ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TOPBOM] : The Novel

    ลำดับตอนที่ #2 : The Novel [2 /...]

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 56









    [Fic] : The Novel [2 /...]

    Paring : T.O.P - BIGBANG x Park Bom - 2NE1

    Genre : AU

    A/N : Fiction is fiction.

     

     

     

     

     

                บมไม่รู้เหมือนกันว่าเธอเริ่มหลงใหลดอกไม้กลิ่นหอมหวานอย่างโมรันตั้งแต่ตอน ไหน ความหลงใหลนี้อาจจะเริ่มเมื่อสมัยที่ยังเป็นนักเรียนมัธปลายอยู่ เธอใช้วันหยุดฤดูร้อนไปเดินเล่นแถวๆ ประตูฝั่งตะวันออกของพระราชวังคยองบกและเดินทะลุอออกสู่หมู่บ้านบุกชอน ย่านหมู่บ้านเก่าสมัยที่ราชวงศ์โชซอนที่ตอนนี้กลายเป็นพื้นที่อนุรักษ์และ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ระหว่างทางที่เดินเล่นและถ่ายรูปอย่างเพลิดเพลินเธอก็บังเอิญเดินสวนกับหญิง ชราผมขาวทั้งศีรษะสวมชุดฮันบกผ้าไหมอย่างดีหอบดอกโมรันไว้เต็มอ้อมแขน

     

                คุณยายท่านนั้นทำให้เด็กสาวมัธยมปลายอย่างเธอหยุดนิ่งและทุกอย่างรอบตัวกลาย เป็นภาพช้า บมยังจำได้ว่าคุณยายสวมเสื้อนอกที่เรียกว่าชอกอรีสีเงินยวงกับกระโปรงหรือชี มาสีน้ำเงินเข้ม ปิ่นเงินที่ปักอยู่กับมวยผมสีขาวนั้นล้อแสงแดดวาววับ เมื่อสบตากันท่านก็คลี่ยิ้มให้เธอ แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าท่านเอ็นดูเธอหรือดูเป็นรอยอ่อนโยนของ หญิงชรา ปาร์คบมรู้สึกเหมือนรอยยิ้มนั้นลึกลับราวกับรอยยิ้มของภาพวาดโมนาลิซ่า สายลมฤดูร้อนพัดกลิ่นดอกโมรันหลากสีในอ้อมแขนของคุณยายส่งกลิ่นอบอวลไปทั่ว กว่าเธอจะรู้ตัวอีกทีคุณยายก็เดินหายลับไปตรงหัวมุมถนนแล้ว
     

                นับตั้งแต่วันนั้นบมก็คิดมาตลอดว่าจะต้องเขียนอะไรสักอย่างเกี่ยวกับดอกไม้ ชนิดนี้ ความคิดนั้นค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างทีละเล็กทีน้อย จากวันที่เธอเรียนมัธยมปลายจนกระทั่งอายุ 29 ในปีนี้ เธอเปลี่ยนภาพความทรงจำของการพบคุณยายถือดอกโมรันให้กลายเป็นตัวหนังสือบน หน้ากระดาษหนานับร้อยๆ หน้า

     

                การหลงใหลการอ่านและการเขียนจนเกิดแรงบันดาลใจให้เรียบเรียงตัวหนังสือนั้น อาจไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร แต่การลงมือเขียนอะไรสักอย่างให้เป็นรูปเป็นร่างต่างหากที่ยาก บมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นนักเขียนที่เก่งกว่าใคร หรือไม่เคยยกยองานของตัวเองให้สูงเด่น เพราะเธอรู้ดีว่านับตั้งแต่เธอลงมือแปรภาพในจินตนาการให้เป็นตัวอักษร ความสำเร็จในการครองใจผู้อ่านถือเป็นกำไรชีวิต แต่ผลตอบแทนที่สำคัญคือการที่เธอให้เกียรติต่อตัวหนังสือที่บรรจงร้อยเรียงมันขึ้นมา

     

