ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TOPBOM] : The Novel

    ลำดับตอนที่ #3 : The Novel [3 /...]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 157
      1
      4 พ.ค. 56


















    [Fic - TOPBOM] : The Novel [3 /...]

    Paring : T.O.P - BIGBANG x Park Bom - 2NE1

    Genre : AU

    A/N : Fiction is fiction.























                 “คุณชเวซึงฮยอน นี่คุณกล้าดียังไงถึงมาเปลี่ยนงานต้นฉบับของฉันเนี่ย”
     

                    เสียงหวานแว้ดกลับมาทันทีที่ซึงฮยอนกดรับสาย ปาร์คบมไม่ยอมเอ่ยทักทายด้วยซ้ำ บรรณธิการหนุ่มมองโทรศัพท์มือถือในมืออย่างงุนงงแต่คนปลายสายก็ยังโมโหไม่เลิก
     

                    “นี่คุณ ยังฟังฉันอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
     

                    “ฟังครับ” ซึงฮยอนเอ่ยตอบกลับไป “ผมเปลี่ยนต้นฉบับคุณบมแค่นิดหน่อยเองนะครับ งานจะได้สละสลวยขึ้น”
     

                    “แต่ฉันไม่ชอบ!
     

                    เสียงหวานตอบกลับมาทันควันจนซึงฮยอนตกใจ เขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าการแก้ไขงานเพียงเล็กน้อยของเขาจะทำให้นักเขียนสาวโมโหถึงขนาดนี้

     

                    “คุณบมครับ ใจเย็นๆ ก่อนนะ... คือผม...”

     

                    “ฉันกำลังจะเข้าไปที่บริษัท เดี๋ยวเราค่อยคุยกันทีเดียวเลยดีกว่า แค่นี้นะคะ”

     

                    ปาร์คบมกดตัดสายไปทันทีทิ้งให้ซึงฮยอนจ้องมือถืออย่างงุนงง เขาก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมบมถึงจะต้องโมโหมากมายกับแค่การที่เขาแก้ไขต้นฉบับ เพราะสิ่งที่เขาทำคือหน้าที่ของ บก. อยู่แล้ว ในการตรวจ แก้ ปรับแต่งให้ผลงานออกมาสละสลวยที่สุด

     

                    “เป็นไง”
     

               ซองเบคคยองค้ำแผ่นกั้นโต๊ะทำงานแล้วชะโงกหน้ามาหาหนุ่มรุ่นน้อง ซึงฮยอนมองบรรณาธิการอาวุโสที่ทำหน้าตาเหมือนสนุกกับการที่เขาโดนนักเขียนโทรมาอาละวาด เบคคยองใช้ดินสอในมือเคาะขอบสแตนเลสของที่แผ่นกั้นโต๊ะเป็นจังหวะก่อนจะเอ่ยบอกช้าๆ
     

                    “นี่ฉันนึกว่าบมเขาจะหายป่วยแล้วนะเนี่ย อาการติสต์ขึ้นสมองของแม่นางยังไม่หายขาดอีกเหรอเนี่ย”
     

                    “อะไรนะครับพี่”
     

                    “ก็บมเขาติสต์อ่ะ” เบคคยองวางท่าอย่างคนที่รู้อะไรมากกว่าแล้วเริ่มต้นเล่า “ที่จริงเขาเขียนงานเร็วนะ พลอตนิยายก็น่าสนใจ ไม่ค่อยซ้ำกับคนอื่นในตลาด แต่เขาเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าเขาขยันๆ เขียนหน่อย ป่านนี้พิมพ์หนังสือขายได้สักสองโหลแล้วมั้ง”
     

                    “แล้วมันเกี่ยวกับที่เขาโทรมาโวยผมยังไงล่ะพี่”
     

                   ซึงฮยอนทำเสียงเซ็งสุดชีวิต ถึงแม้เขาจะเป็นคนใจเย็น แต่ก็ไม่ชอบให้ใครมาโวยวายใส่โดยไร้เหตุผล นี่เขายังไม่แน่ใจเลยว่าถ้าเจอหน้ากัน เขาจะระงับอารมณ์ไม่ทะเลาะกับคุณนักเขียนสาวคนนั้นได้หรือเปล่า
     

