ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    LEA - Project

    ลำดับตอนที่ #3 : Kimera

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ค. 47


    เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนนั่งปิดปากหาว  ขณะดวงตามองจอภาพด้านหลังของหญิงสาวที่สวมเสื้อนอกตัวยาวสีน้ำเงินเข้มบอกฐานะอาจารย์ผู้สอน  พร้อมกับมืออีกข้างวางบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ที่ฝังเป็นผิวเดียวกันกับพื้นโต๊ะ



    “จากสมการที่เราได้มา  เมื่อเราใส่ค่าพลังงานที่เราต้องการลงไปตรงนี้เราก็จะได้คำตอบของค่าพลังงานที่ถูกปล่อยออกมาในการยิงกระสุนแต่ละครั้ง  ถึงตรงนี้หวังว่าคงไม่ยากเกินไปนะ ? “  เสียงออดดังขึ้นพร้อมกับที่หญิงสาวเอ่ยจบประโยคพอดี  นั่นเป็นเสียงสวรรค์สำหรับคนหลาย ๆ คนที่เกือบจะหลับคาจอมอนิเตอร์เหนือโต๊ะที่นั่งของตนอยู่แล้ว  



    “ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเราจะเริ่มหยุดคลาสเรียนกันซึ่งทุกคนคงรู้สาเหตุดีอยู่แล้ว  เอาล่ะ  ขอให้ทุกคนโชคดีแล้วอย่าลืมทบทวนบทเรียนวันนี้ก่อนเข้าเรียนในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้านะจ๊ะ”  หญิงสาวเอ่ยเตือนเสียงเรียบขณะหยิบบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นเหมือนแฟ้มเอกสารและตัวเก็บข้อมูลขึ้นอย่างทะนุถนอม  และก้าวเดินออกจากห้องด้วยกิริยากระฉับกระเฉงว่องไว



    “หลังจากนี้มีเวลาทานอาหารกลางวัน 40 นาที  แล้วเราจะรวมตัวพวกเด็กใหม่เพื่อฝึกสอนเรื่องอาวุธของพวกเราและการฝึกใช้พลังแฝงขั้นพื้นฐานนะคะ  ท่านรอง”  หญิงสาวผมดำเดินเข้ามาหยุดลงข้างชายหนุ่มที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างและบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์คู่ใจในมือ



    ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนผ่อนลมหายใจออกแรงแล้วจึงขยับลุกจากเก้าอี้  “ทำไมฉันถึงเจอเธอตลอดแม้แต่ในห้องเรียนแบบนี้นะ  แม่เลขาฯทริเซีย”  ฉวยเสื้อกั๊กสีดำพอดีตัวไม่มีแขนที่วางพาดบนพนักเก้าอี้ขึ้นพาดบ่า



    เลขาฯสาวเปล่งเสียงหัวเราะคิก  “เพราะดิฉันมีอายุและระดับความรู้เท่ากับท่านน่ะสิคะ  ท่านรองอาร์ค”  ว่าพร้อมกับก้าวตามอีกฝ่ายที่เดินออกจากห้องเรียนไปไม่ห่าง  “สัปดาห์หน้าการแข่งขันทัวร์นาเม้นท์ประจำปีจะเริ่มขึ้น  ท่านคิดยังไงบ้างคะ ? “



    “จะให้คิดอะไรล่ะ ?  เด็กใหม่ยังใช้การไม่ได้ส่วนพวกมีตำแหน่งสูงกว่าหัวหน้าหน่วยก็ห้ามเข้าแข่ง  กองกำลังสังกัด Red Wolf ก็เพิ่งเสียหายไปไม่น้อยเมื่อเดือนก่อน  ปีนี้ท่าจะงานกร่อยน่าดู”  ชายหนุ่มคลี่ยิ้มกว้างพร้อมกับยักไหล่ไม่ใส่ใจเท่าใดนักก่อนหันกลับมาหาผู้ที่เดินตามมาเบื้องหลัง  “คิดจะตามฉันไปถึงห้องพักเลยรึไง ?  ฉันว่าจะสั่งขึ้นไปกินบนห้องไม่ไปโรงอาหารหรือร้านไหนหรอกนะ  สั่งพวกเด็กใหม่เจอกันที่ล็อบบี้อาคาร A หลังเวลาพักก็แล้วกัน”  สั่งจบก็เดินผละไปทันที



    “อ๊ะ !  ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาสายนะคะท่านรอง  มาสายล่ะก็อายเด็กใหม่แย่เลย”  หญิงสาวตะโกนกำชับตามหลังไปซึ่งก็ได้รับคำตอบกลับมาเป็นการโบกมือรับรู้เท่านั้น



    ---------------------------------------------------------------



    “นี่คือปืนเลเซอร์ ZQ.001 เป็นอาวุธขั้นพื้นฐานที่พวกเราจะได้ใช้กัน”  ชายหนุ่มหยิบปืนที่มีรูปร่างคล้ายปืนพกออโตเมติกธรรมดาแต่หนากว่าเล็กน้อยและมีสีขาวสะอาดขึ้น  ด้านข้างมีแถบกระจกที่มีไฟสีเขียวปรากฏอยู่ให้เห็นได้ชัดเจน  ริมฝีปากเรียวยิ้มกว้างเมื่อเห็นเด็กใหม่ที่นั่งบนอัฒจันทน์นักศึกษาทำท่าก้มหลบกันจ้าละหวั่นเพราะจู่ ๆ ตนก็ควงปืนที่เปิดระบบพร้อมใช้งานนั่นเล่น



    “ท่านรองอาร์ค  กรุณาอย่าเล่นอุปกรณ์ในชั้นฝึกสอนค่ะ  เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาดิฉันจะพลอยรับเคราะห์ไปด้วยนะคะ  ท่าน”  หญิงสาวผมดำเอ่ยเตือนขึ้นเรียบ ๆ ก่อนก้าวมาดึงปืนออกจากมืออีกฝ่ายเอาดื้อ ๆ  “นี่เป็นปืนที่ส่วนใหญ่เราใช้ในการทดสอบและการฝึกฝนเท่านั้น  ถูกตั้งค่าพลังงานไว้ต่ำสุดจนถึงโดนก็แค่รู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช๊อตและจะชาขยับตัวไม่ได้ไปสักระยะ  นอกจากจะใช้ฝึกซ้อมแล้วเรายังใช้สำหรับยุติเหตุการณ์รุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่ด้วยกันอีกด้วย\"  



    \"ก่อนอื่นหยิบปืนที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าทุกคนขึ้นมาก่อนและดูปุ่มสีแดงตรงด้านล่างของแถบกระจกที่มีไฟอยู่  ตอนนี้ไฟบนแถบกระจกของทุกคนเป็นสีแดงแสดงว่าระบบยังปิดอยู่ให้กดปุ่มแดงนั่น  นี่เป็นปุ่มเปิด-ปิดการทำงานพอกดแล้วไฟจะเป็นสีเขียวแสดงว่าปืนที่ทุกคนถืออยู่พร้อมใช้งานแล้ว  ส่วนตัวเลื่อนที่เห็นอยู่ข้าง ๆ ปุ่มเป็นตัวกำหนดระดับพลังงานโดยเมื่อเลื่อนแล้วจะมีตัวเลขค่าพลังงานขึ้นให้เห็นบนแถบกระจกข้าง ๆ แสงไฟ  ลองเลื่อนดูแต่อย่าลืมตรวจให้แน่ใจว่าอยู่ในระดับต่ำสุดแล้วทุกครั้งที่จะเปิดหรือปิดระบบล่ะ”  ว่าพร้อมกับเลื่อนปุ่มที่หมุนได้ไปมาทำให้ตัวเลขชุดหนึ่งปรากฏขึ้นบนแถบกระจก  และตัวเลขจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามการหมุนไปทางซ้ายหรือขวาของปุ่มเลื่อนนั่น



    เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนกดปุ่มบนแผงควบคุมหน้าโต๊ะก่อนหันกลับไปด้านหลัง  กำแพงสีขาวสอาดที่มีหน้าจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่จึงถูกเลื่อนเก็บขึ้นไปบนเพดาน  เปิดให้เห็นสถานที่ฝึกยิงปืนขนาด 5 ห้อง  ซึ่งมีความกว้างแต่ละห้องไม่ต่ำกว่าเมตรครึ่งและลึกเข้าไปราว 20 เมตร  โดยแต่ละห้องกั้นไว้ด้วยแผงกระจกใสหนาแยกจากกันเคลือบด้วยวัสดุคล้ายปรอทสีเทาอ่อนที่สามารถมองผ่านไปเห็นอีกฝั่งได้ลาง ๆ ทั้งกำแพง 2 ข้างและผนังฝั่งตรงข้ามลึกเข้าไปนั่น  ด้านบนของแต่ละห้องเหนือจุดที่ผู้ฝึกจะยืนอยู่มีมอนิเตอร์ที่จะคอยบอกระดับการฝึกและคะแนนให้เห็น  



    “ปกติแล้ววันแรกจะเป็นการสอนเกี่ยวกับชิ้นส่วนในการประกอบปืนหนึ่งกระบอก  แต่อันนั้นเอาไว้ไปหาอ่านเองได้ฉันจะขอข้ามเนื้อหาเข้าภาคปฏิบัติเลยดีกว่า  มีใครอยากถามอะไรฉันก็ถามมาก่อนเดี๋ยวนี้ไม่งั้นฉันจะเริ่มล่ะนะ”  ชายหนุ่มมองขึ้นไปบนอัฒจันทน์ที่นั่งซึ่งมีเด็กรุ่น ๆ นั่งอยู่ครบ 12 คนโดยไม่ใส่ใจดวงตาของเลขาฯสาวที่ตวัดมาเหมือนจะคัดค้าน  แล้วจึงเลิกคิ้วขึ้นเมื่อไม่มีเสียงใดตอบกลับมา



    “งั้นเรามาเริ่มฝึกกันเลย  ก่อนอื่นพวกนายต้องรู้วิธีการจับปืนที่ถูกตามหลักมาตรฐานเสียก่อน  ถึงจะไม่ชอบแต่อย่าบ่นเพราะมันเป็นพื้นฐานถ้าไม่จำให้ดีระวังจะเป็นเรื่องล่ะ  เริ่มต้นด้วยการยืน  เท้าทั้งสองข้างแยกห่างกันพอประมาณให้มั่นใจว่าจะไม่เสียหลักลมเพราะแรงสะท้อนของปืน”  



    ชายหนุ่มดึงสาวผมดำออกมายืนนอกโต๊ะแล้วเตะให้ยืนแยกขาใช้เป็นหุ่นสอนแทนเสียดื้อ ๆ เป็นการแก้เผ็ด  “ตัวตรงหลังตรง  แขนยืดออกไปข้างหน้าระดับเสมอไหล่ขนานกับพื้น  มือข้างที่ถนัดจะขวาหรือซ้ายก็ได้จะเป็นมือข้างที่จับด้ามปืนและเหนี่ยวไกขณะมืออีกข้างจะคอยประคองเอาไว้เพื่อให้กระชับมือยิ่งขึ้นแบบนี้”



    เด็กใหม่ในชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่มองหญิงสาวซึ่งทำหน้าที่เป็นหุ่นประกอบการอธิบายสลับกับตนเอง  แล้วลองทำตามเป็นระยะตามคำสอนของผู้ฝึกสอน  และพบว่าอยู่ในท่าที่สบายที่สุดและศูนย์เล็งของปืนอยู่ในแนวระดับสายตาได้อย่างพอดิบพอดี



    ชายหนุ่มคลี่ยิ้มกว้าง  “พวกนายจะเห็นศูนย์ของปืนชัดดีแล้ว  หลังจากนั้นก็แค่เหนี่ยวไกและเตรียมตัวรับแรงสะท้อนจากปืนให้ดีก็เป็นอันจบ  มีใครจะถามอะไรฉันอีกบ้าง ? “



    เด็กหนุ่มคนหนึ่งยกมือขึ้นทันทีหลังคำถามถูกเอ่ยจนจบ  เขารอจนครูฝึกจำเป็นพยักหน้าจึงยืนขึ้นถามเสียงดังฟังชัด  “แหล่งพลังงานของปืนเป็นพลังงานไฟฟ้าใช่มั้ยครับ ?  ถ้าอย่างนั้นการใช้งานแต่ละครั้งเราสามารถใช้ได้นานแค่ไหนและสามารถชาร์ตพลังงานได้ยังไงบ้างครับ ? “



    “ตามสถิติหากใช้พลังงานระดับต่ำสุดก็สามารถใช้ได้นานติดต่อกันถึง 12 ชั่วโมง  ยิ่งเพิ่มระดับพลังงานสูงขึ้นระยะเวลาก็ลดลงตามไปด้วย  และเมื่อพลังงานหมดก็ไม่สามารถใช้งานได้อีกจนกว่าจะนำกลับไปชาร์ตที่ตัวแท่นชาร์ตของมันใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงเป็นอย่างมาก  แต่เมื่อใช้กับเครื่องสร้างกระแสไฟฟ้าแบบพกพานี่ก็สามารถใช้ต่อไปได้โดยเสียงเวลาชาร์ตพลังงานใหม่แค่ 1 – 2 นาที”  ทรเซียตอบขึ้นแทนพร้อมกับหยิบเครื่องสร้างกระแสไฟฟ้าที่ว่าซึ่งมีรูปร่างเป็นกล่องโลหะสี่เหลี่ยมธรรมดา  มีปุ่มเปิดปิดและสายไฟสีเขียวกับสีน้ำเงินอย่างละเส้นเชื่อมต่อกับขั้วไฟฟ้าด้านข้างขึ้นมาให้เห็นกันทั่วหน้า  



    “แต่ข้อเสียคือพลังงานที่ชาร์ตใหม่ไม่ได้ชาร์ตเต็มที่  เราสามารถใช้ต่อไปได้อีกชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นแล้วก็ต้องชาร์ตใหม่อีกเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ  มันจึงถูกใช้แค่ในการฝึกฝนและระงับเหตุรุนแรงทั่ว ๆ ไปเท่านั้น”



    “เอ้า !  ยังมัวรีรออะไรอยู่อีก !  ลงมาเลยเราจะเริ่มฝึกกันแล้ว !! “  ชายหนุ่มเปล่งเสียงดังขณะก้าวไปยังห้องฝึกแรกพร้อมด้วยปืนสีขาวที่ยังควงเล่นอยู่ในมือไม่เลิก  “ฉันจะทำให้ดูก่อนหลังจากนั้นจะให้เวลาพวกนายฝึกกันเองสัก 20 นาที  คอยดูให้ดี ๆ ล่ะ  ทริเซีย  เริ่มโปรแกรมได้เลย”  ว่าพร้อมกับหยิบแว่นกระจกแถบกว้างสีเหลืองใสขึ้นสวมแล้วเล็งปืนไปข้างหน้าด้วยท่าที่เพิ่งสอนไปเมื่อครู่



