สารคดีสงครามเย็น บทบาทของผู้นำโซเวียต นิกิต้า ครุสชอฟ - สารคดีสงครามเย็น บทบาทของผู้นำโซเวียต นิกิต้า ครุสชอฟ นิยาย สารคดีสงครามเย็น บทบาทของผู้นำโซเวียต นิกิต้า ครุสชอฟ : Dek-D.com - Writer

    สารคดีสงครามเย็น บทบาทของผู้นำโซเวียต นิกิต้า ครุสชอฟ

    ผู้เข้าชมรวม

    409

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    409

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 ก.ค. 56 / 15:57 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      สารคดีสงครามเย็น บทบาทของผู้นำโซเวียต นิกิต้า ครุสชอฟ (Nikita Khrushchev)  

      ดูเรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สุขภาพ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เทคโนโลยี อื่นๆได้ที่นี่ 

      http://megatopic.blogspot.com

      กรุงมอสโคว์ 5 มีนาคม ค.ศ. 1953 โจเซฟ สตาลิน(Joseph Stalin) เผด็จการแห่งจักรวรรดิโซเวียตนาน 30 ปี เสียชีวิตเมื่ออายุ 73 ปี ไม่นานก่อนเสียชีวิต เขาพยากรณ์ให้เพื่อนผู้ใกล้ชิดที่สุด "ผมสงสารคุณเมื่อผมจากไป พวกจักรวรรดินิยมจะไล่บี้คุณเหมือนแมลงวัน" ลาเวรนติ เบเรีย (Lavrenti Beria) และกอร์กี้ มาเลนคอฟ (Georgy Malenkov) เป็นคู่แย่งชิงอำนาจกัน มาเลนคอฟเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ ส่วนเบเรียเป็นหัวหน้าตำรวจลับผู้เหี้ยมโหดเป็นผู้กุมอำนาจอันดับสองในจักรวรรดิโซเวียต ผู้นำระดับสูงของพรรคต่างเกลียดชังและหวาดกลัวเขารวมทั้งนิกิต้า ครุสชอฟ (Nikita Khrushchev)  ในช่วงปีท้ายๆของสตาลิน  ครุสชอฟได้ใกล้ชิดกับจอมเผด็จการแต่ไม่มีใครคาดว่าเขาจะได้เป็นผู้สืบทอดอำนาจ   ครุสชอฟรู้สึกว่าเขามีโอกาสเพียงน้อยนิดที่จะรอดหากเบเรียรับช่วงต่อจากสตาลิน เขาจึงเริ่มแผนการสำคัญที่เสี่ยงมาก เขารู้ว่านายพลผู้เป็นตำนานของโซเวียต กอร์กี้ ยูคอฟ (Georgy Zhukov) เป็นศัตรูลับของเบเรีย  ครุสชอฟชักชวนยูคอฟและผู้นำในพรรคให้สนับสนุนเขา ความกลัวเบเรียทำให้เกิดการรวมตัวกันขึ้น ครุสชอฟรำลึกถึงการประชุมในเครมลิน เมื่อครุสชอฟให้สัญญาณ นายพลยูคอฟและพวกก็บุกเข้าห้องประชุมล้อมตัวเบเรียไว้ ล็อคแขนเขาไขว้หลังและลากเขาออกไป เขาถูกพิพากษาตัดสินโทษและประหารชีวิต แต่ว่าความจริงแล้วการประหารอย่างเป็นทางการไม่เคยมีขึ้น ระหว่างทางจากศาลมาที่ห้องขัง เบเรียถูกยิงโดยทหารของท่านนายพลยูคอฟที่ทั้งเกลียดและกลัวเขาด้วย

      เป็นเวลา 20 ปีที่ นิกิต้า ครุสชอฟต้องรับผิดชอบสิ่งที่เขาทำในครั้งนี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สตาลินมอบหมายให้เขาดูแลยูเครน ระหว่างสงครามเขาได้รับการเลื่อนยศเป็นนายพลตรี เมื่อสงครามสิ้นสุดสตาลินแต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าคณะกรรมการพรรคประจำมอสโคว์ ครุสชอฟทำหน้าที่รับผิดชอบได้เป็นอย่างดี และเขาก็มีด้านที่ผ่อนคลายกับลักษณะนิสัยส่วนตัวด้วย สตาลินเคยเรียกเขาว่าตัวตลก ในช่วงดึกของงานปาร์ตี้ในคฤหาสถ์ของสตาลินนั้น เขาจะกระโดดไปเต้นรำและร้องเพลง เขาเป็นคนชอบเล่นตลกและสร้างอารมณ์ขัน ซึ่งก็ทำได้ดีมาก และตัวตลกของสตาลินก็วางแผนการร้ายเพื่อกลายมาเป็นผู้นำโซเวียตคนใหม่ หลายปีที่ความขัดแย้งในตัวเองเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ครุสชอฟพยายามวางแนวทางให้ห่างจากของสตาลิน แต่ยังใช้นโยบายความแข็งแกร่งทางอาวุธเช่นเดียวกัน เขาพัฒนาสภาพการทำงานและปรับปรุงระบบคอมมิวนิสต์โซเวียต และปราบปรามการแสดงออกด้านเสรีภาพอย่างโหดเหี้ยม และดำเนินสันติภาพกับตะวันตก และนำโลกเข้าสู่ขอบเหวของสงครามนิวเคลียร์ล้างโลก มันกลายเป็นความประหลาดใจของผู้นำต่างชาติ