                โมรัน เป็นนิยายเรื่องแรกที่เธอลงมือเขียน แต่กลับเขียนเสร็จสมบูรณ์หลังจากที่เธอเริ่มต้นอาชีพนักเขียนเต็มตัวมาแล้ว ถึง 8 ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมาบมเขียนหนังสือทุกเล่มก่อนหน้านั้นด้วยจุดประสงค์ว่าจะขาย แต่สำหรับเรื่อง โมรัน เธอเขียนเพื่อตอบสนองความประทับใจในวัยเด็ก และที่สำคัญกว่านั้นคือกว่าที่เธอจะเขียนเรื่องโมรันออกมา เธอได้ออกเดินทางไปถึงเมืองลั่วหยางที่ประเทศจีนทั้งที่ทักษะภาษาจีนของเธอ ติดลบเพียงเพื่อชมดอกโมรันบานสะพรั่งในสวนหวางเฉิง กงหยวน (Wang Sheng Gongyuan) เพราะเหตุผลนี้บมจึงรู้สึกหวงแหนต้นฉบับนิยายเรื่องนี้มากเป็นพิเศษจนเคยคิด ไว้ว่าอาจจะสั่งพิมพ์เป็นหนังสือนอกระบบขายเฉพาะในบอร์ดที่มีคนอ่านนิยายของ เธอผ่านทางอินเตอร์เน็ต

     

                การขายหนังสือแบบนั้นอาจจะได้กำไรน้อยกว่าหรือแทบไม่ได้เลย แต่เธอสามารถขายหนังสือให้กับคนอ่านที่รักเรื่องนี้จริงๆ ไม่ใช่แค่ซื้อหนังสือไปเพราะแรงโปรโมทของสำนักพิมพ์
     

                ที่จริงเธอค่อนข้างไว้ใจปาร์คฮงจุนเพราะรู้จักกันมานานและเป็นลูกพี่ลูกน้อง กัน แต่ฮงจุนอาจจะเลือกต้นฉบับของเธอเพียงเพราะเห็นว่าในขายได้ ถ้าหากว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ เธอจะทำอะไรได้นอกจากเสียใจด้วยความรู้สึกที่ว่าหนทางชีวิตของนักเขียนอาชีพ คือการเอาสิ่งตัวเองรักมาตีราคาเป็นตัวเงิน

     

                ความจริงบมไม่ได้อยากขายต้นฉบับเรื่องโมรันให้ใครเลยแม้แต่คนเดียว


     

    ---------------------------

     

                “พี่ชเวซึงฮยอน”

     

                เสียงเรียกไม่เบานักของหนุ่มรุ่นน้องที่ออฟฟิศทำให้ซึงฮยอนละสายตาจาก เว็บไซด์เรื่องดอกโมรัน ควอนจียงยิ้มแป้นถือแก้วกาแฟจากร้านสตาร์บัคที่น่าจะซื้อมาจากใต้ถุนตึกติด มือมาด้วย หนุ่มรุ่นน้องหย่อนถุงกระดาษบรรจุมัฟฟินชอคโกแลตอุ่นๆ ลงบนโต๊ะเขาก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเองที่โต๊ะข้างๆ กัน

     

                “ซื้อมาฝากฮะ”

     

                “ขอบใจ”

     

                ซึงฮยอนพยักหน้าก่อนจะแกะมัฟฟินอุ่นๆ นั่นออกมาชิม รสหวานติดขมนิดๆ ของขนมอวลอยู่ในปาก ถ้าได้กาแฟหรือชาอุ่นๆ สักแก้วคงจะดี

     

                “เป็นไงพี่ เรื่องที่ติดต่อขอต้นฉบับคุณปาร์คบมไปถึงไหนแล้ว”

     

                “ยังเงียบอยู่เลย”

     

