คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : 1-06 Episode 5
Chapter 1 – Land of Rebirth
Episode 5 นักผจญภัย
อีมูมีความยาวของขาที่ไม่ต่ำกว่า 1.7
เมตรในตัวเต็มวัย เป็นนกขนาดใหญ่ที่สูงกว่า 3 เมตรที่ตั้งแต่หัวจรดเท้าปกคลุมเต็มไปด้วยขนนก
อีมูไม่สามารถบินได้
แต่ก็แทนที่ด้วยความสามารถในการวิ่งที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง และยังมองว่าสิ่งที่นกกินนั้นน่าขยะแขยง
มันไม่รังเกียจเลยที่จะกินวัชพืชทั่วไป
และด้วยราคาที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับม้าหรือมังกรบก (TL: มังกรที่บินไม่ได้) หรืออะไรอย่างอื่นที่ไม่ค่อยจำเป็นนักกับโจอี้
ผู้ซึ่งเป็นนักผจญภัยจนๆคนหนึ่ง
แต่ถึงอย่างไรมันก็อ่อนแอมาก อย่างแรกนั้น
อีมูสามารถบรรทุกน้ำหนักได้น้อยกว่าม้ามาก น้อยกว่าที่ลาขนได้ด้วยซ้ำ
ไม่เพียงเท่านั้น มันยังมีสมองที่เล็กเอามากๆ
ดังนั้นมันจึงไม่เข้าใจคำสั่งที่มีความซับซ้อนได้
และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ
เพราะมันมีสภาวะทางอารมณ์ที่ก้าวร้าวแบบสุดโต้ง
มันจึงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักกับผู้ฝึกของมันเอง
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมอีมูถึงถูกผูกไว้
และในทันทีที่มันปรากฏขึ้นในสายตา
“เห-- นั่นคืออีมูหรอ?! มันดูเหมือนโจโคโบะเลย น่ารักจัง-”
(TL: โจโคโบะ
เป็นตัวละครประเภทนกที่ปรากฏในชุดเกมไฟนอลแฟนตาซี สามารถหารูปได้ในอากู๋)
โดยไม่มีเวลาให้หยุด
ฮิยูกิยิ้มกว้างแล้วพุ่งเบ้าหาอีมูในลักษณะกึ่งวิ่ง
โจอี้แสดงท่าทีร้อนรนกับสภาพไร้การป้องกันของเธอ
“ดะ-เดี๋ยว! นกนั่นมันเป็นพวกก้าวร้าว--”
ก่อนที่เขาจะเตือนจบ อย่างที่คาดไว้
เจ้านกอีมูที่พูดถึงก็งอขาของมันและทำท่าจะเตะเด็กสาวไปในอากาศ -ทันใดนั้นเอง
อีมูกับเด็กสาวก็สบตากัน
เพียงเท่านั้น
อีมูก็แสดงท่าทีตกใจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เจ้านกรีบหยุดการกระทำของตนทันที
ในทางตรงกันข้าม มันทิ้งหัวลงสู่พื้นด้วยท่าทีนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง
“…เอ๊ะ? เอ๋?
ทำไม…?”
ขณะที่โจอี้กำลังงงงวย ฮิยูกิก็สัมผัสขนของอีมูและลูบขนของมันอย่างเบามือ
“หว่า~ เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ
อา ฉันอยากเอาพวกมันกลับบ้านสัก 5-6 ตัวจัง”
ฮิยูกิพูดความคิดออกมาโดยไม่ได้ใส่ใจ
อะ โอ อา ฉันคิดว่าน่าจะไม่เป็นไรละนะ
อย่างน้อยนั้นก็ไม่น่าจะใช่เรื่องวิกฤต...