      ปี ค.ศ. 1955 ที่การประชุมสุดยอดมหาอำนาจทั้งสี่ที่เจนีวา มันแน่ชัดว่าครุสชอฟเป็นผู้รับผิดชอบ บนเวทีแห่งโลกนี้ครุสชอฟรู้ว่าเขาต้องการเชื่อข่าวกรองเพื่อเอาชนะศัตรูระหว่างประเทศเช่นเดียวกับที่เขาใช้ข้อมูลภายในในการรวมอำนาจสหภาพโซเวียต เขาใช้ข่าวสารสำคัญจำนวนมากที่รวบรวมได้ ครุสชอฟจะรอสรุปข่าวกรองต่างประเทศทุกเช้าเป็นรายงานในรูปของข้อมูลดิบที่รวบรวมโดยสายลับเคจีบี ครุสชอฟสนใจในจิตวิทยาผู้นำที่เขาเกี่ยวข้องด้วยอย่างมาก เขามีสองแนวทางในการศึกษาจิตวิทยาของศัตรู วิธีแรกก็โดยการอ่านข้อมูลภายในของพวกเขาที่เคจีบีรวบรวมมาได้ อีกวิธีก็คือการพบปะพวกเขาโดยตรง  สงครามเย็นอยู่ในช่วงขีดสุด  เครื่องบินสอดแนวอเมริกันบินเหนือน่านน้ำโซเวียตเป็นว่าเล่น เร็วๆนี้เอกสารที่อยู่บนชั้นความลับเปิดเผยว่าโซเวียตยิงเครื่องบินตกหลายลำ  ยังคงไม่แน่ชัดว่ามีเครื่องบินกี่ลำสหรัฐที่สูญหายไปในภารกิจเหนือสหภาพโซเวียต  เพื่อยุติการสูญเสียประธานาธิบดีไอเซนฮาวน์ได้แนะนำยุทธวิธีใหม่ที่การประชุมสุดยอดที่เจนีวา เขานำเสนอแผนการเปิดน่านฟ้าที่ยินยอมให้ทั้งสองประเทศบินเหนือน่านน้ำโดยถูกกฎหมาย หนึ่งในที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ของไอเซนฮาวน์ได้แนวคิดเรื่องเปิดน่านฟ้าซึ่งมันได้ผล

      ครุสชอฟรู้ดีว่าผู้นำสหรัฐค่อนข้างจะเปิดเผยกับสาธารณชนอเมริกันเรื่องยับยั้งอาวุธ แต่ฝ่ายโซเวียตมีความลับที่ต้องรักษาเอาไว้  ปฏิกิริยาแรกของครุสชอฟก็คือมันเป็นความพยายามที่ครึกโครมในการสอดแนมโซเวียต เขาคัดค้านแผนการนี้และมันก็ถูกปฏิเสธ แม้เขาจะหงุดหงิดใจกับเครื่องบินอเมริกันที่บินเหนือน่านน้ำโซเวียต แต่เขารู้ว่าความเป็นรองทางด้านการทหรเป็นปัญหาที่รุนแรงกว่ามาก กว่าสิบปีที่โซเวียตสร้างกำลังอาวุธหมาศาลในยุโรป ตะวันตกมองว่าเป็นการกระทำที่ก้าวร้าว แต่ความจริงนั้นแตกต่างออกไป โซเวียตรู้ดีว่าไม่อาจต่อต้านกองกำลังทางอากาศหรือนิวเคลียร์ของอเมริกา เจ้าหน้าที่โซเวียตจำนวนมากผลักดันเครื่องบินทิ้งระเบิดระยะไกล แต่ครุสชอฟมีแผนการมากกว่านั้น เมื่อครั้งที่เจ้าหน้าที่รัสเซียรวมถึง ลาเวรนติ เบเรีย ไปถึงศูนย์การออกแบบขีปนาวุธในเยอรมันนี พวกเขาพบเพียงซากของอาคารขนาดใหญ่ หัวหน้านักออกแบบและนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญได้หลบหนีไปอยู่สหรัฐ เหลือเพียงจรวดที่เกือบจะเสร็จแล้ว 20 กว่าลูก และนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญระดับรอง แต่ก็เพียงพอที่จะลอกแบบจรวดเหล่านี้  R1 จรวดรัสเซียลูกแรกลอกแบบมาจาก FAU2 ของเยอรมันนี  ในปีต่อๆมา ผู้นำการออกแบบขีปนาวุธของโซเวียตได้รับงานพัฒนาขีปนาวุธแบบใหม่ของโซเวียต

