คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๒
บทที่ ๒
“อันนา...ไม่สบายเหรอลูก”
มิรินเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นร่างเพรียวระหงของบุตรสาวนอนตะแคงกับที่นอนทั้งที่ยังเป็นเวลาหัวค่ำ เธอเพิ่งกลับจากโรงครัวของรีสอร์ท และตอนนี้ก็เป็นเวลาพักผ่อนของสองแม่ลูก ปกติอันนามักจะเปิดดูโทรทัศน์รอเธอกลับห้อง แต่วันนี้ท่าทีของบุตรสาวดูจะแปลกๆ ไป
“แม่...เปล่าจ้ะ อันนาไม่ได้เป็นอะไร”
หญิงสาวรีบลุกขึ้นจากที่นอนซึ่งเป็นฟูกหนาวางอยู่บนพื้นโดยไม่ได้มีเตียงรองก่อนแต่อย่างใด เธอกับแม่ใช้ชีวิตง่ายๆ กับเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้น ห้องพักของคนงานนั้นไม่กว้างมากนัก แต่มันก็พอเพียงให้สองแม่ลูกใช้ชีวิตได้ตามอัตภาพโดยไม่รู้สึกถึงความลำบากแต่อย่างใด
“ถ้ารู้สึกไม่สบาย อันนาต้องรีบบอกแม่นะ ที่นี่เราอยู่ใกล้สาธารณสุข แม่เองก็รู้จักคุณหมอที่นั่นอยู่บ้าง อันนาจะได้ไม่ลำบากเวลาป่วย”
มิรินบอกหล่อน ก่อนจะนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และปลดผมเผ้าที่ต้องมัดให้เหมาะสมตามหน้าที่แม่ครัวออกหลังจากจบงานไปอีกหนึ่งวัน
หญิงสาวนิ่งเงียบ เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนที่แม้แต่ความคิดในสมองเวลานี้ก็เริ่มกลายเป็นอีกภาษาหนึ่ง และความคิดในภาษานั้นมันก็ดูจะไหลลื่น...มันมาเองราวกับเป็นธรรมชาติที่ต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน เธอเคยดูสารคดีในโทรทัศน์เกี่ยวกับระเบิดนิวเคลียร์ที่จะระเบิดต่อเนื่องจากจุดเล็กๆ ขยายออกกลายเป็นระเบิดใหญ่อย่างรวดเร็ว และเธอก็คิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดกับระบบความคิดของตนขณะนี้ก็คล้ายลูกระเบิดนิวเคลียร์ จากจุดเล็กๆ ที่ได้ส่งภาษาฝรั่งเศสคุยกับผู้ชายคนนั้น...เวลานี้วงคำศัพท์ในสมองหล่อนกำลังแตกขยายอย่างรวดเร็ว
“แม่จ๊ะ...อันนาเคยรู้ภาษาฝรั่งเศสไหมจ๊ะ”
หญิงสาวลองเอ่ยถามกับมารดา เธอสังเกตเห็นมือของแม่ที่กำลังใช้หวีแปรงผมหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง แต่หญิงสาวก็ไม่คิดว่าแม่จะตกใจมากนัก
เธอเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อน มันทำให้เธอสูญเสียความทรงจำบางส่วนไป เธอจำเรื่องราวช่วงวัยเด็กจนถึงช่วงวัยรุ่นของตัวเองไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่าเธอลืมเกือบทุกเรื่องราวก่อนจะเกิดอุบัติเหตุไปหมด มันทำให้อันนาต้องคอยถามมารดาตลอดว่าตนเองเคยทำหรือเคยเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้หรือไม่ เพราะเธอจำคนรู้จักรวมถึงเหตุการณ์หลายๆ อย่างไม่ได้จริงๆ
“อันนาเคยทำงานที่ภูเก็ต ที่นั่นฝรั่งเยอะ คงเคยได้เรียนแบบครูพักลักจำมาจากที่นั่นแหละลูก”
มิรินอธิบายหล่อนง่ายๆ และหญิงสาวก็เริ่มคิดว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ แม่เคยบอกหล่อนว่าก่อนหน้านี้เธอกับแม่เคยใช้ชีวิตอยู่ภูเก็ต งานที่นั่นคงเคยทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับชาวต่างชาติ และเธอคงได้เรียนภาษามาจากพวกเขา ในวันนี้อันนาจึงสามารถฟังภาษาฝรั่งเศสของชายคนนั้นออก...เธอแปลได้แทบทุกคำราวกับคุ้นเคยภาษานั้นดีเลยทีเดียว
“มีอะไรรึเปล่าอันนา ทำไมจู่ๆ อันนาถึงพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาล่ะลูก”
มิรินหันมาถามหล่อน หญิงสาวจึงกระอักกระอ่วนถ้าต้องบอกความจริงกับมารดาว่าหล่อนได้คุยกับชาวต่างชาติคนนั้นไปแล้ว
“เปล่าจ้ะ วันนี้อันนาเห็นของชิ้นนึงในร้านที่มันมีภาษาฝรั่งเศส อันนาเลยแปลกใจที่อ่านมันได้ ก็เลยมาถามแม่ดูเท่านั้นเองจ้ะแม่...”
มิรินมองตาบุตรสาว แววตาของคนเป็นแม่ไม่ค่อยสบายใจนัก แต่หล่อนก็ทำทีเป็นลืมเลือนความรู้สึกพวกนั้นไปได้อย่างรวดเร็ว
“อันนา...มานี่สิ แม่มีอะไรจะให้”
หญิงสาวลุกจากเตียง แล้วเดินเข่าเข้าไปหามารดาซึ่งยังนั่งอยู่หน้าโต๊ะญี่ปุ่นซึ่งดัดแปลงให้มันกลายเป็นโต๊ะเครื่องแป้งด้วยการเอากระจกบานใหญ่มาตั้งแบบง่ายๆ หล่อนเห็นแม่มิรินเลื่อนถุงกระดาษมาทางหล่อน และบอกกับหล่อนอย่างอ่อนโยนว่า
“แม่ซื้อเครื่องสำอางกับครีมบำรุงให้อันนา เห็นอันนาชอบดูโฆษณาพวกนี้ในทีวีบ่อยๆ พอดีวันนี้แม่ได้เข้าเมืองตอนจ่ายตลาดก็เลยแวะซื้อให้ อันนาลองเอาไปใช้ดูสิ...เผื่ออันนาจะชอบ”
หญิงสาวตาโตกับของฝากถุงใหญ่ที่ได้รับ มิรินเปิดถุงและหยิบบรรดาครีมแต่ละกระปุกออกมาวางเรียงทีละชิ้น หญิงสาวจึงลูบไล้ของฝากแต่ละกระปุกอย่างไม่เชื่อสายตา
“แม่...ของพวกนี้มันแพงออก แล้วนี่...แม่ซื้อมาเยอะแยะขนาดนี้เชียวเหรอจ๊ะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย แม่ซื้อตอนที่เขาลดราคาตั้งครึ่งนึงแน่ะ พนักงานเขาแนะนำสินค้าเก่งด้วย อันนาไม่ต้องห่วงเรื่องเงินหรอก แม่ซื้อให้อันนาได้ ลูกแม่ความจริงก็สวยไม่แพ้ใคร ถ้ารู้จักทาครีมดีๆ...แต่งหน้าดีๆ...อันนาของแม่กินขาดพวกเทพีสงกรานต์แถวนี้เสียอีก”