    กำแพงกระจกใสที่กั้นแต่ละห้องออกจากกันกลายเป็นสีดำสนิท  กระทั่งไฟที่ให้แสงสว่างยังพลอยดับไปด้วยเหลือเพียงบริเวณเหนือศีรษะและด้านนอกเท่านั้นที่ยังคงสว่างอยู่  ทันใดนั้นก็มีดวงแสงกลม ๆ สีขาว เขียวและแดง ปรากฏขึ้นจำนวนมากบนกระจกสีดำสนิทในห้องฝึก  โดยมีขนาดและอัตราส่วนมากน้อยแตกต่างกัน  



    สีขาวจะมีมากที่สุดและมีขนาดกลางขณะสีเขียวมีน้อยกว่าครึ่งหนึ่งแต่ขนาดใหญ่กว่าเป็น 2 เท่า  และสีแดงมีน้อยยิ่งกว่าอีกเกือบครึ่งและมีขนาดเล็กที่สุดกระจายอยู่ทั่ว  และทันทีที่ดวงไฟสีเริ่มกระพริบไปมาย้ายตำแหน่งไม่หยุดชายหนุ่มก็เริ่มเปิดฉากยิงในทันที  เลเซอร์พุ่งออกจากปากกระบอกปืนเป็นเส้นสั้น ๆ สีฟ้าจางถี่ระรั้วตามจังหวะการเหนี่ยวไก  กระทบถูกดวงไฟสีเขียวแล้วมันก็หายวับไปในทันที  และคะแนนก็เพิ่มขึ้นให้เห็นบนจอมอนิเตอร์เหนือศีรษะทุกครั้งที่ยิงโดนสีใดสีหนึ่ง



    ‘ เลเวล 10 เคลียร์ ‘



    “ไฟสีเขียวมี 10 คะแนน  สีแดง 30 คะแนน  ส่วนสีขาวไม่มีและถ้ายิงถูกสีขาวติด ๆ กันเกิน 5 ครั้งจะถูกลบ 50 คะแนน  ทุก 100 คะแนนระดับความยากจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สูงสุดที่ระดับระดับ 100  ฝึกบ่อย ๆ เข้าระดับ 100 ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร  ถ้าอยู่ที่นี่มาปีหนึ่งแล้วก็ทำได้ทั้งนั้น”  เขาอธิบายต่ออย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร  



    เลเซอร์ยังคงถูกยิงออกไปอย่างต่อเนื่องและระดับความยากก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วไม่มีสะดุด  ยิ่งระดับสูงดวงไฟก็ยิ่งกระพริบและเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ  แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยิงได้แม่นพอจะไม่โดนลบคะแนน  แม้จะพลาดถูกสีขาวไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ถูกซ้ำ ๆ กันจนคะแนนลดลงเลยสักครั้ง



    ‘ เลเวล 100 เคลียร์ ‘



    ดวงไฟที่กระพริบจนตาลายดับวูบกลับเป็นห้องสีดำเปล่า ๆ ก่อนจะเปลี่ยนจากสีดำที่เคลือบบนผิวกระจกกลับเป็นห้องฝึกกระจกใสธรรมดาเหมือนครั้งแรกที่ก้าวเข้ามา



    “ห้องฝึกไม่ได้มีเฉพาะในอาคารเรียนหรือห้องนี้เท่านั้น  ที่หอพักก็ยังมีห้องฝึกขนาดใหญ่เอาไว้ให้ทุกชั้น  ถ้าว่างไม่มีอะไรทำก็ไปฝึกซ้อมกันได้ตลอดเวลา  มันก็เป็นเหมือนเกมส์ที่พวกเราแข่งกันเองเอาสนุก ๆ เท่านั้นล่ะ  ขอแนะนำว่าถ้าทะเลาะหรือโมโหใครมาก ๆ เข้าก็ใช้วิธีนี้จะช่วยระบายอารมณ์ได้อย่างที่พวกนายคาดไม่ถึงทีเดียว”  เอ่ยพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะระรื่นขณะเหลือบดวงตามองสาวผมดำที่ทำท่าไม่พอใจอยู่ใกล้ ๆ



    ทันใดนั้นสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น  ไฟสีขาวให้แสงสว่างถูกเปลี่ยนเป็นสีแดงและเสียงโอเปอเรเตอร์ก็ดังผ่านเครื่องกระจายเสียงจนได้ยินไปทั่วทั้งอาคาร



    ‘ ฉุกเฉิน ฉุกเฉิน   พบคิเมร่า 1 ตัวบุกเข้ามาในเมืองเขต S / E  P.03  ขอให้หน่วยรับผิดชอบแอเรียที่ P.03 สังกัดกองพล White Wolf   ออกปฏิบัติการภายใน 10 นาที  ย้ำ !  หน่วยรับผิดชอบแอเรียที่ P.03 กองพล White Wolf ออกปฏิบัติการภายใน 10 นาที ‘



    ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะคนอื่น ๆ ในห้องส่งเสียงพูดคุยกันดังขึ้นเรื่อย ๆ  ริมฝีปากเรียวหยักรอยยิ้มขึ้นนิด ๆ ขณะยกแขนซ้ายที่มีปลอกโลหะแถบกว้างหนาขึ้นกดปุ่มสีเหลืองแถวล่างตรงกลาง  “เตรียมยาน Tortoise – 03 ให้ฉันด้วย  ฉันจะพาเด็กใหม่ออกไปทัศนศึกษาการทำงานของพวกเราเสียหน่อย”



    “ท่านรองอาร์ค !? “  หญิงสาวผมดำค้านเสียงดัง  แต่อีกฝ่ายส่งสัญญาณมือมาให้เงียบเสียงลง



    “ขอเกราะอ่อนให้ 12 ชุดด้วยเดี๋ยวฉันจะไป”  ชายหนุ่มลดแขนลงก่อนหันกลับมาส่งยิ้มให้ร่างโปร่งข้างกายที่ทำหน้าถมึงทึงไม่เห็นด้วยอย่างเต็มที่   “ไม่เป็นไรหรอกน่า  แค่จะพาไปสังเกตการณ์ห่าง ๆ ให้รู้จักสถานการณ์จริงไว้ก่อน  ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันจะรับผิดชอบเองไม่ต้องห่วง”



    ทริเซียถอนหายใจออกแรง  “ท่านก็เป็นเสียอย่างนี้ทุกที  เกิดอะไรขึ้นดิฉันไม่ขอรับรู้ด้วยแล้ว”  ว่าแล้วจึงหันกลับมาหาบรรดาเจ้าหน้าที่ใหม่ที่ยืนเงียบกริบมาตั้งแต่ได้ยินชายหนุ่มเอ่ยปากเตรียมยานที่ว่าแล้ว  “ได้ยินกันชัดเจนแล้วนี่พวกนาย !  รีบลงไปที่ลานจอดยาน S / E  เดี๋ยวนี้ !! “