      ปี ค.ศ. 1955 ประสบความสำเร็จในการทดสอบ R5 ขีปนาวุธพิสัยกลางติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ขนาด 3.5 เมกะตัน มันมีอำนาจรุนแรงกว่าระเบิดที่ทิ้งในฮิโรชิม่าถึง 150 เท่า  ครุสชอฟต้องการซุกซ่อนความสนใจจากสหรัฐต่อขีปนาวุธพิสัยไกลตัวใหม่นี้  เขาสั่งให้เปลี่ยนเป็นชื่อรหัสปฎิบัติการม้าหมุน ในการสวนสนามวันการบินในมอสโคว์ เครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธวิถีกลุ่มหนึ่งบินรอบเมือง สร้างภาพลวงตาของกองเรือบินขนาดยักษ์ กลอุบายของครุสชอฟได้ผล สหรัฐรีบโต้ตอบด้วยการพัฒนาระบบต่อต้านอากาศยาน และขยายยุทธวิธีเครื่องบินทิ้งระเบิดของตนเอง ผลที่ได้คือสหรัฐอเมริกามีเครื่องบินทิ้งระเบิดเข้าไปประจำการ 1,500 ลำ  ในต้นทศวรรธ 1960 โซเวียตมีไม่ถึง 40 ลำด้วยซ้ำ  การให้ข่าวผิดๆเพื่อข่มขวัญเป็นเครื่องมือของครุสชอฟ  ครุสชอฟได้เวลาพัฒนาเรื่องผู้นำเคจีบี  ครุสชอฟต้องการเปลี่ยนความสวามิภักดิ์ขององค์กร  เขาแต่งตั้งพรรคพวกผู้ซื่อสัตย์ อเล็กซานเดอร์ ชาลีอาปิน (Alexander Shaliapin) หัวหน้าเคจีบีคนใหม่  เขาบอกว่า เราต้องเริ่มด้วยบุคลากรของเคจีบี กำจัดทุกคนที่ผิด คนที่เกี่ยวข้องกับเบเรีย คนที่มือสกปรก ผมต้องทำ และต้องให้มั่นใจว่าต้องไม่มีใครแม้แต่เคจีบีที่จะดักฟังผมได้ ครุสชอฟยังเปลี่ยนแปลงการฑูตของโซเวียตอย่างมากมาย ในช่วง 30 ปีของเผด็จการ สตาลินเดินทางไปต่างประเทศ 2 ครั้ง แต่ครุสชอฟเดินทางไปต่างประเทศถึง 60 ครั้งในช่วงเวลา 10 ปี เขาปรารถนาจะเห็นโลกเพื่อเปรียบเทียบ เพื่อเรียนรู้และเพื่อหาพันธมิตรใหม่ๆ และเผยแพร่วิถีชีวิตของโซเวียต

      ปี ค.ศ.1956 ครุสชอฟได้เพิสูจน์อีกครั้งถึงความสำคัญของการข่าวเมื่อคราวเดินทางไปยังต่างประเทศ ในปีนั้นขณะอยู่บนเรือรบโซเวียตเพื่อไปยังอังกฤษ ก่อนถึงที่หมายครุสชอฟได้รับโทรเลขฉบับหนึ่ง สายลับโซเวียตในกองทัพเรืออังกฤษรายงานว่า หน่วยข่าวกรองอังกฤษมีแผนปฏิบัติงานซ่อนอยู่เป็นไปได้ว่าพยายามจะเอาชีวิตของเขาปฏิบัติการโดยนักทำลายใต้น้ำ ตอนนั้นครุสชอฟอยู่บนเรือ เมื่อหน่วยต่อต้านการข่าวและลูกเรือค้นพบว่ามีนักดำน้ำกำลังดำอยู่ใต้ลำเรือ แน่นอนว่ามันเกิดโกลาหลและก็วุ่นวายมาก และได้จัดการกับสายลับนักดำน้ำคนนั้นอย่างประณีต ไม่มีร่องรอยหลงเหลือแม้แต่น้อย สองเดือนต่อมาศพไร้ศรีษระของไลโอเนล แครบ (Lionel Crabb) นักดำน้ำกองทัพเรืออังกฤษถูกพบลอยใกล้กับท่าเรือ ปีเดียวกันนั้นครุสชอฟเริ่มทำตัวออกห่างระบบสตาลินอย่างเปิดเผย ที่การประชุมสภาพรรคคอมมิวนิสต์ในการประชุมศตวรรษที่ 20ในกรุงมอสโคว์ ครุสชอฟสร้างความตกใจให้ผู้นำพรรค โดยตำหนิสตาลินและอาชญากรรมของเขาต่อประชาชน ในการกวาดล้างใน ปี 1930 ประชาชนโซเวียตหลายล้านคนถูกจองจำและถูกประหารเนื่องจากต่อต้านนโยบายของสตาลินเพียงเล็กน้อย คนที่รู้เรื่องการกวาดล้างนี้ถึงกับเป็นลมและร้องไห้  หลังจากครุสชอฟออกมาตำหนิการกระทำของสตาลินในอดีต มันเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญที่ทำให้ชื่อเสียงของครุสชอฟตกอยู่ในอันตราย  ครุสชอฟรู้ว่าตัวเองก็ผิดแต่เราต้องยกย่องเขาเรื่องความกล้าหาญ การกวาดล้างเป็นไปในทุกระดับชั้นของสังคมโซเวียต แม้แต่ในพรรคเอก มันเป็นไปไม่ได้ที่ครุสชอฟจะไม่รู้เรื่องการกวาดล้างนี้ ลายเซ็นต์ของเขาปรากฏอยู่ในหมายจับมากมาย มันเป็นความจำเป็นของเขาที่ต้องนำเรื่องการกวาดล้างมาเผยแผ่ต่อประชาชน เพราะยังมีคนอีกมากที่ยังจงรักภักดีในผู้นำเผด็จการคนเก่า

