ตอนที่ 6 : 6
- 6 -
เสียงกู่ฉินแว่วไปทั่วทั้งอาคารสามชั้นของโรงน้ำชาฮงรยอน ในคราวแรกที่เสียงเครื่องสายดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยของบรรดาลูกค้านั้น ผู้คนที่กำลังสังสรรค์กันไม่ได้ใส่ใจนัก แต่เมื่อได้ยินเสียงดนตรีต่อเนื่อง จึงเริ่มมีผู้หันหาที่มาของเสียง และพบว่าหลังฉากกระดาษเขียนรูปดอกบัวหลวงสีชมพูอ่อนนั้น สะท้อนเงาหญิงสาวผู้หนึ่ง
จากนั้นเสียงพูดคุยกลับค่อยๆ เงียบลง กระทั่งเสียงพูดคุยในห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง และสามก็ยังเงียบกริบ ราวกับทุกชีวิตกำลังเงี่ยหูฟังเสียงเครื่องสายบรรเลง เสียงเครื่องสายที่บรรเลงนั้นจากเสียงเดี่ยวที่ราวกับเสียงน้ำหยดหนึ่งร่วงลงสู่ผืนน้ำเงียบสงบ จากนั้นเสียงน้ำหยดหนึ่งได้ค่อยๆ แปรเป็นเสียงต่อมา ที่ทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกราวกับกำลังยืนทอดสายตามองหยดน้ำค่อยไหลเรื่อยในลำธาร ก่อนที่ท่วงทำนองนั้นจะเปลี่ยนเป็นจังหวะรวดเร็วซับซ้อน เหมือนสายน้ำที่ไหลเชี่ยวในแม่น้ำใหญ่ แล้วค่อยแปรไปสู่จังหวะที่สงบ เสียงเดี่ยวของเครื่องสายนั้นแผ่วแว่ว ราวกับสายหยดฝนที่ร่วงลงสู่ห้วงมหรรณพ น้ำเพียงหยดเดียว ย่อมไม่สะเทือนผิวน้ำ
ความเงียบครอบครองโถงทั้งสามชั้นอยู่อึดใจหนึ่งก่อนที่จะมีเสียงปรบมือจากผู้ที่นั่งอยู่ในห้องโถงชั้นล่าง แต่เมื่อทุกคนตั้งสติได้ หลังฉากรูปดอกบัวหลวงนั้นก็ปราศจากเงาของหญิงสาวผู้นั้นเสียแล้ว
“ช่างบรรเลงกู่ฉินได้หมดจดเสียจริง ข้าไม่เคยฟังที่ไหนเพราะเท่านี้” บัณฑิตจองเอ่ยพลางรินน้ำชาเติมให้ตนเอง “ฮงชิกฮยองนิมเล่า เคยฟังที่ไหนมาก่อนหรือไม่”
“ไม่เคยมาก่อนเช่นกัน”
ออมฮงชิกตอบก่อนหยิบขนมชิ้นหนึ่งเข้าปาก วันนี้บัณฑิตจองชักชวนเขามานั่งดื่มชา และกินของว่างที่โรงน้ำชาฮงรยอนหลังเลิกงานที่กรมท่า ฮงชิกตกปากมาพบ แต่ทั้งคู่เลือกนั่งที่ห้องโถงชั้นล่าง เพราะบัณฑิตจองบอกไว้ล่วงหน้าว่าต้องการพามาดูบางอย่าง
“ฮยองนิม เห็นโต๊ะนั่นหรือไม่”
ฮงชิกไม่ได้หันไปมองทันทีแต่ทำเป็นเหลียวหาเด็กรับใช้ ก่อนกวาดตามองไปตามที่บัณฑิตจองบอก ก่อนสังเกตเห็นชายฉกรรจ์หมู่หนึ่งนั่งอยู่กับข้าราชการพลเรือนคนหนึ่ง เสื้อผ้าของชายฉกรรจ์หมู่นั้นดูแปลกตาต่างจากชาวพยองจูทั่วไป แต่การที่นั่งอยู่กับข้าราชการพลเรือนนั้นกลับน่าสงสัยยิ่งกว่า
“ข้าราชการคนนั้น เป็นเสมียนคนสนิทของอิมฮยองจุน พี่ชายของพระมเหสี” บัณฑิตจองกล่าวทั้งที่แทบไม่ขยับริมฝีปาก “พวกที่นั่งอยู่นั่น เป็นนักรบรับจ้างจากแคว้นฉิน”
ดวงตาของบุตรเสนาบดีกรมเจ้าท่าเบิกขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่เกินอึดใจก็ตั้งหลักได้ ก่อนจะแสร้งสั่งน้ำชาเพิ่มจากเด็กรับใช้ที่ยกมือเรียกเมื่อครู่
“ทำไมมีนักรบรับมาจ้างมาเพ่นพ่านในเขตนครหลวงเช่นนี้”
“น่าสงสัยหรือไม่ ข้าได้ข่าวว่าเพิ่งเข้ามาในนครหลวงเมื่อวานซืน” บัณฑิตจองกระซิบ “หรือจะมีคนระแคะระคาย”
“ไม่น่าเป็นไปได้”
เพียงไม่นานนัก ชายฉกรรจ์หมู่นั้นพร้อมข้าราชการพลเรือนก็จ่ายเงิน และเดินออกจากโรงน้ำชาไป บัณฑิตจองจึงถอนใจ ก่อนจะขอตัวกลับเรือน ออมฮงชิกอาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงน้ำชา บุตรเสนาบดีกรมเจ้าท่าเหลือบมองไปทางฉากกระดาษรูปดอกบัวหลวงอีกครั้ง ก่อนจะเรียกหาเด็กรับใช้
“มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้ขอรับ นายท่าน” เด็กรับใช้ท่าทางสุภาพเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
“ผู้ใดเป็นผู้บรรเลงกู่ฉินเมื่อครู่”
“นักดนตรีของโรงน้ำชาขอรับ”
“เช่นนั้นหรือ ข้าอยากตบรางวัลให้ เพราะบรรเลงได้ถูกใจนัก”
“นายท่าน โรงน้ำชาของเรามีกฎไม่ให้นักดนตรีรับเงินจากลูกค้า ต้องขออภัยนายท่านด้วยขอรับ” เด็กรับใช้ตอบอย่างสุภาพ
“เช่นนั้นพาข้าไปพบนักดนตรีหน่อยเป็นไร ข้าอยากพบ”
“เอ่อ”
เด็กรับใช้มีท่าทีอึกอัก เมื่อถูกคุณชายท่าทางเหมือนบุตรชายตระกูลใหญ่จ้องตรงๆ ก็ทอดถอนใจ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าสงสารเต็มที
