ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    LEA - Project

    ลำดับตอนที่ #4 : The Visitor

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ค. 47


    “ฉันชื่อ อาร์ค พรีเวลส์  ยินดีที่ได้รู้จัก  แล้วพวกเธอล่ะ ? “



    หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนเปล่งเสียงหัวเราะคิก  “ฉันชื่อไลอา  นามสกุลไม่รู้เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่มีพ่อแม่แล้ว  ส่วนหมอนี่เป็นน้องชายฉัน”



    “ไลอา ? ”  ร่างในผ้าคลุมเอ่ยปากทักท้วงเสียงแผ่ว



    “ไม่เป็นไรน่า  ก็เขาบอกเองว่าไม่ได้คิดร้ายอะไรนี่”  สาวผมแดงยักไหล่เล็กน้อยขณะหันมองผ้าคลุมเปรอะเปื้อนบนตัวอีกฝ่าย  “เอาผ้าคลุมออกได้แล้วมั้ง  อยู่ในเมืองแล้วก็ไม่มีฝุ่นอะไรให้ต้องกันไว้แล้วนี่นา”



    ร่างในผ้าคลุมระบายลมหายใจออกแรงก่อนปลดผ้าคลุมส่วนที่อยู่บนศีรษะลง  เผยให้เห็นเรือนผมสีน้ำเงินเข้มยาวที่มัดรวบไว้เรียบร้อยเบื้องหลังและดวงตาสีเทาเรียบสงบของชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาดีคนหนึ่ง



    เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยิ่งยิ้มกว้างขึ้น  “พวกนายมาจากไหนน่ะ ?  สภาพเสื้อคลุมแบบนี้คงข้ามมาจากเมืองอื่นล่ะสิ  ที่นั่นมีศูนย์วิจัยแบบนี้เหมือนกันรึ ?  พวกนายเองก็ได้รับการปลูกฝังให้มีพลังไว้ต่อสู้กับพวกคิเมร่าด้วยใช่รึเปล่า ? “  กระแสเสียงเอ่ยถามรวดเดียวได้ครบเรื่องนั่นบ่งบอกอาการตื่นเต้นอย่างเก็บไม่มิด



    ไลอาหันไปสบสายตากับร่างข้างกายก่อนเปล่งเสียงหัวเราะลั่น  “นายนี่นิสัยผิดกับหน้าตาและอายุเลยนะ”



    “ . . ฉันชื่อโนอาห์”  ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ขณะเหลือบดวงตามองผู้เป็นพี่สาวที่ยังพยายามหยุดหัวเราะให้ได้แต่ก็ยังไม่สำเร็จ  “เราเป็นนักเดินทาง  พลังของพวกเรามีติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้ว”



    ดวงตาสีเขียวเข้มเบิกขึ้นเล็กน้อย  “จริงรึ ?!  ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีมนุษย์ที่เกิดมาพร้อมพลังขนาดนี้ติดตัว  หรือว่าบางที . . พ่อแม่ของพวกนายอาจเป็นคนของเราก็ได้นะ”  ชายหนุ่มยกแขนขึ้นกอดอกอย่างใช้ความคิด  



    “จริงอยู่ว่าใน NEG มีกฏห้ามความสัมพันธ์ต่างเพศเพราะมันทำให้เราควบคุมเจ้าหน้าที่ไม่ได้  แต่อย่างว่า . . การเอาคนมารวมกันมาก ๆ แล้วไม่ให้ออกไปไหนมันก็ต้องมีการทำผิดกฏกันบ้าง  แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่น่าถึงขนาดมีลูกและหลุดลอดออกมาภายนอกได้นี่นา  พวกตาแก่ใน NEL นี่ก็พลาดเป็นด้วยงั้นสิ”  พูดถึงตรงนี้ก็กลายเป็นเขาที่หัวเราะเสียเองแทนสาวผมแดงที่เพิ่งหยุดหัวเราะได้สำเร็จเมื่อครู่



    “ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วพวกเราขอตัวก่อนก็แล้วกัน  ไม่อยากทำตัวเด่นนักเดี๋ยวจะมีปัญหาเสียเปล่า ๆ “  หญิงสาวเอ่ยเสียงใสขณะหมุนกายก้าวตามฝ่ายน้องชายที่เดินห่างไปก่อนแล้ว  แต่ต้องชะงักเท้าทันทีที่ได้ยินประโยคถัดมาของชายหนุ่ม



    “นี่พวกนายไม่คิดจะเข้ามาเป็นหน่วยคุ้มครองใน NEG อย่างเราบ้างรึ ? “



    “NEG ?  พวกเราน่ะ ? “



    อาร์คพยักหน้ารับเมื่อเห็นอาการชะงักอย่างกะทันหันของคนทั้งคู่  “ใช่  พวกนายนั่นล่ะ  พวกนายมีพลังร้ายกาจขนาดจัดการกับคิเมร่าหนังเหนียวตัวนั้นได้ในครั้งเดียว  บางทีระดับของพวกนายอาจจะเหนือกว่าฉันก็ได้  ตอนนี้กองกำลังของเรากำลังขาดคนถึงจะเพิ่งมีเด็กใหม่เข้ามาก็ยังชดเชยส่วนที่ขาดไปไม่ได้  อีกอย่างพวกคิเมร่าก็มีวิวัฒนาการรวดเร็วและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ  ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเราก็คงไม่มีทางรับมือไหวแน่”  เอ่ยเสียงจริงจังตรงตามความเป็นจริงทุกประการขณะรอยยิ้มเลือนหายไปหมดจากริมฝีปากเรียวและดวงตาสีเขียวจ้องสบร่างคนทั้งสองตรงหน้านิ่ง