      ครุสชอฟยังคงแนะนำการปฏิรูปภายในครั้งใหญ่ เขาสั่งให้ปิดเรือนจำกูลัก (Gulag) นักโทษหลายคนเป็นอิสระ  คนงานได้รับวันหยุดพิเศษเพิ่มในแต่ละสัปดาห์และชั่วโมงทำงานก็สั้นลงด้วย ม่านเหล็กถูกเปิดขึ้นเล็กน้อยเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ  การปฏิรูปขึ้นสู่จุดสูงสุดในปี 1961 ภายใต้ความมืดที่ปกคลุม หลังการเสียชีวิตของสตาลิน ร่างของเขาถูกฝังไว้ในสุสานหลวงที่จตุรัสแดง ในกลางดึกคืนหนึ่ง อเล็กซานเดอร์ ชาลีอาปิน (Alexander Shaliapin) ซึ่งต่อมาได้เป็นหัวหน้ากลุ่มเคจีบี ได้เป็นผู้อำนายการย้ายศพของสตาลิน จากสุสานหลวง เพื่อป้องกันการคัดค้านจากสาธารณชน พวกทหารล้อมจตุรัสแดงเอาไว้  ร่างของสตาลินถูกย้ายนำมาฝังในสุสานธรรมดาใกล้กับสุสานหลวง ถูกโบกทับไว้ด้วยคอนกรีตหนา  ความพยายามที่จะต่อต้านระบบสตาลินของครุสชอฟได้เปลี่ยนโฉมหน้าของระบอบคอมมิวนิสต์  แต่การปฏิรูปของเขาก็ไม่ได้แปลว่าเสรีภาพ

      ฮังการี ปี ค.ศ. 1956 ฤดูใบไม้ผลิ ประชาชนจำนวนมากมองการต่อต้านระบอบสตาลินของครุสชอฟว่าเป็นการขยายเสรีภาพ และกดดันให้ออกกฎหมายปฏิรูปเพิ่มมากขึ้น ไม่นานก็เกิดการจราจลต่อต้านโซเวียต  ครุสชอฟที่ต่อต้านสตาลินกลับไม่ลังเลที่จะใช้วิธีการเดียวกับสตาลิน เขาสั่งให้ขุนพลเคลื่อนทัพไปยังกรุงบูดาเปส เมืองหลวงฮังการี เพื่อกวาดล้างพวกต่อต้าน  แน่นอนว่าครุสชอฟเป็นคอมมิวนิสต์ขนานแท้ และระบอบคอมมิวนิสต์ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้กำลัง การขู่เข็ญ และการปราบปราม สังคมนานาชาติมองการใช้กำลังในครั้งนี้ว่าเป็นการแสดงอำนาจ  แต่ศัตรูของครุสชอฟที่อยู่ในโซเวียตมองว่ามันเป็นสัญญาณของความอ่อนแอ  พวกเขามองว่าการประท้วงเป็นผลโดยตรงจากการปฏิรูปเสรีนิยมของครุสชอฟ  

      ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1957 มีคนพยายามล้มล้างครุสชอฟ การลงคะแนนมีขึ้นและครุสชอฟพ่ายแพ้  เพื่อพยายามที่จะรักษาตำแหน่งของเขาครุสชอฟเรียกประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต และเพื่อให้มีคะแนนในการประชุมนั้น ครุสชอฟคิดว่าเขามีเสียงเพียงพอ เขามเสียงพอที่จะรักษาตำแหน่งนั้นไว้ได้ แต่เขาต้องขอความช่วยเหลือจากกองทัพในการนำคณะกรรมการกลางบินมาจากทั่วสหภาพโซเวียต ครุสชอฟผู้ดิ้นรนขอร้องนายพลยูคอฟให้ช่วย  ยูคอฟตอบสนองทันทีด้วยการส่งเครื่องบินของกองทัพตามที่ต้องการ ในสองวันยูคอฟก็นำเครื่องบินส่งผู้เข้าร่วมประชุมในมอสโคว์ ครุสชอฟรอดไปได้ ฝ่ายตรงข้ามของเขาที่คาดว่าจะถูกยิงเป้าตามธรรมเนียม ซึ่งเป็นวิธีที่ผู้ก่อการมักจะถูกลงโทษในอดีต พวดเขาก็ต้องประหลาดในที่ครุสชอฟเพียงแค่สั่งให้ถูกออกจากราชการ  เป็นอีกครั้งที่ครุสชอฟนักปฏิรูปแสดงความเห็นอกเห็นใจ แต่อิทธิพลของสตาลินก็ยังไม่หมดสิ้นไป หลังจากต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามครุสชอฟกับต้องกังวลกับการเพิ่มอำนาจของสหายของเขา นายพลยูคอฟ ครุสชอฟเชื่อในนายพลยูคอฟ รัฐมนตรีกลาโหม ชายที่ปลดปล่อยกรุงเบอร์ลินและเป็นผู้ที่มีอำนาจมาก  สตาลินยังต้องกลัวเขา ครุสชอฟซาบซึ้งและตระหนักว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณนายพลยูคอฟอยู่นิดหน่อย แต่ในระบบของโซเวียตหรือผู้มีอำนาจ  พันธะผูกพันเช่นนี้เป็นเรื่องอันตรายมาก