“คุณชาย อย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลยขอรับ ข้าน้อยทำไม่ได้จริงๆ”
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”
ออมฮงชิกตอบอย่างไม่ถือสา เด็กรับใช้จึงถอนหายใจ และมีสีหน้าดีขึ้น แต่ชายหนุ่มกลับหยิบพู่หยกที่แขวนติดตัวไว้มายื่นส่งให้เด็กรับใช้ก่อนเอ่ยสั่ง
“ในเมื่อไม่รับเงิน ก็รับพู่หยกนี่เป็นสินน้ำใจ นำไปมอบให้นักดนตรีผู้นั้นหน่อย พู่หยกนี่ไม่มีราคาค่างวดอะไรนัก คงรับไว้ได้”
มือแข็งแรงยัดพู่หยกใส่มือเด็กรับใช้โรงน้ำชาฮงรยอน ก่อนจะเดินจากไป เด็กรับใช้ถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม แล้วค่อยๆ เดินลัดเลาะหลบสายตาลูกค้าคนอื่นในร้านไปทางด้านหลัง ห้องเล็กที่อยู่หลังห้องเก็บของมีบันไดซ่อนอยู่ เป็นทางขึ้นลงระหว่างแต่ละชั้นโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น
เด็กรับใช้หนุ่มขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นบนสุดของโรงน้ำชา บันไดลับทอดขึ้นมาถึงห้องแคบๆ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างพอให้ชายตัวโตยืนสามคนได้ ผนังไม้ทั้งสี่ด้านมีแผ่นไม้รูปวงกลมแกะเป็นรูปดอกบัวหลวงประดับไว้ เด็กรับใช้ในโรงน้ำชาฮงรยอนเดินไปทางทิศเหนือของห้อง หมุนแผ่นไม้รูปวงกลมนั้นสามรอบ จึงมีเสียงโกร่งกร่างดังขึ้นที่เหนือศีรษะ เพดานไม้ปิดทึบนั้นยกเปิดออก และมีบันไดไม้ทอดลงมา
เด็กหนุ่มตัวเล็ก และผอม ทำให้สามารถปีนขึ้นบันไดไปอย่างคล่องแคล่ว เมื่อเท้าสัมผัสพื้นขั้นสุดท้ายบนบันได เด็กรับใช้โรงน้ำชาฮงรยอนก็ขึ้นมาถึงห้องลับ ห้องนั้นเป็นเพียงโถงกว้างใต้หลังคา แต่ใช้ฉากไม้กั้นแบ่งสัดส่วน ด้านหน้าเป็นเหมือนที่ทำงาน มีชั้นวางหนังสือที่วางหนังสือไว้เป็นตั้งเกือบจรดเพดาน ถัดมาหลังฉากที่สองเป็นห้องเก็บหีบหนาหนักหลายใบ วางเรียงซ้อนกัน และหลังฉากที่สามเป็นที่พักส่วนตัว ตรงกลางห้องมีสตรีรูปร่างบอบบาง นั่งอิงหมอนอยู่บนเบาะผ้าไหมอย่างสบายอารมณ์
“มีอะไรหรือจุนโฮ” เจ้าของโรงน้ำชาฮงรยอนถามเด็กหนุ่ม
“นายหญิงฮงรยอน คุณชายออมฮงชิก บุตรเสนาบดีกรมท่า สั่งให้ข้าน้อยนำพู่หยกชิ้นมาให้นักดนตรีที่บรรเลงกู่ฉิน ข้าน้อยพยายามบ่ายเบี่ยงแล้ว แต่คุณชายออมไม่ยอมฟัง”
มือเรียวของเจ้าของโรงน้ำชายยื่นออกไปรับพู่หยกจากเด็กหนุ่ม ตากลมสวยทอดมองพู่หยกในมือนิ่งๆ เด็กรับใช้จึงรีบพูดต่อ
“ข้าน้อยเรียบคุณชายออมแล้วว่า โรงน้ำชาเรามีกฎห้ามรับเงินสินจ้างจากลูกค้า แต่คุณชายออมกล่าวว่าของนี้ไม่มีราคาค่างวดนัก คงรับไว้ได้”
นายหญิงแห่งโรงน้ำชาฮงรยอนเหลือบตาขึ้นมองเด็กหนุ่ม จุนโฮเป็นเด็กวัยสิบสามปีที่ค่อนข้างรู้ความ และได้รับความวางใจจากผู้เป็นนายเป็นพิเศษ จึงรู้ทางขึ้นมาบนห้องลับนี้ที่น้อยคนนักจะรู้ ตากลมของหญิงสาวพิจารณาเด็กหนุ่มที่ตัวค่อนข้างผอม เนื่องจากความอดอยากในวัยเด็ก ทำให้เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มน้อย ก็ยังค่อนข้างตัวเล็กกว่าคนร่วมรุ่น
“จุนโฮ เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเหตุใดข้าจึงไม่อนุญาตให้รับอามิสสินจ้างใดจากลูกค้า”
“ไม่ทราบขอรับ” เด็กหนุ่มตอบผู้เป็นนายหญิงอย่างบริสุทธิ์ใจ ริมฝีปากบางเฉียบของผู้เป็นนายจึงแย้มยิ้มก่อนกล่าวต่อ
“ขึ้นชื่อว่าเงินทอง ของมีค่า ผู้ใดบ้างมองข้ามคุณค่าของมันได้ไป หากวันนี้รับเงินเป็นสินน้ำใจได้ วันหน้ามีผู้ใช้เงินเบิกทางให้ทำเรื่องต่างๆ ตามที่ไหว้วาน ก็คงทำตามได้โดยไม่ลำบากใจ เพราะอำนาจเงินทำให้ทุกสิ่งง่ายดายเสียแล้ว ข้าจึงไม่ต้องการให้คนของข้า เห็นแก่เงินทองจนเกิดกิเลส เพราะเมื่ออำนาจเงินบังตา ต่อให้เป็นเรื่องชั่วช้าสามานย์เพียงไหน ก็กระทำได้ทั้งสิ้น”
“นายหญิง ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เพียงแต่ไม่อาจปฎิเสธคุณชายออมได้”
เด็กหนุ่มคุกเข่าแล้วก้มหน้านิ่งด้วยความกลัว ความรู้สึกที่เด็กหนุ่มมีต่อหญิงสาว เป็นความรู้สึกทั้งรู้คุณ และเกรงในอำนาจของอีกฝ่าย เพราะครั้งแรกที่จุนโฮได้พบกับนายหญิงแห่งโรงน้ำชาฮงรยอน หญิงสาวอายุเพียงสิบห้าปี แต่มีฝีมือในเชิงดาบ และมีคนใหญ่คนโตหนุนหลังอยู่ หญิงสาวซื้อตัวเด็กๆ ชายหญิงวัยไม่เกินแปดขวบที่ถูกขายเป็นทาสไว้หลายคนมาเลี้ยงดูอย่างดี อบรมให้พออ่านออกเขียนได้ และควบคุมมารยาทให้เหมาะสม