โจอี้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เขาเดินไปปลดบังเหียน (TL: เชือกที่ผูกติดกับเหล็กหรือผ้าที่ครอบบริเวณปากม้า
ใช้ควบคุมทิศทางเดินของม้า) ซึ่งผูกเอาไว้กับต้นไม้
“เย็นไว้ เย็นไว้ ไม่เจ็บหรอกนะ เด็กดี”
ขณะตบแก้มด้านล่างของอีมูเบาๆ
โจอี้ก็วางอาน (TL: อานคือที่สำหรับนั่งของผู้ขี่)
และใส่เท้าทิ้งสองข้างเข้าไปในโกลน (TL: เป็นที่วางเท้าของคนขี่)
เขาจัดท่าทางของอีมูให้เหมาะสม
“เอาละ ฮิยูกิ ขึ้นมาข้างหลังสิ
เพราะมันเป็นอานแบบนั่งคนเดียว นั่งสองคนเลยอาจจะแคบไปหน่อย แต่ว่าเธอตัวเล็ก
เพราะงั้นน่าจะไม่เป็นไรหรอก”
“อย่าพูดว่าตัวเล็กนะ”
ทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย
ก่อนฮิยูกิจะขึ้นมานั่งด้านหลังโจอี้ด้วยท่าทางแบบเจ้าหญิง (TL: แบบเอาขาพาดไปทางด้านใดด้านหนึ่ง)
…อะ อา ก็มันเป็นกระโปรงนี่นะ
ขณะที่หัวใจของเด็กหนุ่มกำลังเต้นถี่รัวเพราะท่าทางเช่นนั้น
เขาก็แนะนำบางอย่างกับเธอ
“มันจะดีกว่า
ถ้าเธอจับหลังฉันเอาไว้แน่นๆ ไม่อย่างนั้นเธออาจจะตกลงไปก็ได้”
“อะ อืม…”
พูดเสร็จ
ฮิยูกิก็แนบตัวชิดกับหลังของโจอี้
เพราะการทำเช่นนั้น ทำให้ได้กลิ่นหอมของเด็กสาวที่เหมือนกับดอกไม้
เหมือนน้ำตาล เป็นกลิ่นน่าหลงใหลที่ไม่เคยรู้จักของเธอ กลิ่นประหลาดที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับของค่ำคืน
และริมฝีปากที่ดูนุ่มนิ่มคู่นั้น--
ความรู้สึกนั้นไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
โดยเฉพาะความรู้สึกนุ่มนิ่มที่มาโดนหลังของโจอี้
ร่างกายของเขารุ่มร้อนขึ้นมาเหมือนความเป็นลูกผู้ชายของเขาถูกยั่วยุ
เขาสะบัดหัวไปมาอย่างร้อนรน
“อา ชักไม่ดีแล้วสิ--!”
โจอี้เผลอพึมพำออกมาเสียงดัง
“หืม? นายพูดอะไรนะ?”
เธอหันหน้าไปมองครู่หนึ่ง
ก็เห็นเพียงซีกหนึ่งของลำคอ โจอี้ซ่อนใบหน้าของเขาอย่างเขินอาย
“อะ อา ไม่มีอะไร--ฉันแค่คิดว่ามันแย่นิดหน่อยที่แถวนี้ไม่มีอาหารเลย”
“โอ อย่างนั้นหรอ... ถ้านายหิวละก็
ฉันมีเนื้อแห้งอยู่นะเอาไหม? หรือถ้าไง พวกเราถึงเมืองอาระแล้ว
ที่นั้นน่าจะมีอาหารเยอะอยู่ จะไปทานที่แพงอาหารไม่ก็ร้านอาหารอะไรพวกนี้แล้วกัน
นายอดทนไหวไหม?”
“อา ได้ ฉันไม่เป็น
ฉันมีอาหารฉุกเฉินอยู่... แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่ต้องการจะทำแบบนั้น
เพราะฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า”
“แบบนี้นี่เอง
ถ้าหากทานมันเดี๋ยวนี้มันก็คงเป็นการปฏิเสธที่จะใช้มันในยามฉุกเฉินจริงๆ
ถ้าอย่างนั้นก็อดทนเข้านะ แล้วไปทานอาหารอร่อยๆในเมืองกัน!”