                    “ก็เขารักงานของเขาไงเขาเลยโวยวายกับแก เอาน่า อย่าไปคิดมาก เดี๋ยวพอบมมาก็พาไปนั่งคุยกับฮงจุนด้วยกัน รับรองว่าหัวหน้าแกเขาเคลียร์ได้อยู่แล้ว”
     

                    เบคคยองปลอบใจรุ่นน้องที่ยังทำคิ้วขมวดเป็นปมไม่เลิก ซึงฮยอนเปิดดูต้นฉบับที่เป็นที่มาของปัญหาอย่างเหนื่อยใจ เขาแก้ไขงานของบมในช่วงบทที่หนึ่งถึงห้าไปบางส่วนและส่งให้เธออ่านพร้อมๆ กับที่ส่งให้แผนกพิสูจน์อักษรอ่านรอบแรก

     

                    “อ้าว!

     

                    เสียงร้องทักของซองเบคคยองทำให้ซึงฮยอนต้องเงยหน้าขึ้นมาจากต้นฉบับ และพบว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาคือ ปาร์คโกอึน พี่สาวคนสวยของคุณนักเขียนที่โทรมาโวยวายใส่เขาเมื่อครู่นี้ หญิงสาวสวมเสื้อฮู้ดแบบมีซิปด้านหน้าสีดำกับกางเกงขาสั้นและร้องเท้าสนีกเกอร์ ทำให้ซึงฮยอนรู้สึกแปลกตา เพราะทุกครั้งที่เจอกันเขาจะเห็นปาร์คโกอึนมักจะสวมเดรสเสมอ

     

                    “บม ทำไมมาไวจัง พี่เพิ่งได้ยินเธอโทรมาวีนซึงฮยอนเมื่อกี๊เอง”

     

                    “พี่เบคคยอง สวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”

     

                    คนโดนทักโค้งทักทาย บก. หนุ่มร่างเล็กที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาดี เพราะเบคคยองทำงานที่สำนักพิมพ์นี้มาตั้งแต่บมเริ่มส่งผลงานมาตีพิมพ์ใหม่ๆ หญิงสาวมองหน้า บก. ที่ดูแลหนังสือให้เธออย่างเคืองๆ ยิ่งเห็นซึงฮยอนทำหน้างงๆ เหมือนไม่สะทกสะท้านเลยยิ่งเคืองหนัก แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าซึงฮยอนยังเข้าใจว่าเธอเป็นปาร์คโกอึนอยู่คนที่เริ่มจะเหงื่อตกเลยกลายเป็นเธอเสียเอง

     

                    “พี่เบคคยอง คุณผู้หญิงคนนี้ชื่ออะไรนะครับ”

     

                  ซึงฮยอนลุกจากเก้าอี้เดินมาหารุ่นพี่ที่ยืนกับหญิงสาวที่เพิ่งมาใหม่ ซึงฮยอนพยายามสบตากับหญิงสาวที่เสหลบตามองไปทางอื่นตลอดเวลา
     

                    “ก็บมไง นี่แกเจอเขาตั้งหลายครั้งจำเขาไม่ได้เหรอ”

     

                    เบคคยองเอ่ยถามแล้วมองหน้ารุ่นน้องอย่างสงสัย ก่อนจะหันมองหน้าปาร์คบมที่ดูเจื่อนๆ ไปอย่างเห็นได้ชัด ซึงฮยอนถอดแว่นสายตาที่สวมอยู่ออกและเอ่ยถามช้าๆ ชัดๆ

     

                    “นี่คือคุณปาร์คบมใช่ไหมครับ”

     

                    “ใช่” เบคคยองพยักหน้ารับและรู้สึกว่าชักจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลระหว่างสองคนนี้แล้วแน่ๆ “เนี่ยละ ปาร์คบมที่โทรมาด่าแกเมื่อกี๊ไง”

     

                    “เข้าใจละ”

     

                    ซึงฮยอนพยักหน้ารับก่อนจะจ้องหน้าหญิงสาวที่เอาแต่หลบตาคนนั้นอย่างเอาเรื่อง เบคคยองเห็นประกายแวววับในดวงตาคมของซึงฮยอนแล้วก็นึกเสียวไส้แทนบมอย่างบอกไม่ถูก เพราะรุ่นน้องเขาคนนี้เวลามันเอาเรื่องขึ้นมาซึงฮยอนก็ไม่เคยยอมใครเหมือนกัน

     