    “ครับ / ค่ะ !! “



    เสียงตอบรับดังพร้อมเพรียงกันก่อนร่างกว่า 10 คนตรงนั้นจะผลุนผลันวิ่งออกไปจาห้องทันที  โดยมีเสียงพูดคุยปรึกษากันดังแว่วมาให้ได้ยินไปตลอดทาง



    “นายว่าโชคดีหรือเปล่า ?  ที่เข้าเรียนวันแรกก็ได้ออกสนามจริงเลย  ถึงจะเป็นแค่การสังเกตการณ์ก็เถอะ”



    “โชคดีไม่ดีไม่รู้ล่ะ  ขอแค่ให้รอดปลอดภัยไม่เจ็บตัวกลับมาตั้งแต่วันแรกก็บุญโขแล้ว”



    “คิเมร่าตัวนี้จะหน้าตาเป็นไงเนี่ย ?  หวังว่าจะไม่น่าขยะแขยงนะไม่งั้นฉันพะอึดพะอมแย่เลย”



    “มาขนาดนี้แล้วยังจะนักสวยรักงามไปถึงไหน  เอาตัวรอดให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาสนใจก็ยังไม่สายย่ะ ! “



    ---------------------------------------------------------------



    ดวงตาสีเทามองผ่านหน้าต่างที่เปิดกว้างออกตรงไปภายนอกยังอีกด้านของเมือง  มองเห็นกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งจากการถล่มทลายของอาคารบ้านเรือนในละแวกนั้น



    ท่ามกลางฝุ่นผงที่ตลบม้วนตัวขึ้นสูงเป็นควันบนอากาศ  มีร่างของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ตัวหนึ่งปรากฏให้เห็น  ผิวสีขาวอมม่วงดูไม่ออกจากระยะไกลว่ามีลักษณะเป็นเกล็ดแข็งหรือผิวหนังหนานุ่มหุ่มกระดูกหยืดหยุ่นได้  ดวงตาขนาดใหญ่กลมโปนปูดเป็นสีแดงสดที่มีนัยน์ตาดำเป็นจุดเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง  และมีชิ้นส่วนที่คล้ายหน้ากากมนุษย์แตกหักครึ่งหนึ่งสวมทับอยู่บรเวณครึ่งล่างของส่วนหัวใหญ่โตเทอะทะนั่น



    เสียงฝีเท้าเบา ๆ จากด้านหลังทำให้เขาละสายตามายังร่างใต้ผ้าคลุมแบบเดียวกันกับตน  มองสบรอยยิ้มบาง ๆ ที่เห็นลอดออกมาจากใต้เงาของใบหน้าแล้วจึงขยับลุกขึ้น  และเดินตามอีกฝ่ายออกไปจากห้องอย่างเงียบสงบ



    ---------------------------------------------------------------



    “คิเมร่าเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามชื่อสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งในตำนานชาวกรีกโบราณ  มันเป็นสัตว์ร้ายที่มี 3 หัว คือหัวสิงโต หัวแพะและหัวของงูซึ่งอยู่บริเวณส่วนหาง . . “



    “ขอเนื้อ ๆ ได้มั้ย ?  ทริเซีย  ขอเนื้อ ๆ อย่าอารัมภบทมากนัก“  ชายหนุ่มเอ่ยแทรกขึ้นโดยยังคงยืนหันมองออกไปนอกหน้าต่างกว้างยาวของยานที่เปิดเกราะขึ้นให้สามารถมองผ่านไปได้  ยังร่างใหญ่โตที่กำลังอาละวาดท่ามกลางแสงจากปืนกลเลเซอร์ที่ยิงเข้าใส่ไม่ยั้งแต่แทบไม่ระคายผิวนอกจากทำให้ต้องชะงักเป็นครั้งคราวไป



    หญิงสาวหรี่ดวงตามองเจ้าของเสียงที่ยืนนิ่งจะช่วยก็ไม่ช่วย  ทั้งที่เป็นคนพาออกมาและรับผิดชอบการสอนเจ้าหน้าที่ใหม่แท้ ๆ  “คิเมร่าที่เห็นนอกยานนั่นเป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง  ตามข้อมูลพบว่ามันขึ้นมาจากใต้พื้นโลกเป็นครั้งแรกในปี A.I.16  หรือ 16 ปีภายหลังเหตุการณ์ Grand Impact “  เลขาฯสาวผมดำยังคงทำการเลคเชอร์ต่อไปอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่เต็มความกว้างของตัวยานที่ลงจอดบนดาดฟ้าอาคารสูงหลังหนึ่ง  ห่างจากบริเวณที่เกิดความชุลมุนวุ่นวายไม่มากนัก  เหล่าเจ้าหน้าที่ใหม่ภายในยานจึงต้องมองเหตุการณ์จริงไปพร้อมกับฟังการบรรยายไปด้วยในเวลาเดียวกันตาไม่กระพริบ



    “จากการค้นคว้าทดสอบชิ้นส่วนที่เก็บมาพบว่า  คิเมร่าพวกนี้มีร่างกายที่สามารถต้านทานอาวุธธรรมดาได้อย่างสบายแต่แพ้กระแสไฟฟ้าแรงสูง  ดังนั้นอาวุธของพวกเราจึงเป็นอาวุธประเภทใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งสิ้น  นอกเหนือไปจากพลังแฝงที่ได้รับการปลูกฝังมาของพวกเรา”



    “ขอโทษค่ะ”  หญิงสาวที่อยู่ในชุดเกราะอ่อนแบบเต็มตัวและถือหมวกที่มีแผ่นกระจกสีดำอยู่เป็นกระบังป้องกันดวงตายกมือข้างที่ว่างอีกข้างขึ้น  “ฉันเคยเห็นคิเมร่าใกล้ ๆ มาก่อนสมัยยังเด็ก  เมืองที่ฉันอยู่ก่อนถูกส่งมาที่นี่มีการอาละวาดของคิเมร่าอยู่บ่อยครั้งขนาดตัวของมันเล็กกว่านี้มาก  เกิดอะไรขึ้นกับขนาดและรูปร่างของพวกมันคะ ? “



    ีทริเซียเงยหน้าขึ้นจากบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ในมือมองสบสายตาเจ้าของคำถาม  “นั่นเป็นปริศนาที่เราเองก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้  ทางศูนย์วิจัย NEL ได้ให้ข้อมูลการคาดเดามาว่าการที่พวกมันอาศัยอยู่ใต้พื้นผิวโลกทำให้มันได้รับพลังงานจากแหล่งพลังงานมหาศาลจากแกนโลกโดยตรง  ยิ่งนานก็ยิ่งได้รีบมากและเติบโตแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  กว่า 5 ปีที่ผ่านมาข้อมูลที่รวบรวมได้พบว่าพวกมันมีอัตราวิวัฒนาการทั้งรูปร่าง ขนาดและความแข็งแกร่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง  แต่นี่ก็ยังเป็นแค่การคาดเดาของเหล่านักวิชาการภายในศูนย์วิจัย  ซึ่งยังคงหาหลักฐานและข้อสรุปไม่ได้อยู่จนปัจจุบันนี้”



    “หมายความว่าเราจะกำจัดมันได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ใช่มั้ยคะ ? “



    “ถูกต้องแล้ว  ดังนั้นเราจึงต้องมีการพัฒนาเทคนิกดี ๆ และอาวุธใหม่ ๆ อยู่เสมอยังไงล่ะ”  หญิงสาวตอบรับเสียงใสด้วยรอยยิ้มกว้าง  นึกดีใจที่มีคนสนใจฟังการเลคเชอร์มากกว่ามัวหันมองความตื่นตาน่าหวาดเสียวภายนอกนั่น



