บทสัมภาษณ์ วิกรม กรมดิษฐ์ จากรายการตอบโจทย์ประเทศไทย พูดถึงประเทศต่างๆในอาเซียน บทสัมภาษณ์คุณ วิกรม กรมดิษฐ์ จากรายการตอบโจทย์ประเทศไทย พูดถึงประเทศต่างๆในอาเซียน ลักษณะนิสัยของผู้คนเวียดนาม จีน ลาว พม่า เขมร เศรษฐกิจอาเซียน ประเด็นทำไมเวียดนามเจริญกว่าไทย ทำไมปัจจุบันจีนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
ที่มา รายการตอบโจทย์ประเทศไทยทางสถานีโทรทัศน์ ThaiPBS ประจำวันอังคารที่ 8 มกราคม 2556
พิธีกร: ตอบโจทย์ประเทศไทยวันนี้ เรามาสนทนากับนักธุรกิจไทยที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของประเทศ ผู้ที่เดินทางจากประเทศไทยเข้าสู่กัมพูชา เข้าสู่เวียดนาม เข้าสู่สาธารณะรัฐประชาชนจีน ไปจนถึงมองโกเลียก่อนที่จะเดินทางย้อนกลับเข้าสู่พม่า ประเทศลาวแล้วกลับมาที่ประเทศไทย อะไรคือประสบการณ์ที่เขาได้เห็นจากการเดินทางไกล ประสบการณ์เหล่านั้นย้อนกลับมาสู่ประเทศไทยให้บทเรียนอะไร ตอบโจทย์ประเทศไทยวันนี้สนทนากับคุณวิกรม กรมดิษฐ์ครับ
พิธีกร: คุณวิกรมปีที่ผ่านมาเดินทางจากประเทศไทยไปไกลถึงมองโกเลีย ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรที่สำคัญในเอเชียบ้างครับ
คุณวิกรม : ถ้าไปครั้งนั้นคงไม่เห็นอะไรนะครับ ไปครั้งนั้นมัน 30 ปีมาแล้ว ประเทศจีนนั้นตอนนี้ถือว่าเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ว่าไปแล้วประเทศจีนถือว่าเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ที่จริงแล้วเส้นทางที่ผมเดินทางไป ผมออกจากกรุงเทพ เข้าพนมเปญ แล้วก็เข้าโฮจิมิน ขึ้นฮานอย แล้วก็ทะลุไปกวางสี เกาะไปสู่ชายทะเลของจีนแล้วขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของประเทศจีนที่มั่วเหอ แล้วมั่วเหอเสร็จก็วกเข้าไปสู่มองโกเลียใน แล้วก็เข้าสู่ประเทศมองโกเลีย ผมอยู่ในประเทศมองโกเลียประมาณสักเกือบเดือนนึง แล้วถึงตีกลับมาเข้าจีนอีก เข้าจีนแล้วก็ทะลุจีนเข้ามาที่ลาว ข้ามจากลาวไปก็ไปพม่าที่ทวาย รวมแล้วประมาณ 6 เดือนครึ่ง ถึงกลับมาเมืองไทยครับ
พิธีกร: ทีนี้ผมจะไล่ไปทีละประเทศ คุณวิกรมออกจากไทยแล้วไปเขมร เขมรเนี่ยไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ไป แม้ว่าจะอยู่ใกล้ มีศึกสงครามมายาวนานและความขัดแย้งในประเทศสูง ในรอบล่าสุดเห็นความปลี่ยนแปลงอะไรมั้ยครับ
