คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ผมอยากเขียนหนังสือ
ผมอยากเขียนหนังสือ
ความสุข เราทุกคนรู้จักกันดี ว่ามันน่าอภิรมย์แค่ไหน แต่ความทุกข์ เรากลับรู้จักมันดียิ่งกว่า เพราะเราเจอกับมันทุกวัน
บทความนี้ ผมเขียนด้วยปลายปากกาของผม ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าตัวผมเองก็เขียนหนังสือได้
และก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำแบบผมได้ ซึ่งก็ต้องออกตัวบอกก่อนเลยว่า ผมโชคดีมาก ที่ผมยังมีปัญญาเขียนมันลงไป แม้ว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญสักแค่ไหน
มันก็ไม่ง่ายนักหรอกที่จะบรรเลงตัวอักษรลงบนสมุดเปล่าๆ ให้มีตัวหนังสือจนเป็นเรื่องเป็นราว โดยส่วนตัวผมก็คิดว่ามันไม่ง่ายหรอกนะ เพราะกว่าจะได้แต่ละตัวอักษรก็เล่นเอาผมเหงื่อออกเหมือนกัน
และวันนี้ผมเจอนกบินผ่านหน้าต่างด้วย ซึ่งผมก็เก็บภาพที่เห็น นำมาเขียนเล่าเรื่องลงบนสมุดให้ใครก็ตามที่เปิดอ่านได้รับรู้
นกตัวนี้มีสีขาว ผมไม่รู้ว่ามันคือนกอะไร มันชอบบินมาเกาะที่หน้าต่าง แล้วก็บินวกกลับไปที่ต้นไม้ ราวกับว่ามันมาเยี่ยมผมในห้องนอน พร้อมกับของฝากที่มันเอามาเป็นประจำก็คือ ‘ขี้’ ของมัน
จะว่าอย่างไรดีนะ การได้เป็นนก มันก็ค่อนจะแสนวิเศษเลยทีเดียว แหม! ก็มันบินได้ อยากไปไหนก็ได้ จะมีใครมั่งล่ะที่ไม่อยากเป็นนก แต่มันก็มีข้อเสียเหมือนกัน มันพูด หรือเขียนหนังสือไม่ได้
บ้านของผมไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีตู้เย็น ไม่มีสิ่งของอำนวยความสะดวกใดๆ เลย และด้วยเหตุนี้เอง ผมก็เลยคิดว่า ถ้าผมเป็นนกอาจจะดีกว่าก็ได้
เหมือนเวลารอบตัวผมเดินเร็วขึ้น หรือผมเป็นจอมอืดอาดเองก็ไม่รู้ จนดูเหมือนว่าตัวผมเองนั้นต้องใช้เวลาในการทำสิ่งต่างๆ ให้เร็วขึ้นตามไปด้วย นี่เพียงแค่เขียนบันทึกบอกเล่า ก็ยังต้องใช้เวลานานกว่าชาวบ้านเขาเลย
ดูเหมือนเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงคงไม่พอทำอะไรได้สำหรับตัวของผมเอง ซึ่งบอกตามตรงผมคงต้องใช้เวลามากกว่าชาวบ้านเขาราวๆ สองสามเท่า เพราะบ่ายวันก่อน ผมยังต้องใช้เวลาเดินจากหน้าบ้านไปถึงหลังบ้านตั้งหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าตัวผมเชื่องช้า หรือเป็นคนเฉื่อยชาหรือเปล่า รู้แต่ว่า ตัวผมเองเป็นคนอารมณ์ดี และที่บ้านผมก็กว้างมากๆ เสียด้วย แม้มันจะมีขนาดเล็กสำหรับคนอื่นก็ตาม
ผมเคยเดินออกไปวิ่งเล่นเพื่อออกกำลังกายตามปกติที่สวนสาธารณะ แต่ผู้คนก็มักจะมองผมเป็นสายตาเดียวกัน และผมเองก็คิดว่า เขาคงหลงใหลในหุ่นของผม หรืออาจจะเป็นใบหน้าที่หล่อเหลาของผมก็ได้
ก็แบบนี้แหละ ทำอะไรๆ ใครๆ เขาก็สนใจ
ที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้น ก็ไม่ใช่ว่า อยากจะเขียนอะไรไร้สาระไปวันๆ เหมือนสมุดบันทึกธรรมดาหรอก
ซึ่งใจความสำคัญของผมมันอยู่ถัดไปหลังจากบรรทัดนี้
เวลาที่มีคนหกล้มลงไป ผมเห็นพวกเขาทำได้ง่ายๆ โดยการยันตัวลุกขึ้นยืนใหม่ ไม่ยอมแพ้ต่อพื้นคอนกรีตที่เขาลงไปนอนกองอยู่นั้น
ตัวผมเองก็แอบดีใจกับพวกเขานะ
เพราะการลุกขึ้นยืนอีกครั้งมันง่ายมาก สำหรับคนที่รู้จักวิธีที่จะยืนขึ้นใหม่
แต่สำหรับผม มันยากพอดู
ผมไม่อยากจะเขียนจนถึงตรงนี้เลย ผมไม่อยากจะบอกผู้อ่านที่อ่านงานเขียนของผมว่า..