    หญิงสาวผมแดงหันกลับมาเช่นเดียวกับร่างของน้องชายที่ดึงผ้าคลุมสกปรกนั่นขึ้นคลุมบนศีรษะอีกครั้ง  “ฟังดูน่าสนใจดี  เขาว่ากันว่า NEG มีที่พัก  ค่าตอบแทนและสวัสดิการให้อย่างเพียบพร้อม  แต่ถึงพวกเราจะสนใจก็ใช่ว่าจะได้เข้าในกองกำลังได้ง่าย ๆ นี่นา  คุณชาย”  



    มุมปากเรียวหยักรอยยิ้มนิด ๆ ขณะเจ้าหล่อนท้าวแขนไว้กับเอวข้างหนึ่ง  “อย่าลืมสิว่าพวกเราเป็นคนนอก  ไม่มีพ่อแม่แถมยังไม่มีไอดีในระบบประชากรของเมืองไหนทั้งนั้น  คนแบบนี้ไม่มีองค์กรไหนไว้ใจรับเข้าทำงานหรอกน่า”



    “ฉันทำได้ก็แล้วกัน  คิดว่าถ้าอธิบายด้วยเหตุผลดี ๆ ท่านผู้บัญชาการสูงสุดก็คงรับฟังหรอก  แต่จะติดต่อกับพวกนายยังไงนี่สิ”  ชายหนุ่มลูบคางตนเองก่อนสะดุดสายตาที่เข็มกลัดทองบนอกซ้ายของตนความคิดหนึ่งจึงผุดขึ้น  



    ฝ่ามือใหญ่ดึงเข็มกลัดบนอกเสื้อออกแล้วโยนให้อีกฝ่ายอย่างไม่เสียดาย  “ฉันจะไปพูดกับท่านผู้บัญชาการให้ก่อน  ได้ไม่ได้ไว้ให้เบื้องบนเขาตัดสินใจแต่ยังไงก็อยากให้พวกนายเข้ามา  อย่างน้อยก็มาดูงานดูสถานที่กันสักหน่อยก็ยังดี  ถ้าสนใจล่ะก็เอาตราประจำตำแหน่งของฉันมาที่ NEG สิ  ถ้าสนใจน่ะนะ . . . “



    สาวผมแดงมองกลัดทองรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดที่มีภาพสุนัขป่าแยกเขี้ยวคำราม  และมีคาดปีกสีขาวสะบัดออกทั้งสองข้างของสี่เหลี่ยม  มือเรียวกำตรานั่นเอาไว้ในมือก่อนเงยหน้าขึ้น  “ถ้าอย่างนั้นก็ขอรับไว้พิจารณาก่อนยังไม่รับปากล่ะนะ  วันนี้ต้องลาก่อนล่ะ  ถ้าสนใจเราจะไปตามคำเชิญก็แล้วกัน  พ่อหนุ่ม NEG “  กล่าวจบก็กระโดดลงจากดาดฟ้าอาคารที่ยืนอยู่ไปในทันที  



    ขณะที่โนอาห์ซึ่งสวมผ้าคลุมมิดชิดตวัดดวงตาเหลือบมองร่างในชุดเครื่องแบบกระชับตัวสีขาวที่เปื้อนฝุ่นจนมอมแมมเล็กน้อย  เพียงครู่เดียวแล้วจึงกระโดดตามไปรวดเร็วโดยไม่ปริปากอะไรออกมาทั้งสิ้น



    เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนระบายลมหายใจออกแผ่วแล้วจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นเสยผมที่พันกันยุ่ง  “เฮ้อ . . . ทำอะไรลงไปไม่คิดหน้าคิดหลังอีกแล้วสิเรา  สงสัยได้โดนยัยทริเซียบ่นให้หูชาอีกแน่เลย”  ชายหนุ่มหันหลังกลับด้วยกิริยาเซ็ง ๆ  หากยังคงเหลียวดวงตากลับไปมองดาดฟ้าที่ว่างเปล่าอีกครั้ง  



    “แต่ยังไงฉันก็อยากได้พวกนาย . . จริง ๆ นะ  ไลอา  โนอาห์  อืม . . ชื่อดีทั้งคู่เลย”  ริมฝีปากเรียวคลี่ยิ้มกว้างแล้วจึงเปล่งเสียงหัวเราะระรื่นพร้อมกับก้าวเท้าเดินกลับอย่างอารมณ์ดีขึ้น



    ---------------------------------------------------------------



    “เป็นยังไงบ้าง ?  วันนี้สนุกดีมั้ยเจ้าพวกเด็กใหม่ทั้งหลาย ? “  ชายผมสีน้ำตาลอ่อนเอ่ยปากถามเสียงดังขณะก้าวลงจากยานหุ้มเกราะสีขาวทันทีที่ลงจอดบนลานจอดยานของอาคารกองบัญชาการ  โดยไม่ได้สนใจอาการเหม่อลอยและเงียบสนิทของเจ้าหน้าที่ใหม่ซึ่งทยอยก้าวลงจากยานแม้แต่นิด  



    แล้วต้องเสียวสันหลังวาบเมื่อเหลือบไปเห็นสายตาพิฆาตของสาวผมดำที่เดินตามมาเบื้องหลัง  สาเหตุอีกอย่างที่ทำให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว  “ป . . เป็นอะไรไปน่ะ ?  ทริเซีย  ทำไมทำหน้าซะน่ากลัวแบบนั้นล่ะ ? “