ผู้เป็นนายหญิงไม่เคยทำร้ายทารุณ แต่ไม่เคยอ่อนข้อ หรือผ่อนปรนหากเด็กที่เลี้ยงไว้ฝ่าฝืนคำสั่ง ทุกคนล้วนเคยเห็นมาแล้วกับตาว่า นายหญิงของตนลงโทษผู้ที่ไม่ทำตามกฎโดยไม่ละเว้น อย่างเบาอาจจะกักบริเวณ อย่างหนักคือโทษโบยให้หลาบจำ
จุนโฮเองก็เป็นหนึ่งในเด็กเหล่านั้นที่เคยเห็นทั้งพระเดช และพระคุณของหญิงสาวตรงหน้า
“ลุกขึ้นได้แล้วจุนโฮ” หญิงสาวพูดเสียงเรียบ “แต่จำไว้ว่าครั้งหน้า ห้ามฝ่าฝืนคำสั่งของข้าอีก”
“ขอรับนายหญิง”
“ไปได้แล้ว”
เด็กรับใช้ชายทำความเคารพก่อนรีบเดินเร็วๆ จนหายลับตาไป เสียงโกร่งกร่างของประตูกลดังขึ้นอีกหน ก่อนที่ทั้งห้องจะเงียบสงบ บ่งบอกว่าจุนโฮลงไปแล้ว ยามนั้นหญิงสาวที่นั่งอยู่เพียงลำพังในห้องจึงได้พิจารณาพู่หยกที่ถือไว้ ของในมือไม่ใช่ของไร้ราคาดังเช่นที่เจ้าของกล่าว
หยกสีเขียวอ่อน เนื้อนวลงาม ไร้รอยตำหนิ ร้อยด้วยพู่ไหมสีคราม รัดด้วยข้อทองคำตีเป็นลายประแจจีน
คิมจีซูระบายลมหายใจออกมาดังๆ ราวกับต้องการไล่ความรู้สึกหนักอึ้งที่กดทับอยู่ในอกยามนี้ให้เบาลง ออมฮงชิกไม่ใช่คนเขลา ย่อมรู้เท่าทันว่านักดนตรีที่บรรเลงกู่ฉินวันนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเจ้าของโรงน้ำฮงรยอน จึงได้ดึงดันให้จุนโฮรับพู่หยกเอาไว้ให้ได้
และคุณชายสกุลออม ไหนเลยจะไม่รู้ความหมายว่า มอบพู่หยก นับเป็นเครื่องหมายแทนใจคนให้ หากผู้รับเป็นธิดาขุนนาง หรือคหบดี ผู้รับหยกแทนใจจากบุตรเสนาบดีกรมท่า คงได้เป็นนายหญิงคนใหม่ในเรือนสกุลออม แต่เมื่อผู้รับเป็นเพียงหญิงเจ้าของโรงน้ำชา แม้แต่เป็นอนุในเรือนหลังยังยากจะฝันถึง
ปลายมือบางสัมผัสหยกเนื้อเย็น ก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดตู้เล็กมุมห้อง หยิบกล่องไม้สำหรับใส่ของมือค่ากล่องหนึ่งออกมา ตัวกล่องเป็นไม้เนื้อเข้มฝังมุกเป็นลายดอกบัวหลวง คิมจีซูไล้มือไปบนฝากล่องอย่างใจลอย กล่องไม้นี้เป็นกล่องใส่ของมีค่าส่วนตัวของท่านแม่ เป็นของแทนตัวที่จีซูได้รับมาในคืนที่ท่านแม่ตัดใจส่งบุตรีคนเล็กออกจากบ้าน
ดอกบัวเป็นดอกไม้พิเศษในความทรงจำของคิมจีซู ท่านแม่โปรดปรานดอกไม้ชนิดนี้ และบอกกล่าวกับธิดาที่ไม่เคยห่างจากข้างกายว่า ดอกบัวนั้นแม้จะเกิดจากใต้โคลนเลน แต่กลับผุดพ้นน้ำ เพื่อเบ่งบานรับแสงตะวัน
ฮงรยอน ที่หมายถึงดอกบัวหลวง จึงกลายเป็นชื่อใหม่ของคิมจีซู เป็นชีวิตใหม่ที่บังเกิดขึ้นท่ามกลางความเจ็บแค้น และสิ้นหวัง
มือเรียวเปิดฝากล่องไม้ และวางพู่หยกลงไป ด้านในมีแหวนทองที่หัวแหวนทำจากอำพันเม็ดเขื่อง เป็นแหวนที่ท่านพ่อของคิมจีซูสวมติดกายมาตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นหนุ่ม ท่านพ่อของจีซูถอดให้บุตรีเมื่อก่อนจากกัน และมีปิ่นเงินประดับหยกขาวที่ท่านแม่ได้รับจากท่านพ่อเป็นหมั้น รวมทั้งถุงหอมปักลายดอกโมรันที่ท่านแม่ปักเองกับมือ กลิ่นเครื่องหอมในถุงจางหายไปตามกาลเวลา
เช่นเดียวกับผู้คนที่เป็นเจ้าของสิ่งของมีค่าเหล่านี้ ที่ลาลับจากโลกนี้ไปอย่างไร้ทางหวนกลับ
หยาดน้ำร้อนรื้นคลอหน่วยตาของคิมจีซู ชั่วขณะหนึ่งหญิงสาวรู้สึกเหนื่อยล้าจนปรารถนาให้ความทุกข์ระทมที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพฝัน เมื่อลืมตาตื่นขึ้น ตนยังเป็นคุณหนูเล็กแห่งตระกูลคิม ได้รับความรัก และการปกป้องจากบิดามารดา ชีวิตแต่ละวันหมดเปลืองไปกับการทำงานฝีมือ จับเข็มปักผ้า และออกเรือนไปกับชายที่บิดามารดาหมั้นหมายเมื่อถึงวัยที่เหมาะสม
ถ้าหากโชคชะตาไม่พลิกผัน ชีวิตคงสมบูรณ์ปราศจากความทุกข์ใดๆ
คิมจีซูถอนหายใจ และยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่อาบแก้มนวลทิ้ง ก่อนปลุกปลอบจิตวิญญาณที่แหว่งวิ่นของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนที่เคยทำมานับพันนับหมื่นครั้ง เพราะบัดนี้ชีวิตไร้หนทางย้อนกลับ เมื่อยังมีลมหายใจอยู่ ก็ต้องยืนหยัดต่อสู้กับชะตากรรมอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ต่อไปโดยไม่ปริปากต่อรอง