อันที่จริงแล้ว
"ผมพิการ"
ผมไม่มีแขน หรือขา เพราะมันสั้นกุดจรดหัวไหล่ และจรดโคนขาอ่อน
เวลาที่ผมล้ม ผมใช้ศีรษะในการยันตัวเองลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เวลาผมกิน ผมใช้หลอดในการดูดกิน ซึ่งต้องยอมรับนะ ถ้าไม่อยากเป็นตัวปัญหา ต้องพยายามอยู่ด้วยตัวเองให้ได้
ผมไปไหนมาไหนด้วยการเดิน
และก็ยังดี ที่ผมพอจะเดินได้ด้วยต้นขาอ่อนที่สั้นกุดของผม
ผมเล่นกีฬาได้ แต่ก็ไม่มากนักหรอก มาถึงจุดนี้ทุกคนคงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดผมจึงต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่น
การไม่มีมือ ก็เป็นสิ่งที่ลำบาก เวลาคนเราอยากกินน้ำอัดลมสักกระป๋อง ก็คงใช้นิ้วเปิดมันและยกขึ้นดื่มเลยใช่ไหม?
แต่..สำหรับผม
ผมต้องพยายามใช้ลิ้น เกร็ง เพื่อเปิดฝากระป๋อง แล้วก็ต้องคาบหลอดดูดมาดูด เพื่อที่จะได้ดื่มน้ำซ่าๆ ของมัน
ผมไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพ แต่ผมเป็นนักเขียนที่ใช้ปากเป็นอาชีพ และแน่นอน! ผมยังเก่งพอที่จะใช้อวัยวะที่เหลือดำรงชีวิตอยู่
ผมรู้ตัวว่าผมเองก็ไม่ได้เป็นนักเขียนที่ดีสักเท่าไหร่ แต่ผมบอกกับตัวเองเสมอ
ว่าผมจะไม่ยอมแพ้
แม้ว่าผมจะไม่มีอวัยวะใดๆ ที่ดีพอสำหรับเขียนหนังสือเลยก็ตาม
สุดท้าย...ผมอยากเป็นคนปกติ แต่มันก็ไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก เพราะตอนนี้ ผมภูมิใจที่ผมเป็นคนพยายามอย่างที่คนอื่นพยายามเท่าผมไม่ได้
และภูมิใจด้วยกับทุกคนที่ยัง "ไม่พิการ"
จบแล้วเจ้าค่ะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นด้วยมุมมองบุรุษที่หนึ่ง ที่ต้องการสื่อให้ผู้อ่านอินกับเรื่อง โดยที่ไม่ต้องสนใจ สถานที่ หรือสภาวะแวดตัวของตัวละครสักเท่าไหร่
ส่วนแรงบันดาลใจเรื่องนี้ พี่สาวอยากส่งมอบต่อไปให้น้องๆ ที่เคยท้อ ลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง
ต้องขอขอบคุณ คุณ นิค วูจิซิค ผู้พิการแขนขา และไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา ซึ่งพี่สาวไม่แน่ใจว่าน้องๆ เคยรู้จักกับเขาคนนี้มาแล้ว หรือยังไม่รู้จัก
แต่เอาเป็นว่าคนที่รู้จักแล้ว ก็อ่านบทความนี้เพื่อย้ำให้ตัวเองพยายามให้มากขึ้น สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักเขาคนนี้ ก็รู้จักกับเขาซะนะน้องขา
ยังมีบุคคลผู้พิการแบบนี้อีก 3 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลก
และพวกเขาเหล่านั้น ยังไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ เลย
ด้วยรัก และห่วงใยจาก อัญยา ขอเป็นกำลังใจให้นัก(หัด)เขียน สู้ต่อไป
ความคิดเห็น