คุณวิกรม : ผมว่าเขมรเป็นประเทศที่น่าสนใจมาก โดยทำเลของเขมรแล้วนี่ถือว่าอยู่ในที่ๆเขาเรียกว่าดาวน์สตรีม คืออยู่ในที่ราบลุ่มของแม่น้ำแม่โขง ฉะนั้นถ้าเราจะมามองว่าเขมรนี่ก็คือที่ๆอุดมสมบูรณ์ ถ้าเข้าไปในเขมรจะมีความรู้สึกว่า โอกาสในเขมรนั้นเยอะมาก เอาง่ายๆว่า คนเขมรปลูกอะไร ขุดอะไรขึ้นมา คนไทยซื้อได้หมด ขณะเดียวกันที่คนไทยผลิตอะไร แล้วมีอะไรในประเทศไทย คนเขมรเขาก็ซื้อได้หมด นั่นก็คือสิ่งที่ผมเห็นในเขมร มีความรู้สึกว่านั่นคือโอกาส แล้วเขมรนั้นมีโอกาสให้สำหรับคนไทยมากที่สุดในภูมิภาคนี้ ไม่มีประเทศใดๆในภูมิภาคนี้ที่จะสามารถสร้างโอกาสในการทำธุรกิจ ในเชิงธุรกิจ ได้มากเท่ากับเขมร
พิธีกร: เพราะอะไรถึงเป็นเขมรที่ให้โอกาสกับคนไทยมากที่สุดครับ
คุณวิกรม : เอ่อ เพราะเขามาข้างหลังเรา เหมือนกับทำไมเราต้องไปซื้อของญี่ปุ่นทุกอย่างที่ญี่ปุ่นผลิตได้ เพราะเราเดินอยู่ข้างหลังญี่ปุ่น ทฤษฎีเดียวกันครับ เขมรก็เป็นแบบนั้น
พิธีกร: ทีนี้จากเขมร ผมขออนุญาตชวนเลี้ยวไปทางเวียดนาม แล้วช่วงหลังคนไทยจะชอบเปรียบเทียบตัวเองกับเวียดนามว่า ระวังให้ดีเถอะเวียดนามจะแซงหน้าไทย ตกลงมันเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า
คุณวิกรม : ก็จริงนะ เพราะว่าคนเวียดนามเป็นคนที่มีสมาธิ เป็นคนที่ตั้งใจ เป็นคนที่มุ่งมั่น และที่สำคัญที่สุดเขาเป็นคนที่อดทน เห็นได้จากอย่างนี้ว่า ผมไปพูดในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยของเวียดนามเนี่ย ผมไปพูดแล้วมีความรู้สึกว่าผมอยากจะพูด
พิธีกร: เพราะอะไรครับ
คุณวิกรม : เพราะว่านักเรียนเวียดนาม... ยกตัวอย่าง ผมไปพูดที่ไซ่ง่อน เขาเชิญนักเรียนทั้งหมดมาจากประมาณ 20 มหาวิทยาลัยมา มีทั้งหมดประมาณพันกว่าคน อยู่ในห้องโถงใหญ่เลย ผมพูดไปชั่วโมงครึ่ง ผมไม่เห็นมีนักเรียนคนไหนเขาคุยกัน เขาหลับ เขาไม่ตั้งใจเลยสักคน แล้วเหลืออีกประมาณชั่วโมงกว่า เขาถามกันหูดับตับไหม้ ในขณะเดียวกันผมก็ไปที่มหาวิทยาลัยอื่น ทุกคนก็ตั้งใจฟังกันหมดเลย มันเป็นสิ่งที่วิเศษมากของคำว่าความตั้งใจ คนเวียดนามมีความตั้งใจสูงเหลือเกิน ไอ้ความที่ตั้งใจสูงก็ทำให้การเรียนรู้ดีขึ้น ไอ้เด็กนักเรียนที่เขาเรียนไม่เก่งนั่นมันเป็นเพราะเขาไม่ตั้งใจ ไม่ใช่เขาเรียนไม่เก่ง อันนี้ก็ทำให้คนเวียดนามเก่งเพราะเขาตั้งใจ ผมไปพูดอยู่ในเวียดนามสักประมาณ 6-7 ครั้ง ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผิดหวัง ผิดกับตอนที่ไปพูดในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยในเมืองไทยนั้นผมผิดหวังมาเยอะ