                รุ่น พี่อย่างซึงฮยอนถอนใจเบาๆ แต่ควอนจียงกลับทำตาโตเหมือนตกใจไม่น้อยแล้วเอนตัวมากระซิบถามเพื่อไม่ให้รบ กวนพี่เบคคยอง บก. อาวุโสที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามนั่งขมวดคิ้วใส่ต้นฉบับดอนกิโฆเต้ที่สำนักพิมพ์ เพิ่งจะประมูลได้รับอนุญาตสิทธิ์ตีพิมพ์มา

     

                “นี่มันเดือนหนึ่งแล้วนะพี่ เขายังเงียบอยู่เลยเหรอ”

     

                “อือ” ซึงฮยอนพยักหน้ารับอย่างเนือยๆ “วันก่อนโทรเข้ามือถือคุณปาร์คบม เธอก็ไม่ได้รับเอง คุณปาร์คโกอึนพี่สาวเธอรับ บอกว่าคุณบมยังตัดสินใจอยู่ แต่ยืนยันว่ายังไม่ได้ให้อนุญาตสิทธิ์ตีพิมพ์กับใคร”

     

                “แปลกนะ ปกติคุณบมเขาไว้ใจพี่ฮงจุนจะตาย”

     

                “เหรอ”

     

                ซึงฮยอนเลิกคิ้วอย่างสงสัย จียงเลยพยักหน้าและเลื่อนเก้าอี้ไปใกล้หนุ่มรุ่นพี่ที่ถือมัฟฟินค้างเอาไว้ ในมืออีกหน่อย ท่าทางกระซิบกระซาบของจียงยิ่งทำให้ซึงฮยอนสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม
     

                “พี่ฮเยซอนที่อยู่แผนกบัญชีบอกว่าพี่ฮงจุนเคยเป็นแฟนกับคุณปาร์คบมตั้งแต่เธอยังเรียนมหาวิทยาลัยแล้วเอาต้นฉบับมาเสนอที่บริษัท โอ้ย!”

     

                จียงร้องเสียงหลงตอนที่ก้อนกระดาษที่ถูกขยำลึกลับลอยหวือมาโดนหน้าผากไม่เบา นัก ซองเบคคยองค้ำแผ่นกั้นโตะทำงานแล้วชีหน้าหนุ่ม บก. รุ่นน้องทั้งสองคนอย่างเอาเรื่อง
     

                “ไอ้จียง แกไปฟังนิยายอะไรจากพวกสาวๆ มาวะ ฮงจุนเนี่ยนะเป็นแฟนกับบม เดี๋ยวเมียมันก็ได้มาแหกอกหัวหน้าแกถึงออฟฟิศหรอก บมเนี่ยเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของฮงจุน พอสาวๆ ที่นี่เห็นฮงจุนมันโอ๋บมเข้าหน่อยก็เอาไปลือกันมั่วซั่ว”
     

                เบคคยองทำเสียงจิ๊กจั๊กใส่จียงที่หน้าเหลือสองนิ้วแล้วหันมามองหน้าซึงฮยอนที่ อยู่ในสภาพซีดพอๆ กัน ใครๆ ก็รู้กันทั้งออฟฟิศว่า บก. หนุ่มตัวเล็กคนนี้ใจไม่เล็กตามความสูง เพราะเบคคยองลุยแหลกมาหมดแล้วทั้งนักเขียนที่ได้ชื่อว่าเรื่องมากจนถึงโรง พิมพ์ที่ทำเพลทต้นฉบับก่อนส่งพิมพ์หนังสือผิด
     

                “ส่วนแกไอ้ซึงฮยอน แกไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องต้นฉบับยังไงบมก็ต้องขายให้เราแน่ๆ แค่ตอนนี้เขาอาจจะตัดสินใจอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นแกสองคนแยกย้ายกันทำงานทำการได้แล้วมั้ง จียง ต้นฉบับชู้รักเลดี้แชตเตอร์เลย์ที่แกดูอยู่ตรวจเสร็จหรือยังจะได้ส่งปรู๊ฟ ต่อ”
     

                “เกือบเสร็จแล้วพี่ เหลือบทสุดท้ายบทเดียวแล้ว”