                    บก. ดื้อๆ กับนักเขียนติสต์แตกมาเจอกันนี่ก็สมน้ำสมเนื้อดีอยู่หรอกนะ









     

                    “พี่เบคคยองคะ พี่ฮงจุนอยู่ไหมคะ”

     

                    ในที่สุดบอมก็ยอมเปิดปากพูด แต่ยังไม่ยอมสบตาซึงฮยอนที่จ้องมาไม่วางตา เธอไม่ชอบสายที่คุณ บก. คนนี้มองมาเลยจริงๆ เพราะสายตานั่นกำลังดุเธอที่โกหกเขาอยู่ ถ้าจะจ้องกันแบบดุๆ ขนาดนั้นก็พูดออกมาเลยไม่ดีกว่าหรือยังไง

     

                    “อยู่ในห้องทำงานมันนั่นแหละ เธอไปเคาะประตูเลย”

     

                    “ขอบคุณค่ะ ขอตัวนะคะ”

     

                    ปาร์คบมรีบเอ่ยตัดบทและเดินไปตรงไปที่ห้องทำงานของปาร์คฮงจุน แต่ก็แอบเหลือบด้วยหางตาและเห็นว่าซึงฮยอนกำลังเดินตามหลังมา ระยะที่อีกฝ่ายตามมานั้นไม่ได้ใกล้ แต่ก็ไม่ห่างนัก ระยะแบบนั้นทำให้เธออึดอัดจนมากกว่าสบายใจอย่างที่ควรจะเป็น

     

                    มือเรียวยกขึ้นเคาะประตูห้องทำงานของฮงจุนโดยทำเป็นไม่ใส่ใจซึงฮยอนที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง เมื่อเจ้าของห้องส่งเสียงเอ่ยตอบให้เข้าไปข้างในเธอเลยรีบเปิดเข้าไป แต่อีกคนที่เดินตามมาก็ไวใช่เล่น เพราะซึงฮยอนก้าวเท้าเข้าห้องหังหน้าบรรณาธิการพร้อมๆ กันกับเธอ ตากลมโตตวัดไปมองคนที่ตามมาอย่างไม่พอใจและบ่นเสียงดัง

     

                    “นี่คุณตามมาทำไมเนี่ย ฉันจะคุยกับพี่ฮงจุน”

     

                    “ผมก็มีเรื่องจะคุณกับพี่เขาเหมือนกัน”

     

                  ซึงฮยอนเอ่ยตอบหน้าตายแถมยังเดินไปถือวิสาสะลากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของฮงจุนมานั่งหน้าตาเฉยจนปาร์คบมแทบจะควันออกหูอีกรอบ
     

                    “ก็ให้ฉันคุยเสร็จก่อนซิคะ”

     

                    “ถ้าคุณจะคุยเรื่องต้นฉบับผมก็ควรรู้ด้วย เพราะยังไงผมก็เป็น บก. ที่รับผิดชอบหนังสือเรื่องโมรัน”

     

                “แต่ว่า...”
     

                   “พอละ” ปาร์คฮงจุนเอ่ยขัดคอไม่ให้นักเขียนสาวกับ บก. หนุ่มทะเลาะกันมากไปกว่านี้ “บม มานั่งนี่มา ถ้าจะคุยเรื่องต้นฉบับก็คุยมันพร้อมกันนี่แหละ”
     

                    “ค่ะ”

     

                  ปาร์คบมถอนหายใจอย่างขัดใจ แม้เมื่อครู่เธอจะนึกกังวลว่าซึงฮยอนจะพูดยังไงเรื่องที่เธอแกล้งหลอกว่าเป็นปาร์คโกอึน แต่เห็นท่าทางดื้อๆ จนเกือบจะกวนประสาทของ บก. คนนี้ เธอก็ลืมความกังวลนั่นเสียสนิทกลายเป็นกลับมาโมโหเรื่องต้นฉบับแทน
     

                    “อ่ะ คราวนี้มีอะไรว่ามา”
     

                  ปาร์คฮงจุนวางปากกาในมือและนั่งกอดอกรอฟังคู่กรณีทั้งสองคนอย่างใจเย็น เขาเห็นลูกพี่ลูกน้องสาวของตัวเองเหลือบมองลูกน้องของเขาเหมือนจะให้อีกฝ่ายพูดก่อน แต่ซึงฮยอนก็ยังนั่งนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อน สุดท้ายจอมงอแงอย่างปาร์คบมเลยฟ้องออกมาก่อน
     

