องเริ่มร้องเป็นบทเพลงบรรเลงระทึก (?) เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเธอจึงลุกและเดินทางออกจากแม่น้ำเพื่อไปหาอาหาร
ร้านอาหาร The Magic Winter ร้านนี้ตั้งอยู่ในบริเวณเกือบหลังแคว้น มีอาหารที่รสชาติเลิศหรูระดับล้านดาว แต่ราคานั้นถูกมาก เหมาะสำหรับคนที่อยากทานแต่งบน้อย (อย่างข้าพเจ้าเป็นต้น น่อวววว์?)
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยได้เวลาพักผ่อนสักที เฮดโฟนถูกสวมอีกครั้งหลังจากที่ถูกถอดเก็บไว้ตั้งแต่อยู่ที่แม่น้ำกลาเซีย เพลงร็อคที่ชอบบรรเลงในทำนองหนักหน่วง ก้าวเท้าเป็นจังหวะเพื่อกลับไปพักผ่อนที่คฤหาสน์ของตนเองที่หมู่บ้านเอสเตอร์
----Second----
ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า พร้อมกับแสงเจิดจ้าที่ประกายออกมากระทบกับร่างของเด็กสาวที่กำลังสลบสไลอยู่บนเตียงในห้องนอนสุดหรูในคฤหาสน์
เมื่อรู้ตัวจึงรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อยด้วยการล้างหน้า อาบน้ำ บ้วนปาก และหามื้อเช้า หลังจากนั้นเด็กสาวจึงกางแผนที่ มองหาทางไปต่อที่หน้าสนใจ เมื่อพบแล้ว เด็กสาวนำเฮดโฟนมาครอบหูอีกครั้งพร้อมเปิดเพลงสบาย ๆ ก่อนจะเริ่มออกจากคฤหาสน์ในเวลาเกือบเก้าโมงเช้า
เฮดโฟนถูกถอดออกและเก็บไว้ในกระเป๋าเป้อีกครั้ง เพื่ออ่านบทกวีมากมายหลากหลายนามปากกา บทเพลงอันหลากหลายซึ่งล้วนความหมายดี และกินใจ
เมื่อเดินเข้าไปในหอคอย บทเพลงแรกที่ได้ยินก็คือ ‘เพลงใบไม้’ โดยกุหลาบสีน้ำเงิน แต่งขึ้นเพื่ออุทิศแก่ใบไม้ที่ร่วงโรย
เนื้อเพลงสื่อถึงใบไม้ที่เมื่อเวลาหมดอายุขัย มันจะหลุดออกจากก้านที่เคยอาศัย หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงบนพื้นดิน เด็กสาวคิดว่ามันคล้ายกับชีวิตคน เกิดมามีที่อยู่อาศัย มีคนเลี้ยงดู แต่เมื่อถึงเวลา ร่างกายก็จะสลายไปกลายเป็นเถ้าถุลีย์ ปลิวว่อน และร่วงหล่นกลายเป็นปุ๋ยดิน
ต่อมาเป็นบทกวีที่ลึกซึ้ง ‘Dark’ โดยแคต เพื่อมอบให้แด่ความดาร์ก
บทกวีสื่อถึงความมืด หรือในที่นี้อาจจะหมายถึงความเลวทราม ที่ค่อย ๆ กัดกินจิตใจของมนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในขณะที่แสงสว่างก็ค่อย ๆ หายไปจากจิตใจของมนุษย์เช่นกัน
อีกหนึ่งบทกวีที่โดดเด่นของกุหลาบสีน้ำเงิน (จากที่สังเกตุ บทกวีของท่านกุหลาบสีน้ำเงิน เยอะมากค่ะ) ก็คือ ‘กุหลาบสีดำ’ โดยผู้ประพันธ์ตั้งใจสื่อให้เห็นถึงความรักอันเป็นนิรันดร์ เฉกเช่นกุหลาบสีดำ มิใช่กุหลาบสีแดงซึ่งเป็นเพียงความรักแรกเริ่ม ไม่นานมันก็โรยรา
ใกล้กัน เป็นบทกวีที่รวบรวมนักประพันธ์มากฝีมือและมีชื่อเสียงทั้งสามท่าน ‘โรมมี่ ,ป้าหอพีนัท และบลูโรส’