     

                “งั้นก็ทำต่อสิ”

     

                “ฮะๆ ทำแล้วฮะ”

     

                จียงหน้ามุ่ยแล้วรื้อกองต้นฉบับที่กองอยู่บนโต๊ะทำงานออกมานั่งเปิดอ่านต่อ ส่วนเบคคยองก็กลับไปสนใจตามเดิม ซึงฮยอนถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นจียงนั่งตรวจต้นฉบับในมือ แม้หนังสือที่จียงทำอยู่ตอนนี้จะเป็นหนังสือที่ตีพิมพ์ซ้ำ หรือ Reprinted ขั้นตอนเกี่ยวกับเนื้อหาก็จะเป็นแค่ตรวจความเรียบร้อยถูกต้องของข้อมูล อาจจะมีการค้นคว้าข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติมเล็กน้อย ส่วนงานโดยทั่วไปจะเป็นเรื่องของการทำปกและรูปเล่มซึ่งครั้งนี้จียงได้รับ การอนุมัติให้เลือกแบบปกใหม่
     

                งานของจียงอาจจะไม่ใช่หนังสือใหม่แต่อย่างน้อยจียงก็ยังได้ทำหนังสือที่เป็นของ ตัวเอง ส่วนเขาแม้จะได้ทำหนังสือใหม่มาแล้วสี่เล่ม แต่ก็อยู่ในฐานะลูกมือพี่ฮงจุนเท่านั้น แถมดูเหมือนคุณปาร์คบมเจ้าของต้นฉบับหนังสือเรื่องนั้นจะหวงต้นฉบับเหลือเกิน
     

                เขาก็แค่อยากจะทำให้โมรันเป็นรูปเล่มสำเร็จเท่านั้นเอง


     

    ------------------------



     

                บมขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ของชเวซึงฮยอน ที่เธอบันทึกไว้ เช้าวันนี้บมอารมณ์ไม่ดีเลยจริงๆ ที่จริงบมสังเกตว่าตัวเองมักจะอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้บ่อยๆ ปาร์คโกอึนพี่สาวของเธอเคยเอ่ยแซวว่าเป็นโรคศิลปินขึ้นสมอง

     

                เธอรู้สึกว่ายังไม่มีอารมณ์จะพูดสายกับใครจึงปล่อยให้โทรศัพท์สั่นเตือนอยู่ อย่างนั้นจนสายตัดไปเองและคอยดูว่าซึงฮยอนจะโทรกลับเข้ามาในอีกกี่นาที เธอเดินไปชงกาแฟ ปิ้งขนมปัง และทาแยมส้มลงบนขนมปังอุ่นๆ อย่างใจเย็น จนเข็มยาวของนาฬิกาบนผนังเดินไปข้างหน้า 20 ครั้งแล้ว แต่ซึงฮยอนก็ไม่ได้โทรกลับมา
     

                มีมารยาทดี อย่างน้อยก็ไม่ได้โทรกลับมาจิกจนเธอรำคาญ

     

                นักเขียนสาวจัดการมื้อเช้าไปพลางละเลียดหนังสือเรื่องแม่ ของแมกซิม เกอร์กี้ไปด้วย กว่าเธอจะรู้ตัวอีกทีกาแฟกับขนมปังก็หมดไปนานแล้วและหนังสือที่อ่านอยู่ก็ ผ่านไปหลายร้อยหน้า บมหยิบที่คั่นหนังสือมาเสียบไว้ที่หน้าที่อ่านค้างแล้ววางหนังสือทิ้งไว้ที่ เคาน์เตอร์

     

                เธอเปิดคอมพิวเตอร์ ตอบอีเมลล์นักอ่านที่เขียนเมลล์มาหา ให้อาหารปลาทองเก้าตัวที่เลี้ยงไว้ในตู้และหยิบแคสตัสต้นเล็กไปวางรับแดดที่ ระเบียง พอหันไปมองนาฬิกาบมถึงได้เห็นว่าเครื่องบอกเวลาที่ผนังบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงครึ่ง