“อืม ฉันจะอดทน”
ทันใดนั้นด้วยความเร่งรีบ
เขาดึงบังเหียนให้อีมูลุกขึ้นยืน
แต่เพราะอะไรบางอย่างทำให้มันไม่ยอมทำตามที่เขาต้องการ
ในตอนนั้นอีมูหันไปมองที่ฮิยูกิราวกับต้องการขออนุญาต
ฮิยูกิเข้าใจจึงพยักหน้าเล็กน้อย ดังนั้นมันจึงลุกขึ้นยืนตามคำสั่งของโจอี้
“นี่มันเกิดอะไรกัน? ช่างเป็นนกที่ดีอะไรแบบนี้ แทนที่จะฟังคำสั่งเจ้านายแต่ไปฟังเด็กผู้หญิงที่เจอกันแทน”
โจอี้โอดครวญถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ฮิยูกิหัวเราะแล้วลูบขนของอีมูอย่างอ่อนโยน
“ฮะฮะ นับเป็นเกียรติของฉันจริงๆ
แต่ไม่เชื่อฟังโจอี้มันไม่ดีนะรู้ไหม”
เมื่อได้ฟังแล้ว อีมูก็ร้องรับแต่โดยดี
◆◇◆◇
เมืองขึ้น อาระ รุ่งเรืองได้เพราะที่ตั้งของมันอยู่บนจุดตั้งของถนนสายหลัก
และบริเวณใกล้เคียงก็เป็นซากโบราณสถาน (ดันเจี้ยน),
ทะเลกว้างและแนวภูเขามังกรขาวที่อยู่หลังเมืองนั้นเป็นสถานที่ที่มีแร่คุณภาพสูง
ทำให้มีพ่อค้า ช่างฝีมือและคนหนุ่มสาวจำนวนมากเข้ามายังเมืองนี้เพื่อสร้างชื่อหรือทำตามความฝัน
เป็นธรรมดาที่กิลด์นักผจญภัยจะรู้ถึงเรื่องนั้น
พวกเขาสร้างตึก 3 ชั้นจากหินที่โดดเด่นยิ่งกว่าตึกไหนในเมือง
แบบที่ว่าแม้ไม่ต้องการจะเห็น ตอนเดินบนถนนหลัก ก็ยังรับรู้ได้ถึงความโอ่อ่าของมัน
จำนวนนักผจญภัยที่ลงทะเบียนมีไม่ต่ำกว่า 2
หมื่นคน จากระดับต่ำสุดคือ Rank G ซึ่งยังเป็นเพียงเด็กฝึกหัดถึงระดับสูงสุด
Rank A ที่สามารถล้มมังกรได้ด้วยตัวคนเดียว
มีสมาชิกกิลด์จำนวนไม่น้อยที่มีบุคลิกแบบอันธพาล
บ้าๆบอๆ หรือแม้แต่เป็นพวกล้มเหลวในด้านบุคลิกภาพ แต่แล้วในยามบ่ายวันหนึ่ง
เด็กสาวปริศนาที่ถูกไก่อ่อน Rank F คนหนึ่งพามาก็ได้สร้างความวุ่นวายขึ้น
เด็กสาวที่ไม่น่าจะมีอยู่จริง และเป็นเป้าสายตาอย่างยิ่งยวด..
“เฮ้ เฮ้ โจอี้-คุง
เธอเป็นเจ้าหญิงที่ไหนนะ? ไปลักพาตัวเธอมาได้ไง! อย่าบอกฉันนะว่า
นี่หนีตามกันมานะ!?”
เด็กสาวในคำถามนั่งแกว่งเท้าอยู่บนโซฟาถูกๆในกิลด์
เด็กสาวที่สวยราวกับภาพวาดได้รับความสนใจจากผู้คนโดยรอบ
ไม่ต้องพูดถึงเสื้อผ้าที่เป็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ดูแล้วเป็นของที่ต้องทุ่มเทเงิน เวลาและกำลังคนไม่น้อยเลยทีเดียว และถึงแม้จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ
ก็ยังรู้ได้เลยว่า สิ่งที่ประดับอยู่บนนั้นคืออัญมณี
ด้วยภาพลักษณ์เช่นนั้น
ทำให้เธองดงามราวกับเจ้าหญิงจากสักแห่งที่กำลังออกเดินทางโดยไม่เปิดเผยตัว
โดยปกติแล้ว
แผนกข้อมูลที่ชั้นหนึ่งของกิลด์และที่จ่ายค่าตอบแทนจะเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง
แต่วันนี้พนักงานและเหล่านักผจญภัยต่างพากันหยุดหายใจแล้วทอดมองไปที่เด็กสาวคนนั้นเป็นสายตาเดียว
ท่ามกลางพวกเขา
ตัวการสำคัญที่ทำให้เธอเป็นจุดสนใจคือคนรู้จักของโจอี้
เด็กสาวที่เป็นเจ้าหน้าที่จ่ายค่าจ้าง -มิยะ เด็กสาวเผ่าพันธุ์แมวที่อายุจวนจะครบ
20
ปีในปีนี้ เธอกดดันโจอี้ด้วยการยื่นหน้าออกมาจากเคาเตอร์
เป็นเรื่องปกติที่เด็กใหม่จะรู้สึกเขินอายเมื่อต้องคุยกับรุ่นพี่คนสวยอย่างมิยะ
และไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้แล้วมองไปรอบๆอย่างประหม่า
พูดกระตุกกระตักเมื่อต้องการขอข้อมูลหรือรายงานบางอย่าง
(มิยะตระหนักได้ถึงท่าทางไร้เดียงสาของโจอี้ เธอจึงมักใช้วิธีเช่นนี้เพื่อความสะดวกสบายของตัวเองในบางโอกาส)
แต่สำหรับโจอี้ในตอนนี้ แม้ว่าจะเห็นใบหน้าของเธอในระยะที่ใกล้มาก
เขาก็เพียงทำหน้าเซ็งๆแล้วถอนหายใจ
“…นั่นไม่ใช่ความจริงแน่นอน
เธอแค่เป็นลูกค้าของฉัน ให้คุ้มครองและพาชมรอบๆนี้ เธอบอกเองว่าต้องการชมกิลด์
ฉันก็เลยพาเธอมา มีปัญหาอะไรหรือไง มิยะ-ซัง?”