“สังหารแมวริน” สมกับความเป็นดาร์ก ซึ่งนิยมรับประทานแมวเป็นที่หนึ่ง แน่นอนว่าบทกวีนี้เกี่ยวกับแมวซึ่งถูกนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารในเมนูที่มีชื่อว่า “แมวย่าง”
และยังมีอีกมากมายหลากหลายบทกวีและบทเพลง ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำการยกตัวอย่างไปเบื้องต้นแล้ว เวลานี้ดวงตะวันได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ต่อจากนี้คงต้องหาที่พักผ่อนสักที่เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อในวันถัดไป
----Last----
เข้าสู่วันที่สาม เด็กสาวสวมกางเกงวอร์มตัวสุดท้ายที่เตรียมมา เสื้อเชิ้ตถูกสวมโดยเด็กสาว รวมทั้งเฮดโฟนขนาดใหญ่ เพลงเบา ๆ ถูกเปิดผ่านไอโฟนที่แจ้งเตือนว่าแบตเหลืออีกไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซนต์ กางแผนที่ออกดูพร้อมโยนก้อนหินกลมเพื่อสุ่มหาที่ที่จะไปต่อ (เอิ่มส์ คือไม่มีลูกเต๋า #ผิดส์555)
เด็กสาวเดินเข้าไปได้ก้าวเดียวก็รู้สึกขนลุกทันที แต่ไม่ได้กระทบกระเทือนถึงจิตใจในขณะนั้น เธอทำใจกล้าเดินต่อไปด้านใน สถานที่โดดเด่นที่เธอพบและอยากเข้าไปสำรวจ
‘สุสานลึกลับ’ เมื่อเดินเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าวเธอก็รีบเปลี่ยนเพลงจากเบาๆ เป็นจังหวะหนักหน่วงตามสไตล์เพื่อกำจัดความกลัว
“...สุสานแห่งความมืด ในหลุ่มอันเยือกเย็น เเละหนาวเหน็บ
ที่ซึ่งสุดท้ายเเล้ว ทุกคนล้วนต้องมาพำนัก
เต็มไปด้วยเสียงร่ำร้อง แห่งความโศกเศร้า
และอาลัยอาวรณ์ของเหล่าวิญญาณ...”
เด็กสาวอ่านข้อความนั้นแล้วรู้สึกถึงสัจธรรมอันเที่ยงแท้ ที่สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะเป็นใคร เราก็ต้องตายกลายเป็นซากศพในสุสานอยู่ดี
เมื่อเดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็พบกับทางลับที่ไม่น่าจะอยู่แถวนี้ได้ ด้วยความอยากรู้เธอจึงเดินเข้าไป
เมื่อเข้าไปแล้วเธอต้องชะงักเมื่อพบว่ามันคือทางเชื่อมกับสุสานลึกลับ เบื้องหน้าเต็มไปด้วยเนื้อดินนูนพร้อมกับป้ายปักเพื่อแสดงว่าตรงนี้ที่ใคร เด็กสาวหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินไปทางซ้ายมือซึ่งเป็น อาคารเกียรติประวัติสุสานลึกลับแห่งดาร์คแลนด์
“...ในหลุมศพอันเยือกเย็น ขอเจ้าจงหลับใหล
ไปพร้อมความอบอุ่นจากใจเรา
ในค่ำคืนอันเปลี่ยวเหงา ใจของเราส่งไปหา
ค่ำคืนอันมืดมิด แสงแห่งพระเจ้าจะส่องทาง
โปรดจงปล่อยวาง อย่าเหนี่ยวรั้งสิ่งใด
ให้เป็นภาระแห่งดวงวิญญาณเลย.
เช่นนั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดต้องกังวล ไม่มีสิ่งใดต้องโศกเศร้า
เจ้าเพียงเเต่ไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า
พระองค์จะรับเจ้าไปอยู่ ณ ดินแดนของพระองค์...”