     

                พนักงานออฟฟิศส่วนใหญ่จัดการข้าวเสร็จตอนเวลาประมาณนี้ คงจะไม่ผิดถ้าเธอกดโทรศัพท์ออกไปหาคนที่ไม่ได้รับสายเมื่อเช้า เสียงสัญญาณบอกว่ากำลังรอสายดังอยู่เป็นจังหวะยาวอยู่สองครั้ง เธอตั้งใจว่าถ้าสัญญาณครั้งที่สามดังแล้วอีกฝ่ายไม่รับก็จะกดตัดสาย พอเสียงสัญญาณครั้งที่สามจบมือเรียวก็ตั้งท่าจะแตะหน้าจอเพื่อวางสายถ้าไม่ ติดว่าเห็นหน้าจอเปลี่ยนเป็นขึ้นเวลาการใช้สายขึ้นมา

     

                “สวัสดีครับคุณปาร์คบม”

     

                เสียงทุ้มของอีกฝ่ายทำให้บมต้องเงียบ จู่ๆ เธอก็นึกถึงแววตาไม่มั่นใจของ บก. หนุ่มรุ่นน้องเธอที่พบกันในวันนั้น ชเวซึงฮยอนคนนั้นดูเขินอายและใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

     

                “คุณปาร์คบม ได้ยินผมไหมครับ”

     

                “ค่ะ” เสียงหวานๆ ตอบกลับปลายสาย “คุณโทรมาหาฉันเมื่อเช้า มีธุระอะไรเหรอคะ”

     

                “อ่ะ คือผมจะรบกวนถามเรื่องสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ตีพิมพ์น่ะครับ คุณบมได้อ่านแล้วหรือยังครับ”

     

                “อ่านแล้วค่ะ”

     

                ปาร์คบมถอนใจอย่างหงุดหงิดเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงสัญญานั่น เธอตัดสินใจส่งต้นฉบับเรื่องโมรันไปสำนักพิมพ์นาบิกับสำนักพิมพ์แทซังของ ท่านประธานลีเพราะว่าปาร์คซานดารา เพื่อนสนิทและลูกพี่ลูกน้องห่างๆ มาขอยืมเงินไปปลดหนี้ร้านเสื้อผ้าที่โดนหุ้นส่วนโกงเงินไป บมให้ซานดารายืมเงินเก็บทั้งก้อนไปแล้วถึงต้องตัดสินใจจะส่งหนังสือไปตี พิมพ์เพื่อหาเงินมาสำรองเป็นค่าใช้จ่ายเอาไว้ก่อน

     

                “แล้วสัญญาโอเคไหมครับ ต้องการแก้ไขตรงไหนหรือเปล่า”

     

                “โดยรวมๆ แล้วโอเคค่ะ แต่ฉันยังต้องการเวลาตัดสินใจอีกหน่อย”

     

                “อย่างนั้นเหรอครับ”

     

                “ค่ะ”

     

                บมเงียบและอีกฝ่ายก็เงียบตาม ความอึดอัดแผ่ซ่านผ่านสัญญาณโทรศัพท์แม้ว่าคู่สนทนาจะไม่เห็นหน้ากันและกัน สุดท้ายชเวซึงฮยอนก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลงก่อน

     

                “ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณบมยังอยากตัดสินใจอีกหน่อย ทางสำนักพิมพ์ก็ยังรอได้”

     

                “งั้นเหรอคะ”

     

                “ครับ แต่ถ้าตัดสินใจได้เมื่อไหร่ ช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ”

     

                “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นแค่นี้นะคะ”

     

                “ครับ”

     

                บอมกดตัดสายทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ถ้าจะพูดให้ถูกเธอกดปิดมือถือ ถอดสายโทรศัพท์บ้านและปิดผ้าม่านหน้าต่างทุกบาน นักเขียนสาวนั่งลงกับพื้นกลางห้องด้วยความหงุดหงิด เธออยากช่วยซานดาราแต่ก็ไม่อยากขายต้นฉบับเรื่องโมรันให้ใคร หนทางเดียวที่คนทำอาชีพนักเขียนอย่างเธอจะหาเงินได้คือขายต้นฉบับให้สำนัก พิมพ์ แต่ปัญหาอยู่ที่เธอไม่มีต้นฉบับเรื่องอื่นที่มั่นใจว่าจะทำเงินได้อย่างโมรันในมือเลยสักเรื่องเดียว

     

                “โอ้ย!”