พิธีกร: ผิดหวังกับอะไรครับ
คุณวิกรม : ผิดหวังกับความตั้งใจของนักเรียน ไอ้เราคุย เราพูด ไอ้พวกนี้นั่งคุยกัน หรือไม่ก็โทรศัพท์กัน หรือไม่ก็หลับ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ผมเลยบอกว่า ครั้งสุดท้ายนี่ผมคิดว่าผมคงไม่อยากไปพูดอีกแล้ว ในมหาวิทยาลัยใดๆในเมืองไทย ผมไปพูดครั้งสุดท้ายที่บัญชีของจุฬา บัญชีจุฬาก็ยังดีนะแต่ก็ยังมีพฤติกรรมแบบนั้น ไอ้อันนั้นคือความต่างของคนเวียดนามกับคนไทย ว่าทำไมคนเวียดนามถึงได้เก่งกว่าคนไทย เพราะเขาตั้งใจ ไม่ใช่ว่าสายพันธุ์คนเวียดนามเก่งกว่าคนไทย ไม่ใช่ แต่เป็นเพราะเวียดนามเขาถูกฝึก ถูกอบรมแล้วคนเวียดนามนี่เขาตั้งใจฟัง ผมคุยกับคนเวียดนามนี่ ผมมีความรู้สึกเขามีสมาธิกับผมเยอะมาก นั่นก็เป็นเหตุว่าทำไมผมถึงไปลงทุนในเวียดนาม
พิธีกร: ทีนี้คุณวิกรมบอกว่าไปนั่งพูดเป็นชั่วโมง ไม่มีคุยกัน ไม่มีโทรศัพท์ ไม่ออกจากห้อง เสร็จแล้วถามคำถามต่อ คนเวียดนามถามคำถามอะไรคุณวิกรมบ้างครับ
คุณวิกรม : เขาถามคำถามที่ make sense มากนะ เด็กเวียดนามนี่ถามคำถามที่ผมนึกไม่ออก เป็นคำถามที่.. ผมก็จำไม่ได้หรอกนะ แต่รู้สึกว่าเป็นคำถามที่ผมพอใจเป็นอย่างมากในคำถามนั้นแทบจะทุกคำถาม เอาเป็นว่าร้อยละ 90 ผมมีความพอใจในคำถามของเด็กเวียดนามที่ถามผม แล้วผมก็มีความสุขที่จะตอบให้เขา พอผมพูดเสร็จ เขายกมือกันสลอนเลย มันเป็นสิ่งที่ผมแฮปปี้ที่สุดที่ผมได้ไปพูดในเวียดนาม
พิธีกร: มหาวิทยาลัยไทย โรงเรียนไทย ครูถามนักเรียนตอนพูดเสร็จ คนเห็นอะไรฮะเวลามองไป
คุณวิกรม : ก็เงียบๆ อันนี้คือปัญหา
พิธีกร : มียกมือขึ้นมากันบ้างไหมครับ
คุณวิกรม : น้อยมาก นี่คือปัญหา
พิธีกร : เห็นความแตกต่างชัดเจน
คุณวิกรม : ผลของการเรียน...เราจะเห็นได้เลยว่านักเรียนที่เรียนเก่งเขาตั้งใจเรียน ไม่มีอัจฉริยะคนไหนที่รู้มาจากในท้องแม่โดยที่ไม่ต้องเรียน ทุกคนจะต้องตั้งใจเรียนและตั้งใจฟัง สิ่งเหล่านี้มันอ่อนแอมากในสังคมการศึกษาของคนไทย
พิธีกร : ทีนี้ถ้าเด็กนักเรียนเป็นอย่างนี้ แล้วนักธุรกิจเวียดนามเป็นอย่างไรครับ