      ตุลาคม ปี ค.ศ. 1957 ครุสชอฟส่งยูคอฟไปปยูโกสลาเวียอย่างไม่เป็นทางการ  ขณะเดียวกันเขาก็เรียกประชุมกองทัพและเลือกรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่  เมื่อยูคอฟกลับมาเขาก็ถูกบังคับให้เกษียณ  เมื่อมาถึงที่พักเขาโทรหาครุสชอฟแล้วถามว่า นิกิต้าช่วยอธิบายหน่อย มันเกิดอะไรขึ้น  มีรายงานว่าเขาได้ยินคำตอบเสียงดังและหยาบคาย  ก่อนหน้านั้นในปีเดียวกันนักออกแบบขีปนาวุธ เซอร์กี้ โคโรลีออฟ (Sergei Korolev) เริ่มทดสอบจรวด R7 ขีปนาวุธข้ามทวีปทางยุทธวิธีลูกแรกของโลก R7 ถูกออกแบบมาให้รับน้ำหนักได้หลายตัน และไปได้ไกลกว่า 6,000 ไมล์ การทดสอบในครั้งแรกๆ ล้มเหลว แต่ในที่สุดในเดือนสิงหาคมก็พุ่งทะยานขึ้นเพื่อไปสู่เป้าหมาย  ความสำเร็จครั้งนี้โคโรลีออฟได้ให้คำแนะนำอย่างไม่คาดฝัน ควรใช้ขีปนาวุธเพื่อสันติ และนำไปสู่การปล่อยสปุตนิก (Sputnik) ดาวเทียมดวงแรกของโลก ครุสชอฟอนุมัติ แต่ก็พิจารณาว่าโครงการนี้ไม่สำคัญ ต่อมาวันที่ 4 เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1957 สปุตนิกก็ขึ้นสู่วงโคจร ในตอนนั้นครุสชอฟไม่สนใจเลย สื่อมวลชนโซเวียตก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร  แต่สื่อมวลชนต่างชาติกลับสนใจมาก ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและมันได้กลายเป็นโฆษณาชวนเชื่อชิ้นใหม่  ทันใดนั้นครุสชอฟก็มองว่าโครงการอวกาศเป็นสิ่งที่จะทำให้สหรัฐชายหน้าได้ เมื่อประสบความสำเร็จครั้งหนึ่ง ครั้งต่อมาก็มีขึ้น ครุสชอฟใช้โครงการอวกาศโฆษณาชาวนเชื่อระบบคอมมิวนิสต์สู่ชาวโลก

      วันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1961 โซเวียตวางแผนสานต่อเพื่อครองตำแหน่งผู้นำด้านอวกาศ โดยส่งมนุษย์คนแรกเข้าสู่อวกาศ  นักบินอวกาศในภารกิจนี้ก็คือ ยูริ กาการิน  (Yuri Alekseyevich Gagarin) ครุสชอฟและสมาชิกโครงการอวกาศโซเวียตรู้ดีว่า ปฏบัติการครั้งนี้อาจเป็นทั้งชัยชนะที่เหลือเชื่อหรือความล้มเหลวที่สยองขวัญ ไม่นานก่อนเที่ยวบินของยูริ กาการิน เครื่องบินอวกาศไร้คนขับที่ออกแบบโดยเซอร์กี้ โคโรลีออฟ เกิดระเบิดก่อนทะยานขึ้น เจ้าหน้าที่ภาคพื้นมากกว่า 200 คนต้องเสียชีวิต ไม่มีข่าวของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ถูกตีพิมพ์ในเวลานั้นเลย ในการส่งกาการินไปอวกาศ เหนืออื่นใดเรากลัวว่าเขาจะไม่สามารถกลับมายังโลกได้ ถ้าเขาตายในขณะที่ทั้งโลกกำลังจับตาดู มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปิดข่าว  ครุสชอฟใช้การกลับมาอย่างปลอดภัยของกาการินโปรโมทระบอบคอมมิวนิสต์และขยายฐานอำนาจของตนเอง เขารู้ว่าพวกอนุรักษ์นิยมในเครมลิน จะต่อต้านการปฏิรูปของเขา แผนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับตะวันตก แต่โชคชะตาก็ไม่ทำให้น้ำแข็งในสงครามเย็นละลายลง