มือบางปิดฝากล่องไม้อย่างแรง ราวกับจะสลัดความอาวรณ์ที่หลงเหลือในชีวิตให้สะบั้นลง
ชั่วระยะเวลากึ่งเดือนมานี้ ราชสำนักค่อนข้างวุ่นวายเนื่องจากการปรับลดอากรที่ได้จากเมืองคูซันเหลือเพียงสองในสิบ และยังมีประกาศอากรค่าผ่านแดน ที่เดิมชาวพยองจูไม่ต้องจ่ายเมื่อเข้าเมืองคูซัน แต่บัดนี้ชาวพยองจูต้องจ่ายค่าผ่านแดนสองเหวิน ทั้งยังต้องปรับลดค่าผ่านแดนที่เรียกเก็บจากชาวคูซันที่จะเข้าเมืองพยองจู
ข้าราชการกรมคลัง และข้าราชการกรมท่าบางส่วนไม่พอใจกับพระราชโองการที่พระราชามินโฮประกาศออกมานัก แต่ก็ไม่อาจขัดได้ ความไม่พอใจจึงตกลงมาที่รัชทายาทคังยูอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เนื่องจากเหล่าข้าราชการเห็นว่ารัชทายาทเมืองคูซัน เป็นพวกเดียวกับกลุ่มที่ได้ผลประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงนี้ หลายครั้งที่คังยูต้องเผชิญกับท่าทาง และคำพูดเหน็บแนมของเหล่าข้าราชการที่ไม่พอใจ
แต่สถานการณ์ในเมืองคูซันกลับเปลี่ยนแปลงไปทิศทางตรงกันข้ามกับสถานการณ์ในราชสำนักพยองจู เดิมทีคังยูเป็นรัชทายาทที่แทบถูกลืม เนื่องจากไม่ได้ประทับอยู่ในเมืองคูซัน พระมารดาก็ล่วงลับไปนานแล้ว ดังนั้นเหล่าข้าราชสำนักต่างลู่ตามลมด้วยการยกย่ององค์ชายฮยัง พระโอรสของพระอัครมเหสีองค์ปัจจุบันให้อยู่ในสถานะสูงสุดในบรรดาพระโอรส และพระธิดาของพระราชาคังยอนโจ
อีซึงฮุนเป็นผู้นำคณะขุนนางเมืองพยองจูที่อันเชิญพระราชสาส์นจากพระราชามินโฮมาถวายพระราชาคังยอนโจ ในพระราชสาส์นมีใจความแสดงออกถึงไมตรีของสองเมือง แนะนำตัวหัวหน้าขุนนางที่เป็นผู้ถือตราพระราชลัญจกร เพื่อเป็นผู้แทนพระองค์พระราชามินโฮ ในการลงประทับตราพระราชลัญจกรปรับลดอัตราค่าอากรการค้าทางเรือที่คูซันต้องจ่ายให้พยองจู จากเดิมสามในสิบเหลือสองในสิบ และลดค่าผ่านแดนเข้าพยองจูจากห้าเหวินเหลือสองเหวิน ทั้งเสนอให้ทางคูซันเก็บค่าผ่านแดนจากชาวพยองจูได้คนละสองเหวิน
เดิมทีราชสำนักคูซันไม่ชอบใจ และรู้สึกถูกเอาเปรียบจากข้อตกลงเดิม เมื่อมีการปรับลดอากรที่ต้องจ่าย ทั้งยังจะมีรายได้เพิ่มจากการเรียกเก็บอากรจากพ่อค้าที่หลั่งไหลเข้ามาในเมืองทุกวัน ทั้งราชสำนัก และเหล่าข้าราชการต่างยินดีกันทั่วหน้า ในพระราชสาส์นจากพระราชามินโฮ เมืองพยองจู ยังมีข้อความที่กล่าวอย่างชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เกิดจากรัชทายาทคังยูและพระราชามินโฮ มีความปรารถนาให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทั้งชาวพยองจู และชาวคูซัน จึงเสนอข้อตกลงนี้ต่อพระราชาคังยอนโจ
ประโยคนี้ในพระราชสาส์น ทำให้ชื่อของรัชทายาทคังยูที่แทบถูกลืมไปจากราชสำนักคูซันถูกกล่าวถึงอีกครั้ง บรรดาขุนนางต่างพากันสรรเสริญถึงคุณงามความดีของรัชทายาท ที่แม้จะเสด็จไปประทับยังเมืองพยองจูเป็นเวลานาน แต่กลับทรงห่วงใยเมืองคูซันไม่เสื่อมคลาย เมื่อมีเสียงสรรเสริญทางรัชทายาท จึงเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์องค์ชายฮยังที่เป็นพระโอรสของพระมเหสีองค์ปัจจุบันขึ้นมาหนาหู
ข้อวิพากษ์วิจารณ์ในสภาขุนนาง คือองค์ชายฮยังประพฤติพระองค์ไม่เหมาะสม เมามัวในกามารมณ์ สนิทสนมด้วยเหล่าหญิงจากหอคณิกา ทำให้เกิดประชวรด้วยโรคบุรุษ
ยิ่งเมื่อผลการปรับลดอากรการค้าทางทะเล และเก็บค่าผ่านแดนจากชาวพยองจูถูกบังคับใช้จริง เพียงไม่กี่เดือนรายได้ของกรมคลังก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว คำวิจารณ์องค์ชายฮยังในสภาขุนนางจึงเริ่มรุนแรงขึ้นกว่าเก่า และมีการเปรียบเทียบองค์ชายฮยังกับรัชทายาทคังยู ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในส่วนการชำระบันทึกของเมืองพยองจูจนสำเร็จ การเปรียบเทียบดำเนินไปจนถึงขั้นที่มีบัณฑิตแสดงความเห็นว่า รัชทายาทคังยูมีจริยวัตรน่ารัก น่าชม สมเป็นพระโอรสของพระราชาเมืองคูซัน ทั้งยังมีเสียงเหน็บแนมว่า ผู้ที่ส่งเสริมให้พระราชาคังยอนโจปลดรัชทายาท แล้วตั้งองค์ชายฮยังที่ไม่มีผลงานใดๆ ขึ้นเป็นรัชทายาทแทนนั้น ไม่ต่างอะไรกับหมูที่ชมชอบการคลุกอยู่ในเลนตม