                    “ลูกน้องพี่เขาแก้ต้นฉบับงานน้องค่ะ”

     

                    “ก็ผมเป็น บก. ผมก็ต้องแก้ให้งานมันดีขึ้นสิ”

     

                    “แต่ทำไมคุณไม่บอกก่อนล่ะว่าจะแก้ ถ้าคุณบอกมาก่อนฉันจะได้ไม่ขาย”

     

                ปาร์คบมเถียงอย่างไม่ลดละ ฮงจุนเห็นซึงฮยอนทำหน้าอึ้งไปตอนที่บมพูดจบ เขาเจออิทธิฤทธิ์ของบมมาหลายหนทั้งในฐานะญาติสนิทและในฐานะ บก. ที่ทำหนังสือให้ ปาร์คบมเป็นคนพิถีพิถันเรื่องงานที่จะสั่งพิมพ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องต้นฉบับ

                    “ผมเป็น บก. ถ้าผมเห็นว่าการใช้คำมันฟุ่มเฟือย หรือว่ามันไม่โอเคผมก็มีสิทธิ์เสนอแก้ได้นี่”

     

                    “แก้ได้เหรอ” ปาร์คบมทำหน้าเหมือนจะเป็นลมเต็มที “ถ้าคุณแก้งานฉัน ลายเซ็นที่ฉันทิ้งเอาไว้ในงานมันก็หายไปหมดน่ะสิ”

     

                    “ผมแค่ตัดพวกคำเชื่อมเองนะ ไม่ได้แก้อะไรเยอะเลย”
     

                    ซึงฮยอนก็เถียงไม่อย่างไม่ยอมแพ้จนฮงจุนนึกขำ เด็กคนนี้เข้ามาทำงานที่สำนักพิมพ์ตั้งแต่เรียนจบ ซึงฮยอนอาจจะไม่ใช่คนที่จบด้านการทำหนังสือมาโดยตรงแต่เป็นคนที่ใช้ภาษาได้ดี เขาเลยเลือกมาเป็นลูกมือให้ฝึกหัดทำหนังสือไปก่อน จนพอบมเปรยๆ ว่าอยากขายต้นฉบับ เขาเลยเลือกซึงฮยอนให้ทำหนังสือเล่มนี่

     

                    “เดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆ ทั้งสองคนนั่นแหละ”

     

                    ฮงจุนห้ามทัพสองคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจะตีกันอีกรอบ บรรณาธิการบริหารหนุ่มของสำนักพิมพ์นาบิมองหน้าลูกน้องสลับกับลูกพี่ลูกน้องอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเลือกเอ่ยอย่างไม่เข้าข้างฝ่ายไหนเพื่อรักษาน้ำใจทั้งสองฝ่าย

     

                    “บม พี่เห็นด้วยนะที่ซึงฮยอนเขาพูด เพราะพี่อ่านต้นฉบับที่เขาช่วยแก้ให้ก็คิดว่าดีขึ้น หยุด..อย่าเพิ่งเถียง” ฮงจุนเอ่ยปากสั่งหญิงสาวที่ทำหน้างอก่อนจะพูดต่อ “ถ้าเธอรักในอาชีพนักเขียนของเธอ เธอก็ควรให้เกียรติซึงฮยอนที่ทำหน้าที่ บก. ของเขาด้วย ต้นฉบับเป็นของเธอแต่หนังสือเป็นของเราทุกคน ถ้าผลงานมันออกมาดีมันก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ”

     

                    “ก็เขาไม่บอกน้องก่อนว่าจะแก้ต้นฉบับนี่”

     

                    ปาร์คบมยังเถียงอย่างไม่ยอมแพ้จนฮงจุนต้องส่ายหน้า เพราะบมตั้งท่าจะไม่ยอมรับการแก้ไขผลงานนี่ท่าเดียว ที่จริงเขาทำงานหนังสือมาหลายปีจนรู้ว่ามีนักเขียนบางคนที่เป็นเหมือนบม คือไม่ยอมให้ใครมาแก้ไขสำนวนของตัวเอง แม้เพียงนิดเดียวก็ไม่ได้ เพราะนักเขียนเหล่านั้นถือว่างานเขียนเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่อาจไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็งดงามในตัวเอง

     

