ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องสั้นเสริมสร้างแรงบันดาลใจ

    ลำดับตอนที่ #3 : แววตา

    • อัปเดตล่าสุด 20 มี.ค. 56




    แววตา

     

    ไม่มีใครเคยรู้เลยว่า ชีวิตช่วงตกอับของคนเป็นอย่างไร... จนกว่าคืนวันเหล่านั้นจะได้ประสบพบเจอกับตัวเอง

             ผมตกงานมาได้ห้าเดือนกว่าๆ แล้ว เงินก็แทบไม่เหลือ แถมยังต้องเช่าห้องพักที่แสนคับแคบ แต่ราคานั้นเล่าแพงแทบหูฉี่ แต่ที่ทนมาได้นานนมคงเพราะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่แอบตุนไว้ตอนใกล้ตายก็เท่านั้นแหละ

            เศษสตางค์สักแดงเดียวมันมีค่าไปหมด รวมกันเข้าจำนวนสักสองสามบาทก็สามารถซื้อแชมพูมาอาบน้ำได้ทั้งตัว เรียกได้ว่ามีเศษเงินที่ไหนในห้อง ....ผมแทบจะไปเอามันมาใช้ให้ได้เลยทีเดียว....

            วันนี้ก็เป็นอีกวันที่แสนเรื่อยเปื่อย เดินทางสมัครงานตลอดทั้งวันก็ไม่ได้งาน ไม่ใช่ว่าผมเลือกงานหรอกนะ ขนาดไปสมัครงานเป็นคนล้างจานเฉยๆ มันยังไม่รับผมเลย ดูสิชีวิตหนอ ชีวิต

            และเท่าที่ผมคิดออกในตอนนี้คือ
    งานมันไม่เลือกผมมากกว่า


            นานวันเข้าจนมาถึงวันนี้ชีวิตมันแทบไม่มีอะไรเหลือ การที่ต้องทนยืนด้วยลำแข้งของตัวเองที่ขนหน้าแข้งแทบจะร่วงหมดแล้วมันไม่มีอะไรที่สามารถทำให้ฮึดสู้ต่อไปได้

             ทุกอย่างมันก็เป็นแค่เกมชีวิตที่ต่างคนต่างเก็บเลเวลกันไป มันไม่มีอะไรมากกว่านั้น

             ผมนอนโอดครวญเมื่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหมด ได้แต่คิดภาวนาว่าจะทำอะไรต่อไป

             ซึ่งเวลานั้นเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องเช่าอันแสนงี่เง่าของผม


              เสียงเคาะไม่เป็นจังหวะเหมือนที่เคย ถ้าเป็นปกติเสียงเคาะนั่นคงจะเป็นเจ้าของห้องเช่ามาทวงค่าห้อง แต่ครั้งนี้จะเป็นยังไงก็ช่างมันผมไม่สนแล้ว

              ผมลุกจากเตียงตรงไปเปิดประตู สิ่งที่ผมพบคือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งยืนอยู่หน้าห้อง


        "ขอโทษค่ะ นี่ใช่ห้องพักของคุณแม่โสภีรึเปล่าคะ?" ผมฉงนใจเมื่อได้ยินคำถาม “ถ้าใช่ล่ะก็ แม่คะ หนูขอโทษ พอดีหนูเดินไปเดินมานานมากแล้ว กลับห้องไม่ถูกค่ะ"

               ผมเกาศีรษะแกรกๆ ก่อนจะโมโหเด็กน้อยตัวจ้อย เลขห้องพักมันก็ติดที่หน้าประตูกันหมด ทำไมเด็กน้อยคนนี้ถึงมองไม่เห็น หรือเป็นเพราะว่าเธอยังเด็ก?

         "หมายเลขห้องที่หนูตามหา หมายเลขอะไรเหรอจ๊ะ?" ผมขบกรามถามออกไป

          "412 ค่ะ" ผมแทบจะเป็นบ้าในทันที เพราะห้อง 412 มันอยู่ข้างๆ ห้องผมนี่เอง ทำไมยัยเด็กนี่ถึงหาไม่เจอ หรือเพราะจงใจแกล้งผม ทั้งๆ ที่เจ้าหนูนี่ก็จำเลขห้องพักตัวเองได้แท้ๆ

          "ห้องแม่หนูก็อยู่ข้างๆ นี่ไงจ๊ะ" ผมชี้นิ้วไปทางด้านขวา แต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะไม่ได้หันไปมองตามนิ้วของผมเลย