ในสภาขุนนางวิจารณ์เปรียบเทียบรัชทายาทคังยู กับองค์ชายฮยังอย่างเผ็ดร้อน แต่ในหมู่ชาวบ้านเมืองคูซันกลับมีการเปรียบเทียบ เล่าลือกันอย่างออกรสยิ่งกว่าสภาขุนนาง โรงน้ำชาทุกแห่ง ตลาดทุกมุมเมืองต่างพูดถึงเรื่องรัชทายาทที่ถูกส่งไปอยู่ที่เมืองพยองจูช่วยเหลือจนชาวคูซันได้รับความเป็นธรรม แต่กลับมีผู้คิดร้ายยุยงให้พระราชาปลดรัชทายาท ตั้งองค์ชายฮยัง ที่ทั้งโง่เง่า และมัวเมาในกามเป็นรัชทายาทแทน
ข่าวลือนี้แพร่สะพัดไปทั่วทุกหัวระแหงในเมืองคูซันราวกับลมพายุ
อีซึงฮุนได้หยุดพักอยู่กับบ้านกึ่งเดือน ก่อนจะต้องเดินทางกลับเมืองพยองจู องครักษ์หนุ่มเดินไปยังลานหลังบ้าน ที่บิดาจัดไว้สำหรับฝึกอาวุธ เสียงวัตถุบางอย่างแหวกอากาศดังมาจากลานนั้น เมื่อเดินไปใกล้จึงเห็นสตรีรูปร่างเล็กบาง ใบหน้าอ่อนหวานน่ารักเหมือนเด็กน้อย กำลังน้าวคันธนูอย่างตั้งใจ และปล่อยลูกศรให้เข้าเป้าโดยไม่พลาดแม้แต่ดอกเดียว
“ธิดาบ้านอื่นวันๆ วุ่นวายกับการปักผ้า ทำอาหาร แต่ท่านพี่หญิงบ้านข้ากลับมายิงธนูฆ่าเวลา ช่างเป็นสตรีที่น่าชื่นชมเสียจริง”
อีจีอึนวางคันธนูลงเมื่อได้ยินเสียงน้องชายดังขึ้นจากด้านหลัง หญิงสาวเดินไปนั่งที่ชุดเก้าอี้ที่น้องชายนั่งลงรินน้ำชาอยู่ก่อนแล้ว ผู้เป็นพี่รับชาจากน้องชายมาจิบอย่างสบายอารมณ์ อีซึงฮุนจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาแทน
“ช่วงนี้สภาขุนนางวุ่นวายมาก เพราะเรื่องคนวิจารณ์องค์ชายฮยัง” องครักษ์หนุ่มพูดพลางจิบชาร้อนหอมกรุ่น “ในเมืองก็มีแต่คนก่นด่าองค์ชายฮยังทุกโรงน้ำชา ขนาดคณะละครเร่ยังเอาเรื่องนี้แสดง ได้ข่าวว่าพวกตำรวจนครบาลไล่จับ แต่ก็หลบหนีไปได้ทุกครั้ง ซ้ำยังเล่นละครเร่กันไม่หยุดจนคนพูดกันเซ็งแซ่”
“แมลงชอบตอมของเหม็นฉันใด มนุษย์ก็ใคร่วิจารณ์เรื่องฉาวโฉ่ของผู้อื่นฉันนั้น” พี่สาวขององครักษ์หนุ่มกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มๆ เมื่อเหลือบตาไปเห็นน้องชายมองใบหน้าตน จึงเอ่ยถาม “จ้องหน้าพี่ทำไมกันซึงฮุน”
“คนที่ไปพูดเรื่ององค์ชายฮยังในโรงน้ำชาทั่วเมือง กับพวกละครเร่ เป็นฝีมือท่านพี่หญิงใช่หรือไม่”
อีจีอึนหัวเราะคิกคัก ก่อนจะหยิบพุทราตากแห้งเข้าปาก และดื่มชาจนหมดจอก อีซึงฮุนรินชาให้พี่สาวใหม่ คนเป็นพี่จึงอารมณ์รื่นพอที่จะยอมรับ
“เป็นพี่เอง ซึงฮุนเอ๋ย ตีเหล็กก็ต้องตียามร้อน ยามนี้สภาขุนนางวิจารณ์องค์ชายฮยังกันราวกับฟ้าจะถล่ม ชั่วดีข่าวนี้ต้องแพร่ไปในหมู่ชาวบ้านชาวเมืองสักวัน พี่แค่ช่วยเติมเชื้อให้เพลิงมันไหม้ไวขึ้นเท่านั้น แต่สุมเพลิงอย่างเดียวก็กระไร ต้องเติมให้คนพูดเรื่องวอนจาไปด้วยถึงจะดี สีดำอย่างองค์ชายฮยัง เมื่อวางไว้เดี่ยวๆ อาจดูไม่ดำเท่าใด แต่เมื่อวางสีขาวลงไปเทียบ สีดำก็ยิ่งดูดำมากขึ้นเท่านั้น”
“วอนจาคงไม่ใคร่พอพระทัย ถ้าทรงทราบ”
“ไม่พอพระทัยแล้วอย่างไร” อีจีอึนถามอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ในเหตุว่าวอนจาจะพอพระทัยหรือไม่ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความมั่นคงของตำแหน่งรัชทายาท หลายปีมานี้พระมเหสีเจฮยอนกับพวกขุนนางพยายามทูลให้ฝ่าบาทปลดวอนจา ตั้งองค์ชายฮยังขึ้นแทนไม่รู้จักกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หากมัวแต่เดินทางตรงไม่เดินทางลัด อย่าว่าแต่ตำแหน่งรัชทายาทเลย แม้แต่ชีวิตของวอนจา จะรักษาไว้ก็ยังยาก”
“ข้าเข้าใจ”
อีซึงฮุนเป็นชายหนุ่ม ไม่มีนิสัยช่างพูดอยู่แล้วแต่เดิม เมื่อเห็นพี่สาวมีโทสะก็ไม่ได้หาเรื่องต่อเติมเพิ่มอีก อีจีอึนจึงระงับใจ และเอ่ยต่อ
“ซึงฮุน เรื่องที่จะให้วอนจากลับมาเมืองคูซัน ไม่อาจรั้งรอต่อไปแล้ว คราวนี้ถ้าคลื่นลมสงบ ไม่แน่ว่าฝั่งองค์ชายฮยังจะหาทางตีกลับมา ดังนั้นเจ้าไปเมืองพยองจูคราวนี้ ต้องทูลให้วอนจาหาทางเสด็จกลับมาให้จงได้”
“เรื่องนี้ท่าจะยาก พระราชามินโฮโปรดวอนจาของเรา”
“โปรดวอนจาแล้วอย่างไร ใจคอพระราชาเมืองโน้นจะให้รัชทายาทเมืองคูซันอยู่ข้างพระองค์ตลอดไปหรืออย่างไรกัน”
“ถ้าทำได้เช่นนั้น พระราชามินโฮคงพอพระทัย”