                    “ที่คุณหลอกผมว่าคุณชื่อปาร์คโกอึน ผมยังไม่โกรธคุณเลย”

     

                    ซึงฮยอนที่เงียบไปนานพูดขึ้นมาลอยๆ ฮงจุนเลยต้องหันไปมองหน้าน้องสาวที่จู่ๆ ก็หันไปสนอกสนใจภาพวาดทิวทัศน์ที่เขาติดไว้ที่ผนังอย่างกระทันหัน

     

                    “บม แกล้งลูกน้องพี่เหรอ”

     

                    “น้องเปล่านะคะพี่” บมส่ายหน้าเบาๆ “แค่ไม่ได้พูดความจริงแค่นิดเดียวเอง”

     

                    “ปาร์คบม ขอโทษซึงฮยอนเดี๋ยวนี้เลย”

     

                 ปาร์คฮงจุนเอ่ยสั่งน้องสาวอย่างจริงจัง นิสัยขี้แกล้งของบมแก้เท่าไหร่ก็ไม่หาย เขาเองโดนน้องสาวคนนี้แกล้งบ่อยๆ ก็ไม่ได้ถือสาอะไรนัก แต่ซึงฮยอนที่ไม่เคยรู้จักบมมาก่อนอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้น และท่าทางนิ่งๆ ของซึงฮยอนก็ยิ่งทำให้เขาเดาใจลูกน้องคนนี้ไม่ถูก
     

                  “ขอโทษค่ะ” ปาร์คบมยอมขอโทษแต่ก็มิวายสำทับ “คุณก็ต้องขอโทษที่แก้งานฉันโดยไม่ยอมบอกเหมือนกัน”
     

                    “ผมไม่ขอโทษ”
     

                   คำพูดของซึงฮยอนทำให้ปาร์คบมโมโหขึ้นมาอีกยก ฮงจุนแทบอยากจะเอาหัวโขกโต๊ะตายให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป ทั้งๆ ที่เมื่อครู่บมยอมอ่อนให้แล้วแท้ๆ เชียว
     

                    “ไม่ขอโทษได้ยังไง ถ้าคุณไม่เกรงใจฉันเพราะคุณเป็น บก. อย่างน้อยก็ให้เกียรติฉันที่แก่กว่าสักหน่อยซิ”

     

                    หญิงสาวโวยวายอย่างเหลืออด เธอเริ่มหงุดหงิดจนอยากจะฉีกสัญญาที่ให้อนุญาตสิทธิ์พิมพ์เรื่องโมรันให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ บก. หนุ่มตาคมคนนั้นกลับทำท่าทางเฉยๆ เหมือนไม่ใส่ใจ

     

                    “ผมไม่ขอโทษ เพราะผมทำงานของผมไม่ได้ทำอะไรผิด”

     

                    “คุณ..”

     

                    ปาร์คบมพูดไม่ออกเมื่อเห็นท่าทางดื้อแพ่งของอีกฝ่าย หญิงสาวหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากฮงจุน แต่พี่ชายกลับส่ายหน้าเป็นเชิงว่าช่วยอะไรไม่ได้

     

                    “นี่ตกลงว่าคุณยืนยันจะแก้งานฉันให้ได้ใช่ไหม”

     

                    “ผมแก้ให้ ตรงไหนที่คุณไม่พอใจก็แก้ส่งกลับมา แค่นี้เอง”

     

                    ซึงฮยอนจ้องหน้าหญิงสาวที่เม้มปากแน่นอย่างโมโห ที่จริงปาร์คบมน่ารักเหมือนตุ๊กตาอยู่แล้วแม้ว่าจะทำหน้าเฉยๆ พอทำหน้างอแบบนี้ก็ยังดูน่ารักอยู่ ใบหน้าสวยเชิดขึ้นอย่างถือดีก่อนจะเอ่ยเหมือนประชด

     

                    “ก็ได้ๆ อยากจะแก้งานฉันก็แก้ไปเลย”

     

                    “บม อย่าทำตัวไม่น่ารักแบบนี้สิ”

     

                    ฮงจุนเอ่ยเตือนน้องสาวที่ทำท่าทางเอาแต่ใจจนถ้าเป็นเด็กๆ เขาคงจะตีเอาสักที ซึงฮยอนเลิกคิ้วใส่หญิงสาวที่ยังหน้างอไม่เลิกก่อนจะหันไปคุยกับฮงจุนแทน
     