          "รบกวนช่วยบอกว่าด้านไหนหน่อยสิคะ" เด็กน้อยยังคงถามเสียงเฉื่อยๆ จนผมหมดความอดทนปิดประตูใส่หน้าเธอด้วยอารมณ์โกรธ และลงไปนอนฟุบที่เตียงตามสภาพ

         "เด็กกวนประสาท

              เช้ารุ่งขึ้นก็มีเสียงเคาะประตูแต่เช้า ผมลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องเช่นเดิม แล้วผมก็ต้องกุมศีรษะด้วยอาการปวดหัว

         "ขอโทษค่ะ เมื่อวานนี้คุณอาคงจะรำคาญหนูใช่ไหมคะ หนูเลยเอาขนมของคุณแม่โสภีมาฝากผมพยายามใจเย็นลง ...เพราะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะมาไม้ไหนอีก

         "มาแกล้งอะไรอีกล่ะ" ผมพูดออกไปลอยๆ "เวลาผู้ใหญ่พูดด้วยเขาต้องมองหน้ากันสิ"

         "หนูมองไม่เห็นคุณอาหรอกค่ะ"

         "จะบ้าเหรอก็ยืนต่อหน้ากัน ซะขนาดนี้ ทำเป็นมองไม่เห็น" ผมเริ่มเสียงดัง

         "จะว่าแบบนั้นก็ได้ค่ะ เพราะหนูตาบอด" เด็กน้อยทิ้งขนมแล้วพยายามวิ่งกลับห้องข้างๆ แต่ด้วยความร้อนรนที่จะวิ่ง และเธอตาบอดจริงๆ เลยสะดุดกับชั้นวางรองเท้าจนทำให้ต้องล้มลง

               มันเป็นความรู้สึกที่ผมพูดไม่ออก เมื่อเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักท่าทางขี้แกล้งคนนึงจะตาบอดสนิท ขนาดผมเองยังดูไม่ออกเลยว่าตาบอด เธอมีนัยน์ตาที่สดใสเป็นประกาย แต่ทำไมถึงเป็นตาที่พิการเสียได้ ผมเองก็ฉงนใจสงสัยยิ่งนัก

              ผมเดินไปพยุงตัวเด็กน้อยให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจืดๆ ว่า


         "อาขอโทษ...." ผมมองตาของเด็กคนนั้น ซึ่งมีแววตาลอยๆ เหมือนคนตาบอดจริงๆ 

         "อาไม่รู้เลยว่าหนูตาบอด"

         "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ" เด็กน้อยยิ้ม "หนูมีความสุขดี"

     

     

     

    จากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกวันที่ผมไปสมัครงานวันแล้ววันเล่า...แล้วโดนปฏิเสธ แต่ทุกครั้งที่กลับถึงห้องพักก็จะพบกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ นั่งอยู่ตรงระเบียงหน้าห้องเสมอๆ

              ถ้าเธอไม่บอกว่าเธอตาบอด ผมเองก็อาจจะยังไม่รู้ก็ได้ แต่กระนั้นแล้ว ...แม้ตัวเด็กหญิงจะเป็นคนบอกผม ผมเองก็ยังแทบไม่เชื่ออยู่ดี

         "อารัตน์กลับมาแล้วเหรอคะ?" น้องเมย์เด็กหญิงตาบอดร้องทักขึ้นเมื่อได้ยินเสียงผมไขกุญแจห้อง ขณะที่เธอนั่งอยู่ตรงระเบียงด้านนอกพอดี

         "ครับ อากลับมาแล้ว วันนี้เรื่องวุ่นๆ เยอะแยะไปหมด เฮ้อ..." ผมพูดด้วยความท้อแท้ วันนี้ก็เช่นเคย ผมยังคงหางานทำไม่ได้อยู่ดี

               เด็กหญิงลุกขึ้นยืนก่อนจะใช้ไม้ไผ่เหลาเล็กๆ แตะพื้น ตรงดิ่งเข้ามาหาตัวผม ขณะที่มือซ้ายของเธอลูบคลำไปตามฝาผนัง