อีจีอึนจ้องหน้าน้องชายโดยไม่เอ่ยสิ่งใด เมื่ออีซึงฮุนจ้องกลับ หญิงสาวก็ค่อยๆ ทบทวนประโยคของซึงฮุนอยู่ในใจ ก่อนที่ความเข้าใจบางอย่างจะสว่างวาบอยู่ในความคิด คำว่า ‘พระราชามินโฮโปรดวอนจาของเรา’ ของซึงฮุน กินนัยลึกหลายส่วน ผู้เป็นพี่สาวเงียบไปอึดใจใหญ่ นกเล็กๆ ที่เกาะร่มชายคาลานฝึกหลังเรือนส่งเสียงเบาๆ ส่วนอีซึงฮุนรินชาจอกใหม่ให้ตัวเองโดยไม่ปริปาก
“วอนจาเล่า” ผู้เป็นพี่สาวเอ่ยถามเสียงเบา
“วอนจาทำไมรึท่านพี่หญิง”
“ก็ ..” ท่าทีอึกอักของพี่สาว ทำให้อีซึงฮุนเข้าใจความนัยโดยตลอด องครักษ์หนุ่มคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนตอบ
“ใช่เช่นเดียวกัน”
เสียงถอนหายใจดังจากอีจีอึน ทำให้มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อย องครักษ์อีซึงฮุนลุกจากเก้าอี้ หยิบลูกศรดอกหนึ่งมาขึ้นสาย และน้าวคันธนู ชั่วอึดใจลูกศรก็พุ่งเข้าไปทะลุลูกศรดอกเดิมที่พี่สาวยิงไว้ตรงกลางเป้าซ้อมยิงบนลานหลังเรือน
บ่ายวันนี้ พระราชาเมืองพยองจูรับสั่งพระราชทานเลี้ยงของว่างฝ่ายในโดยให้จัดเลี้ยงที่พระที่นั่งกลางสวน ซงมินโฮประทับเป็นประธาน พระพันปีประทับทางซ้ายถัดจากพระราชา ทางขวาเป็นโต๊ะประทับของพระมเหสีจองยอน ถัดมาเป็นโต๊ะของพระสนมคยองพิน นางในฝ่ายสังคีตบรรเลงดนตรีขับกล่อม ทำให้บรรยายกาศในงานเลี้ยงเป็นที่พอพระทัยของฝ่ายใน
“ฝ่าบาท เรื่องที่จะไปทรงศีลที่วัดบนเขา ให้หม่อมฉันตามไปรับใช้ดีหรือไม่เพคะ”
พระมเหสีจองยอนรับสั่งขึ้น พระราชาหนุ่มแย้มสรวลน้อยๆ
“ข้าไปถือศีลเจ็ดวัน ถ้าพระมเหสีไม่อยู่ในวังหลวง ใครจะดูแลฝ่ายใน ดูแลสมเด็จแม่เล่า”
ถ้อยรับสั่งของพระราชาหนุ่มเมื่อฟังเผินๆ แล้ว ราวกับซงมินโฮรักใคร่ยกย่องพระมเหสีจองยอนให้เป็นใหญ่ในฝ่ายใน แต่กลับทำให้พระมเหสีต้องคิดอย่างถี่ถ้วน เพราะหากตอบยืนยันว่าจะตามเสด็จไปถือศีลด้วย ก็ดูเหมือนอกตัญญูต่อพระพันปี และยังทอดทิ้งความเป็นใหญ่ในฝ่ายในไปอย่างไม่ใยดี
แต่ถ้าหากไม่ไป แล้วพระราชาเลือกให้พระสนมคยองพินติดตามไปถวายการรับใช้ พระมเหสีจองยอนก็ยอมไม่ได้เช่นกัน
“หม่อมฉันเพียงแต่ห่วงใย กลัวว่าจะไม่มีผู้ปรนนิบัติฝ่าบาท” พระมเหสีจองยอนแย้มสรวลอย่างสำรวม ก่อนรับสั่งอย่างนุ่มนวล “แต่หม่อมฉันยินดีที่จะอยู่ที่วังหลวง เพื่อดูแลปรนนิบัติสมเด็จแม่ ทว่างานฝ่ายในค่อนข้างมาก หม่อมฉันขอพระราชทานอนุญาต ให้พระสนมคยองพินอยู่ช่วยหม่อมฉันดูแลกับกำฝ่ายในได้หรือไม่เพคะ”
“พระมเหสีไม่ได้ไป แล้วพระสนมคยองพินไม่ไปอีก ผู้ใดจะคอยปรนนิบัติฝ่าบาทระหว่างที่ไปทรงศีล ทหารม้าอย่างนั้นรึ” พระพันปีรับสั่งขึ้น ก่อนทอดพระเนตรไปทางพระโอรส “ฝ่าบาท ได้โปรดมีรับสั่งให้พระสนมคยองพินตามไปถวายงานรับใช้ระหว่างทรงศีลเถอะเพคะ อย่างน้อยก็จะได้มีคนดูแลเรื่องพระกระยาหาร”
“สมเด็จแม่ อย่ากังวลพระทัยเลย เรื่องที่จะขาดคนปรนนิบัตินั้น ลูกมีองครักษ์ไปด้วยยี่สิบนาย ทหารอีกสองร้อย เท่านี้ก็มีคนมากเกินจำเป็นแล้ว” ซงมินโฮรับสั่งกับพระมารดาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปหาพระมเหสี “ข้าเห็นว่างานฝ่ายในค่อนข้างมาก ให้น้องหญิงโมรัน ไม่ต้องตามออกไป แต่อยู่ช่วยพระมเหสีปรนนิบัติสมเด็จแม่ และช่วยแบ่งเบาภาระฝ่ายในของพระมเหสีเห็นจะดีกว่า”
พระขนงของพระมเหสีข้างหนึ่งกระตุก และสีพระพักตร์เคร่งขรึมอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะแย้มสรวลให้พระราชาหนุ่ม ทั้งที่ในพระทัยเดือดดาลจนสุดระงับ พระสนมคยองพินที่ประทับเงียบๆ อยู่นานกลับเป็นฝ่ายทูล
“รับด้วยเกล้าเพคะ หม่อมฉันจะถวายการปรนนิบัติพระพันปี และถวายงานพระมเหสีอย่างสุดความสามารถ”
“ขอบใจน้องหญิงโมรัน”
พระราชาหนุ่มรับสั่งพร้อมแย้มสรวลให้พระสนมอย่างอ่อนโยน พระมเหสีจองยอนหันไปสบพระเนตรกับพระสนมเอกที่ประทับอยู่ข้างกัน รอยแย้มสรวลยังประดับอยู่บนพระพักตร์ของพระมเหสี แม้พระหัตถ์ข้างหนึ่งที่วางซ่อนอยู่ใต้โต๊ะจะกำผ้าภูษาที่ทรงอยู่อย่างแรงจนเกิดรอยยับ
“ออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้ ไป ไป๊ ไสหัวไปให้พ้น”