    หญิงสาวเหลือบดวงตาขึ้นมองสบสายตาชายร่างสูง  “จะไม่ให้อารมณ์เสียได้ยังไงกันคะ ?  ท่านรองอาร์ค”  กระแสเสียงเย็นเรียบเป็นความผิดปกติที่ชวนให้รู้สึกผวาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกก่อนร่างโปร่งจะระเบิดเสียงใส่ดังสนั่น  “ก็ท่านเล่นกระโจนออกไปจากยานดื้อ ๆ แบบนั้น !  ก้าวก่ายงานของเจ้าหน้าที่อื่นทั้งที่ไม่มีคำสั่งลงมาเท่านั้นไม่พอ  ท่านตามคนแปลกหน้าที่สามารถกำจัดคิเมร่านั่นได้ในทีเดียวแบบนั้นไปง่าย ๆ ได้ยังไงคะ ?!  ถ้าเกิดอะไรกับท่านขึ้นมาแล้วจะทำยังไงทำไมไม่คิดบ้างล่ะคะ ?!  ท่านรองผู้บัญชาการ !! “



    “อ . . เอาน่า . . . ทริเซีย”  ชายหนุ่มเอื้อมมือไปตบบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ  “ยังไงฉันก็ปลอดภัยกลับมานี่แล้วไง  แผลที่เห็นพวกนี้ก็แค่ถาก ๆ จากฝีมือของเจ้าคิเมร่าหนังเหนียวนั่นแถมมันก็แค่นิด ๆ หน่อย ๆ เองนะ  อีกอย่างพวกเขาช่วยเราไว้เธอก็เห็นแล้วแสดงว่าไม่ได้คิดร้อายอะไรกับพวกเราดังนั้นก็วางใจได้”  พยายามยิ้มสู้เข้าไว้ให้หญิงสาวร่างโปร่งคลายความโกรธเกรี้ยวลงให้ได้มากที่สุด



    ทริเซียระบายลมหายใจออกแรงขณะกระชับบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์คู่ใจขึ้นแนบอก  “นั่นถือว่าโชคดีค่ะ  ท่านรอง  ที่พวกเราไม่ใช่ศัตรูของพวกเขาไม่อย่างนั้นเราอาจแย่ได้  ดิฉันมีความรู้สึกว่าคนพวกนั้นอันตรายนะคะ  ท่าน”  แม้ท่าทีจะดูใจเย็นลงแต่ก็ยังไม่วายส่งสายตามองชายหนุ่มอย่างไม่พอใจอยู่ไม่เลิก  



    “แต่ยังไงก็ตาม  ดิฉันหวังว่าคงไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกนะคะ  ท่านรองอาร์ค  ดิฉันยอมรับว่าท่านเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศจนแม้แต่เหล่าผู้นำทั้ง 3 ยังยอมรับและชอบใจ  แต่กับคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จักมาก่อนอย่างนี้ช่วยกรุณาลดระดับมนุษยสัมพันธ์ลงหน่อยเถอะค่ะ  ไม่อย่างนั้นอาจมีสักวันที่ท่านจะไม่ได้กลับมาอย่างปลอดภัยครบ 32 แบบครั้งนี้ก็เป็นได้”  เปล่งเสียงหัวเราะแผ่วเมื่อจับสีหน้าแปร่ง ๆ ของอาร์คได้  



    “เอาล่ะค่ะ  วันนี้ทุกคนเหนื่อยกันมามากแล้วดิฉันขอเสนอให้เลิกคลาสฝึกอบรมรอบบ่ายของวันนี้และพักผ่อนค่ะ  ท่านรองเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ ?  ดิฉันคิดว่าพวกเด็กใหม่คงระทึกกันมามากพอแล้ว”



    “ถ้าเธอว่าดี . . ก็เอาตามนั้นแล้วกัน  พวกนาย ! “  ชายหนุ่มหันกลับไปยังแถวเจ้าหน้าที่ใหม่ซึ่งยืนเข้าแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยรออยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ก้าวลงจากยาน  “คลาสฝึกช่วงบ่ายวันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน  หลังจากนี้ก็ไปพักผ่อนหรือถ้ายังมีแรงเหลือพอจะไปทำอะไรก็ตามใจ !  พรุ่งนี้หลังมื้อกลางวันขอให้ทุกคนไปพร้อมกันที่ห้องเดิมอย่าสายล่ะ !  เอาล่ะ . . แยกย้ายกันได้ ! “



    ประโยคสุดท้ายเรียกเสียงตอบรับจากแถวเจ้าหน้าที่ใหม่ได้อย่างพร้อมเพรียง  แล้วเพียงเดี๋ยวเดียวแถวเจ้าหน้าที่ก็สลายตัวไปในเวลาอันสั้น



    หญิงสาวร่างเพรียวหันกลับมาหาชายหนุ่มและเอ่ยประโยคที่ทำให้เขาต้องเหงื่อตก  “ดิฉันจะไปรายงานให้ท่านเฟิร์สทราบก่อนนะคะ  ส่วนท่านก็กรุณาไปทำแผลที่ห้องพยาบาลให้เรียบร้อยเสียก่อนที่ท่านเฟิร์สจะเรียกพบดีกว่าค่ะ  ไม่เช่นนั้นดิฉันอาจถูกท่านผู้บัญชาการตำหนิเอาได้  โทษฐานที่ดูแลท่านไม่ดีพอจนได้รับบาดเจ็บ”  