แม่บอกหล่อนอย่างภาคภูมิใจ อันนาก็รู้ว่าแม่ทะนุถนอมตัวเธอมากแค่ไหน คนงานอื่นๆ จะใช้ลูกทำงานบ้านสารพัด แต่มิรินไม่เคยใช้ให้เธอทำความสะอาดห้องเลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่แม่ก็ทำงานในห้องครัวหนักกว่าเธอมาก แต่พอเลิกงานก็จะกลับมากวาดถูห้องโดยไม่ยอมให้หญิงสาวได้แตะไม้กวาดหรือผ้าถูพื้นด้วยตัวเอง แม่บอกเธอว่าไม่อยากให้มือเรียวนุ่มนวลของเธอต้องด้านไปกับงานพวกนี้ และอันนาก็ยอมรับว่ามือของเธอไม่คุ้นกับงานแบบนี้จริงๆ
ครั้งหนึ่งอันนาเคยไปวัดพร้อมกับแม่ หลังจากฟังพระสวดและชาวบ้านตั้งวงกินข้าวเสร็จแล้วก็ต้องเก็บกวาดทำความสะอาดให้เรียบร้อย ตอนนั้นทุกคนหัวเราะกับท่าจับไม้กวาดเก้ๆ กังๆ ของหล่อน จนแม่ต้องแย่งไม้กวาดไม้ถูพื้นมาทำความสะอาดเสียเอง
‘ไอ้รินนี่มันเลี้ยงลูกเป็นคุณหนูจริงๆ เลยพับผ่าสิ ดีนะที่นังหนูมันสวย ต่อให้ทำอะไรไม่เป็นแต่สวยแบบนี้...ถ้าหาลูกเขยรวยๆ ได้ก็สบายแล้วล่ะรินเอ๊ย’ เพื่อนๆ ของแม่พูดเช่นนั้น
‘ลูกฉัน...ฉันเลี้ยงเองได้น่า ไม่ต้องให้มันไปพึ่งพาผู้ชายที่ไหนหรอก’ แม่หล่อนเอ็ดกลับ
อันนาเชื่อว่าแม่คงจะเลี้ยงเธอได้อย่างที่พูดจริงๆ เห็นมิรินแต่งตัวซอมซ่อแบบนี้ แต่ความจริงเธอรู้ว่าแม่ยังมีเงินเก็บซุกซ่อนเอาไว้ เพราะครั้งหนึ่งอันนาเคยเปรยๆ กับแม่ว่าเธอน่าจะมีรถมอเตอร์ไซค์สักคันเพื่อจะพาแม่ไปไหนมาไหนได้ ไม่กี่วันต่อมา...มิรินก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ใหม่เอี่ยมคันหนึ่งมาให้หล่อน และยกมันเป็นกรรมสิทธิ์ของหล่อนอย่างง่ายดาย
“อันนา...มาใกล้ๆ สิ แม่จะหวีผมให้”
มิรินบอกพลางหยิบแปรงหวีผมอันเฉพาะสำหรับเธอมารอไว้ หญิงสาวขยับตัวเข้าไปหามารดา แล้วนอนทาบศีรษะบนตักกว้างอบอุ่น ดวงตามองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งท้องฟ้ามืดสนิท มองเห็นยอดไม้ดำมืดกับแสงดาวประกายระยิบระยับ
“อันนารักแม่ไหมลูก”
มิรินมักจะถามแบบนี้กับหล่อนเวลาอยู่ด้วยกันสองคน และหญิงสาวก็ไม่เคยลังเลที่จะตอบออกไป
“รักจ้ะ อันนารักแม่มากที่สุดในโลก” เธอยิ้ม
“งั้นเราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปนะ...อันนา”