                    “งั้นผมไปทำงานต่อนะครับพี่”

     

                    “โอเคๆ ขอโทษด้วยนะซึงฮยอน”

     

                    “ไม่เป็นไรครับ”

     

                    ซึงฮยอนลุกขึ้นโค้งลาฮงจุนและหันมาทำหน้ากวนประสาทใส่ปาร์คบมทีหนึ่งจนฮงจุนต้องหัวเราะออกมา เขาไม่เคยนึกว่าซึงฮยอนก็มีมาดกวนๆ แบบนี้เหมือนกัน ส่วนน้องสาวเขาก็นั่งบ่นงึมงำแบบที่เขาจับใจความได้ว่า คนบ้าบ้าง เด็กนิสัยไม่ดีบ้าง ท่าทางอารมณ์เสียของปาร์คบมจะไม่จบง่ายๆ สุดท้ายเขาเลยต้องโอ๋น้องด้วยการชวนออกไปหาเค้กกับน้ำชาทานกันที่ร้านใกล้ๆ หญิงสาวเลยดูอารมณ์ดีขึ้นมาทันตา

     

    เดี๋ยวจะต้องกระซิบซึงฮยอนเสียหน่อยว่าให้เอาเค้กไปล่อเวลาที่จะแก้ต้นฉบับของบม

     

    ----------------------------

                   

                    “ป้าไม่ชอบเลยค่ะที่พวกตำรวจสงสัยว่าคุณหนูจองอาของป้าเป็นคนร้าย”

     

                    อิมจียอน พี่เลี้ยงของจางจองอาเอ่ยเบาๆ ขณะที่แปรงผมให้หญิงสาวที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ ในบรรดาคนในบ้านตระกูลจาง จียอนเป็นคนทำงานบ้านที่อยู่มานานที่สุดเพราะหญิงวัยหกสิบคนนี้เป็นคนดูแลคุณแม่ของจองอา ก่อนที่จะเปลี่ยนมาดูแลเธอเต็มตัวเมื่อเธอคลอด

     

                    “เพราะว่าหนูดูมีความแค้นกับคุณนายยองเอที่สุดไงคะ”

     

                    จองอาตอบเบาๆ พลางยิ้มผ่านกระจกเงาให้แม่นม ป้าจียอนของเธออายุเพียงแค่หกสิบปีแต่ผมกลับขาวทั้งศรีษะเหมือนหญิงชรา มือเล็กเอื้อมไปกุมมือที่เริ่มเหี่ยวย่นของจองอาไว้เบาๆ

     

                    “แค่ป้าเชื่อว่าหนูไม่ได้ทำก็พอแล้วล่ะค่ะ”

     

                    “ป้าเชื่อค่ะ คุณหนูของป้าไม่ทำแบบนั้นแน่ๆ”

     

                    หญิงสาวยิ้มอ่อนให้แม่นมอีกครั้ง เธอสังเกตเห็นว่าจียอนดูเคร่งเครียดขึ้นเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จองอาไม่แปลกใจเพราะจียอนเป็นคาทอลิคที่เคร่งครัดต้องไปสวดที่โบสถ์ทุกวันอาทิตย์ เธอเสียอีกทีไปโบสถ์นับครั้งได้ การที่มีคนฆ่ากันตายในบ้านที่จียอนอยู่จึงเป็นเรื่องที่ทำให้แม่นมของเธอไม่สบายใจนัก

                    จองอาเองก็ไม่สบายใจเช่นกัน เพราะเธอไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ที่เป็นคนฆ่าคุณนายยองเอ

     




     

                    ซึงฮยอนละสายตาจากต้นฉบับบทที่หกที่กำลังแก้อยู่ ส่วนปึกต้นฉบับบทที่ห้าที่บมตอบตกลงยอมรับการแก้ไขของเขานั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงหมุนคอและขยับไหล่เพื่อไล่ความเมื่อยล้า นาฬิกาที่ออฟฟิศบอกเวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว แต่เพราะเขายังแก้งานไม่เรียบร้อยนักเลยตัดสินใจว่าจะอยู่ทำงานต่อ
     

