ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามแห่งจันทรา

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ลาเพียน่ากับจันทราที่หายไป

    • อัปเดตล่าสุด 27 มี.ค. 49


    บทที่ 1 ลาเพียน่า กับจันทราที่หายไป...

    ----------------------------------------------------------------------------

    ลาเพียน่า ปี R.A. 510...


       ลาเพียน่าเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ปกครองโดยมีเมืองทั้งหมด 14 เมืองใหญ่ๆ นอกจากนี้ยังมี เมืองขึ้นอีกนับหลายสิบเมือง เมืองขึ้นเหล่านี้เป็นประเทศราชตั้งแต่ครั้งที่  ลาเพียน่า ชนะสงครามเมื่อหลายสิบปีก่อน  แต่ถึงกระนั้น ลาเพียน่าในปัจจุบันก็มิได้ทำสงครามร่วมรบกับอาณาจักรใดทั้งสิ้น และปกครองตนเองอย่างสงบสุขเสมอมา   แต่ ก็มิได้ทำให้ความศรัทธาและความรักของประชาชนในอาณาจักรลดน้อยลงไปเลย
    และสาเหตุที่ทำให้ลาเพียน่าเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อยู่ได้ในขณะนี้ก็เป็นเพราะว่า ทั้งภูมิประเทศที่หลากหลาย ทรัพยากรที่มีเพียงพอ การคมนาคมที่สะดวกสบาย ด้านสาธารณสุข สาธารณูปโภคต่างๆ และการดำรงชีพ โดยอาศัยเทคโนโลยีและพลังงานอย่างคุ้มค่าและพอเพียง สามารถทำให้อาณาจักรเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไป
    จนมีอาณาจักรมากมายเข้ามาร่วมเจริญสัมพันธไมตรีและทำการค้าขายด้วยไม่ขาดสาย  จนทำให้ ลาเพียน่า...เป็นศูนย์กลางการค้าขายที่ใหญ่ที่สุด และนอกจากด้านการค้าขายแล้ว ลาเพียน่ายังมีความเจริญด้านต่างๆตามมาอย่างมากมาย อันได้แก่ การค้าขายอัญมณี  การขุดเหมืองแร่ทองคำที่เป็นอาชีพหลักของคนส่วนใหญ่  ด้านกวี และ ศาสตร์เวทมนตร์ต่างๆ อันเลื่องชื่อไปทั่วทุกอาณาจักร สร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรนี้เป็นอย่างยิ่ง...

    แต่อะไรที่ทำให้ ลาเพียน่า กลายเป็นอาณาจักรที่คนทั่วไปต่างให้ความสนใจมากถึงเพียงนี้...

    ไม่ใช่เฉพาะแต่เรื่องการค้าขายและความสะดวกสบายเท่านั้นที่ทำให้นักท่องเที่ยวมากมายหลั่งไหลมาที่นี่....
    แต่นั้นเป็นเพราะ...

    สิ่งที่ยังคงเป็นความลับดำมืด ยากที่จะค้นพบ...

    ปริศนาแห่งลาเพียน่า....

    จันทรา...!!!


          ย้อนกับไปราวๆห้าร้อยปีก่อน...    นักปราชญ์ชาวคาออสคนหนึ่ง ก้าวเท้าเดินอย่างช้าๆ ท่าทางอิดโรยอยู่บนมุมถนนแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ  ตะเกียงเก่าๆส่งแสงเทียนที่ริบหรี่เต็มทน   ไม่มีแสงไฟจากบ้านหลังไหนเลยสักหลังเท่าที่เขาเดินผ่านมา เสียงเกวียนขนสินค้าที่มักลากผ่านทุกคืน หรือเสียงร้องของแมลงและเด็กทารกก็ไม่ได้ยินอย่างทุกครา ค่ำคืนนี้ช่างเงียบสงบเหลือเกิน แต่มันช่างเงียบ...เงียบจนน่ากลัว..
    เขาเดินต่อไปไม่นานนัก ก็มาถึงเนินเขาสูงลูกหนึ่งซึ่งอยู่นอกเขตหมู่บ้าน เขาตัดสินใจนั่งลงเพื่อพักเหนื่อย ลายลมที่เคยพัดผ่านมาอย่างเคยเงียบหายไป หมู่ดาวที่เคยพร่างพราวอยู่บนท้องฟ้าก็ไม่ปรากฎให้เห็นเหมือนทุกวันวาน เกิดอะไรขึ้นนี่...? เขาคิดและล้มตัวลงนอนพร้อมกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้นอย่างไม่จำเป็นเลย


    จู่ๆ เทียนที่ริบหรี่ในตะะเกียงก็ดับวูบลง นักปราชญ์ผู้นั้นลุกขึ้นนั่งอย่างหัวเสีย ก่อนจะควานหาไม้ขีดไฟในเสื้อคลุม และในขณะที่เขากำลังก้มลงหยิบตะเกียงเพื่อต่อไฟใหม่ พลันร่างกายก็เกิดไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อๆ ปากคอสั่นระริก...