“จ้ะ อันนาจะอยู่กับแม่ตลอดไป”
หญิงสาวรับปากมารดา เธอรู้ว่าคำพูดพวกนั้นทำให้แม่สบายใจ ลูกที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างและยังสติปัญญาไม่สมบูรณ์อย่างเธอน่าจะทำให้แม่ต้องลำบาก แต่แม่ก็ยังรักหล่อน อันนาจึงบอกตัวเองว่าชีวิตนี้เธอคงไม่มีวันหนีห่างแม่ไปไหนได้
หญิงสาวเบียดศีรษะเข้าหาตักอุ่นอย่างออเซาะ และแม่ก็ยิ้มให้หล่อน...พลางลูบไล้เส้นผมยาวสยายของหล่อนอย่างรักใคร่เป็นการตอบแทนความออดอ้อนนั้น
]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]] ::::::::: [[[[[[[[[[[[[[[[[[[[
“อันนา ว่างรึเปล่าลูก”
ป้าปริก...พนักงานเสิร์ฟในห้องอาหารของรีสอร์ทเอ่ยถามหญิงสาว ปกติอันนาจะดูแลร้านของชำเพียงไม่กี่ชั่วโมง เวลาว่างที่เหลือทั้งวันหล่อนจะใช้มันเล่นกับเด็กๆ ลูกหลานพนักงานคนอื่น ไม่เช่นนั้นก็เดินไปขอช่วยงานคนนั้นคนนี้ แต่ความที่ทำอะไรไม่ค่อยเป็น...งานที่ได้รับจึงไม่ใช่งานที่หนักหรือซับซ้อนมากนัก
“ว่างจ้ะ มีอะไรเหรอจ๊ะป้า”
“ป้าปวดเข่า เดินไกลๆ ไม่ไหว อันนาเอาสเต๊กนี่ไปเสิร์ฟแทนได้ไหม ให้คุณฝรั่งคนนั้นน่ะที่หล่อๆ ตัวสูงๆ เขาพักอยู่รีสอร์ทหลังในสุด เขาโทรมาสั่งอาหารตั้งนานแล้วล่ะ แต่คิวเยอะเลยเพิ่งทำเสร็จเอาวันนี้”
อันนารับถาดบรรจุอาหารด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที ปกติหล่อนไม่ค่อยเกี่ยงงานหากมีใครมาขอให้หล่อนช่วย แต่พอรู้ว่าจะต้องไปที่รีสอร์ทซึ่งเป็นที่พักของผู้ชายคนนั้น หญิงสาวก็เริ่มไม่มั่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“วานทีละอันนา ป้าเดินไม่ไหว เอาไปให้คุณฝรั่งเขาทีลูก เขาสั่งนานแล้วป่านนี้คงหิวแย่”
ในที่สุด อันนาก็ไม่สามารถปฏิเสธคำขอนี้ได้ หล่อนเดินประคองถาดอาหารลัดเลาะไปตามพุ่มไม้ รีสอร์ทที่อยู่ลึกสุดนั้น...เธอรู้จักมันดี มันเป็นรีสอร์ททรงสเปนซึ่งหลังคาเป็นดาดฟ้าเปิดโล่งสามารถเดินขึ้นบันไดไปบนนั้นได้ เจ้าของรีสอร์ทเคยบอกว่าดาดฟ้าทรงแบบนี้ชาวตะวันตกใช้เป็นที่ปิ้งย่างบาร์บีคิวในเวลานัดรวมสมาชิกในครอบครัว แต่ที่นี่เป็นรีสอร์ทซึ่งมีคนมาพักหมุนเวียนเรื่อยๆ...มันจึงไม่เคยได้ถูกใช้ปิ้งบาร์บีคิวแบบนั้นสักครั้ง
อันนาเหลียวมองผ่านกระจก เธอยังไม่เห็นฝรั่งคนนั้น หญิงสาวจึงตรงไปที่ประตูและหาที่วางถาดชั่วคราว ก่อนจะเคาะประตูเบาๆ
“เมอสิ...”
