ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงรักสุดขอบฟ้า(สนพ.บงกช)

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ ๑

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ย. 55


     


    L'amour, c'est l'espace et le temps rendus sensibles au coeur -Marcel Proust-

    ความรักน่ะหรือ มันคือพื้นที่และเวลาซึ่งสามารถรับรู้ได้ด้วยหัวใจเท่านั้น มาร์เซล พรูสต์-


    บทที่ ๑


                อันนาคิดว่าหล่อนไม่เคยรู้จักเขามาก่อน แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยิ้มให้หล่อนได้ทุกครั้งที่เขาเข้ามาในร้านของชำเล็กๆ ของรีสอร์ทแห่งนี้ อันนาไม่กล้าพูดอะไรกับเขา ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขานานๆ หล่อนกลัวการพบปะผู้ชายคนนี้ไปเสียทุกอย่าง ค่าที่แม่ของหล่อนเคยกำชับไว้หนักแน่นนักหนา


    “อย่าคุยกับคนแปลกหน้านะอันนา...โดยเฉพาะพวกฝรั่ง แม่ไม่ชอบ...”


    ในเมื่อมันเป็นคำสั่งของแม่ หญิงสาวก็ไม่กล้าขัดขืน ทั้งชีวิตนี้หล่อนมีแม่เพียงคนเดียว อะไรที่ทำให้แม่พอใจได้...หล่อนก็ไม่ลังเลที่จะทำ


    อันนาใช้ชีวิตกับแม่เพียงสองคน แม่ของหล่อนเข้าทำงานเป็นแม่ครัวให้รีสอร์ทเล็กๆ เชิงเขาตรงนี้มาสองปีเศษแล้ว งานที่นี่ไม่หนักเท่าใดนักเพราะแขกที่มาพักไม่ได้มีมากมาย แต่เพราะตรงนี้เป็นจังหวัดที่ติดกับชายแดน ทำให้มีแคมป์ผู้อพยพลี้ภัยอยู่ไม่ไกลนักและนั่นดึงดูดให้องค์กรระหว่างประเทศซึ่งทำงานด้านมนุษยธรรมเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ รีสอร์ทเล็กๆ ตรงนี้จึงได้อานิสงส์ในการรองรับเจ้าหน้าที่ขององค์กรพวกนั้นเข้าพักอาศัย แต่ก็ใช่ว่ารีสอร์ทตรงนี้จะไร้นักท่องเที่ยวขาจรไปเสียทีเดียว


    เขาก็เป็นนักท่องเที่ยวขาจรพวกนั้น แต่แปลกที่เขาอยู่ที่นี่มานานหนึ่งเดือนแล้ว ทั้งที่ปกติชาวต่างชาติมักจะมาพักรีสอร์ทตรงนี้อยู่ไม่กี่วันแล้วก็เดินทางต่อ อันนาได้ยินเจ้าของรีสอร์ทคุยกับพนักงานว่าเขาจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าถึงสามเดือน ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครและทำไมจึงดูมีเงินจับจ่ายมากขนาดนี้ เพราะถ้าเขามีเงินมากมายเช่นนั้นจริงพอน่าจะไปพักรีสอร์ทหรูๆ ที่จงใจสร้างเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักมากกว่ารีสอร์ทที่อิงแอบธรรมชาติเรียบง่ายอย่างที่นี่


    โดยเหตุที่รีสอร์ทนี้ไม่ได้มีชาวต่างชาติพลุกพล่านมากนัก นอกเสียจากเจ้าหน้าที่องค์กรนานาชาติกับบรรดานักท่องเที่ยวขาจร มิริน...มารดาของอันนาจึงยอมปักหลักทำงานเป็นแม่ครัวที่นี่ อีกทั้งเจ้าของรีสอร์ทก็มีอัธยาศัยดีและเมตตาแม่ของเธอไม่น้อย อันนากับแม่จึงได้ทำงานอยู่ที่นี่ด้วยกันอย่างสบายใจ