     

                มือเรียวสวยขยี้ผมตัวเองอย่างขัดใจจนเส้นผมสีดำยาวถึงกลางหลังนั้นยุ่งเหยิง แต่ความขุ่นเคืองในใจของบมยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลง หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ แล้วพึมพำอย่างคนที่หาทางออกไม่ได้

     

                “ทำยังไงดีนะ ทำยังไงดี”

     

     

    -------------------------


     

                ซึงฮยอนนั่งอ่านต้นฉบับเรื่องโมรันในมือไปเรื่อยๆ ระหว่างที่กำลังนั่งรอนักเขียนสาวจอมเอาแต่ใจอย่างปาร์คบม เธอโทรนัดเขาเมื่อวานตอนเกือบเลิกงานว่าขอให้ออกมาพบกันเพราะอยากจะคุย เรื่องต้นฉบับ ซึงฮยอนเลยรีบตกลงและเข้าไปแจ้งให้พี่ฮงจุนทราบเรื่อง หัวหน้าของเขากำชับว่าคราวนี้ควรให้ปาร์คบมเซ็นสัญญาให้ได้ เพราะว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่ยื่นสัญญาไปเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบสองเดือนเต็ม

     

                เขาไม่ได้บอกให้เจ้าของต้นฉบับอย่างปาร์คบมหรือหัวหน้าอย่างพี่ฮงจุนให้ทราบ ว่าเขาแอบลองแก้ไขเนื้อหาบางตอนในเรื่องนิดหน่อย และแอบร่างภาพปกหนังสือเอาไว้เล่นๆ แล้วด้วย ถ้าทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยซึงฮยอนจะเอาไอเดียไปบอกฝ่ายศิลปกรรมให้ทำแบบปก ออกมาเพื่อจะได้เอาไปเสนอพี่ฮงจุนและคุณนักเขียน

     

                ซึงฮยอนยอมรับความจริงในข้อที่ว่าเขาชักจะหงุดหงิดคุณปาร์คบมขึ้นมานิดๆ เพราะอีกฝ่ายปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ยอมติดต่อมาว่าตกลงแล้วจะให้ตีพิมพ์ หรือไม่ แต่เขาก็ได้แต่คอยเพราะไม่กล้าไปเร่งรัดนักเขียนมากนัก ตาคมกวาดมองตัวหนังสือในบทที่อยู่กลางๆ เล่มเพื่อฆ่าเวลา

     

     

                “บ้านตรงกูลจางปลูกโมรันไว้รอบบ้านแล้ว ทำไมยังต้องปลูกในเรือนกระจกอีกล่ะครับ”

                 จอง อาเหลือบมองอิมฮยองจง นายตำรวจหนุ่มที่เข้ามาเยี่ยมเยียนเธอถึงเรือนกระจก หรือถ้าพูดให้ถูกเขาคงเข้ามาหาหลักฐานเพื่อสืบเรื่องการฆาตกรรมคุณนายยองเอ อนุภรรยาของคุณพ่อของเธอ เนื่องจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพรอบบ้านไม่พบคนภายนอกเข้ามา คนในบ้านตระกูลจางทุกคนกลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปแล้วโดยปริยาย

                “คุณแม่ของฉันชอบดอกโมรันค่ะ”