คุณวิกรม : นักธุรกิจเวียดนามนี่ถือว่า เข้ม เก่ง อึด แล้วก็มีไดรฟ์ มีความมุ่งมั่นสูง สูงมากๆ ตอนอเมริกาทิ้งระเบิดในเวียดนามถ้าเอามาเรียงต่อกันได้เส้นรอบวงของโลกสามรอบ ถ้าคนเวียดนามไม่เป็นอย่างนี้ เขาแพ้ไปแล้ว ความมุ่งมั่นของนักธุรกิจเวียดนามนี่มันอึด มันอดทน เพราะพวกนี้เขาอยู่ในป่า พวกนี้เขารบกันมาตลอด แล้วพวกนี้เขาเผชิญกับความลำบากมา เช่นเดียวกัน พอเวลามาทำธุรกิจ ธุรกิจนี่มันไม่ได้ยาก มันไม่ได้หนักหนาสาหัสสากรรจ์ ผมทำงานอยู่ในเวียดนามาเกือบยี่สิบปี บริษัทที่ลงทุนนะ ผมรู้เลยว่าคนเวียดนามเก่ง คนเวียดนามใฝ่รู้ คนเวียดนามใฝ่อ่าน เวลาประชุม รายงานการประชุมทุกอย่าง คนเวียดนามอ่านแทบจะทุกตัว ซึ่งมันต่างกับในบอร์ดของในคนไทย อย่างคนไทยจะมาประชุมนี่ยังไม่ค่อยได้อ่าน ไอ้นี่ก็เป็นส่วนหนึ่ง ไอ้ธุรกิจธุรกรรมนี่เราลองไปดูคนเวียดนามในต่างประเทศสิ ดูว่าคนเวียดนาม คนไทย คนจีน หนึ่งต่อหนึ่ง ใครรวยกว่ากัน เห็นมั้ยครับว่าความตั้งใจนั้นเป็นชัยชนะของความรู้ ถ้าคนเราไม่ตั้งใจความรู้มันจะมีได้ยังไง
พิธีกร : ทีนี้คนเวียดนามเป็นแบบนี้ คุณวิกรมเข้าไปจีนแล้วเป็นยังไงครับ
คุณวิกรม : อื้ม ผมไปพูดให้ในประเทศจีนสักสองสามแห่งนะ ผมว่าสมาธิเด็กนักเรียนจีนสู้เด็กเวียดนามไม่ได้ ไม่เต็มเปี่ยมเท่าเด็กเวียดนาม คนจีนฉลาด คนจีนเรียนรู้เร็ว คนจีนเยอะ ความได้เปรียบของคนจีนอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าเทียบหนึ่งต่อหนึ่งผมว่าคนเวียดนามแจ๋วกว่าคนจีน แต่ถ้าทั้งประเทศนี่มันสู้ไม่ได้หรอก
พิธีกร : ถ้านักเรียนจีนเป็นอย่างนี้แล้วนักธุรกิจจีนเป็นยังไงครับ
คุณวิกรม : คนจีนนี่โหยหิวเรื่องความรวย คนจีนมีความชอบเรื่องเงินทอง คนจีนเช้าขึ้นมาปั๊บก็จะคิดเรื่องผลประโยชน์ เรื่องทำธุรกิจ คนจีนทำอะไรไม่เป็น นอกจากทำธุรกิจ นั่นคือโครงสร้างของจีน ของพันธุกรรมคนจีนที่มีมา 5,000 ปี ประเทศจีนนี่ถ้ามาว่ากันแล้วมันก็ค้าๆขายๆ ประเทศจีนใหญ่มาก คนจีนด้วยกันเองก็ค้าขายกัน ฉะนั้นการสร้างไหวพริบในการแข่งขันของคนจีนมันถูกฝึกด้วยตัวของประเทศจีนมาหลายชั่วคน อันที่สองจีนในช่วงที่ผ่านมานั้นพื้นฐานดี เราต้องยอมรับนะครับว่าเสถียรภาพของจีนนั้นเกิดมาจากระบบคอมมิวนิสต์ เหมาเจ๋อตุงนั้นปิดประตูตีแมว รวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น เมื่อประเทศมีเสถียรภาพ เติ้งเสี่ยวผิงก็เปิดประตูให้นักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนมากที่สุดในโลก ประการที่สามคือขยัน ขยันรวย ใฝ่รวย แล้วก็ชอบรวย ประเทศจีนก็เลยประสบความสำเร็จ ประเทศจีนหลังจากที่เปิดประเทศมานี่ GDP ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร น้ำมันจะขึ้นมากี่รอบแล้ว ประเทศจีนไม่มีตก เพราะว่าสามเหตุผลที่ว่า บวกด้วยเรื่องของโลก พอสงครามเย็นหยุดไป โลกทั้งโลกก็หันมาทำธุรกิจ สิ่งที่โลกทั้งโลกต้องการใช้ก็คือสินค้า ประเทศจีนนี่สินค้าระดับกลางลงล่าง ทั้งหมดของโลกผมว่าสินค้าจีนประมาณ 60% ฉะนั้นจีนก็หุ้นขึ้นๆ เพราะโลกต้องการสินค้าที่จีนผลิต แล้วอีกประการหนึ่งที่ผมมองแล้วมันตลกมากก็คือสิ่งแวดล้อม ผมเดินทางอยู่ในประเทศจีนทั้งหมดเกือบสามเดือนเต็ม รถของเราวิ่งอยู่บนถนน ผมไม่เห็นถนนเส้นไหนเลยที่ไม่ปลูกต้นไม้ แล้วปลูกหลายชั้น ปลูกจนกลายเป็นป่า ผมไม่เห็นที่ไหนทิ้งโล่ง ไม่มีเลย มีการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเยอะมาก และมีการจัดโซนการใช้มอเตอร์ไซค์ที่ใช้น้ำมันตามเมืองใหญ่ด้วย มันเห็นได้ว่าไม่ใช่พัฒนากันแต่ด้านเศรษฐกิจ ตอนนี้พัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมแล้วก็พลังงานสีเขียวด้วย
พิธีกร : ที่คุณวิกรมเล่าประวัติศาสตร์มา เหมาเจ๋อตุงรวมประเทศเข้าไว้ด้วยกัน เสร็จแล้วเติ้งเสี่ยวผิงมาเปิดประเทศ แต่ยังมีความแตกต่างทางชนชั้นอยู่มาก คุณวิกรมเห็นปัญหานี้ไหมครับ
คุณวิกรม : ก็จริงสิ จะมีใครที่ไหนที่จะไปทำให้ประเทศจีนรวยเท่ากันได้ ไม่มีทางหรอก ประเทศจีนใหญ่มาก เอาอย่างนี้ดีกว่า ประเทศจีนแค่ภาษาอย่างเดียวนี่มีเป็นพันภาษา คำว่าหนึ่งภาษานี่หนึ่งความคิดนะ คนจีนเมื่อสามสิบปีที่แล้วนี่จนที่สุดในโลกนะ พอสามสิบปีให้หลังกลายเป็นประเทศที่รวยที่สุดในโลก เขาทำได้ยังไง มีประเทศไหนทำได้บ้าง ไม่มี
พิธีกร : แล้วคนที่รวยมากๆเป็นซุปเปอร์มหาเศรษฐี ขับรถคันละสามสิบสี่สิบล้านกับคนที่จนมากๆขี่จักรยานข้าวไม่มีจะกิน มันอยู่ด้วยกันในสังคมได้ยังไง
คุณวิกรม : ที่ไหนๆมันก็เหมือนกันทั้งนั้นมีทั้งคนจนที่สุดกับรวยที่สุดอยู่ด้วยกัน
พิธีกร : แล้วนักธุรกิจหรือผู้นำในประเทศจีนเขามีความกังวลเรื่องความแตกต่างทางชนชั้นไหมครับ คุณวิกรมสัมผัสได้ถึงตรงนี้ไหม
คุณวิกรม : วันนี้ไงถึงต้องมีผู้นำยุคใหม่ ผมว่ามันทำกันเป็นทอดๆมา ทอดแรกนี่ทำยังไงให้มันตกผลึก ให้มันกลายมาเป็นปึกแผ่น เหมาเจ๋อตุงนี่ปิดประตูตีแมวเลย เติ้งเสี่ยวผิงนี่ถือว่าจน เติ้งเสี่ยวผิงรู้เลยว่ายุโรปนั้นเจริญมาก เพราะเขาไปทำงานอยู่ในฝรั่งเศส ก็เลยเปิดประเทศ เป็นช่วงก่อร่างสร้างตัวเอง ผ่านมาถึงจนยุคหูจินเถานี่รู้สึกว่า เขาตอนนี้พัฒนา เขาประสบความสำเร็จแล้ว