พระมเหสีจองยอนรับสั่งไล่นางข้าหลวงที่อยู่เวรในพระตำหนักชั้นในอย่างเกรี้ยวกราดหลังจากกลับจากงานพระราชทานเลี้ยง พระโทสะที่พุ่งพล่านทำให้พระมเหสีขว้างปาข้าวของทุกอย่างที่อยู่ใกล้พระหัตถ์ พลางพึมพำ
“น้องหญิงโมรันอย่างนั้นหรือ”
นางข้าหลวงเคราะห์ร้ายที่อยู่เวรในวันนี้ภาวนาให้ตัวเองไม่อยู่ในสายพระเนตรของพระมเหสี นางแทบลืมหายใจเมื่อพยายามเร้นตัวออกจากห้องโถงพระตำหนัก แต่ระหว่างที่กำลังเร่งเดินออกไป ด้วยความกลัวจึงเผลอชนโต๊ะสูงที่วางแจกันดอกไม้หล่นลงมาแตก
พระโทสะที่เหมือนจะสงบไปแล้วของพระมเหสีจึงพุ่งพล่านขึ้นมาอย่างสุดระงับ
“นางหน้าโง่ ข้าบอกให้ออกไปไง เสนอหน้าอยู่ที่นี่ทำไม”
เพียงพริบตาเดียวพระมเหสีจองยอนก็เสด็จไปจนถึงตัวนางข้าหลวงที่นั่งตัวสั่นด้วยความกลัว แต่เพราะโทสะเป็นเจ้าเรือนในเวลานั้น พระมเหสีแห่งเมืองพยองจูจึงจิกทึ้งผม และตบตีโดยไม่ใส่พระทัยต่อเสียงร้องวิงวอนของนางข้าหลวง
“พอแล้วเพคะ หยุดเถิดเพคะ”
ซอซุนกยูโถมร่างไปรั้งองค์ของพระมเหสีออกห่างจากนางข้าหลวงคนนั้น ซังกุงผู้ใหญ่ของตำหนักกลางเอ่ยสั่งทั้งที่ยังยึดองค์ของพระมเหสีเอาไว้แน่น
“ไปๆ เจ้าออกไปได้แล้ว”
นางข้าหลวงที่ถูกตบตีกลัวจนลนลาน วิ่งหนีออกจากห้องโถงอย่างไม่คิดชีวิต พระมเหสีจองยอนทั้งกรีดเสียง ทั้งสะบัดองค์ให้หลุดจากการเกาะกุมของซอซุนกยูอยู่ครู่ใหญ่ก่อนทรุดลงประทับกับพื้นตำหนัก และกรรแสงเสียงดังเหมือนเด็กๆ
ทั้งที่ไม่ชอบใจกับพระนิสัยที่อาละวาดทุบตีนางข้าหลวง แต่ซอซุนกยูก็ไม่อาจหักใจทอดทิ้งหญิงสาวที่ตนเองเลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิดลง พระมเหสีจองยอนเองก็โถมองค์เข้าหาอ้อมกอดของซังกุงผู้ใหญ่เหมือนคนหมดที่พึ่ง
“ท่านป้า” สุระเสียงแหบแห้งปนสะอื้นดังขึ้น “ทำไมล่ะ ทำไมฝ่าบาทไม่รักข้า ทำไมถึงรักนางโมรันนั่น ข้าอภิเษกกับฝ่าบาทมาหลายปี ฝ่าบาทไม่เคยเรียกชื่อข้าสักครั้งเดียว แต่กลับเรียกมันว่า น้องหญิง ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอมนะท่านป้า”
รับสั่งจบ พระมเหสีจองยอนก็กรรแสงอยู่ในอ้อมแขนของซอซุนกยูอีกหน ซังกุงผู้ใหญ่โอบกอดและพึมพำปลอบ แต่ใจนึกถึงเหตุการณ์เมื่อพระมเหสียังเยาว์ ทั้งท่านเสนาบดีผู้เป็นบิดา ท่านหญิงมารดา และนางเองต่างก็พะเน้าพะนออิมจองยอนในวัยเด็ก ครั้งหนึ่งอิมจองยอนเคยทะเลาะกับพี่ชายเรื่องแย่งขนม เด็กหญิงอาละวาดขว้างปาข้าวของเสียหาย แต่ไม่เคยถูกตำหนิแม้เพียงครึ่งคำ คุณชายผู้เป็นพี่กลับถูกบิดามารดาลงโทษ เพื่อปัดเป่าความไม่พอใจของบุตรี
แต่ยามนี้นางจะลงโทษผู้ใด เพื่อปัดเป่าความโกรธขึ้งในพระทัยของพระมเหสีได้
วัดบนภูเขาที่พระราชาเมืองพยองจูเสด็จมาทรงศีล เป็นวัดดั้งเดิมตั้งแต่แรกตั้งเมืองพยองจู ได้รับเข้ามาเป็นวัดในพระราชูปถัมป์ตั้งแต่ต้นราชวงศ์จนถึงปัจจุบัน แม้เป็นอารามหลวง แต่กลับเป็นวัดที่เงียบสงบ ไร้สิ่งตกแต่งวิจิตรตระการตา แม้แต่อาศรมของเหล่าผู้ทรงศีล ก็เป็นเพียงอาศรมไม้ที่แข็งแรงพอให้กันแดดกันฝนได้เท่านั้น หอสวดมนต์กลาง ก็เป็นหอไม้ที่ก่อสร้างอย่างประณีต แต่ไม่ได้มีสิ่งมีค่าตกแต่ง
ขบวนมาถึงวัดตั้งแต่สาย ทหารสองร้อยนายที่คุ้มกันพระราชาเมืองตรึงกำลังกันไม่ให้มีผู้ใดผ่านเข้าออก องครักษ์สิบนาย กระจายกำลังอยู่บริเวณรอบหอสวดมนต์กลางที่พระราชาเข้าไปสวดมนต์ทรงศีล องครักษ์อีกห้านายคุ้มกันอยู่ภายในหอบริเวณหน้าห้องสวดมนต์ และอีกห้านายที่เป็นหัวหน้าองครักษ์เข้าไปอยู่คุ้มกันในห้องสวดมนต์
เหล่าองครักษ์ และข้าทหารที่ตรึงกำลังอยู่ภายนอกนั้น ได้ยินว่าพระราชาซงมินโฮเสด็จเข้าห้องสวดมนต์ในหอกลาง และประทับสวดมนต์อยู่แต่ในห้องนั้น ถือศีลเคร่งครัด เสวยแต่ธัญญาหาร ไม่เสวยเนื้อสัตว์ และไม่เสวยพระกระยาหารค่ำ เมื่อถึงเวลาบรรทม ก็จะบรรทมอยู่ในห้องนั้น ไม่ปรากฏพระองค์ให้ผู้ใดเห็นตลอดเจ็ดวันที่ทรงศีล
เสียงสวดมนต์ดังต่อเนื่องตั้งแต่ยามสายจนกระทั่งพระจันทร์ค้างกลางท้องฟ้า บรรดาองครักษ์ และทหารภายนอกเห็นเพียงผู้ทรงศีลที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้าออก จนกระทั่งยามดึกที่ถึงเวลาพักผ่อนเสียงสวดมนต์จึงเงียบลง และผู้ทรงศีลต่างถือโคมกลับอาศรมอย่างเงียบเชียบ