    เธอกับแม่อพยพย้ายที่อยู่มาหลายจังหวัด ในตอนแรกเธอกับแม่ยังอยู่ภูเก็ต ที่นั่นเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและงานที่สร้างรายได้ แต่หลังจากเธอประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่จนต้องเข้าโรงพยาบาล มิรินก็พาเธอย้ายไปอาศัยในจังหวัดอื่นซึ่งไม่พลุกพล่าน แม่ให้เหตุผลกับเธอว่าเพื่อให้เธอได้อยู่กับบรรยากาศที่สดชื่นและสุขภาพของเธอจะดีขึ้น แม่ช่างทุ่มเทและทำให้เธอได้มากมายถึงเพียงนี้


    หญิงสาวรับหน้าที่ดูแลร้านของชำซึ่งอยู่ด้านหน้ารีสอร์ทในรอบเย็น เธอทำงานไม่กี่ชั่วโมงแลกกับรายได้เล็กๆ น้อยๆ อันนามีตัวเลือกในการทำงานเพียงเท่านี้ เพราะแม่ของเธอไม่อนุญาตให้ไปที่ไหนไกลเป็นข้อหนึ่ง และที่สำคัญก็คือ...เธอไม่มีทักษะความรู้พอจะไปทำอะไรได้ อันนาอ่านหนังสือไม่ออก...หรือแม้จะอ่านได้ก็อ่านไม่คล่อง แม้แต่ชื่อของตัวเอง...เธอก็ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งนาทีกว่าจะจรดปากกาเขียนมันได้อย่างโย้เย้เหมือนเด็กอนุบาล


    ชีวิตของหญิงสาวจึงต้องเกาะติดกับแม่เหมือนเด็กที่ยังไม่โตอยู่ร่ำไป แต่แม่ของเธอก็ไม่เคยแสดงอาการรังเกียจความด้อยสมรรถภาพทางสมองของลูกคนนี้เลยสักครั้ง มิรินเคยบอกกับหล่อนว่าไม่ต้องคิดกังวลให้มาก เพราะนางพร้อมจะดูแลเธอตราบเท่าที่เธอยังเป็นลูกรักของแม่เช่นนี้ตลอดไป


    อันนาจึงรักแม่มากที่สุดในโลก และพอใจที่ชีวิตเรียบๆ ของเธอจะได้เคียงข้างมารดาแบบนี้ไปนานเท่านาน


    เธอจึงไม่เคยสนใจคำที่ใครๆ บอกให้เธอเข้ากรุงเทพฯ เพราะรูปร่างหน้าตาของเธอนั้นบ่งบอกชัดว่า...เธอไม่ได้เป็นคนไทยร้อยเปอร์เซนต์


    “อันนาน่าจะไปลองเป็นดารา หนูเป็นลูกครึ่งแน่ๆ เพราะตาคมจมูกโด่งแบบนี้ กรุงเทพฯน่ะมีงานสำหรับคนสวยๆ เยอะ ได้เงินตั้งมากแถมไม่ต้องใช้สมองให้เปลืองด้วย อย่ามัวเสียอนาคตกับงานน่าเบื่อแบบนี้เลย”


    เพื่อนๆ แม่ต่างบอกเธอเป็นเสียงเดียวกัน ขนาดอันนาไม่ใช่คนช่างแต่งตัว เธอมักจะสวมเสื้อยืดตัวใหญ่โคร่งกับกางเกงสีซีดๆ และไม่แต่งหน้านอกเสียจากทาแป้งเด็กเท่านั้น แต่ใบหน้ารูปหัวใจคางสวยมน ตาโตคม จมูกโด่ง และผิวที่เนียนเป็นสีน้ำผึ้งก็บ่งบอกว่าเธอน่าจะมีเชื้อสายตะวันตกอยู่ในตัว