         "วันนี้คุณแม่โสภีก็ไปสมัครงานค่ะ ไม่รู้ว่าจะกลับตอนไหน เด็กหญิงพูดและยิ้มแหยๆ เล็กน้อย ผมขมวดคิ้วสงสัย ทำไมแม่ของน้องเมย์ถึงได้ปล่อยให้เธออยู่ตามลำพังแบบนี้นะ และที่สำคัญตาของเธอก็ยังพิการเสียอีกนี่สิ

             แต่ดูจากลักษณะพิเศษแล้ว...คือ สำเนียงการพูด วิธีการพูดของเด็กน้อยอย่างน้องเมย์กลับดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กธรรมดาทั่วไป ผมก็พอจะเดาออกว่ามันคงเป็นสิ่งที่เข้ามาทดแทนความพิการของเธอกระมัง

        "ทำไมเมย์ถึงอยู่คนเดียวได้ล่ะ" ผมตั้งคำถามอย่างที่ไม่น่าถามออกไป

             เด็กหญิงก้มหน้าลง สายตายังคงเหม่อลอยเช่นเดิม

         "ก็ถ้าอยู่ไม่ได้ แม่บอกเมย์ว่าแม่จะเอาเมย์ไปทิ้ง" คำพูดนี้ทำเอาผมหน้าชาไปพักใหญ่ๆ ในหัวมึนงงไปหมด มีแม่ที่ไหนจะพูดกับลูกแบบนี้นะ?

         "เมย์น่ะความจำไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ชอบเดินหลงทาง คุณแม่โสภีเลยบอกว่าอย่าออกจากห้องเป็นอันขาด" เด็กน้อยพูดขึ้น "แต่ในห้องมันไม่มีเสียงของลม ไม่มีเสียงอะไรเลย เมย์ไม่ชอบอยู่ข้างในนั้นน่ะค่ะ"

         "โอเค เดี๋ยววันนี้อาจะพาไปเดินเล่น" ผมพูดออกไปอย่างไม่ทันคิด แต่จะกลับคำพูดก็ไม่ได้เสียด้วยสิ เพราะเห็นเด็กหญิงยิ้มหน้าบานแกล้มแทบปริเสียแล้ว

               ชั่วเวลาก่อนพลบค่ำ ผมพาน้องเมย์เดินออกมาจากตึกเช่าอย่างระมัดระวังที่สุด มือน้อยๆ เรียวบางนั้นกำลังจับมือผมที่ผอมแห้ง อาจเพราะกินแต่มาม่ามากเกินไป เรียกว่าไส้แห้งก็คงไม่ผิด

              เด็กน้อยใช้มือซ้ายโบกไปโบกมาเหมือนเด็กทั่วๆ ไปที่กำลังใช้มีสัมผัสอากาศที่พัดเอื่อยๆ ตามท้องถนน ใบหน้ายิ้มแย้ม นัยน์ตาสุกสกาวสีดำยังคงเหม่อลอยไปข้างหน้า

             แววตาที่กำลังมองไปข้างหน้าเหมือนเธอเห็นทุกอย่างในโลกนี้ ทั้งๆ ที่เธอตาบอด


         "อารัตน์คะ เมย์อยากออกมาแบบนี้ทุกวันเลย ได้ยินเสียงแปลกๆ ที่เมย์ไม่เคยได้ยิน แถมลมก็ยังเย็นดีอีกด้วย" 

         "ก็ได้ ถ้าเมย์ไม่เป็นเด็กดื้อ ทุกๆ เย็นคุณอาจะพามาเดินเล่นทุกวันแล้วกันนะ"

              ผมพูดเพียงแค่นี้ แต่ทำเอาเด็กหญิงตัวจ้อยกระโดดโลดเต้นดีใจ ในมือยังคงจับแขนผมไว้แน่น มันเป็นความรู้สึกที่เปลี่ยมสุขที่สุด ....การที่ได้เห็นคนอื่นมีความสุข.... ล่ะก็นะ

              มันเป็นเพียงแค่การพามาเดินเล่น ซึ่งมันเป็นแค่เรื่องกระจ้อยร่อยที่เด็กๆ หลายๆ คนอาจเบือนหน้าหนี แต่สำหรับน้องเมย์มันคือการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ ที่เธอได้ออกมาโผบินไปไกลแสนไกลจากห้องพัก

              ราวๆ 2 ทุ่ม ผมพาหลานสาวคนใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดกลับห้องพัก เราเที่ยวเล่นสนุกกันพอตัว ในมือเด็กน้อยยังคงถือไอศกรีมที่ผมเป็นคนซื้อให้ และเลียกินอย่างเอร็ดอร่อย ถึงแม้เงินในตัวของผมจะมีไม่มากก็เถอะ แต่ผมภูมิใจที่ได้ใช้มันเพื่อเด็กน้อยคนนี้