เธอเกือบจะพูดคำว่า ‘เมอซิเออร์’ซึ่งเป็นการเรียกชายคู่สนทนาอย่างสุภาพในภาษาฝรั่งเศส อันนารีบสะกดลิ้นตัวเองทันควัน ก่อนจะรีบเอ่ยภาษาไทยเสียงดังออกไปว่า
“คุณฝรั่งคะ...อาหารของคุณค่ะ”
น่าแปลกที่ทุกวินาทีซึ่งหล่อนพูดภาษาไทยออกไปนั้น ในสมองของเธอก็แปลมันเป็นภาษาฝรั่งเศสไปด้วยแทบจะคำต่อคำ
บานประตูเปิดออกอย่างรวดเร็วจนอันนาตั้งตัวไม่ติด ชายหนุ่มที่พนักงานรีสอร์ทเรียกติดปากว่า ‘คุณฝรั่งรูปหล่อ’กำลังยืนอยู่ตรงหน้าหล่อนในสภาพที่อันนาไม่คาดคิดสักเท่าไหร่ เขาสวมเสื้อเชิ้ตกางเกงสามส่วน...ซึ่งมันคงธรรมดาถ้าไม่เพราะเขาไม่ได้ติดกระดุมเสื้อสักเม็ด อันนาพยายามทำสายตาตัวเองให้เบลอไม่มองร่างของเขาในสายตา แต่หล่อนรู้สึกว่าใจตัวเองกำลังสั่นขึ้นมานิดๆ
“นี่คะ ไม่ต้องทิปนะคะ”
หล่อนรีบยกถาดอาหารเข้าไปในบ้าน แต่ก็ต้องประหลาดใจที่เดินไปชนกับบรรดาพวงโมบายมากมายที่ห้อยระย้าอยู่ภายในนั้น ดูเหมือนเขาจะเอาบรรดาขนมลูกอมสีสันสวยๆ ทั้งหมดที่ซื้อมาทำโมบายห้อยเต็มบ้าน เวลาที่มีลมพัดมาทีหนึ่งหรือมีคนเดินมาชนเหมือนที่หล่อนกำลังเป็นอยู่ขณะนี้...มันก็จะหมุนคว้างๆ ทำให้ดูมีการเคลื่อนไหวอยู่ในบ้านที่เงียบสงบแห่งนี้
ที่พื้นของเขามีกระดาษอยู่เต็มไปหมด อันนาไม่รู้ว่าเขาเขียนอะไรลงไปในนั้น แต่ดูเหมือนเขาจะเป็นคนช่างจดและช่างเขียนไม่น้อย เขาเป็นจิตรกร...หรือพวกศิลปินแน่ๆ...เธอคิด
อันนาคิดอะไรเพลินๆ ก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินกลับออกไปจากบ้าน แต่พอหมุนตัวมาหล่อนก็ได้พบกับร่างสูงที่ยืนอยู่แทบจะประชิดจากด้านหลัง ความใกล้ชิดขนาดนั้นทำให้หญิงสาวสะดุ้งตกใจ ลำคอและแผงอกเปลือยที่หล่อนไม่คิดจะมองและไม่กล้ามองปรากฏอยู่เต็มสายตาหล่อน อันนาไม่เคยใช้ชีวิตใกล้เพศตรงข้ามมากขนาดนี้ หล่อนใช้ชีวิตกับแม่มาตลอดและไม่เคยคาดคิดว่าจะได้อยู่ใกล้ผู้ชายแปลกหน้าในสถานที่ซึ่งมิดชิดแบบนี้
“คุณ...คุณทำอะไร? หยุดนะ...หยุดตรงนั้น ฉันพูดว่าให้หยุดไงเมอสิเออร์!”