เด็กสาวเดินชมสถานที่นี้อยู่สักพัก จึงเร่งกลับไปทางเดิมเพื่อเดินเที่ยวในแคว้นแห่งน้ำตาต่อ โดยไม่ลืมถ่ายรูปข้อความทิ้งถ่ายไว้ด้วย
“...สุสานลึกลับแห่งดาร์คแลนด์
ยินดีต้อนนรับทุกท่าน
สุดท้ายแล้ว
ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ใด
เทพ ปีศาจ มนุษย์ ยิ่งใหญ่เพียงใด
ท่านจำต้องยอมรับว่าไม่มีใครเป็นอมตะ
ทุกคนล้วนต้องอยู่ที่นี่
...สถานที่พักพิงสุดท้าย....
เหตุเช่นนี้
จึงขอให้พวกท่านใช้ชีวิต ณ ปัจจุบันให้มีความสุข
เห็นคุณค่าของชีวิต
บอกรัก คนที่ตนรัก
กอด คนที่ตนห่วง
เพราะเมื่อถึงวันสุดท้ายของทุกท่าน
จะได้ไม่ต้องคร่ำครวญ...”
‘บ้านร้าง’
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่โดดเด่นในสายของเด็กสาว เธอเดินเข้าไปภายในอย่างไร้ความเกรงกลัวแต่อย่างใด เมื่อเดินเข้าไปเธอได้ค้นพบอะไรหลายอย่างมากมาย
บ่อน้ำมากมายที่ล้วนแต่ไม่ดีทั้งนั้น
“...บ่อน้ำแห่งความฝัน... จะดึงความทรงจำทกคนไป... เพื่อให้ใครบางคนได้กลืนกิน... เมือกลืนกินความฝันแล้วจะกลายเป็นผู้มีอำนาจ และผู้ที่ถูกกลืนกินความฝันจะกลายเป็นบ้าชั่วนิรันดร์..."
“...บ่อน้ำแห่งความงาม... กลั่นมาจาก วิญญาณ หยาดน้ำตาเเละความทุกข์ยาก จะช่วยลบเลือนิ้วรอยเเห่งวัยได้ดี...”
“...บ่อน้ำแห่งโลหิต กลั่นจากโลหิตชายหนุ่ม ให้หญิงสาวได้ลงอาบ...เพื่อคงความงามอันเป็นนิรันดร์...”
เด็กสาวเลือกที่จะไม่เผยแพร่ข้อมูลทั้งหมดเพื่อให้ผู้อื่นได้เดินทางไปเองหากได้เห็นบันทึกนี้ เธอเดินออกมาจากบ้านร้างหลังนั้นก่อนจะเดินหน้าต่อไปยังสถานที่อื่น
“มืดแล้วหรอเนี่ย” เธอว่าหลังจากโผล่หัวออกจากบ้านร้าง
เด็กสาวรีบเร่งเดินทางไปยัง ‘ร้าน Krispy Kream’ เพื่อหามื้อค่ำ (วันๆกินแค่สองมือพอ ประหยัด) และถือโอกาสขอเจ้าของร้านพักผ่อนด้วยเลย อณุญาติเอง
----Finish----
เช้าอันสดใส ไร้มวลเมฆ เด็กสาวต้องรีบปฏิบัติภารกิจในช่วงเช้า ทั้งล้างหน้า บ้วนปาก อาบน้ำ อย่างรวดเร็ว พร้อมกับจ่าตังค่าที่พักในร้ายขนมที่เจ้าของร้านอุตส่าห์ใจดีเห็นแก่ตัง มอบที่พักเป็นโซฟาในร้านให้พักอย่างหรูหรา แต่ทำยังไงได้เมื่อไม่มีที่พักที่ดีกว่านี้
เมื่อกลับถึงห้องพักในโรงเรียน เธอแทรบทรุด กระเป๋าเป้ เฮดโฟน ไอโฟน ถูกโยนอย่างไม่ใยดีลงบนที่นอน ร่างเล็กนอนหลับอย่างกุลสตรี
เวลายี่สิบสามนาฬิกา ห้าสิบนาที เด็กสาวสะดุ้งตื่นเพราะลืมส่งข้อสอบที่ว่าให้ไปทัวร์รอบดาร์คแลนด์ โชคยังดีที่เหลือเวลาอีกสิบนาที ทำให้เธอส่งทันพอดี ก่อนเที่ยงคืน
จบบันทึกอย่างสวยงาม (?)
ความคิดเห็น