              ทว่า ในเวลานั้น

              หญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งก็จ้องมองมาที่ผม และเดินดุ่มๆ ออกมาจากตัวอาคารห้องเช่ามาทันที


         "ขอโทษค่ะ ลูกดิฉันไปทำอะไรให้คุณเดือดร้อนหรือเปล่า" คำพูดประโยคนี้ผมพอเดาออกเลยว่าเธอคือแม่ของน้องเมย์

         "เปล่าเลยครับ" ผมเกาศีรษะแก้เขิน "น้องเมย์เป็นเด็กดีมากเลยครับ ผมเลยพาเธอออกไปเดินเล่นสักหน่อย"

         "ดิฉันมีเรื่องที่ต้องพูดกับคุณหน่อยนะคะ ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป" แม่ของน้องเมย์มีใบหน้าที่ซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด นี่เหรอ....ที่ผมเคยคิดในจินตนาการไว้ว่าเธอเป็นแม่ใจร้ายที่อยากจะทิ้งลูกของตัวเอง แต่หาไม่เลย ในตอนนี้ที่ผมจจะคิดแบบนั้น

              เธอขู่น้องเมย์เพียงเพราะไม่อยากให้มีอันตรายเกิดขึ้น ก็ลูกของเธอตาบอดแบบนี้ ใครเล่าที่จะอยากให้ลูกของตัวเองออกไปวิ่งเล่นข้างนอก


              ผมกับแม่ของน้องเมย์.... หรืออีกชื่อหนึ่งที่ผมรู้จักดีว่า คุณแม่โสภี ซึ่งเป็นคำพูดติดปากของเด็กหญิงตัวน้อย ก็ได้มีโอกาสคุยกันในขณะที่น้องเมย์นอนหลับไปแล้ว

              ยังไม่ทันที่ผมจะเริ่มบทสนทนาใดๆ เลย หญิงวัยกลางคนก็น้ำตานองหน้าเสียแล้ว เล่นเอาผมวางตัวไม่ถูก


         "เอ่อ... คุณ
    โสภีครับ เป็นอะไรรึเปล่าครับ"


         "วันนี้ดิฉันไปฟังผลตรวจที่โรงพยาบาลมาน่ะค่ะ"

         "อ้าว! ไม่ได้ไปสมัครงานหรอกเหรอครับ"

         "นั่นเป็นแค่คำพูดแบบขอไปที ในเวลาที่ฉันจะทิ้งลูกให้อยู่แต่ในห้องพักน่ะค่ะ ความจริงแล้วฉันเองก็มีงานประจำทำอยู่แล้ว เพราะฉันเอายัยเมย์ไปด้วยไม่ได้"

         "แล้วทำไมต้องร้องไห้ครับ มีเรื่องแย่ๆ ก็ระบายมันออกมาได้นะครับ คิดเสียว่าผมเป็นน้องชายของคุณแล้วกัน"

         "น้องเมย์เป็นโรคมะเร็งในสมองน่ะค่ะ มันคงไม่มีทางรักษาแล้ว" คุณโสภีเอามือกุมหน้า "ดิฉันเองก็ไม่คิดว่าแกจะเป็นอะไรหนักขนาดนั้น นึกว่าแค่ตาบอดเฉยๆ ..."

              จากที่ผมได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเพียงคร่าวๆ มาจจากคุณโสภี เลยเลยคิดสรุปว่า

              ที่น้องเมย์ตาบอด เพราะมะเร็งได้กินประสาทในส่วนของประสาทตาไปแล้ว ซึ่งเริ่มแรกเดิมทีมันเป็นเพียงเนื้องอกที่ไปกดทับเส้นประสาทเท่านั้น แต่เพราะทางคุณโสภีรู้ตัวช้าเกินไปมันจึงกลับกลายเป็นเนื้อร้ายไปในที่สุด

             ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้ฟังจากคุณแม่โสภีทำให้ผมน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เธอยังคงเล่าต่ออีกว่า แต่ก่อนน้องเมย์มีความจำดีมาก สามารถปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียวได้ตลอดเพราะเธอจำตำแหน่งของทุกอย่างในบ้านได้ดี แต่เพราะมะเร็งเริ่มกินเนื้อสมองของหนูน้อย จึงทำให้ช่วงหลังๆ เด็กน้อยมีอาการขี้ลืม และหลงทางบ่อยๆ คุณโสภีเลยไม่อยากให้ลูกออกไปไหนอีก เพราะด้วยอาการเป็นห่วงลูก กลัวลูกหลงทาง หรือเกิดอันตรายขึ้น

             จะมีแม่คนไหนบ้างที่ไม่อยากเห็นลูกมีความสุข

             จะมีแม่คนไหนบ้างที่อยากจะขังลูกตัวเองให้อยู่แต่ในห้อง และเพราะเอาไปด้วยทีไร เธอก็ไม่สามารถดูแลลูกสาวของเธอได้อย่างเต็มที่ และกลับทำให้ลูกของเธอต้องลำบากกว่าเดิมเสียอีก เพราะมีแต่เดินทางไกลๆ ทั้งนั้น


        ซึ่งที่คุณ โสภี ทำมาทั้งหมด มีเพียงคำสั้นๆ เท่านั้นเป็นคำตอบ

           
    เพราะมันจำเป็น และรักลูกมาก


             หลังจากวันนั้นผมยังคงดำเนินกิจวัตรเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว และยังคงตกงานเหมือนเดิม

             ผมเริ่มที่จะเจียดเงินซื้อไอเท็มพิเศษกลับมาฝากหลานสาวจำเป็นของผม โดยอันที่จริงตอนที่ผมมีคนคุยด้วยก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว เพราะมันไม่ทำให้ผมฟุ้งซ่านจจนต้องคิดสั้น และอีกส่วนหนึ่งก็เพื่อเด็กน้อยน่ารักคนนี้เองด้วย


              ทุกๆ วันน้องเมย์จะนั่งรอผมที่เดิมเสมอ ถึงแม้ช่วงเวลาผ่านมาแค่ 2 เดือน สมองเธอจะถูกกินไปไหนต่อไหน เธอก็ยังคงจำได้ว่าผมคือใคร และควรนั่งรอผมตรงไหน

              ซึ่งวันนี้ผมซื้อหนังสือนิทานอักษรเบลมาฝากน้องเมย์ และพยายามสอนทุกอย่างเท่าที่ผมรู้ให้เธอ แม้น้องเมย์จะอ่านผิดบ้างถูกบ้าง เพราะมันต้องใช้นิ้วมือสัมผัสเส้นปะบนหนังสือ แต่ก็สนุกดี เพราะผมก็อ่านผิดเหมือนกันทั้งๆ ที่ผมใช้สายตาอ่าน ก็แหม.... เส้นปะแบบนั้น มันอ่านได้ง่ายๆ ซะที่ไหนกันเล่า!?

             เราสนิทสนมจนเหมือนญาติกัน ทั้งคุณโสภีก็เอ็นดูผมเหมือนน้องชาย เรามักจะใช้เวลาตอนเย็นๆ รับประทานอาหารกัน

             5 เดือนต่อมาน้องเมย์พยายามที่จะแต่งนิทานด้วยตัวเองครั้งแรก อีกเพราะเธอไม่ต้องการให้ผมซื้อหนังสือนิทานอักษรเบลเล่มใหม่ไปให้เธอแล้ว เพราะมันทั้งหายาก มีขายน้อย และราคาแพงกว่าของคนธรรมดาอีก

             และแล้วนิทานเรื่องแรกที่น้องเมย์แต่งก็เริ่มต้นขึ้น

             ผมน้ำตาไหลเมื่อได้เห็นนิ้วมือของเด็กน้อยที่พยายามใช้เข็มเจาะกระดาษเป็นตัวอักษรภาษาเบล(*ตัวอักษรเบล มีรูปลักษณ์คล้ายๆ ตัวอักษรปกติ ผิดแต่ตรงเป็นเส้นปะ หรือตัวนูนต่ำ นูนสูงแตกต่างกันไป) โดยน้องเมย์พยายามใช้มือเจาะสมุดเขียนชื่อเรื่องอยู่ และบางครั้งก็พลาดแทงถูกนิ้วมือของตัวเองบ้าง แต่ในที่สุดเธอก็สามารถเขียนชื่อเรื่องจนสำเร็จ

              โดยนิทานเรื่องนั้นมีชื่อเรื่องว่า....