                    ร่างสูงกำลังชั่งใจว่าจะเดินไปเติมกาแฟดีหรือไม่ เพราะวันนี้เขาดื่มเครื่องดื่มรสขมนั่นไปหลายแก้วแล้ว ถ้าดื่มอีกอาจจะตาค้างนอนไม่หลับไปทั้งคืน โทรศัพท์มือถือของเขาที่วางอยู่ใกล้ๆ ดังเตือนว่าแบตเตอรี่เหลือน้อยมากไม่ถึงสองเปอร์เซ็น วันนี้เขาไม่ได้หยิบอุปกรณ์ชาร์ตแบตมาเลยแม้แต่อย่างเดียวทั้งสายชาร์ตและแบตเตอรี่เสริม ซึงฮยอนจึงตัดสินใจว่าจะกดปิดเครื่อง แต่หน้าจอที่เปลี่ยนเป็นสายเรียกเข้าทำให้เขาคิ้วขมวด

     

                    “สวัสดีครับ”

     

                    “คุณ บก. ใหญ่ แก้งานฉันไปถึงไหนแล้วคะ”

     

                    เสียงประชดประชันหวานๆ ของบมลอดสายออกมาทำให้ซึงฮยอนอยากหัวเราะ เพราะจู่ๆ เขาก็นึกถึงตากลมๆ ที่หรี่ลงอย่างไม่พอใจนั่นขึ้นมา

     

                    “ยังแก้ไม่ถึงไหนครับ บทที่หกยังไม่เสร็จ”

     

                    “โอเค งั้นฉัน...”

     

                    จู่ๆ เสียงของปาร์คบมก็ขาดหายไป ซึงฮยอนเลยเลื่อนโทรศัพท์ที่แนบหูมาดูและพบว่าแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่น้อยนิดนั้นหมดสนิทลงไปแล้ว เขาเลยตัดสินใจเปิดหน้าเมลล์ขึ้นมาเขียนถึงนักเขียนสาวที่ยังคุยกันไม่จบแทน

     

     

                    “โอเค งั้นฉันวางละ คงไม่ต้องนั่งรอคุณส่งเมลล์งานมาให้ดูคืนนี้ ฮัลโหล... คุณซึงฮยอน”

     

                    ปาร์คบมเลื่อนโทรศัพท์มาดูและเห็นว่าอีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว หญิงสาวหงุดหงิดจนกดโทรกลับไปอีกรอบ แต่ซึงฮยอนปิดเครื่องไปแล้ว

     

                    “คนไม่มีมารยาท มาวางสายใส่คนอื่นแบบนี้ได้ยังไง”

     

                    หญิงสาวกำลังจะส่งข้อความไปโวยวาย แต่โทรศัพท์เตือนว่ามีอีเมลล์เข้ามาเธอเลยตัดสินใจกดเปิดดู เมื่อเห็นว่าเป็นชื่อของคนที่ตัดสายไปบอมเลยยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิม

     

     

                    คุณปาร์คบม

                    มือถือผมแบตหมดสนิทขอโทษด้วยครับ งานที่แก้อยู่ยังไม่เสร็จเลยถ้าเสร็จแล้วจะรีบส่งให้นะครับ

                    ฝันดีครับ

                    ซึงฮยอน





     

                    ปาร์คบมรู้สึกดีขึ้นมาเมื่อได้รู้ความจริงว่าซึงฮยอนไม่ได้จงใจจะตัดสายทิ้ง หญิงสาวแตะหน้าจอจะเขียนเมลล์กลับแต่ก็ตัดสินใจกดทิ้งก่อนจะวางมือถือเอาไว้ที่โต๊ะข้างเตียง หญิงสาวบ่นอุบอิบเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกดปิดโคมไฟทำให้ห้องทั้งห้องมืดลง ปาร์คบมนึกถึงหน้ากวนๆ ของคนที่ส่งอีเมลล์มาแล้วก็บ่นอุบอิบกับตัวเองอีกรอบ

     

                    “มาบอกฝันดีอะไรกัน ฉันไม่ได้บอกจะนอนซักหน่อย นายมารู้เรื่องของฉันได้ไง”

     











    - TBC -










    Talk ...... ตอนนี้มาแล้วค่ะ อ่านแล้วเป็นยังไงบ้าง ติชมกันได้เลยนะคะ ^^
    ถ้าใครอยากติดต่อพลอยโดยตรงทางทวิตเตอร์ก็นี่เลยค่ะ @PIoyniez นะคะ
    ขอบคุณค่า ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×