    ริมฝีปากเรียวคลี่ยิ้มบางก่อนยกแขนขวาขึ้นระดับอก  งอศอกให้ท่อนแขนขวางอยู่ด้านหน้าตนขนานไปกับพื้น  เท้าทั้งสองข้างยืนชิดกันก่อนก้มศีรษะโค้งลงต่ำเป็นการทำความเคารพตามระเบียบเต็มรูปแบบ  “ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ  ท่านรองผู้บัญชาการ  อาร์ค พรีเวลส์”  ว่าจบก็ยืดตัวขึ้นแล้วหมุนกายก้าวผละไปรวดเร็ว



    ชายผมสีน้ำตาลอ่อนทำสีหน้าพิกลขณะยกมือข้างหนึ่งขึ้นเสยผมลวก ๆ  “ . . . ท่าทางยัยทริเซียจะโกรธจัดจริง ๆ เสียด้วยสิคราวนี้  ช่วยไม่ได้  เรามันไม่ใช่พวกชอบคิดมากก่อนลงมือทำนี่นา  ตอนนั้นมันฉุกละหุกจะตายไม่รีบตามไปอาจไม่ได้เจอกันอีกเลยก็ได้  เรื่องอะไรจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นล่ะน่าเสียดายตายชัก”  ชายหนุ่มยักไหล่และเลิกสนใจก่อนก้าวตามเข้าไปในอาคารด้วยท่าทีสบาย ๆ ตามปกติ



    ---------------------------------------------------------------



    สัญญาณเบา ๆ จากปลอกโลหะบนข้อมือทำให้เขาต้องยกขึ้นกดตอบสัญญาณติดต่อ  จอมอนิเตอร์จึงลอยปรากฏขึ้นเหนือแถบกระจกสีดำสนิทของปลอกโลหะ  พบใบหน้าคุ้นเคยของสาวผมดำอยู่ในมอนิเตอร์นั่นเหมือนเคย



    คิ้วเรียวของหญิงสาวในจอภาพขมวดเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นรอยแผลกรีดสีแดงบาง ๆ ข้างใบหน้าชายหนุ่ม  ‘ยังไม่รักษาบาดแผลอีกหรือคะ ?  ท่านรองอาร์ค  ดิฉันขึ้นมารายงานผลกับท่านเฟิร์สเรียบร้อยแล้วแท้ ๆ แต่ท่านกลับเอ้อระเหยแบบนี้ไม่ดีเลยนะคะ ท่านรอง’



    ชายหนุ่มส่ายศีรษะอย่างออกอาการระอาใจเล็ก ๆ  “ฉันอยู่ที่ห้องพยาบาลกำลังอยู่ในระหว่างการทำแผลส่วนอื่น  นี่ก็เหลือแต่แผลบนหน้าเท่านั้นแล้ว  เธอนั่นล่ะติดต่อมาขัดจังหวะ  ไม่รู้จะเอาอะไรนักหนากับแผลเท่าแมวข่วนนี่  เผื่อว่าเธอจะลืม . . ฉันเป็นผู้ชายนะ  จำเป็นด้วยรึไงที่ต้องระวังบาดแผลเท่าขี้เล็บพวกนี้เหมือนพวกผู้หญิงรักสวยรักงามน่ะ ? “



    ‘ช่วยไม่ได้ค่ะ  นี่เป็นคำสั่งของท่านเฟิร์สให้ดิฉันดูแลท่านไม่ให้มีบาดแผลใด ๆ ทั้งสิ้น’  สาวผมดำในมอนิเตอร์ลอยตอบกลับเรียบ ๆ ไม่ใส่ใจสีหน้าเอือมระอาสุดขีดของชายหนุ่ม  ‘และก็เพราะนิสัยชอบหาเรื่องของท่าน  ดิฉันถึงต้องดูแลเข้มเป็นพิเศษอย่างนี้ไงล่ะคะ  เอาล่ะ  ดิฉันแค่จะติดต่อมาเรียนให้ทราบว่าท่านเฟิร์สเรียกพบท่านค่ะ  ถ้ารักษาแผลเสร็จเรียบร้อยแล้วกรุณามาพบที่ห้องท่านผู้บัญชาการด้วย  เท่านี้ล่ะค่ะ  ท่านอาร์ค  ขอให้โชคดีกับการซักถามนะคะ’  กล่าวจบมอนิเตอร์ลอยก็เหลือแต่หน้าจอสีเขียวเปล่า ๆ แล้วหายวับไปในทันที



    อาร์คขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วระบายลมหายใจออกแรง  “ให้ได้อย่างนี้สิยัยตัวแสบ  รายงานเรื่องอะไรไปบ้างล่ะนี่”  ว่าพร้อมกับหยิบเสื้อที่วางทิ้งไว้ข้างตัวขึ้นสวมก่อนหลับตาลง  ปล่อยให้หุ่นยนต์สีขาวคาดเทารูปทรงกระบอกอ้วนเตี้ยขยับเข้ามา  



    แขนกลที่มีส่วนปลายเป็นรูปร่างแบนยาวยกขึ้นทาบบนบาดแผลบาง ๆ ข้างใบหน้า  แสงสีเขียวสดถูกยิงออกมาครู่หนึ่งก็ดับวูบแขนกลจึงขยับออกและบาดแผลบาง ๆ นั่นก็หายไปจากข้างแก้มของชายหนุ่มเรียบร้อยแล้ว



    ---------------------------------------------------------------



    เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนหยุดเท้าลงตรงหน้าประตูโลหะกว้าง  แล้วจึงเคาะเรียก 2 – 3 ครั้ง  “ขออนุญาตครับ  ท่านผู้บัญชาการ  ผมอาร์คครับ  มาตามที่เรียกไปแล้วขอเข้าไปด้วยครับ”  รออยู่ครู่หนึ่งบานประตูโลหะจึงเลื่อนเปิดออกให้ชายหนุ่มก้าวเข้าไปแล้วปิดลงตามหลังในทันที  



    ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้องที่เป็นสีขาวล้วนแม้กระทั่งเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่มีอยู่  แล้วจึงหยุดเท้าลงห่างจากโต๊ะโลหะเล็กน้อย  ดวงตาสีเขียวเข้มเหลือบมองทริเซียที่ยืนสงบอยู่ข้าง ๆ โต๊ะก่อนเลื่อนสายตามายังเก้าอี้โลหะซึ่งหันพนักด้านหลังมาให้



    “รู้รึเปล่าว่าฉันเรียกเธอมาพบด้วยเรื่องอะไร ? “  หญิงสาวผมทองในชุดเครื่องแบบสีขาวซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้โลหะบุนวมใหญ่หนาเอ่ยเสียงเรียบขณะหมุนเก้าอี้กลับมาครึ่ง ๆ



    ชายหนุ่มระบายยิ้มบางเบา  “คิดว่าคงหลายเรื่องอยู่ครับ  ท่านเฟิร์ส  ผมว่าทริเซียคงรายงานพฤติกรรมของผมในวันนี้ให้ท่านทราบหมดทุกอย่างแล้วแน่นอน”



    “ทริเซียทำงานที่ฉันสั่งได้ดี”  หญิงสาวเอ่ยเรียบ ๆ ขณะลุกจากเก้าอี้เดินไปยังกำแพงด้านหลังที่เป็นกระจกใสเต็มแผง  ทำให้สามารถมองออกไปเห็นการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของผู้คนในห้องโถงบริเวณนี้ของอาคารได้ชัดตา  



    “วันนี้เธอทำเรื่องไว้น่าดูทีเดียวนะ อาร์ค  เริ่มตั้งแต่พาเจ้าหน้าที่ใหม่ออกไปภายนอกกองบัญชาการโดยไม่ขออนุญาต  ก้าวก่ายงานของหน่วยซึ่งรับผิดชอบพื้นที่โดยพลการทำให้พวกเจ้าหน้าที่ใหม่ซึ่งยังไม่พร้อมเข้าสู่การทำงานเต็มตัวต้องเสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็น  คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาบ้างรึเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง ? “



    “ขออภัยด้วยครับ !  ท่านผู้บัญชาการ”  ชายหนุ่มยืนตัวตรงแล้วก้มคำนับลงต่ำ  “ผมคิดเพียงแต่อยากให้พวกเจ้าหน้าที่ใหม่ได้เห็นสิ่งที่พวกเราต้องต่อสู้ด้วยตาตัวเองตรง ๆ เท่านั้นครับ  ส่วนเรื่องก้าวก่ายงานของหน่วยผมยอมรับความผิดแต่ส่วนหนึ่งเพราะคิเมร่าตัวนั้นหนีมาทางพวกผมพอดี  เพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่ใหม่ผมจึงลงมือไปโดยไม่ทันขอคำอนุมัติ  ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ”



    เฟิร์สเหลือบดวงตามองเงาของชายหนุ่มที่ยังไม่ยอมยืดตัวขึ้นสะท้อนอยู่บนกระจกชั่วครู่  ก่อนระบายลมหายใจออกแผ่วแล้วจึงหันกลับมาหาเต็มตัว  “เอาเถอะ  ดีนะที่ไม่มีใครเป็นอะไร  ถ้าเรื่องจบลงด้วยดีก็ยังพอกลบหน้าความผิดของเธอได้บ้าง  ก็ถือว่าครั้งนี้โชคดีจริง ๆ “  ริมฝีปากเรียวที่เคลือบด้วยสีแดงระเรื่อคลี่ยิ้มบาง  



    “แล้วคนแปลกหน้าที่เข้ามาจัดการคิเมร่าตัวนั้นล่ะ ?  เห็นว่าเธอตามเขาไปไม่ใช่รึ  ได้ผลเป็นยังไง ?  คนพวกนั้นเป็นใคร ? “



    ชายหนุ่มยืดกายขึ้นยืนตัวตรงรวดเร็ว  “ไม่ทราบที่มาแน่ชัดแต่คาดว่าเป็นนักเดินทางครับ  ดูภายนอกแล้วเป็นวัยรุ่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม  คนที่เข้ามาให้พวกเราเห็นตัวเป็นผู้หญิงส่วนคนที่ลงมือจัดการเจ้าคิเมร่าตัวนั้นเป็นผู้ชายครับ  พวกเขาบอกว่าเป็นพี่น้องกันแต่ดูอายุเท่ากันแบบนั้นผมว่าอาจเป็นฝาแฝดหรือถ้าไม่ใช่ก็คงแค่โตมาด้วยกันไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด”  เขาตอบตามตรงเรียบ ๆ เพราะปิดบังอะไรไปก็ไม่เกิดผลดีอะไรกลับมา



    “แค่นั้น ? “



    “ทราบเท่านี้ครับ  ท่านเฟิร์ส  ผมได้คุยกับพวกเขาเพียงครู่เดียว  แต่ผมก็ทาบทามพวกเขาเอาไว้แล้ว”  ริมฝีปากเรียวคลี่ยิ้มบางเฉียบ  “ถ้าโชคดีเราจะได้คนที่มีฝีมือยอดเยี่ยมอีก 2 คนมาเสริมกองกำลังของเรา  ดังนั้นผมจึงอยากจะขอร้องอะไรท่านสักหน่อย  ถ้าพวกเขาตัดสินใจรับคำชักชวน  ผมอยากให้ท่านกรุณารับพวกเขาเข้าบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของเราด้วยได้หรือเปล่าครับ ?  ท่านเฟิร์ส”