ผ่านมาตอนนี้ความต้องการของเขาคือต้องการให้คนจีนมีความกินดีอยู่ดีเพิ่มขึ้นจากเดิม แน่นอนว่าช่องว่างระหว่างคนจนกับรวยยังมีอยู่ ต่อมาฉีจิ้นผิงได้ทำการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอยู่จุดนึงเขาพยายามกวาดล้างคอร์รัปชั่น เขาพยายามทำให้ช่องว่างนั้นมันแคบลง เช่นเวลาผู้นำไปเมืองไหน เขาจะต้องมีการปิดถนน มีการจัดงานต้อนรับ อะไรต่ออะไร แต่พอฉีจิ้นผิงขึ้นมาแล้วนี่ไม่มี มันเป็นการสร้างความรู้สึกเพื่อลดช่องว่างระหว่างชนชั้น และการที่มีรัฐบาลเพียงพรรคเดียว ใครที่กุมอำนาจ คนนั้นย่อมทำอะไรได้เยอะ ทำอะไรก็ได้ เราต้องยอมรับว่าคนจีนมีเยอะที่รวยได้แบบไม่ถูกต้อง ตอนนที่หูจินเถาเป็นผู้นำเขาพูดในวันชาติจีนว่า สามสิบปีมานี้จีนประสบความสำเร็จเพราะลัทธิคอมมิวนิสต์ เพราะฉะนั้นจีนจะละทิ้งคอมมิวนิสต์ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนจะมีปัญหาเรื่องความมั่นคงของประเทศ พอฉีจิ้นผิงขึ้นมาเป็นผู้นำเขาต้องการล้างภาพพจน์ที่ว่าผู้นำพอมีอำนาจแล้วก็ใช้อำนาจนั้นมาทำประโยชน์ในเรื่องส่วนตัว
พิธีกร : แล้วประชาชนเขามีความคิดเห็นอย่างไร
คุณวิกรม : คนจีนมีความกังขา เดี๋ยวนี้อินเตอร์เน็ตมันเป็นตัวนำพาข้อมูล เวลามีข่าวว่าผู้นำคนไหนมีเงิน หรือข่าวที่ผู้นำใช้อำนาจในทางผิดๆ สิ่งเหล่านี้กำลังเริ่มคุกรุ่นในสังคมจีน เดี๋ยวนี้ความโปร่งใสนั้นเป็นเป้าหมายอย่างเดียวที่รัฐบาลจีนต้องทำให้ได้ รัฐบาลจีนตอนนี้ไม่กลัวเรื่องเศรษฐกิจ เพราะตัวเองตอนนี้มีเงินมากเหลือเกิน แล้วก็ไม่กลัวว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงยังไง จะมีเศรษฐกิจเป็นยังไง แต่ที่ต้องการรักษาจริงๆคือเสถียรภาพของรัฐบาล การเมืองจีนนั้นนิ่งเพราะมีพรรคอยู่พรรคเดียว แต่เสถียรภาพของรัฐบาลนั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของประชาชน วันนี้ถ้ามีข่าวอะไรขึ้นมาเนี่ย มันเร็วกว่าสมัยเทียนอันเหมินหลายสิบเท่า นี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนห่วงมาก
พิธีกร : ถ้าอย่างนั้นอะไรที่จะสั่นคลอนพรรครัฐบาลที่อยู่มาอย่างเข้มแข็งถึง 50 ปีได้
คุณวิกรม : ประชาชน ประเทศจีนนี่ถ้าประชาชนเขาลุกฮือขึ้นมาพร้อมๆกัน รัฐบาลจะมีทหารอีกกี่สิบล้านคนก็คุมสถานการณ์ลำบาก คนจีนนั้นหัวรุนแรงนะ ผมไปประเทศจีนสิบครั้ง ผมเจอคนจีนชกกันสองครั้ง คนจีนเป็นคนที่อารมณ์รุนแรง แล้วเดี๋ยวนี้มีคอมพิวเตอร์กันแทบจะทุกคน การนัดหมายกันโดยคอมพิวเตอร์ทำได้ง่าย รัฐบาลก็เป็นห่วงเรื่องนี้มาก การแก้ไขก็คือการสร้างผลงานที่โปร่งใส