    ‘ ท่านรอง !  มันกำลังหนีไปทางท่านแล้วครับ !! ‘



    เสียงผู้ชายดังขึ้นจากเครื่องสื่อสารกะทันหันทำให้คนในยานสะดุ้งเฮือกไปตาม ๆ กัน



    “นำยานขึ้น !! “  เลขาฯสาวได้สติเป็นคนแรกหันไปสั่งพลขับผ่านเครื่องสื่อสารบนกำแพงข้างจอมอนิเตอร์ใหญ่  “ทุกคนนั่งที่ไห้เรียบร้อยแล้วรัดเข็มขัดให้ดี !  ท่านรองคะ ! “  เมื่อหันกลับมาหาชายผมสีน้ำตาลแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง  เมื่อชายหนุ่มเปิดประตูโลหะให้เปิดออกในจังหวะที่ยานกำลังลอยขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว



    อาร์คหันกลับมาเหลือบมองข้ามไหล่  “ฝากเคลียร์พวกหน่วยข้างล่างนั่นให้หน่อยสิ  ทริเซีย  เดี๋ยวเกิดโดนลูกหลงเป็นอะไรไปฉันไม่รู้ด้วยนะ”  ว่าแล้วก็กระโดดออกจากยานที่ลอยสูงขึ้นไปในทันที



    “ท่านรอง !! “  หญิงสาวร้องลั่นก่อนหันไปคว้าเกือบเป็นกระชากไมค์สื่อสารที่แขวนอยู่ข้างโต๊ะควบคุมด้านหน้าจอมอนิเตอร์ขึ้นสวมบนศีรษะ  มืออีกข้างกดลงบนแผงควบคุมรัวเร็วจนบรรดาเจ้าหน้าที่ใหม่นั่งมองตาค้างด้วยความทึ่ง  “หน่วย A – P.03 ข้างล่างนั่นได้ยินแล้วตอบด้วย !  หน่วย A – P.03 !  ฉันทริเซีย เดนเบิร์ก  ได้ยินแล้วตอบด้วย !! “



    ---------------------------------------------------------------



    ชายคนหนึ่งลดปืนกลในมือลงกดปุ่มรับสัญญาณจากเครื่องสื่อสารที่สวมอยู่บนศีรษะ  “ท่านทริเซีย  มาทำอะไรที่นี่ !? “  ตะโกนถามกลับไปสู้กับเสียงอึกทึกและเสียงปืนกลที่ดังสนั่นรอบตัว



    ‘ ท่านรองอาร์คลงไปแล้ว !! ‘



    เสียงตอบกลับมาสั้นง่าย  พอดีกับที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและมองเห็นเงาร่างหนึ่งกำลังดิ่งลงมาจากกลางอากาศตรงหน้าตนพอดี  “ท่านรอง !?  หาที่กำบังเร็วเข้า !! “  หันกลับไปสั่งลูกน้องที่อยู่ใกล้ ๆ พร้อมกับออกวิ่งเต็มฝีเท้า  กระโจนเข้าหลบหลังกำแพงอาคารที่ถล่มลงมาตะแคงอยู่บนพื้นได้ทันพอดีกับการระเบิดรุนแรงตรงบริเวณที่ตนยืนอยู่เมื่อครู่  “ท่านรองมาเองมีหวังบ้านเรือนได้พังเป็นแถบแน่  บ้าจริง !  ติดตั้งเครื่องสร้างบาเรียเสร็จรึยัง ?! “  เปล่งเสียงถามกรอกใส่ไมค์ก้านที่ยืนออกจากเครื่องสื่อสารบนศีรษะ



    ‘ เรียบร้อยแล้วครับ ! หัวหน้า ‘  เสียงตอบกลับมาเป็นตะโกนดังพร้อมกับเสียงอึกทึกและเสียงระเบิดวุ่นวายจนแทบไม่ได้ยิน



    “เดินเครื่องได้ !  อย่าให้อะไรหลุดออกไปได้แม้แต่อย่างเดียว !! “  วินาทีถัดมากำแพงโปร่งใสสีฟ้าจางก็ปรากฏขึ้นครอบคลุมบริเวณทั้งหมดเป็นรูปทรงปิรามิดอย่างรวดเร็ว



    ---------------------------------------------------------------



    ชาวเมืองเกือบทุกคนในละแวกที่มองเห็นม่านเกราะสีฟ้าจางนั่น  ต่างจ้องมองเหตุการณ์ภายในด้วยความโล่งอก  หลายคนถอนหายใจแรงขณะผู้เป็นแม่บางคนดึงลูกของตนเข้าโอบกอดไว้กับตัวและลูบศีรษะเบา ๆ ปลอบโยน



    “ในที่สุดพวก NEG ก็ลงมือจริง ๆ จัง ๆ กันเสียที  น่าจะกั้นม่านเกราะเสียแต่แรก  ป่านนี้เมืองแถวนั้นคงพังยับไปแล้วล่ะ”



    ร่างในผ้าคลุมสกปรกหันมองผู้พูดที่บังเอิญอยู่ใกล้ ๆ เขาพอดีเล็กน้อย  “NEG ? “



    “ใช่  พวกหน่วยคุ้มครองที่ดูแลเมืองนี้อยู่ไงล่ะ  ถ้าอยากดูสภาพการต่อสู้ใกล้ ๆ อย่างพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ แถวนี้ล่ะก็ไปดูตอนนี้ได้แล้วล่ะ”  ชายคนนั้นหันมาตอบก่อนกลับไปจัดวางของขายต่อจากที่วางมือค้างไว้เมื่อครู่  



    “โลกเราเดี๋ยวนี้มันวิปริตไปหมด  สัตว์ประหลาดหรืออะไรนะที่เขาเรียกกัน  อ้อ . . ใช่  คิเมร่านั่นน่ะอาจเป็นอสูรที่ถูกส่งมาลงโทษพวกมนุษย์ที่บังอาจล่วงเกินธรรมชาติก็ได้นะ  จะว่าไปถ้าพวกคิเมร่านั่นเป็นปิศาจบางทีพวก NEG ก็คงไม่แตกต่างกัน  ฉันเคยเห็นพวกมันต่อสู้กัน  เจ้าพวกนั้นลอยในอากาศได้  ปล่อยพลังประหลาด ๆ ออกมาจากมือ  สามารถฟันเหล็กหรือกำแพงหนา ๆ ได้ด้วยมือเปล่าเพียงข้างเดียวอย่างเจ้าพวกนั้นน่ะ . . ไม่ใช่มนุษย์แล้ว”



    ดวงตาสีเทาหรี่ลงเล็กน้อยก่อหันมองร่างในผ้าคลุมแบบเดียวกันที่ก้าวมาหยุดลงข้างกาย  แล้วจึงพยักหน้ารับและเดินตรงเข้าไปยังบริเวณที่มาของม่านเกราะ  ซึ่งเห็นประกายไฟฟ้าสถิตย์ของการกระทบจากภายในปรากฏให้เห็นเป็นระยะ