    ภาพที่เขามองเห็นอยู่เบื้องหน้า...

    แทนที่มันจะเป็นเนินเขาอีกลูกหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป....

    แต่มันกลับเป็น...

    กำแพงเมือง !!?

       กำแพงเมืองตั้งสูงตระหง่านแทนที่เนินเขาลูกนั้น ! และทันทีที่โสตประสาตเขารับรู้ได้แล้ว ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวน เสียงนั้นฟังดูเจ็บปวดและกำลังทรมาน ดังมาจากที่ไกลแสนไกล เสียงนั้นสะท้อนก้องในหูจนทำทำให้ขนลุกเกรียว และไม่ทันที่เขาจะขยับตัวให้ลุกขึ้นยืน เขาก็รู้สึกว่าพื้นที่เขานั่งอยู่นั้นเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ...

    ดวงจันทร์..!!!

    เงาของดวงจันทร์เหมือนกับเงาที่สะท้อนอยู่ในน้ำขนาดใหญ่เท่าบ้านหนึ่งหลัง ปรากฎขึ้นตำแหน่งที่เขานั่ง เสียงร้องโหยหวนนั่น ดังก้องมากกว่าเก่า นักปราชญ์ผู้นั้นผงะถอยหลังและแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์บนท้องฟ้า...

    แต่กลับไม่มี !!!

    ไม่มีดวงจันทร์บนท้องฟ้า แต่กลับมาปรากฎอยู่บนพื้นที่เขานั่งอยู่ อีกทั้งยัง มีขนาดใหญ่โตและน่ากลัวเช่นนี้ !?

    ไม่ต้องรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขารู้ว่าสิ่งที่เขาจะต้องทำคือคว้าตะเกียงเก่าๆ และไม้ขีดไฟที่ทำตก วิ่งหนีสุดชีวิต  จนเขามาถึงหมู่บ้านและมุมถนนที่เขาเพิ่งเดินผ่าน  และเมื่อคิดว่าปลอดภัยแล้วเขาจึงล้มตัวลงนอนหลับไปด้วยความกลัวและอ่อนเพลีย  โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าในเวลาต่อมา ชื่อของเขาได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ เมื่อเขาได้เล่าให้คนในหมู่บ้านฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ปรากฎว่ามีผู้เคยเห็นเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ ในหมู่บ้าน ถึง สองคนด้วยกัน !
    และในวันนั้นเองที่ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นต่างเรียก เมืองลึกลับที่เต็มไปด้วยปริศนานั้นว่า...

    ลูน่าลาปิส !!

    ซึ่งมีความหมายว่า ศิลาแห่งดวงจันทร์ และเรียกเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน...

    และเมื่อถึงปี R.A. ที่ 493 ข่าวลือเรื่อง  ลูน่าลาปิสได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งอาณาจักร รวมถึง อาณาจักรอื่น จึงทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในลาเพียน่าเพิ่มมากขึ้น  บ้างก็มาเพื่อ ตามหาอาณาจักรที่สูญสลายไป  บ้างก็มาตามข่าวลือที่ได้ยิน
     กษัตริย์ทั้ง 14  พระองค์ 14 หัวเมือง ผู้ซึ่งมีส่วนร่วมในการปกครองอาณาจักร ต่างลงความเห็นอย่างพร้อมเพรียงกันว่า การที่ประชาชนจำนวนมากทั้งในและนอกอาณาจักรให้ความสนใจเรื่อง ลูน่าลาปิส ก็ไม่ได้เป็นผลเสียต่อ เศรษฐกิจและสังคมของ ลาเพียน่าแต่อย่างใด แต่กลับช่วยฟื้นฟูการค้าและเศรษฐกิจของลาเพียน่าให้ดียิ่งขึ้นด้วย

    และก็เป็นจริงดังว่า ไม่นาน ...ลาเพียน่าก็สามารถกลายเป็นศูนย์รวมของเหล่าผู้คนทั่วทุกสารทิศ  และทำให้การค้าของลาเพียน่าเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมาจนถึงปัจจุบัน นับว่าลูน่าลาปิสนำความรุ่งโรจน์เข้ามาสู่อาณาจักรลาเพียน่ามากมาย และเมืองปริศนา ลูน่าลาปิสก็กลายเป็นจุดเด่นและจุดสนใจของผู้คนมากกว่าจะเป็นเมืองปริศนาที่จมดิ่งลงสู่ความมืด ดังที่เคยเป็น ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×