    หญิงสาวหรี่ดวงตาลงเล็กน้อยขณะขยับแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดอก  “ให้บรรจุเข้ามาทั้งที่ไม่รู้ประวัติเลยอย่างนั้นรึ ? “  คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยขณะเอนตัวพิงบานกระจกใสหนาเบื้องหลัง  “เชื่อใจคนแปลกหน้าจากภายนอกพวกนั้นขนาดนี้เลยรึ ? อาร์ค  ทั้ง ๆ ที่เพิ่งได้คุยเพียงครู่เดียวเท่านั้น”



    “ผมเชื่อสายตาตัวเองมากกว่าครับ”  ชายหนุ่มตอบกลับเรียบ ๆ ขณะดวงตาสีเขียวเข้มหรี่ลงเล็กน้อยจ้องสบดวงตาอีกฝ่ายอย่างไร้ความเกรงกลัว



    เฟิร์สชะงักเล็กน้อย  เสียงต่ำทุ้มเรียบ ๆ เมื่อครู่กับดวงตาวาววับและรอยยิ้มบาง ๆ บนริมฝีปากของชายหนุ่ม  ทำให้นึกถึงคนผู้หนึ่งที่อยู่ในความทรงจำขึ้นมาอย่างกะทันหัน  



    ร่างโปร่งระหงเปล่งเสียงหัวเราะในลำคอแผ่วพร้อมกับส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นสบสายตาชายหนุ่มอีกครั้ง  “รู้สึกจะมั่นใจจริงนะ  คิดว่าฉันจะยอมง่าย ๆ งั้นรึ ? “



    “ . . ผมก็แค่ขอร้องท่านเท่านั้นครับ”



    เจ้าของเรือนผมสีทองยาวนิ่งเงียบชั่วครู่  ก่อนขยับตัวเดินเข้ามาหยุดลงตรงหน้าชายหนุ่มร่างสูงโปร่งพอดี  “ . . . ถ้าพวกเขามาจริง ๆ  2 คนนั้นจะอยู่ในความรับผิดชอบของเธอโดยตรงนะ  อาร์ค  ตกลงมั้ย ? “



    อาร์คยิ้มกว้างขึ้นแทบจะทันที  “ขอบพระคุณมากครับ !  ท่านผู้บัญชาการสูงสุด”  ก้มศีรษะลงคำนับเต็มรูปแบบอีกครั้งด้วยกิริยาร่าเริงขึ้นในทันทีทำให้หญิงสาวเปล่งเสียงหัวเราะร่วน



    “เธอนี่เป็นคนที่ดูง่ายเหมือนเด็กเลยจริง ๆ นะ”  ริมฝีปากเรียวเคลือบสีแดงระเรื่อคลี่ยิ้มกว้างก่อนเดินผ่านมานั่งลงบนโซฟาของชุดรับแขกโดยมีหุ่นยนต์ทรงกลมขนาดเล็กเสิร์ฟเครื่องดื่มเย็นฉ่ำให้ในทันที  มือเรียวผายออกยังโซฟาด้านตรงข้าม  “มานั่งคุยเล่นกันสักครู่สิจ๊ะ  อาร์ค  ทริเซีย  บ่ายนี้พวกเธอว่างแล้วไม่ใช่หรือ ? “



    เจ้าของนามทั้งสองมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบรับ  ก่อนก้าวมานั่งลงบนโซฟาสีขาวนุ่มตัวนั้นด้วยกิริยาที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว



    ---------------------------------------------------------------



    ‘ เมื่อตะวันลาลับ  ฉันลืมตาตื่นขึ้นจากความฝัน

    When sun leave from the sky.

    I wakeup from my dream. ‘



    ---------------------------------------------------------------



    เสียงเล็ก ๆ ที่เอ่ยลำนำบทเพลงไพเราะดังแผ่ว  เรียกให้เขาลืมตาขึ้นพบกับความมืดรอบกายที่คุ้นเคยอีกครั้ง  ภาพรอบข้างไม่มีอะไร  มองไม่เห็นอะไร  กลายเป็นเหมือนที่ซึ่งเขากลับมาพบเจอเสมอภายหลังการดำเนินชีวิตในความเป็นจริงของช่วงยามที่มีแสงอาทิตย์สาดส่อง



    ชายผมสีน้ำตาลอ่อนระบายลมหายใจออกแรงก่อนก้มลง  ทำให้มองเห็นเงาร่างเล็ก ๆ ของเด็กผู้หญิงผมสีทองสว่างคนหนึ่งนั่งเล่นของเล่นหลากสีสันบนพื้นใกล้ ๆ พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำบทเพลงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่กลับคุ้นหูอย่างประหลาด



    ‘ When sun leave from the sky.

    I wakeup from my dream.

    The moon is rising on the out of sea.

    Darkness creep through to the planet

    and I can only look at it.

    The star shiny

    reflecting it’s light on the water as a silver mirror.

    I feel breath of freedom

    encourage me to get up and walk away.

    Time is passing.

    The changing wind has come.

    The sun is rising

    at the faraway horizon.

    When the light has come.