พิธีกร : แล้วถ้ารัฐบาลจีนแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นไม่ได้
คุณวิกรม : ต้องได้ ถ้าไปดูผู้นำจีนนี่เป็นวิศวะแทบทั้งนั้น วิศวะนั้นถ้าจะทำอะไรต้องทำให้ได้ นั่นคือสิ่งที่ผู้นำจีนคิดว่าต้องทำให้ได้
พิธีกร : ทีนี้วกมาที่พม่าบ้าง ตอนนี้พม่าเปิดประเทศแล้ว คุณวิกรมเห็นอะไรในพม่าที่คนทั่วไปไม่เห็นครับ
คุณวิกรม : คนอื่นเขาก็เห็นกันนะ ไม่ใช่แต่ผมหรอก ผมไปพม่ามาตั้งหลายปีแล้วนะ ตั้งยี่สิบสามสิบปีแล้ว ผมเห็นว่าพม่าไม่มีในสิ่งที่เรามี แล้วเราก็ไม่มีในสิ่งที่พม่ามีด้วย ทรัพยากรธรรมชาติพม่ามีล้นเหลือ เขามีทำเลที่ดีคือเขาติดมหาสมุทรอินเดีย ประเทศไทยเราทุกวันนี้สินค้าของเราต้องลงไปทางอ้อมลงใต้ไปช่องแคบมะละกา ถ้าไทยอาศัยอาเซียน อาเซียนกฎบัตรก็คือไม่มีพรหมแดน ถ้าอาศัยในสิ่งที่พม่ามีคือโลเกชั่นติดทะลนั้น จะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คนไทยจะต้องมองโลกให้เป็น มองโลกให้ทะลุ เราต้องตีไข่ให้แตกอย่างคนเกาหลีว่าจะใช้คนทั้งโลกนี้ให้ถูกต้องได้อย่างไร โลกใบนี้ตลาดใหญ่มาก ถ้าเราคุยกับพม่าเป็นแล้วใช้กฎบัตรของอาเซียน เราก็จะอยู่ตรงกลางที่ยืนอยู่สองฟากคือมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย สินค้าไทยจะลดต้นทุนลงไปอย่างน้อยสามถึงสี่เปอร์เซ็นต์ในเรื่องของเวลาและค่าขนส่ง แล้วก็จะทำให้เรานั้นมีตลาดกว้างขึ้น
พิธีกร : ถ้าคุยถึงพม่าก็ต้องพูดถึงทวาย ถ้าทวายเกิดขึ้น จะมีอะไรเปลี่ยนบ้าง
คุณวิกรม : เปลี่ยนเยอะเลย อย่างสิ่งที่จะถูกลงคือพืชผลทางการเกษตร เราสามารถเอาไปลงเรือใหญ่ที่พม่าได้เลย แล้วการท่องเที่ยวก็จะมากขึ้น การค้าก็จะมากขึ้น การลงทุนในระยะยาวในภูมิภาคนี้ก็จะมากขึ้น ทวายจะเปลี่ยนภูมิภาคนี้
พิธีกร : การเมืองพม่าพลิกไปพลิกมา มีอะไรน่าหวาดเสียวไหม
คุณวิกรม : มองในมุมคนไทยก็พลิกสิ ถ้ามองในมุมคนพม่า รัฐบาลทหารก็คือรัฐบาลทหาร มีเปลี่ยนที่ไหน รัฐบาลทหารมาตั้งกี่สิบปีแล้ว
พิธีกร : นักธุรกิจคุยกับรัฐบาลทหารยังไงครับ
คุณวิกรม : ที่จริงนี่คุยกับรัฐบาลทหารง่ายกว่าที่จะไปคุยกับนักการเมืองแบบไทยๆ
พิธีกร : เพราะว่าอะไรครับ