    ---------------------------------------------------------------



    เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนตีลังกาหลบส่วนที่คล้ายมือซึ่งตะปบลงมาแรงจนพื้นหินแตกยุบไปด้านหลัง  พร้อมกับฉวยแท่งเหล็กเส้นที่โผล่พ้นกองหินจากการถล่มของอาคารขึ้นกระชับแล้วกระโจนเข้าหามือนั่น  แทงแท่งเหล็กในมือลงไปเต็มแรงจนทะลุไปฝังกับพื้นหินแตกร้าวรวดเร็ว  ของเหลวสีแดงคล้ำเหนียวข้นพุ่งกระฉูดออกจากบาดแผลที่มีเหล็กเสียบไว้นั่นทันที  “ลองดูสิว่าแบบนี้จะหนีไปไหนพ้น ! “  



    ชายหนุ่มผละจากแท่งเหล็กวิ่งขึ้นมาตามส่วนที่ดูเหมือนลำแขนยืดหยุ่นรวดเร็ว  พร้อมกับต้องคอยก้มหลบลำแสงซึ่งถูกปล่อยออกมาจากปากส่วนที่เหมือนหน้ากากมนุษย์เป็นระยะ  สลับกับเบี่ยงตัวหลบหนวดปลายแหลมยาวที่จ้วงแทงลงมาขัดขวางไม่หยุด  และบางครั้งก็เฉียดผ่านสร้างรอยกรีดบาง ๆ บนใบหน้าได้สำเร็จจนหยดเลือดไหลซึมออกมา  



    ร่างสูงกระโจนขึ้นได้เหนือส่วนหัวของสัตว์ประหลาดร่างยักษ์นั่นได้พอดิบพอดี  ขณะระหว่างมือทั้งสองข้างที่ยกขึ้นเหนือศีรษะมีประกายแสงปรากฏขึ้นเหมือนประจุไฟฟ้า  ริมฝีปากเรียวกรีดรอยยิ้มกว้างขณะดวงตาสีเขียวเข้มเปล่งประกายวาววับ  “เอาไปเต็ม ๆ เลย !! “  ชายหนุ่มเปล่งเสียงดังลั่นพร้อมกับสะบัดมือลงเต็มแรงจนเกิดการระเบิดรุนแรงเสียงดังสนั่น  ลมพัดออกจากศูนย์กลางการระเบิดแรงจนต้องยกแขนขึ้นกัน  เศษหินเศษปูนปลิวว่อนกระทบบาเรียจนเกิดกระแสไฟฟ้าสถิตย์เป็นประกายสว่างทั่วม่านเกราะ



    ร่างสูงลอยอยู่กลางอากาศชั่วขณะก่อนค่อย ๆ ลดตัวลงยืนบนพื้นที่มีเศษหินกองระเกะระกะนุ่มนวล  และวินาทีถัดมาร่างใหญ่โตก็ล้มตึงลงกับพื้นแรงจนสั่นสะเทือน  ของเหลวเหนียวสีแดงคล้ำกระจายเปรอะเปื้อนไหลซึมออกจากส่วนที่เคยเป็นหัวใหญ่โต  ซึ่งบัดนี้เหลือเป็นเศษซากที่มองสภาพเดิมไม่ออกรุ่งริ่งติดอยู่กับตัวที่ล้มนอนลงกับพื้นท่ามกลางกองซากอาคารที่ถล่มทลายจากการต่อสู้รุนแรงก่อนหน้านี้



    เจ้าหน้าที่ในชุดเครื่องแบบสีขาวเปรอะเปื้อนค่อย ๆ ทยอยออกมาจากที่กำบังทั้งที่ยังคงกระชับอาวุธอยู่ในมือ  หลายคนเลื่อนมอนิเตอร์ที่ครอบทับเป็นเกราะกำบังดวงตาลักษณะเหมือนแว่นกันแสงสีดำขึ้นบนศีรษะและถอนหายใจโล่งอก  ขณะอีกหลายคนช่วยกันเคลื่อนย้ายเพื่อนร่วมงานที่บาดเจ็บไปขึ้นยานขนาดใหญ่  ซึ่งเปิดประตูด้านหลังออกรออยู่ก่อนแล้ว



    “ท่านรองอาร์ค ! “  ทริเซียกระโดดลงจากยานขนส่งที่กำลังลดระดับความสูงลงมาแล้วปราดเข้าหาอาร์คซึ่งกำลังคุยกับหัวหน้าหน่วยทันที  “ท่านรอง !  ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังอีกแล้วนะคะ !! “



    ชายหนุ่มคลี่ยิ้มรับเสียงโวยวายของอีกฝ่ายอย่างอารมณ์ดี  “อย่าโมโหน่า  ทริเซีย  จัดการกำจัดคิเมร่าลงได้ก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรอกรึ ? “  เขาซ่อนยิ้มและเสียงหัวเราะที่กำลังจะหลุดออกมาได้ทันเมื่อสังเกตเห็นอาการโกรธเกรี้ยวเกือบถึงขนาดควันออกหูของร่างโปร่งตรงหน้า  ขณะเจ้าหน้าที่บริเวณรอบ ๆ กำลังจัดการเคลียร์พื้นที่  โดยไม่มีใครทันสังเกตเห็นส่วนที่คล้ายนิ้วมือแต่มีลัษณะเป็นหนวดยาวปลายแหลมคมของร่างที่คาดว่าตายสนิทแล้วกำลังขยับ



    ทันใดนั้นร่างที่ปราศจากหัวซึ่งน่าจะตายไปแล้วกลับลุกพรวดขึ้น  แขนยาวตวัดเงื้อขึ้นสูงโดยมีเป้าหมายที่ใครก็ตามซึ่งอยู่เบื้องหน้าแล้วฟาดลงรวดเร็วโดยไม่มีใครทำอะไรทันนอกจากเปล่งเสียงอุทานลั่น



    ร่างของอาร์คกระเด็นไปตามแรงฟาด  เนื่องจากทันเพียงแค่ผลักเลขาฯสาวผมดำออกและยกแขนขึ้นสร้างเกราะบาง ๆ เอาไว้ไม่ทันได้หลบ  จึงปะทะเข้ากับแขนที่ฟาดลงมาเต็ม ๆ กระแทกเข้ากับเครื่องสร้างบาเรียที่อยู่ด้านหลังพอดีจนหลุดจากพื้นลากตามไปด้วย  ปะทะเข้ากับกำแพงอาคารหลังหนึ่งแรงจนผนังแตกร้าวยุบตัวพังไปทั้งแถบ  ทำให้ม่านเกราะที่ขึงอยู่สลายหายไปในทันที



    “ไอ้นี่หนังเหนียวชะมัด !  ยิงมัน !!  ถล่มมันให้ได้อย่าให้มันหนีไปไหนพ้น ! “  ชายหนุ่มซึ่งสวมปลอกแขนหัวหน้าหน่วยสั่งดังลั่นและยกปืนขึ้นสะพายไหล่กราดยิงไม่เล็งไม่ยั้ง  “เปิดบาเรียอีกครั้งเร็วเข้า !  จะให้เมืองเสียหายมากไปกว่านี้ไม่ได้ !! “



    ‘ ทำไม่ได้ครับ ! ‘  เสียงตอบกลับมาผ่านเครื่องสื่อสารดังระรัวร้อนรน  ‘ ขาดไปเครื่องหนึ่งจากการโจมตีเมื่อครู่  ถ้าไม่ครบ 4 เครื่องก็เปิดบาเรียไม่ได้ครับหัวหน้า ! ‘