หล่อนตะเบ็งเสียงเมื่อร่างบางถูกล้อมกรอบจนต้องถอยเข้าซอกโต๊ะ อันนาไม่ได้ตัวเล็ก เธอสูงร้อยหกสิบห้าซึ่งนับว่าเกินมาตรฐานหญิงไทยทั่วไปเล็กน้อย แต่นายฝรั่งคนนี้ก็ยังสูงกว่าเธอมาก เขาน่าจะสูงประมาณร้อยแปดสิบปลายๆ แม้รูปร่างของเขาจะไม่ได้ใหญ่โตเหมือนยักษ์ปักหลั่น แต่ไม่ว่าอย่างไรอันนาก็รู้ว่าหากสู้กันตัวต่อตัวแล้วเธอไม่มีทางเอาชนะเขาได้แน่นอน
ร่างสูงหยุดตามคำสั่งของหล่อนในที่สุด อันนาไม่รู้ว่าตอนนั้นหล่อนกำลังกลัวจนห่อไหล่หลับตาปี๋ มือเล็กบางทั้งคู่ยกขึ้นเหมือนตั้งการ์ดพร้อมสู้...ทั้งๆ ที่สีหน้าและแววตาก็แหยเหมือนพร้อมจะล้มลงเสียเดี๋ยวนั้น
“มันน่าแปลกเสียจริง คุณพูดฝรั่งเศสรัวได้คล่องขนาดนี้ ทำไมคุณถึงไม่เคยคุยกับผมมาก่อนนะ มาดมัวแซล”
เขากลับหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีที่เห็นหล่อนกลัวจนหน้าเสีย อันนาลืมตาขึ้นและลดมือที่เคยตั้งการ์ดลง พอเห็นชัดว่าที่ผ่านมาเขาแค่ลองแกล้งแหย่หล่อนเล่น หญิงสาวก็ชักสีหน้า ร่างบางมองเห็นช่องว่างพอที่จะหลบไปจากซอกมุมที่ถูกกันกันเอาไว้ได้ หญิงสาวรีบผลุบหนีเขาออกไปเหมือนหนูหนีการตะปบของแมวทันที
“ผมขอโทษ เมื่อกี้ผมล้อเล่นน่ะ” ร่างสูงยังหันตามหล่อนและรีบเอ่ยเพื่อให้หล่อนคลายความขุ่นใจ เขาสาวเท้ายาวๆ ไม่กี่ก้าวก็เข้ามาขวางหน้าเธอได้อีกครั้ง "ผมว่าเราลองทำตามธรรมเนียมการแนะนำตัวดีไหม สวัสดียามเช้าครับมาดมัวแซล ผมชื่ออาเดรียง โอฟาล ยินดีที่ได้รู้จัก”
เขาเอ่ยทุกคำเป็นภาษาฝรั่งเศสชัดถ้อยชัดคำพลางยื่นมือกว้างใหญ่ออกมาเพื่อจับมือทำความรู้จักตามมารยาทชาวตะวันตก อันนารู้ดีว่าทุกทำที่เขาพูดฟังดูสุภาพและเป็นไปตามพิธีการ แต่แววตาสีฟ้าของเขาซึ่งกำลังส่งยิ้มให้หล่อนจางๆ ทำให้บรรยากาศตรงนี้ไม่เป็นทางการไปด้วยนัก
“ยินดีเช่นกันค่ะ ฉันชื่อ...อันนา”
“คุณพูดได้ชัดเจนขนาดนี้ ทำให้ผมคิดว่าคุณน่าจะเป็นชาวฝรั่งเศสเสียอีก ขอโทษที่ผมคิดแบบนั้นนะครับ เพราะครั้งแรกที่ผมพบคุณ...ผมคิดว่าคุณไม่ใช่คนไทยด้วยซ้ำ”
เขาพูดในเรื่องที่แทบทุกคนเคยถามกับหล่อน เพราะเค้าโครงหน้าซึ่งค่อนข้างสวยคมของอันนาบ่งบอกเชื้อสายที่ผสมผสานสองเชื้อชาติค่อนข้างชัดเจน และเขาคงกำลังคิดว่าสาเหตุที่เธอพูดภาษาฝรั่งเศสโต้ตอบกับเธอได้คล่องแบบนี้ก็คงเพราะมีเชื้อสายฝรั่งเศสอยู่ในตัว ซึ่งนั่นกลับเป็นข้อมูลที่อันนาเองก็ไม่แน่ใจเลย
“ฉันเป็นคนไทยค่ะ แต่...ที่ฉันสามารถคุยภาษาเดียวกับคุณได้ คงเพราะฉันเคยเรียนภาษากับชาวต่างชาติสมัยทำงานบาร์ก็ได้นะคะ”