    I close my eyes

    and dream for freedom

    one more time. ‘



    เมื่อบทเพลงจบประโยค  เด็กหญิงจึงเงยหน้าขึ้นมองมาทางเขาขณะที่มือเล็ก ๆ ถือลูกบอกแก้วซึ่งมีแสงเรืองรองเอาไว้อย่างทะนุถนอม  ริมฝีปากบางยิ้มใสให้และยื่นมันมาหาเขา



    ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยชั่วขณะแล้วจึงตัดสินใจยื่นมือรับ



    ทันทีที่ลูกบอลแก้วสัมผัสปลายนิ้วมันก็เปล่งแสงสว่างจ้าจนชายหนุ่มต้องผงะถ้อยหลังและยกมือขึ้นกันเอาไว้  กระทั่งแสงสว่างอ่อนลงก็พบว่าตนเองได้มายืนอยู่ท่ามกลางป่าแห่งหนึ่งซึ่งรกครึ้มเต็มไปด้วยต้นไม้รูปร่างสูงใหญ่และพุ่มไม้หนาแบบเดียวกันมากมาย  พื้นดินเต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้งกรอบและหญ้าต้นเล็ก ๆ สีน้ำตาลแทรกประปรายกับพืชบางชนิดที่เพิ่งเริ่มงอกออกจากผิวดิน



    เสียงร้องไห้แผ่ว ๆ ทำให้เขาต้องกวาดสายตามองหาและก้าวเข้าใกล้ที่มาของเสียง  จนกระทั่งเดินหลุดออกมาจากทิวไม้พุ่มหนาทึบและพบเข้ากับหลุมขนาดใหญ่ทั้งกว้างและลึกปราศจากต้นไม้ใบหญ้า  



    ตรงกลางหลุมนั้นมีร่างเด็กสาวผมทองตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ข้างวัตถุบางอย่างที่ดูคล้ายแคปซูลนิรภัย  ซึ่งผิดรูปไปเล็กน้อยคล้ายถูกกระทบอย่างแรงและฝาครอบแก้วที่เปิดค้างแตกหักหายไปครึ่งหนึ่ง  คาดว่าหลุมดินที่เกิดคงมาจากการที่แคปซูลตกกระทบอย่างแรงและเด็กสาวคนนั้นคือผู้โดยสารที่อยู่ภายใน



    เสียงฝีเท้าจำนวนมากดังใกล้เข้ามาจากอีกด้าน  ทำให้ชายหนุ่มละสายตามองและพบกลุ่มคนในชุดนักสำรวจจำนวนหนึ่งเดินแหวกพุ่มไม้หนาเข้ามารวดเร็วพร้อมด้วยเครื่องมือรูปร่างแปลกตาอยู่ในมือ  ทั้งกลุ่มก้าวลงไถลไปตามดินลาดของหลุมกว้างแล้วตรงเข้าล้อมเด็กสาวร่างเล็กที่เงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาตื่นตระหนก  



    ชายคนหนึ่งในกลุ่มถือปลอกโลหะเข้าไปใกล้แล้วสวมลงบนข้อมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างทันทีก่อนกลุ่มคนจะเริ่มทยอยเดินกลับออกไป ไม่สนใจอาการดิ้นรนร้องโวยวายของเด็กสาวร่างเล็กที่พยายามหนีจากการถูกจับกุม



    จังหวะที่เด็กสาวถูกจับยกขึ้นพาดบ่าชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้น  ทำให้ดวงตากลมโตที่แดงช้ำจากการร้องไห้ตวัดสบพอดีกับเขา  มือเล็ก ๆ ที่ถูกสวมปลอกโลหะหนาหนักยื่นตรงมาพร้อมกับริมฝีปากที่เปล่งเสียงร้องลั่น  หากดูจะไม่มีผู้ใดได้ยินหรือรับรู้นอกจากเขา  ซึ่งไม่มีผู้อื่นรับรู้ตัวตนว่ายืนอยู่ที่นี่เช่นกัน



    ‘ช่วยด้วย ! ‘



    ---------------------------------------------------------------



    ชายหนุ่มลืมตาลุกพรวดขึ้นทันที  มือขวาที่ยืนออกไปเบื้องหน้าโดยไม่รู้ตัวนั่นค่อย ๆ เลื่อนกลับลงจนวางนิ่งข้างตัวเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่เห็นนั่นเป็นเพียงความฝันที่เหมือนจริงมากอีกครั้งหนึ่ง  เหมือนจริงจนกระทั่งปฏิกิริยาของการตื่นตัวที่มือยังคงหลงเลืออยู่ให้รู้สึกได้



    เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเหวี่ยงขาลงจากเตียงขณะมือข้างหนึ่งเสยผมที่ปรกลงมาขึ้นแล้วทิ้งค้างไว้บนศีรษะเสียอย่างนั้น  “ฝัน . . . อะไรนักหนานะ”  รำพึงเพียงแผ่วก่อนเหลือบตามองตัวเลขนาฬิกาดิจิตอลบนแผงควบคุมขนาดเล็กที่กำแพงเหนือหมอนหนุนขึ้นไปแล้วจึงถอนหายใจออกแผ่ว  



    “โชคดีชะมัดที่วันนี้เราไม่มีวิชาเรียนไม่งั้นสายอีกแน่  ฝันแบบนี้ทีไรเป็นต้องตื่นสายทุกทีสิน่า”  เอ่ยจบจึงลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจแก้เมื่อยชั่วครู่แล้วก้าวผละไปเข้าห้องน้ำด้วยท่าทีไม่เร่งร้อน



    ---------------------------------------------------------------



    มือเรียวโยนผลไม้สีแดงสดในมือไปมาเล่นขณะมองสบชายผมสีน้ำเงินเข้ม  ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง  คิ้วเรียวขมวดชิดก่อนคว้าผลไม้ที่โยนลอยในอากาศกลางคันโดยไม่รอรับเหมือนทุกครั้ง  “ติดใจอะไรพ่อหนุ่มนั่นอยู่ใช่มั้ย ?  โนอาห์”  