    อันนาไม่เคยถามแม่เรื่องนี้ มันเหมือนเธอก็รู้อยู่ลึกๆ ว่าตัวเองน่าจะเป็นลูกครึ่ง แต่พ่อของเธอเป็นใครนั้น...อันนาไม่กล้าถามแม่เอาเสียเลยจริงๆ บางทีการที่แม่ไม่อยากให้เธอคบค้ากับฝรั่งตาน้ำข้าวก็คงเพราะเหตุนี้...แม่ไม่อยากให้เธอดำเนินซ้ำรอยแม่ เธอเดาว่าชีวิตรักของแม่คงไม่สมหวัง แม่จึงไม่อยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับเธออีก


    และก็โชคดีที่รีสอร์ทนี้มีชาวต่างชาติแบบที่เรียกว่าฝรั่งอยู่น้อย อันนาแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา แต่ก็มีผู้ชายคนนี้ที่ทำให้เธอไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม


    ความหล่อเหลาหรือ? เธอยอมรับถึงความน่าหลงใหลของเขาในเรื่องนั้น เพราะรูปหน้าชายหนุ่มไม่ได้มีสันกรามบึกบึนแบบชาวตะวันตก แต่ค่อนข้างเรียวยาวลงตัวกับแนวคางคมสันเสียมากกว่า หากนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ อันนาพยายามถามตัวเองว่าเพราะอะไรจึงได้สนใจมองเขาทุกครั้งที่ร่างสูงนั้นก้าวเข้ามาในร้านของชำ และหลายๆ ครั้งเข้าเธอก็สามารถบอกตัวเองได้


    ...เธอชอบเสียงของเขา...ชอบคำพูดเป็นจังหวะจะโคนที่เขาเอ่ยออกมา...


    เขาพูดภาษาอะไรสักอย่างเวลาคุยโทรศัพท์มือถือ เสียงทุ้มของเขาจะขึ้นลงสูงๆ ต่ำๆ ฟังดูไพเราะอย่างน่าประหลาด อันนาไม่รู้ว่านั่นคือภาษาอะไร และหล่อนก็ได้ยินเสียงของเขาไม่ชัด เพราะชายหนุ่มมักจะพูดโทรศัพท์ไปเลือกของไปด้วย จังหวะที่เขาก้มๆ เงยๆ นั่นเองที่ทำให้เธอฟังเสียงของเขาลำบากขึ้น


    “ใช่...มันนานมากกว่าที่คิด...ที่นี่ทุกอย่างกำลังไปได้ราบรื่น...ไม่เลวหรอกน่า ความคิดของฉันแล่นฉิว...ท้องฟ้าและดวงดาวที่นี่สดใส...มันช่วยการทำงานของฉันได้มาก ฉันกำลังอยู่ในช่วงเวลาพักผ่อนที่สวยงาม การสื่อสารก็แย่หน่อย...แต่ฉันไม่รู้สึกอะไรกับการอยู่ในที่ซึ่งผู้คนไม่พูดภาษาฝรั่งเศสหรอก ถูกแล้ว...นั่นล่ะที่ฉันต้องการ”


    อันนาก้มหน้าเรียงสินค้าลงในชั้นวางใกล้มือ ดวงตาหล่อนเลื่อนลอยเพราะประสาทหูตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดออกมาทุกประโยค ทั้งๆ ที่หล่อนไม่ได้ตั้งใจจะฟังภาษาต่างด้าวพวกนั้น แต่ทำไมมันเหมือนกับว่าเธอสามารถถอดความมันได้ออกหลายต่อหลายคำ


    ...เธอเคยได้ยินสำเนียงและภาษาแบบนี้มาก่อน...