อันนาตอบส่งเดช เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองเคยทำงานเป็นสาวบาร์แบบนั้นจริงหรือไม่ แม่ของเธอบอกเพียงแค่ว่าเธอเคยใช้ชีวิตในภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว อันนาจึงคาดเดาว่าเธอคงจะเคยเรียนภาษาจากงานที่ข้องเกี่ยวกับชาวต่างชาติ และที่เธอพูดว่างานบาร์ก็เพื่อให้เขามองว่าเธอเป็นคนที่อยู่ต่างชั้นกับเขา...เขาจะได้เลิกซักถามเธอสักที
“เมอซิเออร์ ฉันต้องไปแล้ว ลาก่อนค่ะ”
ร่างบางรีบบอกลาก่อนที่เขาจะสานต่อบทสนทนามากกว่านี้ หล่อนไม่อยากให้แม่รู้ว่าตัวเองกำลังส่งภาษาฝรั่งเศสคุยกับชายคนหนึ่งอย่างคล่องแคล่วอยู่นานสองนาน แต่คงเพราะความรีบร้อนที่ทำให้หล่อนไปชนขอบโต๊ะอีกตัวเข้า นี่มันห้องนั่งเล่นหรือห้องอะไรกันแน่...ทำไมโต๊ะถึงได้เยอะเสียจริง!
ตุบ!
หนังสือเล่มหนึ่งตกลงบนพื้น อันนารีบหมุนตัวขวับและก้มลงเก็บมันขึ้นมา มันเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปคว้าหนังสือเล่มนั้นเอาไว้ มือของหล่อนสัมผัสมือของเขา อันนารู้ดีว่าหล่อนกำลังสะดุ้ง แต่เพราะสายตาหล่อนกำลังถูกสะกดด้วยตัวหนังสือบนนั้น...หล่อนจึงไม่กล้าขยับอะไรแม้แต่นิดเดียว
เธออ่านข้อความบนหน้าปกหนังสือเล่มนั้นออก ภาษาที่เธอไม่เคยรู้จัก...เธอกลับอ่านมันได้ในปราดเดียว
‘ลา เรอแชกช์ ดู ตองส์ แปร์ดู’ -มาร์เซล พรูสต์-
[แด่การค้นหาเวลาที่หายไป -โดยมาร์เซล พรูสต์-]
“คุณ...อ่านหนังสือของพรูสต์ด้วยหรือคะ”
“คุณรู้จักมาร์เซล พรูสต์งั้นหรือ”
ชายหนุ่มถามกลับด้วยความประหลาดใจ เพราะเวลานี้เขาแน่ใจแล้วว่าทักษะภาษาของเธอไม่ใช่เพียงแค่ฟังได้พูดเป็นแบบงูๆ ปลาๆ เท่านั้น แต่มันรวมถึงการอ่านและเขียน ผู้หญิงคนนี้รู้จักกระทั่งวรรณกรรมขึ้นหิ้งของฝรั่งเศสเล่มหนึ่งเสียด้วยซ้ำ
“เอ่อ...ฉัน...”
อันนารู้ตัวว่าการได้เข้าใกล้ผู้ชายคนนี้...และยิ่งได้รู้ได้เห็นข้อเขียนภาษาฝรั่งเศสก็ยิ่งเป็นการฟื้นฟูความจำบางอย่างของหล่อนมากขึ้นทุกที ในใจหล่อนเริ่มลิงโลดเหมือนคนที่ได้พบภาษาและหนังสือที่คุ้นเคย แต่อีกใจหนึ่งก็ร้องบอกว่าเธอถลำลึกมากเกินไปแล้ว แม่มิรินไม่ชอบให้เธอพูดคุยกับชาวต่างชาติ และเวลานี้เธอก็ถึงกับทำความรู้จักเขาไปแล้วด้วยซ้ำ
“ฉันไม่รู้ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะเมอสิเออร์โอฟาล รับประทานอาหารเที่ยงให้อร่อยนะคะ” อันนาบอกเขาเพียงเท่านั้นก่อนจะรีบผลุนผลันออกมาอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น