    “ปัทโธ่เว้ย !  ไอ้ตัวนี้มันอึดชิบ  ขนาดไม่มีหัวนะนี่”  ชายหนุ่มเบิกดวงตาขึ้นเมื่อแขนข้างมหึมานั่นทำท่าจะฟาดลงมาจึงต้องรีบกระโจนหลบพน้อมกับสะบัดมือที่มีประกายแสงเรืองรองเข้าใส่  ทำให้บริเวณที่ถูกลำแสงนั่นไหม้เกรียมเป็นวงกว้างแต่ดูจะไม่มีผลกับสัตว์ร้ายไร้หัวตัวนี้มากนัก



    หญิงสาวผมดำขลับทิ้งตัวลงจากอากาศมาอยู่ตรงบริเวณที่อาคารถล่มลงมาเมื่อครู่  “ท่านรอง !  อยู่ตรงไหนคะ ?!  กรุณาส่งเสียงด้วย  ท่านรองอาร์ค !  ว้าย !! “  เปล่งเสียงอุทานลั่นเมื่อแผ่นหินจำนวนหนึ่งตรงหน้าถูกอัดกระแทกจนกระเด็นออกไปไกลก่อนชายผมสีน้ำตาลอ่อนจะค่อย ๆ ยันร่างลุกขึ้นยืน



    ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นกุมขมับก่อนสะบัดศีรษะ 2 – 3 ครั้ง  “อูย . . . มึนไปหมด  เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย ?  ทริเซีย”  ชายหนุ่มถามกลับซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าพร้อมคำตอบรับหนักแน่น  “พอจะสร้างบาเรียคลุมบริเวณแถวนี้แทนเครื่องกำเนิดไหวมั้ย ?  ฉันทำแกนสำคัญพังไปแท่งหนึ่งแล้วเมื่อกี้นี้เอง  เธอที่ถนัดการสร้างม่านกำบังมากที่สุดคิดว่าจะไหวหรือเปล่า ? “



    “ถ้าแค่กำแพงก็ไหวค่ะ  แต่จะให้คลุมทั้งหมดนี่อาจจะเหลือบ่ากว่าแรงไปหน่อยแต่จะพยายามค่ะ ! “  แต่ก่อนจะได้ทำอะไรสายตาก็หันไปเห็นร่างที่สวมผ้าคลุมเก่าคร่ำคนหนึ่งก้าวเท้าผ่านกลุ่มอาคารออกมา  และทำท่าจะก้าวเข้าไปในบริเวณที่กำลังวุ่นวายจากการต่อสู้  “พลเมืองเข้ามาในเขตนี้ไม่ได้นะ !  อยากตายรึไงออกไปเดี๋ยวนี้ !! “  หญิงสาวเปล่งเสียงตะโกนดังหากอีกฝ่ายหันมองเพียงเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ  แล้วเบือนหน้ากลับไปมองร่างใหญ่ยักษ์ที่ฟาดแขนทั้งสองข้างไปมาสะเปะสะปะจนหน่วยเจ้าหน้าที่ควบคุมไม่ได้  



    นั่นทำให้เลขาฯสาวที่อารมณ์ร้อนอยู่แล้วนึกฉุนขึ้นมาทันทีและกำลังจะก้าวไปหาแต่กลับถูกชายหนุ่มดึงเอาไว้แรงเสียก่อน  “ท่านรอง ?! “



    อาร์คจ้องมองร่างในผ้าคลุมนิ่งไม่เอ่ยปากอะไรออกมา  ด้วยสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลก ๆ ที่ก่อขึ้นรอบตัวของร่างในผ้าคลุมสกปรกที่กำลังยกแขนทั้งสองข้างขึ้น  สังเกตเห็นรอยยิ้มบางเฉียบบนริมฝีปากส่วนที่โผล่พ้นเงาผ้าคลุมบนศีรษะได้ชั่วขณะ



    ร่างนั่นยื่นมือทั้งสองข้างออกไปข้างหน้าขณะมีประกายแสงสีแดงพุ่งออกมา  เกิดเป็นตาข่ายลำแสงสีแดงขนาดใหญ่ค่อย ๆ คลุมร่างที่อาละวาดเอาไว้  ทำให้ร่างไร้หัวรู้สึกและหันกลับมาพร้อมโจมตีทันที



    “อันตราย !! “  ชายหนุ่มสะบัดมือปล่อยพลังตรงไปยังแขนข้างที่เงื้อฟาดลงเกิดเป็นรอยบาดแผลยาวที่มีเลือดเป็นของเหลวเหนียวพุ่งออกมาหากไม่สามารถหยุดการโจมตีได้



    ร่างในผ้าคลุมดึงตาข่ายแสงในมือเข้าหากันพร้อมกับเอนตัวถอยหลังเล็กน้อย  ทำให้ตาข่ายแสงรัดแน่นขึ้นและการโจมตีของแขนมหึมาก็กระทบถูกเกราะใสสีแดงจนสะท้อนกลับไปแทนที่จะถูกตัว  ตาข่ายบางส่วนถูกขว้างลงกับพื้นและปักยึดเอาไว้แน่นหนาทำให้ตาข่ายยิ่งรัดร่างสัตว์ประหลาดแน่นยิ่งขึ้นจนแทบกระดิกไม่ได้  “ดื้อด้านนักนะเจ้าตัวนี้ . . จัดการเลย !! “



    ทันใดนั้นแสงสีน้ำเงินก็พุ่งตรงมาจากในเมืองเหนืออาคารสูง  ปะทะเข้าใส่ร่างใหญ่โตที่พยายามดิ้นรนขัดขืนอยู่ในตาข่ายแสงสีแดงเข้าอย่างจังจนเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น  ของเหลวเหนี่ยวข้นสีแดงคล้ำและเศษเนื้อกระจายออกไปรอบทิศเป็นวงกว้าง  จนเมื่อฝุ่นผงจางลงจึงเห็นสภาพที่เหลือแต่ชิ้นส่วนเล็ก ๆ กระจัดกระจายอยู่ตรงบริเวณที่เคยมีร่างของคิเมร่า . . สัตว์ประหลาดดุร้ายขนาดใหญ่อยู่ตรงนั้น



    ชายหนุ่มจ้องมองนิ่งยังซากร่างที่กระจัดกระจายเป็นเศษชิ้นส่วนขณะที่คนอื่น ๆ เบิกตาอย่างตกตะลึง  ก่อนจะหันมองยังร่างในผ้าคลุม  ทันเห็นร่างนั้นกระโดดขึ้นไปบนดาดฟ้าอาคารใกล้ ๆ ได้พอดี  “เดี๋ยว !  คอยก่อน !! “  เขาออกวิ่งตามร่างที่เห็นลิบ ๆ บนดาดฟ้าอาคารซึ่งกำลังผละไปรวดเร็ว



    “ท่านรองอาร์ค ! “



    “ไม่ต้องตามมา ! “  ชายหนุ่มหันกลับไปห้ามหญิงสาวผมดำที่กำลังจะวิ่งตามมาทั้งยังไม่ยอมหยุดฝีเท้า  “สั่งพวกเด็กใหม่ให้ช่วยงานเก็บกวาดที่นี่  เดี๋ยวฉันจะกลับมา ! “  กล่าวจบจึงรีบเร่งฝีเท้าตามร่างในผ้าคลุมที่เห็นชายผ้าสะบัดพรึบพั่บอย่างไม่ลดละ  แต่ร่างนั่นก็รวดเร็วซอกแซกไปตามดาดฟ้าอาคารต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่วจนติดตามได้ลำบาก  จึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปยังตรอกแคบ ๆ ระหว่างอาคาร 2 หลังทันที