       ปี ค.ศ. 1956 ประธานาธิบดีอเมริกา  ดไวต์ ไอเซนฮาวร์ (Dwight  Eisenhower) ได้เชื้อเชิญ นิกิต้า ครุสชอฟมายังสหรัฐ  ครุสชอฟตกลงทำให้ชาวโซเวียตประหลาดใจ ทั้งสองคนต้องการขจัดความเข้าใจผิดและความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน  มันเป็นครั้งแรกที่โซเวียตเดินทางมายังอเมริกา  การเยี่ยมเยือนยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโซเวียตกับอเมริกา อเมริกาสร้างความประทับใจให้แก่ครุสชอฟ และเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทั้งสองยังมีแผนที่จะร่วมประชุมที่ฝรั่งเศสและอังกฤษเพื่อพบผู้นำของทั้งสองประเทศอีกด้วย  และไอเซนฮาวร์ก็ได้มาเยี่ยมที่มอสโคว์ ประชาชนโซเวียตยินดีกับโอกาสที่ดีทางความสัมพันธ์กับอเมริกา เมื่อไอเซนฮาวร์กลับไปแล้ว ครุสชอฟมุ่งตรงไปที่การชุมนุมสนับสนุนและกล่าวสันทรพจน์ว่า ความสัมพันธ์โซเวียตและอเมริกาจงยั่งยืน  แต่แนวทางใหม่ของเขาทำให้เกิดการต่อต้านอย่างแข็งขันทั้งภายในและภายนอกประเทศ  พวกหัวแข็งแห่งเครมลินพยายามชักจูงเขาว่า อเมริกาไม่อาจจะไว้ใจได้  ครุสชอฟคิดไกลไปถึงการพบกันครั้งที่ 2 กับไอเซนฮาวร์ในปารีส และโดยเฉพาะการเชิญไอเซนฮาวร์มาที่สหภาพโซเวียตอีก ตัวแปรที่ทำให้ต้องคิดดำเนินความสัมพันธ์กับอเมริกา ตัวแปรที่หนึ่งไอเซนฮาวร์อาจไม่ได้ให้ถึงสิ่งที่เขาต้องการได้ ตัวแปรที่สองคือความสัมพันธ์กับจีนที่เลวร้ายลง หลังจากครุสชอฟเดินทางไปสหรัฐ เขาเดินทางไปยังปักกิ่งทันที และมีการพูดคุยกันแบบไม่ราบรื่นกับจีน ที่จริงจีนโจมตีที่ครุสชอฟไปเข้าข้างสหรัฐจนเกินไป เป็นการทรยศต่อหลักการชนชั้นแห่งนโยบายต่างประเทศ  เหมาเจ๋อตุงบอกผู้นำโซเวียตอย่างเคร่งเครียดว่า สิ่งที่ควรปฏิบัติต่อสหรัฐก็คืออย่าเอาเป็นเพื่อนและควรเตรียมการเพื่อทำสงคราม  ครุสชอฟโกรธมาก เขาสบถใส่เหมาผลุนผลันออกมาและยกเลิกการเดินทางที่เหลือ  และแล้ว 3 สัปดาห์ก่อนการประชุมสุดยอดที่ปารีส มีการลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายของครุสชอฟ  ครุสชอฟตัดสินใจยากอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วโชคชะตาก็เข้าแทรกแซง

      วันที่ 1 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1960 ระบบต่อต้านอากาศยานโซเวียตยิงเครื่องบินสอดแนมอเมริกัน U2 ตก เศษชิ้นส่วนของเครื่องบินถูกพบรวมทั้งนักบินถูกจับ ฟรานซิส แกรี่ เพาเวอร์ส ถูกนำตัวไปมอสโคว์ เป็นเวลา 40 ปีที่มีการต่อว่าเหตุการณ์ U2 นี้ว่า ทำให้การละลายของสงครามเย็นจบสิ้นลง ความจริงแล้วเหตุการณ์ U2 ไม่ได้เป็นสาเหตุแต่เป็นข้ออ้างคำแก้ตัวของครุสชอฟที่จะละทิ้งนโยบายที่ไม่ได้รับความนิยมต่างหาก  การประชุมสุดยอดปารีสถูกยกเลิกไปพร้อมกับการไปเยี่ยมเยียนมอสโคว์ของไอเซ่นฮาวร์  น้ำเสียงของครุสชอฟที่มีต่ออเมริกาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง "และหลังจากนี้ ความปรารถนาดีทั้งปวง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะพูดอย่างไร ไอเซนฮาวร์อยากมาเยี่ยมเรา ไม่มีใครทานข้าวในที่ๆตนทำผิดเอาไว้ มันเป็นเรื่องที่เรารู้กัน ประธานาธิบดีทำผิดต่อสหภาพโซเวียต แล้วตอนนี้ท่านประธานาธิบดียังอยากจะทานข้าวกับเราอีกเหรอ"  ครุสชอฟยังคงมีพฤติกรรมเผชิญหน้ากับตะวันตกโดยการทุบโต๊ะในที่ประชุมสหประชาชาติอย่างดุเดือด วันเดียวกันนั้นครุสชอฟและผู้นำคิวบาคนใหม่ ฟิเดล คาสโตร (Fidel Alejandro Castro Ruz) ได้พบกันเป็นครั้งแรก ผู้นำโซเวียตกังวลว่าเขาจะต้องรักษาบัลลังค์ในฝ่ายอเมริกา

      ปีต่อมา มิถุนายน ปี ค.ศ. 1960 ครุสชอฟได้พบกับประธานาธิบดีอเมริกาคนใหม่  จอห์น เอฟ เคเนดี้ ในกรุงเวียนนา  และเพียงสองเดือนหลังจากที่อเมริกันล้มเหลวในการบุกคิวบาที่พิกส์เบย์ (The Bay of Pigs) เขาตัดสินใจว่าเคเนดี้นั้นอ่อนแอตอนที่เขาไปเวียนนาและเคเนดี้ดูเหมือนจะอยากเป็นเพื่อนกับครุสชอฟ เขาคิดว่าสามารถข่มขวัญเคเนดี้ได้ตลอดไป นี่คือสิ่งที่เขาเชื่อในเวลานั้น เมื่อรวมความรู้สึกของครุสชอฟต่อเคเนดี้และเหตุการณ์ที่พิกส์เบย์ โซเวียตกับสหรัฐเริ่มผ่อนคลายมากกว่าเดิม และช่วยดึงไม่ให้โลกเกิดสงครามนิวเคลียร์