                หญิงสาวตอบเบาๆ โดยไม่ละสายตาจากกิ่งดอกไม้ที่จับอยู่ คมกรรไกรตัดกิ่งดื่มก้านดอกไม้ทีละน้อยก่อนจะตัดก้านดอกนั้นให้ขาดสะบัดออก จากลำต้น

                “แล้วคืนนั้นที่คุณยองเอเสียชีวิต คุณจองอาอ่านหนังสือเรื่องอะไรอยู่ครับ”

                “เอ๋..” ลูกสาวคนเดียวของท่านนายพลจางเงยหน้าขึ้นมองนายตำรวจหนุ่มอย่างสงสัย “อะไรนะคะ”

                “ก็คุณบอกว่าตอนที่เกิดเหตุ คุณนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน ไม่ใช่เหรอครับ”

                คำถามที่เหมือนจะเป็นการสอบสวนกลายๆ นั้นทำให้จองอารู้สึกหงุดหงิด เธอเชิดหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวขณะที่เอ่ยตอบนายตำรวจหนุ่มที่มองเธอไม่วางตา

                “ฉันนั่งอ่านหนังสือเรื่อง ราโชมอน ของริวโนสุเกะ อาคุตะกะวะ แล้วเรื่องสุดท้ายที่ฉันอ่านในคืนนั้นคือเรื่อง Hell Screen หรือว่าฉากนรก อ่านจบฉันก็ปิดไฟเข้านอนและหลับฝันดีเลยล่ะค่ะ ถ้าเกิดคุณไม่มีธุระอะไรแล้ว ฉันขออนุญาตไม่ไปส่งที่หน้าประตูนะคะ”

                จางจองอาหันหลังให้นายตำรวจหนุ่มและเริ่มลงมือตัดดอกโมรันที่บานเต็มที่อีก ครั้ง กรรไกรตัดกิ่งของเธอคมกริบตัดเพียงครั้งเดียวก้านดอกก็ขาดสะบั้น ดอกโมรันสีแดงสดเหมือนเลือดของคุณนายยองเอที่กระเซ็นติดกำแพงหลังบ้าน หญิงสาวส่ายหัวไล่ภาพอันสยดสยองนั้นออกไปจากความทรงจำ และลงมือตัดดอกโมรันต่อโดยไม่หันไปมองแม้ได้ยินเสียงฝีเท้าของนายตำรวจ จหนุ่มคนนั้นค่อยๆ จางไป

                “คนแบบคุณนายยองเอ ควรจะตายไปตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ”

                น้ำเสียงของจองอาแผ่วกว่าเสียงสปริงลวดที่กรรไกรตัดกิ่ง ดอกโมรันหอมหวานสีห้าดอกถูกวางลงในตะกร้าอย่างทะนุถนอมต่างจากแววตาของคุณ หนูตระกูลจางเมื่อพูดถึงแม่เลี้ยงที่เพิ่งลาโลกไปโดยสิ้นเชิง



     

                “เป็นไงคะ สนุกไหม”

     

                เสียง หวานของหญิงสาวทำให้ซึงฮยอนหลุดจากฉากในนวนิยายที่อ่านอยู่ เขารีบลุกขึ้นโค้งทักทายพี่สาวของนักเขียนที่โทรนัดเขาให้มารอ ซึงฮยอนแอบมองไปด้านหลังเผื่อว่าจะเห็นนักเขียนสาวเจ้าของผลงานมาด้วยกัน

     

                “สวัสดีครับคุณโกอึน มาคนเดียวเหรอครับ”

     

                “สวัสดีค่ะ วันนี้บมไม่ได้มาค่ะ เขาให้ฉันมาแทน”

     

                “อย่างนั้นเหรอครับ” ซึงฮยอนพยักหน้ารับ “ถ้างั้นเชิญคุณโกอึนนั่งก่อนครับ”

     

                “ขอบคุณค่ะ”

     

                “ดื่มอะไรไหมครับ”

     

                “ไม่ดีกว่าค่ะ”

     