    ร่างในผ้าคลุมผ่อนฝีเท้าลงจนหยุดนิ่งบนดาดฟ้าอาคารหลังหนึ่งแล้วจึงหันกลับไปมองเบื้องหลัง  แต่ก็ไม่พบใครติดตามมาจึงระบายลมหายใจออกแผ่วด้วยความโล่งอกที่หนีห่างมาได้สำเร็จ  แต่ก่อนจะทันได้ก้าวเท้าต่อบ่าก็ถูกดึงเอาไว้จากมือของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนที่กระโจนขึ้นมาจากตรอกระหว่างอาคารทางด้านหลังพอดี



    “จับตัวได้ล่ะ ! “  ฝ่ามือใหญ่ออกแรงกดแน่น  หากก่อนจะได้จับอีกฝ่ายไว้แน่นหนาพอสายตาก็เหลือบไปเห็นลำแสงสีน้ำเงินแบบเดียวกับที่กำจัดคิเมร่าร่างยักษ์นั่นราบคาบไปแต่ขนาดเล็กกว่ามากกำลังพุ่งตรงมา  ทำให้ร่างสูงต้องกลับตัวกระโดดหลบไปด้านหลังได้ทันพอดีหวุดหวิด  จังหวะเดียวกับที่ร่างในผ้าคลุมสะบัดตัวหลุดไปได้สำเร็จ  แต่ผ้าคลุมสกปรกเต็มไปด้วยฝุ่นก็ถูกแสงนั่นกระชากทำลายขาดกระจุย  เปิดให้เห็นใบหน้าสวยคมของหญิงสาวผมสีแดงสดซอยสั้นปรกระต้นคอได้ชัดตา



    สาวร่างโปร่งเพรียวคลี่ยิ้มบางก่อนกระโดดไปสมทบกับร่างในผ้าคลุมแบบเดียวกันอีกคนหนึ่ง  ซึ่งเป็นเจ้าของลำแสงสีน้ำเงินที่ถูกปล่อยออกมาทั้งสองครั้ง  “มีธุระอะไรกับพวกเราถึงตามมาล่ะ ?  คุณชาย NEG ”  เอ่ยทักด้วยเสียงกังวานใสที่ฟังดูมั่นใจในตัวเองอย่างเห็นได้ชัด



    ชายหนุ่มทิ้งเศษผ้าคลุมที่ติดมือมาอย่างไม่สนใจขณะก้าวเท้า  ตั้งใจจะเข้าไปคุยใกล้ ๆ แต่ก็ต้องหยุดเมื่อก้าวมาถึงขอบดาดฟ้าอาคารข้าง ๆ อาคารหลังที่ทั้งสองยืนอยู่  และแสงสีน้ำเงินที่มีรูปร่างคล้ายเข็มแหลมยาวพุ่งปักลงกับพื้นจนปูนแตกเฉียดข้างเท้าไปเพียงนิดเดียว  



    “ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรกับพวกเธอนะ  แค่เป็นตัวแทนมาขอบใจที่ช่วยเหลือและอยากมาคุยอะไรด้วยนิดหน่อยเท่านั้นเอง  ดูสิ  ฉันมามือเปล่าไม่ได้พกอาวุธมาแล้วยังไม่ได้ใส่เกราะด้วย  เชื่อใจกันบ้างไม่ได้รึไง ? ”  ว่าพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นข้อพิสูจน์  “เรามาคุยกันดี ๆ ได้มั้ย ? “  ริมฝีปากเรียวคลี่ยิ้มกว้างพยายามผูกมิตรขณะดวงตาจ้องนิ่งจับสังเกตและพิจาณาร่างคนทั้งสองอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้



    ---------------------------------------------------------------



    ชายในชุดสีดำสนิทเข้ามาในห้องแห่งหนึ่งซึ่งทั้งเย็นทั้งมืด  โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ร่างของหญิงสาวซึ่งนั่งหลับตาอย่างสงบอยู่บนเก้าอี้นวมขนาดใหญ่  แล้วจึงหยุดเท้าลงเมื่อมาถึงตรงหน้าร่างเพรียวระหงในชุดขาวสะอาดนั่น



    “รู้สึกเหมือนกันงั้นหรือ ? เธิร์ด”  หญิงสาวเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อนแล้วจึงลืมตาขึ้นและค่อย ๆ หันมองอีกฝ่ายเชื่องช้า



    ชายหนุ่มนั่งลงยังเก้าอี้โลหะหุ้มเบาะนวมแบบเดียวกับของอีกฝ่ายที่ลอยมารองรับได้พอดิบพอดี  “จับได้แค่ครู่เดียว”  ดวงตาสีดำขลับตวัดสบดวงตาเยือกเย็นของผู้ที่อยู่ตรงหน้า  “ถ้าเซคันด์จับความรู้สึกได้อีกคนก็คงไม่ใช่ความผิดพลาด  มีอะไรบางอย่างอยู่ภายในเมืองนอกกองบัญชาการ”



    หญิงสาวคลี่รอยยิ้มบางเฉียบขณะเปล่งเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ  “ต่อให้เซคันด์ไม่ทันสังเกตแต่เรา 2 คนจับความรู้สึกชั่วพริบตานั่นได้  2 ใน 3 . . นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะให้ความสนใจค้นหา”  เรียวขาที่โผล่พ้นชายกระโปรงแคบตวัดขึ้นไขว่ห้างขณะแขนที่ว่างสบาย ๆ ในตอนแรกยกขึ้นกอดอก  “หวังว่าจะมีแต่พวกเราที่รู้สึกถึงคลื่นนี้นะ  ถ้าพวกหัวทึบใน NEL รู้เรื่องเข้าพวกเราคงวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม  ฉันไม่อยากเห็นเขาเป็นอะไรไปอีก”



    เธิร์ดชายหนุ่มหรี่ดวงตาลง  “ถ้าเราเงียบไว้ก็คงไม่รู้”  ว่าพร้อมกับยันร่างลุกขึ้นยืนและหันหลังกลับ  แต่ก่อนก้าวออกจากห้องร่างสูงกลับยืนอยู่หน้าประตูนิ่ง  “ยังลืมเขาไม่ได้อีกรึ ?  เฟิร์ส  เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว”



    คิ้วเรียวของหญิงสาวผมทองกระตุกเล็กน้อย  “ต่อให้เป็นนาย . . ก็ไม่มีวันลืมเขาไปได้เหมือนกัน”  ริมฝีปากเคลือบสีแดงสดกรีดรอยยิ้มเย็นเยือกที่มุมปากขณะดวงตาคล้ายจะเรื่องแสงขึ้นวูบหนึ่ง  “หรือจะปฏิเสธ ? “



    “ . . นั่นสินะ  เซคันด์ก็คงเป็นเหมือนกัน”  ชายหนุ่มแค่นยิ้มบางแล้วจึงก้าวออกจากห้อง  บานประตูโลหะเลื่อนเปิดและปิดลงทันทีโดยอัตโนมัติ  ทิ้งภายในห้องให้กลับมืดสนิทเย็นเยือกและมีหญิงสาวผมทองนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้นวมเพียงลำพังอีกครั้ง



    ---------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×