      ก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ. 1957 ความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นเมื่อนาโต้ตัดสินใจติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐในอังกฤษ อิตาลี และตุรกี มันเป็นภัยทางยุทธวิธีต่อโซเวียตที่มากกว่าหนึ่ง ขีปนาวุธใหม่ในยุโรปเหล่านี้ มันสามารถมาถึงเป้าหมายในดินแดนโซเวียตในเวลาแค่ 8-10 นาที  ค.ศ. 1993 เอกสารที่อยู่ในชั้นความลับเปิดเผยถึงแผนเบื้องต้นในการตอบโต้ของโซเวียต โครงการลับถูกเสนอให้ครุสชอฟในปี 1959 แท่นลอยน้ำจำนวน 30 แท่นที่สามารถปล่อบขีปนาวุธนิวเคลียร์จะถูกสร้างในน่านน้ำสากลรอบนอกดินแดนสหรัฐ ขีปนาวุธจะเข้าถึงดินแดนสหรัฐใน 3 นาที ทำให้โซเวียตได้เปรียบจากการโจมตีก่อน ตั้งแต่เหตุการณ์ U2 ในปี พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1960 ครุสชอฟแสดงความตั้งในที่จะข่มขวัญและคุกคามสหรัฐ แต่เขารู้ว่าโครงการสร้างแท่นปล่อยขีปนาวุธนี้มันก้าวร้าวเกินไป ในที่สุดเขาก็ระงับโครงการ  เขาหันความสนใจไปยังชาติที่เป็นเกาะกับประเทศที่เป็นมิตรคนใหม่แทน ครุสชอฟตั้งแผนการฐานทัพขนาดใหญ่บนคิวบา  อาวุธสำคัญนี้ประกอบไปด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางและพิสัยไกล และเครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์  อาวุธเหล่านี้สามารถทำการโจมตีด้วยปรมาณูบนที่ใดในสหรัฐก็ได้  การติดตั้งทั้งหมดถูกเก็บไว้เป็นความลับ

      ตั้งแต่แรกเริ่ม ฟิเดลกล่าวไว้ว่ามีสนธิสัญญาระหว่างคิวบากับสหภาพโซเวียต  ซึ่งโซเวียตส่งทหารเข้ามายังคิวบาได้ แต่ครุสชอฟไม่เห็นด้วย เขากล่าวว่าพวกอเมริกันจะหาทางป้องกันเราจากการกระทำนี้  อย่างไรกตามความลับสุดยอดนี้เองที่ทำให้อเมริกาหลง ตามแผนการของโซเวียตการเตรียมการทั้งหมดจะลุล่วงก่อน 25 ตุลาคม ปี 1962 เมื่อถึงเวลานั้นผู้คุมโครงการจะส่งรหัสไปถึงรัฐมนตรีกลาโหมของโซเวียต โรดิออน มาลินอฟสกี้ (Rodion Malinovsky) มาลินอฟสกี้กล่าวว่าเมื่อทุกอย่างพร้อมและขีปนาวุธถูกติดตั้งแล้วให้ส่งโทรเลขมาบอกผมตามข้อความนี้ "การเก็บเกี่ยวอ้อยเป็นไปได้ด้วยดี"  เรือโซเวียตเริ่มขนถ่ายสินค้าลับในเดือนกรกฎาคม ปี1962 คนงานขนถ่ายของขึ้นบนเรือตามท่าเรือต่างๆในโซเวียต 5 แห่งและมุ่งหน้าไปยังคิวบา เครื่องมือการเกษตรถูกส่งรวมเข้าไปด้วยเพื่อลวงเครื่องบินสอดแนมข้าศึก รวมทหารและเจ้าหน้าที่เทคนิค 42,000 นายที่ต้องเดินทางไกล เรือทุกลำมาถึงคิวบาอย่างไร้อุปสรรค เมื่อถึงบนเกาะการเคลื่อนไหวทางทหาร การก่อสร้างถ่านหินและเครื่องมือ กระทำในตอนกลางคืน และมีการพรางตาในตอนกลางวัน