    อันนากำลังเหม่อลอยกับภวังค์ความคิดอันเหลือเชื่อเรื่องนี้ ร่างสูงของเขาก็เดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ ชายหนุ่มยิ้มให้เธอเหมือนทุกครั้ง แต่อันนากำลังเหม่อลอยจนแทบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น


    เขาซื้อของจุกจิกมากมาย อันนาหยิบสินค้ามาคิดเงินและใส่ถุงให้เขา ดูเหมือนเขาจะชอบขนมจุกจิกแบบที่ดูแล้วไร้สาระอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าผู้ใหญ่อย่างเขาจะสนใจซื้อมันได้ เขาช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดเสียจริง


    อันนายื่นถุงให้เขาพร้อมเงินทอน หล่อนพยายามหลบตาเขาเพราะยังรำลึกถึงคำแม่สอนได้เป็นอย่างดี


    หล่อนได้ยินเสียงขลุกๆ เหมือนของหล่นลงพื้น และพอหันขวับก็พบกับอมยิ้มสีแสบตาชิ้นหนึ่งที่กลิ้งขลุกๆ มาทางหล่อน หญิงสาวรีบก้มลงเก็บและรีบคว้าข้อมือของเขาซึ่งกำลังจะก้าวออกจากร้านเอาไว้


    “ของคุณ...ของคุณค่ะ...”


    หญิงสาวบอกเขาอย่างรีบร้อน ชายหนุ่มเหลียวมามองหล่อนที่รีบยัดขนมลงในถุงพลาสติกในมือตนเอง เขายิ้มให้เธออีกครั้ง


    “แม็กซี...”


    เขาควรจะรู้ว่าเขากำลังอยู่กับคนไทยซึ่งไม่สามารถจะเข้าใจคำพูดสั้นๆ คำนั้นของเขาได้ แต่อันนากลับรับรู้ความหมายของมันในทันที และเธอก็รู้ว่าเธอจะต้องพูดอะไรกลับไป


    “เชอวูซองพรี”


    มันเหมือนสัญชาตญาณที่บงการให้เธอพูดเช่นนั้น เพราะประโยคของเขาก่อนนี้คือ ขอบคุณและสิ่งที่เธอบอกไปก็คือ ไม่เป็นไรค่ะ


    ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจทันทีที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น เขาสาวเท้ากลับเข้ามาในร้านด้วยท่าทางยินดี...ยินดีอย่างมาก และหญิงสาวก็เริ่มหายจากอาการเหม่อลอย เธอรู้ว่าเขากำลังดีใจเรื่องอะไร


    “อา! คุณพูดภาษาฝรั่งเศสได้หรือ? อะไรกัน...คุณไม่เคยบอกผมเลยนะมาดมัวแซล”


    หญิงสาวก็กำลังตะลึงงันกับตัวเองเช่นกัน เธอพูดภาษานั้นออกไปได้อย่างไร? และแม้แต่คำถามของเขาที่รัวมาหลายประโยคเมื่อครู่...เธอก็สามารถฟังออกได้หมดทุกคำ เหมือนเธอไม่ต้องใช้สมองเสียเวลาใคร่ครวญในการแปลเลยสักนิดด้วยซ้ำ


    แต่วินาทีต่อมา อันนาก็ตระหนักถึงสิ่งสำคัญที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น เธอกำลังทำลายสัญญาที่ได้ให้ไว้กับมารดาว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับคนต่างชาติ...โดยเฉพาะฝรั่ง เธอพูดคุยกับเขาด้วยภาษาเดียวกัน ถ้าแม่รู้เข้าคงจะโกรธเธอมากแน่ๆ!


    “นง...เชอ...เชอเนอ...” (ไม่...ฉัน...ฉันไม่...)


    หญิงสาวสะกดปากตัวเอง แม้แต่คำพูดที่จะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นของเธอก็กลายเป็นภาษาฝรั่งเศสไปด้วย อันนาตะลึงกับความคิดและคำพูดของตัวเองในขณะนี้ซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นอีกภาษา นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่!


    “ขอโทษค่ะ ฉันต้องไปแล้ว!


    หญิงสาวรีบผลุบร่างออกไปจากร้าน เธอวิ่งตรงกลับไปยังห้องที่พักของตัวเองกับมารดา โดยไม่หันหลังไปมองชายชาวต่างชาติผู้ปลุกให้เธอรู้ว่าตัวเองมีทักษะในอีกภาษาหนึ่งอีกเลย!


    ]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]] ::::::::: [[[[[[[[[[[[[[[[[[[[


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×