คุณวิกรม : ก็รัฐบาลทหารเขาคุยกันแบบทหารไง เขาไม่ปลิ้นปล้อนน่ะ ทหารนี่เขาพูดกันคำไหนคำนั้นนะ ผมเนี่ยชอบทหารเวียดนาม ผมนี่ชอบคบกับพวกทหารนะ ผมชอบทำงานกับทหาร อาจจะเข้ากันยากนิดนึงในช่วงแรก เพราะทหารนี่ค่อนข้างจะระวังตัว แต่ถ้าเราทำอะไรที่ให้เห็นถึงสัจจะ ความซื่อสัตย์ ความมุ่งมั่นที่ดี
พิธีกร : ที่นี้วกมาที่ลาวบ้าง ประเทศเล็กๆ แต่ตั้งอยู่ตรงกลางที่เดินทางมาทั้งหมด ลาวเป็นอย่างไรในสายตาคุณวิกรม
คุณวิกรม : รวยกว่าคนไทยนะคนลาวน่ะ ในระยะยาวไม่ใช่วันนี้ เพราะว่าลาวนี่เอาเฉพาะไฟฟ้าที่ทำด้วยพลังงานน้ำ ของลาวมีประมาณ 30,000 เมกะวัตต์ เท่ากับที่เราใช้ทุกวันนี้ แต่ลาวยังมีถ่านหินที่สามารถผลิตเป็นไฟฟ้าได้อีกประมาณ 20,000 เมกะวัตต์ ลาวมีประชากรนิดเดียว ไทยมีมากกว่าประมาณ 10 เท่า แต่ปรากฏว่าลาวมีไฟฟ้ามากกว่าคนไทย แล้วทรัพยากรของลาววันนี้สมบูรณ์มีมากกว่าประเทศไทยหลายเท่า แล้วพื้นฐานของเขานั้นเขาอยู่กันอย่างพอเพียง ผมว่าประเทศลาวเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุด ไม่มีประเทศไหนนะที่เอาเมืองหลวงมาตั้งที่ชายแดน เพราะเขามองว่าเขาไว้ใจประเทศไทย คนไทยไม่ควรจะไปดูถูกคนลาว ไม่ควรจะไปว่าคนลาว ผมว่าคนลาวน่ารักกว่าคนไทยเยอะเลย เขายิ้ม เขาพูดจาด้วยความซื่อ แล้วเขาจริงใจกับเรา ภาษาพูดก็คล้ายๆกัน เดี๋ยวนี้เวียดนามกลายเป็นมือหนึ่งของนักลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในลาว เพราะคนลาวกำลังลดน้อยเรื่องความเชื่อมั่นที่มีต่อไทย คนไทยชอบไปดูถูกเขา ชอบไปเรียกเขาไอ้ลาว ชอบไปว่าเขาว่าไม่ฉลาด นึกว่าตัวเองฉลาดมากนักรึไง อันนี้ทำให้คนลาวถอยห่างจากเรา แต่คนเวียดนามนี่เขาให้เกียรติลาวมากกว่าคนไทย คนไทยชอบหลอกตัวเอง เราบอกว่าเขาเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับเรา แต่เราเป็นพี่ที่ไม่ได้น่านับถือเลย ถ้าเราเป็นพี่ที่น่านับถือใครๆก็อยากเป็นน้อง ประเทศไทยในอดีตเคยเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ เวลานี้เรากลายเป็นผู้ตาม เวลานี้เวียดนามเขาแซงเราไปเยอะมากเพราะเวียดนามเขาไม่ดูถูกคนลาว เดี๋ยวนี้ลาวเขาหันไปใกล้ชิดกับคนเวียดนามทั้งๆที่ทั้งโลกลาวเป็นประเทศเดียวที่ฟังภาษาไทยออก
พิธีกร : ในตอนหน้าเราจะคุยกันว่าแล้วปรเทศไทยจะต้องทำอย่างไร และทำไมประเทศไทยถึงล้าหลัง สำหรับวันนี้สวัสดีครับ
แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่ http://megatopic.blogspot.com
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น