    ริมฝีปากเรียวกรีดรอยยิ้มบางเมื่อเจ้าของชื่อหันกลับมาสบตาด้วยทันทีแม้ใบหน้าจะยังคงสงบนิ่งเหมือนเคย  “ฉันก็ด้วย  มันเป็นความรู้สึกแปลก ๆ ตอนเจอหน้าหมอนั่นตรง ๆ แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน  นายแน่ใจนะที่คิดว่าน่าจะอยู่ข้างในนั้น ? “



    “ไม่น่าผิด  มีที่นี่เท่านั้นที่ได้รับสืบทอดมรดกจากการวิจัยก่อน Grand Impact  อีกอย่างศูนย์วิจัยพลังงานเก่าที่กลายเป็นซากเมืองร้างนั่นก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก”  ชายหนุ่มกล่าวตอบเสียงเรียบขณะหยิบถ้วยน้ำขึ้นจิบ  ดวงตาสีเทาเย็นเหลือบกลับมองออกไปนอกหน้าต่างยังอาคารสูงกลางเมืองที่มีอาคารสีขาวประกอบยอดหอ 6 แห่งล้อมอยู่โดยรอบ



    ผลไม้แดงสดในมือถูกกัดดังกร๊อบ  ขณะสาวผมแดงลดสายตาลงมองกลัดท้องคำที่เหลี่ยมข้าวหลามตัดซึ่งวางนิ่งอยู่บนโต๊ะกาแฟตรงหน้า  “บางทีเราควรตอบรับคำเชิญนะหรือนายว่าไง ? “  หญิงสาวตวัดดวงตาขึ้นสบใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายชั่วครู่  



    ใบหน้าสงบนิ่งเป็นปกติถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้นจะไม่มีวันได้รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่  “คิดว่าเสี่ยงเกินไปอยู่ล่ะสิ  จริงอยู่ว่ารับคำเชิญเข้าไปอาจทำให้ถูกพบได้ง่ายหรืออาจถูกจับตาดูตลอดจนไม่มีโอกาสลงมือ  แต่ฉันว่าการลักลอบเข้าไปในนั้นน่าจะยากกว่านะ  คิดดูสิว่าเราต้องผ่านด่านคนแบบหมอนั่นเกือบเป็นกองทัพทีเดียว  รับมือคนจำนวนขนาดนั้นไม่ไหวหรอก  มีโอกาสมาถึงแล้วไม่รีบฉวยไว้จะเสียใจภายหลังนะ  โนอาห์  อีกอย่างฉันสนใจหมอนั่นมากเสียด้วย  เขาน่ารักดีออก  หน้าตาก็ดีฝีมือก็ใช้ได้  ความคิดความอ่านก็ออกจะเข้าท่าอยู่นะ”  ริมฝีปากเรียวคลี่ยิ้มกว้างเอ่ยทีเล่นทีจริงขณะขยับขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้างและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีสบาย ๆ



    ชายหนุ่มนั่งนิ่งชั่วครู่ก่อนจะวางถ้วยน้ำในมือลงแล้วหยิบกลัดทองคำนั่นขึ้นพร้อมลุกจากเก้าอี้  “จะไปกันรึยัง ?  ไลอา”  เอ่ยปากถามเสียงเรียบขณะมืออีกข้างที่ว่างฉวยผ้าคลุมตัวเดิมขึ้นพาดบ่าและก้าวเท้าเดิน  โดยมีหญิงสาวผมแดงสดเดินตามมาเบื้องหลัง



    ---------------------------------------------------------------



    “หยุดตรงนั้น ! “  ชายในชุดเครื่องแบบสีขาวสวมเกราะเต็มตัวเปล่งเสียงดังพน้อมกับกระชับปืนขึ้นหันตรงไปยังร่างคนคู่หนึ่งที่ก้าวเข้ามาใกล้  “ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามของพลเมือง  ถอยกลับไปเดี๋ยวนี้ ! “



    ร่างในผ้าคลุมหยุดเท้าลงตรงปลายกระบอกปืนที่เล็งตรงมาขณะหญิงสาวผมแดงก้าวมาหยุดลงข้าง ๆ  ชายหนุ่มดึงผ้าคลุมลงจากศีรษะเปิดเรือนผมสีน้ำเงินเข้มมัดรวบเรียบร้อยให้อีกฝ่ายเห็นหน้าได้ชัด  ฝ่ามือหยิบบางอย่างจากในกระเป๋าเสื้อใต้ผ้าคลุมโยนให้ร่างตรงหน้าซึ่งอีกฝ่ายก็ใช้มือข้างเดียวรับเอาไว้ได้ไม่ยาก



    ชายชุดเครื่องแบบเหลือบดูของในมือแล้วต้องชะงัก  มองสลับไปมาระหว่างกลัดทองคำในมือที่ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นของใครกับร่างคนทั้ง 2 ตรงหน้า



    “คนที่ชื่ออาร์คให้มา  บอกให้เรามาพบเขาที่นี่”  สาวผมแดงเอ่ยเสียงใสขณะขยับแขนขึ้นท้าวสะเอวไว้ข้างหนึ่ง  คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย  “ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามเจ้าตัวให้รู้เรื่องเลยก็ได้นะ”  กระแสเสียงเอ่ยกลั้วหัวเราะแผ่ว ๆ อย่างนึกขำท่าทางกึ่งจะลุกลี้ลุกลนของเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูตรงหน้าเต็มที



    ---------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×