                ปาร์คบมส่ายหน้าเบาๆ ตอนแรกเธอตั้งใจจะบอกความจริงกับซึงฮยอนไปว่าเธอไม่ใช่ปาร์คโกอึน แต่พอเห็นหน้าซื่อๆ ของอีกฝ่ายบมก็เริ่มจะทำตัวไม่ถูก สุดท้ายเธอเลยต้องปล่อยให้ซึงฮยอนเข้าใจไปตามนั้น
     

                “คุณโกอึนจะไม่ดื่มอะไรหน่อยเหรอครับ” ซึงฮยอนเอ่ยถามอย่างห่วงใย เพราะวันนี้พี่สาวคนสวยของนักเขียนในเงามืดคนนั้นดูซีดเซียวเหมือนอดนอน “หน้าตาคุณดูไม่ค่อยสดชื่นเลย”
     

                “ฉันยุ่งๆ น่ะค่ะ” บมบอกปัดเพื่อปิดบังความจริงว่าเธอนอนไม่หลับเลยตลอดคืน “วันนี้บมให้ฉันเอาเอกสารมาให้คุณค่ะ”

     

                “เอกสารเหรอครับ”

     

                ดวงตาคมของซึงฮยอนมีประกายของความประหลาดใจ เพราะเห็นว่าเอกสารที่ปาร์คโกอึนว่าเป็นซองใส่สัญญาที่เขาให้เธอไป หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะยื่นซองเอกสารมาให้ ซึงฮยอนค่อยๆ เปิดซองน้ำตาลออกดูและกวาดสายตาลงไปที่บรรทัดสุดท้ายในเอกสาร
     

                ตราชื่อของปาร์คบมประทับด้วยหมึกสีแดงอยู่ที่ท้ายเอกสาร สีแดงของหมึกเหมือนจะลอยเด่นอยู่เหนือตัวอักษรอื่นๆ ซึงฮยอนรู้สึกเหมือนใจเต้นรัวควบคุมไม่ได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นปาร์คโกอึนยิ้มอ่อนโยนเหมือนจะเอ็นดูที่เห็นเขาดีใจ ขนาดนี้ซึงฮยอนเลยยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิม
     

                “นี่ตกลงว่า...”

     

                “ปาร์คบมให้อนุญาตสิทธิ์พิมพ์เรื่องโมรันกับสำนักพิมพ์ของคุณค่ะ”

     

                “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆ นะครับ”

     

                ซึงฮยอนโค้งขอบคุณพี่สาวของนักเขียนเจ้าของผลงานไม่หยุดและเผลอจับมือของเธอที่ นั่งอยู่ตรงกันข้ามกันมาเขย่าด้วยความดีใจ แต่ก็ต้องรีบปล่อยมืออย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่านิ้วนางข้างซ้ายของเธอมีแหวน เพชรเม็ดเดี่ยวบนตัวเรือนทองคำขาวสวมอยู่ บก. หนุ่มยิ้มเก้อๆ แต่ยังโค้งขอบคุณไม่หยุด
     

                “ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมาก”

     

                “ไม่เป็นไรค่ะ ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะคะ”

     

                “ครับ”

     

                ปาร์คบมยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นท่าทางดีใจเหมือนเด็กๆ ของซึงฮยอน แต่เธอเข้าใจดีว่าหนุ่มหน้าคมที่เอาแต่จ้องสัญญาแล้วยิ้มไม่หุบนั้นรู้สึก อย่างไร ความรู้สึกนั้นคงไม่ต่างจากตอนที่หนังสือเรื่องแรกของเธอได้ตีพิมพ์ ถึงจะอิ่มใจจากการที่ได้ช่วยให้ซึงฮยอนได้ทำหนังสือของตัวเอง แต่บมก็ยังรู้สึกเศร้าใจ

     

     

                สุดท้ายเธอก็ต้องเอางานที่เธอรักมาตีราคาจนได้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    - TBC -

     

     

     

     

    Talk .... ตอนสองมาแล้วค่า ถ้ามีใครแวะมาขอให้เพลิดเพลินนะคะ ขอบคุณค่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×