“เอ๋, ไม่
ไม่มีปัญหาอะไรหรอก…”
แตกต่างไปจากทุกครั้ง
ท่าทีทื่อๆของโจอี้ทำให้เธอช๊อคเล็กๆ และเมื่อเธอมองไปยังเด็กสาวคนนั้น
เป็นอีกครั้งที่มิยะตอบโต้ออกไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
เมื่อเห็นมิยะสงบลง
โจอี้ก็เริ่มพูดเกี่ยวกับคำขอ
“ถ้ายังไงเกี่ยวกับคำขอกวาดล้างสุนัขคลั่ง
ฉันคิดว่าในช่วงนี้คงขอพักไปก่อน”
“โอ๋ คำขออันนั้นเอง” มิยะพยักหน้าและเปลี่ยนท่าทีเป็นการเป็นงาน “จากกำหนด 5 วันนี่เพิ่งจะ 2 วันเท่านั้น ทำไม เธอหามันไม่เจอหรือไง?”
“ไม่ ฉันหาเจอแล้วก็สู้ไปแล้วด้วย
แต่มันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว มันมีอยู่ 2 ตัว
บางทีมันอาจจะเป็นคู่กัน ฉันทำไม่สำเร็จเพราะไม่ได้เตรียมพร้อมเอาไว้ถึงขนาดนั้น”
“หืม-- ถ้ามันเป็นคู่
งั้นฉันจะติดต่อไปที่ลูกค้าอีกรอบเพื่อปรับรางวัลให้สูงขึ้นกับขยายเวลาออกไป”
“งั้นหรอ ช่วยได้มากเลยละ….”
“แต่ว่านะ โจอี้-คุง พูดตามตรง
ไม่ว่าจะหนึ่งหรือสองตัวมันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับนักผจญภัยจริงๆหรอก-
ไม่คิดว่าคำขอปราบปรามนี้มันจะเร็วไปหน่อยหรอ?
หรือไม่ลองหาใครจับกลุ่มดูละ?”
ต่อหน้าโจอี้ที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก
มิยะให้คำแนะนำเหมือนพี่สาวกังวลเกี่ยวกับน้องชาย
“…แต่ถ้าเป็นคน Rank F เหมือนฉันจะไม่เป็นภาระกันหรือไง?”
“ถึงแม้ว่าจะเป็นภาระ
แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่สำคัญนะ”
มิยะเตือนเขา แต่ดูเหมือนโจอี้จะไม่เห็นด้วยนัก
มันเป็นเรื่องแน่นอน ตั้งแต่แรกแล้ว ผู้คนที่มีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์หรือนักผจญภัยที่ประสบผลสำเร็จที่เหนือกว่าคนทั่วไป
พวกเขาถูกเรียกกันว่า ‘อัจฉริยะ’
เมื่อเปรียบเทียบดูแล้ว
ไม่ว่าจะมองดูอย่างไรความสามารถของเด็กหนุ่มก็จัดอยู่ในเกณฑ์ธรรมดา
มันไม่มีทางเลือกแล้วนอกเสียจากจะต้องเพียรพยายามอย่างหนักเป็นเวลานาน
นั้นคือเหตุผล
ถ้าเขาไม่ล้มเลิกแนวทางของเขาซะ
ไม่ช้าก็เร็วที่เขายังใช้ชีวิตเป็นนักผจญภัยเช่นนี้
แม้แต่ชีวิตของเขาก็คงรักษาเอาไว้ไม่ได้ …
แม้ว่าจะทำงานที่กิลด์มาได้ไม่นานนัก
แต่มิยะก็เห็นคนมามากมายแล้ว เธอถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง
“-อย่างไรก็ตาม
มิยะ-ซัง ฉันสงสัยว่าสิ่งนี้ใช้ได้หรือเปล่า?”
เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศที่มืดมน โจอี้วางเหรียญจำนวนหนึ่งลงบนเคาเตอร์
ด้วยน้ำเสียงใสซื่อ
“….ฉันไม่เคยเห็นเหรียญพวกนี้มาก่อนเลย”
เป็นเวลานานที่เธอตรวจสอบน้ำหนักของเหรียญทองเหรียญหนึ่ง
ตรวจสอบจากน้ำหนักแล้วมันไม่ใช่ของปลอมแน่ … นอกจากนี้มันยังหนักกว่าเหรียญทองทั่วไปที่ทำขึ้นจากการผสมเงินกับทองด้วย
(--หรือบางที มันอาจทำจากทองคำบริสุทธิ์?!)
และเหรียญสุดท้าย
มันใหญ่เป็นสองเท่าของเหรียญทอง ในตอนแรกมิยะคิดว่ามันเป็นเหรียญเงิน
แต่เมื่อเธอหยิบมันขึ้นมา มันเรืองรองแสงสีสายรุ้งออกมาราวแสงจากเทียน
เธอถึงกับกรีดร้องออกมา เธอหยุดหายใจไปด้วยตื่นตระหนก
(นะ นี่มัน... อย่าบอกนะว่า มันคือ โอริฮารูกอน--?!)
เธอวางมันลงด้วยมือที่สั่นเทา
เธอส่งข้อความให้พนักงานที่อยู่ด้านหลังเคาเตอร์อย่ารวดเร็ว ระหว่างรอการตอบรับ
เธอก็หันไปถามโจอี้
“เฮ้ โจอี้-คุง
เธอไปเอาเหรียญพวกนี้มาจากไหน?”
“อา เด็กผู้หญิงคนนั้นใช้มันเป็นค่าตอบแทนคำขอนะ”
ขณะที่โจอี้กำลังหงุดหงิดกับการจ้องมองมากกว่าปกติของมิยะ
เขาชี้ไปทางเด็กสาวที่มองดูบอร์ดติดคำร้องขออย่างร่าเริง
เธอคนนั้นดูจะเป็นกังวลเกี่ยวกับฝุ่นในห้องจึงตบเบาๆไปที่ไหล่และเข่าของเธอ
“-หืม อย่างที่คิดเลย”
จากนั้น
พนักงานที่ถูกมอบหมายให้ส่งข้อความก็กลับมาพร้อมท่าทางที่เปลี่ยนไป
คนคนนั้นกระซิบบางอย่างกับมิยะ
“โจอี้-คุง ขอโทษนะ
เธอคงมีข้อสงสัยหลายอย่าง แต่ช่วยไปที่ห้องหัวหน้ากิลด์กับเธอคนนั้นหน่อยได้ไหม?”
ด้วยคำพูดเหล่านั้น
ย่อมเป็นเรื่องแน่นอนที่เด็กหนุ่มจะไม่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว
“กะ เกิดอะไรขึ้น?
มันเป็นของที่ถูกขโมยหรือว่าอะไรกัน?”
“ไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอก
เธอต้องรู้ว่าค่าตอบแทนบางอย่างมันยากเกินกว่าจะเข้าใจ”
“……”
ก่อนที่ใครจะรู้
เด็กสาวเดินมาถึงเคาเตอร์และพูดบางอย่าง คลี่คลายความตะขิดตะขวงใจของโจอี้
“ฉันไม่รังเกียจอะไรหรอกนะ
รู้ไหม? เพียงแค่ฉันต้องยืนยันบางอย่าง
บางทีนี่อาจจะเป็นโชคดีด้วยซ้ำที่จะได้เห็นห้องของหัวหน้ากิลด์”
ด้วยคำพูดของเธอ
โจอี้พยักหน้าตัดสินใจกับตัวเอง
“เข้าใจแล้ว
งั้นก็ดีห้องหัวหน้ากิลด์อยู่ชั้นสาม ฉันจะทางเธอไปเอง ทางนี้เชิญ-”
หลังจากมิยะพูด
พวกเขาก็เดินตามเธอไปยังบันได ฮิยูกิตบเบาๆที่ไหล่ด้านหนึ่ง
“เกี่ยวกับสิ่งที่เธอทำเมื่อกี้นี้
ที่นี้มีฝุ่นเยอะงั้นหรอ?”
คำถามจากโจอี้ที่เดินตามอยู่ด้านหลัง ฮิยูกิยั่วยิ้มแล้วตอบเบี่ยงประเด็น
“อา
ฉันรู้สึกเหมือนมีใยแมงมุมอยู่นิดหน่อยนะ … ฉันแค่คิดเรื่องเวลาที่ไม่มีเหรียญนะ”
End
ความคิดเห็น