บรรยากาศขรึมเคร่ง สงบงามนั้น ทำให้ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นชายในชุดสีดำสนิทสามคน ที่ลอบปีนออกจากหอกลางในอารามหลวง
“ฝ่าบาท ทางนี้พะยะค่ะ”
องครักษ์นายหนึ่งกล่าว และนำทางพระราชาที่สวมชุดแบบเดียวกันให้ลัดเลาะผ่านป่าที่อยู่ด้านหลังวัด เพราะไม่ต้องการให้เป็นที่สังเกตเห็น ขบวนของพระราชาเมืองพยองจูจึงใช้แสงจันทร์เป็นแสงนำทาง
องครักษ์คิมที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดเป็นผู้วางแผนนี้ร่วมกับบรรดาหัวหน้าองครักษ์ผู้ภักดีทั้งสี่คน และสร้างแผนลวงขึ้นมาว่า พะราชาซงมินโฮจะออกมาทรงศีลที่วัด เมื่อมาถึงก็ให้พระราชาหนุ่มเสด็จเข้าไปในห้องสวดมนต์ ตกดึกจึงค่อยลอบออกมา และพรุ่งนี้หัวหน้าองครักษ์ฮวังมีขนาดตัวเท่าๆ กับพระราชา จะสวมชุดทรงศีล และทำทีเป็นพระราชานั่งสวดมนต์อยู่ในนั้น ส่วนองครักษ์อีกสองคนจะคอยผลัดเปลี่ยนกันนำอาหารเข้าและออกจากในห้อง เพื่อกันไม่ให้ผู้ใดสงสัย
ในระยะเจ็ดวันนี้ พระราชาเมืองพยองจูจึงสามารถเหยียบย่างไปที่ใดก็ได้ตามแต่พระทัย
ชายทั้งสามเดินทางผ่านป่าทึบ ลัดเลาะไปจนถึงชายป่า ริมทางสัญจรของขบวนพ่อค้า ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่มีม้าสามตัวติดอานรออยู่ และมีชายสวมชุดดำ ใช้ผ้าดำปิดบังใบหน้าอีกสองคนนั่งอยู่บนหลังม้าคนละตัว เมื่อเห็นเงาตะคุ่มจากในป่า ชายหนุ่มสองคนจึงชักดาบออกมาถือไว้มั่น
องครักษ์คิมผิวปากเป็นเสียงนกเพื่อส่งสัญญาณ ชายหนุ่มที่อยู่บนหลังม้าก็เก็บดาบเข้าฝัก องครักษ์คิมจึงนำเสด็จพระราชาเมืองพยองจูออกไป ชายสองคนลงจากหลังม้า และแสดงความเคารพซงมินโฮอย่างเหมาะสม ดวงเนตรคมกริบสบตาชายหนุ่มคนหนึ่งก่อนจะกล่าว
“คุณชายคิมนี่เอง ข้าก็นึกว่าใคร”
คนที่ถูกทักคนหนึ่งปลดผ้าปิดหน้าออก แสงจันทร์ทำให้เห็นใบหน้าของคิมจินอู บุตรชายเสนาบดียุติธรรมได้เลือนๆ ส่วนชายหนุ่มอีกคนยังยืนอยู่ใต้เงามืดของไม้ใหญ่ พระราชาเมืองพยองจูจึงรับสั่ง
“แล้วอีกท่านเป็นใคร”
“กระหม่อมเอง ฝ่าบาท”
หทัยของพระราชาหนุ่มโลดขึ้นเพียงได้ยินเสียงเอ่ยตอบ เมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ตอบภายใต้แสงจันทร์ ซงมินโฮจึงเผยรอยแย้มสรวลออกมาหน่อยหนึ่ง รัชทายาทเมืองคูซันจูงม้าตัวหนึ่งมายื่นสายอานถวายให้ถึงพระหัตถ์
“ม้าทรงพร้อมแล้ว เสด็จเถอะฝ่าบาท กว่าจะถึงที่หมายคงรุ่งสางพอดี”
“ไปสิ ฮยองนิม”
ซงมินโฮขึ้นม้าก่อน ชายหนุ่มที่เหลือจึงขึ้นม้าตาม องครักษ์คิมควบม้าขึ้นนำหน้า คังยูควบม้าเคียงพระราชาเมืองพยองจูอยู่กลางขบวน และมีองครักษ์อีกนายกับคิมจินอูปิดท้ายคอยคุ้มกัน ม้าทั้งห้าตัวควบลัดออกจากทางสัญจรของขบวนพ่อค้า ตัดเข้าไปสู่ป่าลึก
รัตติกาลครอบคลุมผืนฟ้า และแผ่นดิน แสงจันทร์ทอดลงทาบทับต้นไม้ในป่า ทำให้เกิดรูปเงาสลัว แต่บางคาบเมื่อไร้สิ่งบดบัง แสงจันทร์ก็ทอดลงต้องดวงพักตร์ของชายหนุ่มที่ทรงม้าอยู่เคียงข้างพระราชาเมืองพยองจู หทัยของซงมินโฮเต้นรัวด้วยความสุข และความรู้สึกปลอดโปร่งยินดีอย่างยิ่ง เพียงแค่ได้ทรงม้าเคียงข้างคังยู
TBC
Anonym's message : ยาวอีกแล้ว และพระราชามินโฮกับคังยูได้เจอกันแค่หนึ่งย่อหน้าเท่านั้น ^^; ขอตัดจบตอนนี้เท่านี้ก่อนนะคะ สำหรับตอนนี้ แต่คิดว่าน่าจะเห็น dynamic ของตัวละครแต่ละตัวในเรื่องกันแล้ว พระราชามินโฮกับคังยูวอนจา และคุณชายคิมจินอูจะไปไหนกัน จะเฉลยในตอนหน้านะคะ ติชมแนะนำได้เลยในคอมเมนต์ หรือ #แผนลวงวังหน้า
ขอบคุณทุกคนที่อ่าน และขอบคุณทุกคนที่มีความสุขกับฟิคของเรานะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

43 ความคิดเห็น
-
#12 Midnight1010 (จากตอนที่ 6)วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 / 09:28ช่วยกันทำมาหากินอะเนอะ วางแผนอะไรกันอยู่นะ#120
-
#5 tnk_ikn (จากตอนที่ 6)วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563 / 09:54พระราชารักเค้ามากกก ปิดไม่มิดปิดไม่อยู่แล้ว แงงงง#50