      14 ตุลาคม 1962 U2 เครื่องบินสอดแนมอเมริกันได้ถ่ายภาพไว้ได้กว่า 30 ภาพ บนพื้นที่ในเมืองซาน คริสโตบัล (San Crist?bal) ของคิวบา ภาพแสดงให้เห็นสถานีเติมเชื้อเพลิงของขีปนาวุธข้ามทวีป กล่องขีปนาวุธที่ถูกวางทิ้งไว้ในที่โล่ง  16 ตุลาคม 1962 เคเนดี้ได้รับรายงานที่น่าตกใจ การเผชิญหน้าด้านนิวเคลียร์ก็เริ่มต้นขึ้น หน่วยข่าวกรองโซเวียตไม่อาจแน่ใจได้ว่าอเมริการู้เรื่องนี้หรือไม่ และในวันที่ 22 ตุลาคม 1962 มันก็แน่ชัดเมื่อปนะธานาธิบดีเคเนดี้เปิดเผยมันให้โลกได้รับรู้ โดยมีข้อความว่า "ผมติดต่อท่านประธานครุสชอฟให้หยุดและขจัดการกระทำที่เป็นอันตรายต่อสันติภาพของโลก" เขายังได้ประกาศอีกว่ากองเรือได้ปิดล้อมคิวบาหมดแล้ว  หลังจากเหตุการณ์นี้ครุสชอฟเรียกประชุมพิเศษขึ้น เขากล่าวว่าถ้าสหรัฐโจมตีคิวบาเราจะโต้ตอบ เขาพิจารณาใช้อาวุธนิวเคลียร์ ถ้าสหรัฐเข้าบุกคิวบาเพื่อที่จะตอบโต้ที่ตรวจพบขีปนาวุธนิวเคลียร์ เป็นเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 23-27 ตุลาคม 1962 ครุสชอฟและเคเนดี้ตอบโต้ข้อความกันอย่างดุเดือด ในตอนแรกครุสชอฟปฏิเสธว่าไม่มีทหารโซเวียตในคิวบาเพื่อพยายามจะซื้อเวลา  เมื่อเขาไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป เขาก็หันไปใช้วิธีทางการฑูตแบบคุกคามที่เขาถนัด เขาเขียนถึงเคเนดี้ว่า เราจะใช้มาตรการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อการปกป้องสิทธิของเรา เรามีเจตนาอย่างนั้นจริงๆ  การเตรียมพร้อมรบเริ่มขึ้นไปทั่วสหภาพโซเวียต

      โครงการปล่อยยานสำรวจดาวอังคารอัตโนมัติของโซเวียตถูกระงับ และได้รับคำสั่งให้เตรียมยิงขีปนาวุธ แต่เนื่องจากครุสชอฟไม่มีหลักฐานที่มากพอว่าสหรัฐบุกคิวบา  26 ตุลาคม 1962 อเมริกาเสร็จสิ้นการเตรียมบุกคิวบา เพนตากอนรอเพียงคำสั่งจากเคเนดี้ เพื่อเปิดการโจมตีทางอากาศและยกพลขึ้นบกมาทางเรือ  วันนั้นครุสชอฟได้รับข้อความจากฟิเดล คาสโตร ว่าการโจมตีคิวบาจะเริ่มใน 12-72 ชั่วโมงข้างหน้านี้ 2-3 ชั่วโมงต่อมาครุสชอฟได้รับรายงานว่าระบบต่อต้านอากาศยานของโซเวียตยิงเครื่อง U2 ของอเมริกาตก ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนออกคำสั่งให้ยิง เหตุการณ์เริ่มควบคุมไม่ได้ และการบุกคิวบาของอเมริกานั้นดูเหมือนว่าจะจวนแจเข้ามาทุกขณะ  ครุสชอฟตระหนักว่าเขาต้องล่าถอย แม้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับการผลิตขีปนาวุธแทนเครื่องบินทิ้งระเบิด แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับสหรัฐที่มีขีปนาวุธพิสัยไกล 300 ลูก ในขณะที่โซเวียตมีเพียง 20 ลูก ครุสชอฟแจ้งเคเนดี้ถึงความพร้อมในการเริ่มขนย้ายขีปนาวุธจากคิวบา เพื่อแลกกับสัญญาของเคเนดี้ที่จะไม่บุกคิวบา และคำมั่นว่าอเมริกาจะย้ายขีปนาวุธจากตุรกี  ครุสชอฟสั่งไม่ให้เข้ารหัสข้อความนั้นและให้กระจายเสียงมาทันทีเป็นข้อความเปิดของวิทยุมอสโคว์ เคเนดี้ตอบรับข้อเสนอนี้

      หลังจากนั้นครุสชอฟถูกต่อว่ามากมายที่ถอนกำลังอาวุธจากคิวบา ความอ่อนแอของคอมมิวนิสต์ต่างชาติ และข้อกล่าวหาอีกมากมาย เรียกได้ว่าเป็นอาชญากรรมต่อสหภาพโซเวียต เขาถูกลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ให้ถูกลงจากตำแหน่ง อเล็กซานเดอร์ ชาลีอาปินเป็นผู้จดบันทึกการประชุมรวมทั้งการโต้ตอบแบบขวานผ่าซากของครุสชอฟ เขากล่าวว่า "วันนี้พวกคุณสาดโคลนใส่ผม เอาล่ะผมยอมรับได้  ตอนนี้เมื่อผมก้าวลงจากเวที ผมจะบอกคุณทุกคนว่าผมจะไม่ต่อต้านและสาดโคลนใส่คุณ ครุสชอฟนึกถึงความจริงที่ว่าเขาถูกเนรเทศแทนที่เขาจะถูกประหารนั้นเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่น่าภูมิใจ มันเป็นสัญญาณว่าอย่างน้อยการปฏิรูปของเขาก็ได้รับการยอมรับ  ชายผู้มากด้วยสีสัน เขาเคยยืนเผชิญหน้าอยู่ในสงครามเย็น ครุสชอฟมีชีวิตอย่างสงบอย่างน่าประหลาดใจ จนเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1971 การริเริ่มที่สำคัญของเขาทั้งสันติภาพและสงคราม ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้นำโซเวียตผู้ทรงอิทธิพลที่สุด และเข้าใจยากมากที่สุดด้วย  

      ดูเรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สุขภาพ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เทคโนโลยี อื่นๆได้ที่นี่ 

      http://megatopic.blogspot.com

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×