              คุณอาผู้แสนดี...

    -----------------------

               ทุกๆ เย็นหลังจากวันนั้น ผมไม่สามารถพาน้องเมย์ไปเดินเล่นได้เหมือนเคย เพราะเด็กน้อยเริ่มมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงบ้างแล้ว แต่สิ่งที่ผมทำได้คือ

               
    .... มองดูน้องเมย์เขียนนิทานอักษรเบลลงบนสมุดเท่านั้น....

              และนานวันเข้า น้องเมย์ก็ไม่สามารถจำสิ่งที่ตัวเองชอบทำได้อีก แต่เด็กน้อยก็ยังคงมานั่งรอผมที่ระเบียงเหมือนเช่นเคยแทบทุกวัน

             ในที่สุด วันที่น้องเมย์ต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็มาถึง คุณพี่โสภีบอกผมว่า หมอไม่ให้ผ่าตัดตั้งแต่ครั้งแรกที่พี่โสภีทราบ สาเหตุมาจากเพราะโอกาสสำเร็จมีแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงปล่อยให้มันลามมาเรื่อย

             พี่โสภีคิดได้แค่ว่า 10 เปอร์เซ็นต์นั้นถ้าพลาด น้องเมย์คงจะจากโลกนี้ไปนานแล้ว และคงไม่อยู่เป็นกำลังใจให้เธอจนถึงทุกวันนี้ ผมเองก็คิดเช่นเดียวกัน เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ ไม่มีใครกล้าเสี่ยงหรอก ถ้าไม่เจอกับตัวเองอย่าพูดดีกว่า ว่าทำไมถึงไม่ลองเสี่ยง

             แต่อย่างน้อยน้องเมย์ก็อยู่มาได้ตั้ง 2 ปี หลังจากที่ตรวจเจอมะเร็ง

             น้องเมย์ยังคงเดินออกมานอกห้องพักผู้ป่วย และนั่งตรงระเบียงโรงพยาบาลเสมอ ถึงแม้ว่าวันนั้นผมจะไม่ได้ไปเยี่ยม เป็นเพราะธุระปะปังของผมเช่นเคย เกี่ยวกับเรื่องเดิมๆ คือ...สมัครงาน....

             พี่โสภีเล่าว่าน้องเมย์จำใครไม่ได้แล้ว และก็โกนศีรษะเตรียมรับการผ่าตัดวัดผลครั้งสุดท้าย ซึ่งไม่รู้จะรอดไหม และจะตัดเนื้อร้ายที่ลามไปทั่วสมองได้หรือเปล่า

             
    แต่ก็นะ ของแบบนี้มันเห็นผลอยู่แล้ว

             แล้วพี่โสภีก็พูดคำพูดหนึ่งที่ทำให้ผมต้องน้ำตาคลอเบ้าอยู่นานสองนาน


        "น้องเมย์ยังคงออกมานั่งที่หน้าระเบียงเหมือนที่แกเคยทำตอนรอเจอรัตน์น่ะ"

             ผมกำกำปั้นแน่น น้ำตาไหลริน พอหันไปมองข้างๆ เพราะนึกว่าพี่โสภีจะร้องไห้เช่นกัน แต่เปล่าเลย ครั้งนี้พี่โสภียิ้ม...

        "พี่ทำใจแล้วล่ะรัตน์ พี่ทำใจนานแล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง พี่เองก็คิดว่า ไม่อยากให้ลูกของพี่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้อีกเลย"

             รุ่งเช้าเป็นวันที่น้องเมย์ต้องผ่าตัด พี่โสภีถือสมุดเล่มหนึ่งติดมือมาที่โรงพยาบาลด้วย ขณะที่ผมนั่งกุมศีรษะรออยู่ที่ระเบียงห้องพักคนไข้

            ผมไม่ไปหางาน หรือตามสมัครงานที่ไหนอีกแล้ว ชีวิตนี้ผมคงเป็นตัวซวย เจอแต่เรื่องเลวร้ายมาตลอด พอแล้วล่ะ ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว ถ้าหนึ่งชีวิตเน่าๆ ของผมคนนี้สามารถแลกกับสุขภาพร่างกายของเด็กน้อยน่ารักคนหนึ่งได้ ตอนนี้ผมแทบจะยกชีวิตของผมให้ไปเลย

            เป็นช่วงเวลาที่ผมท้อที่สุดแล้ว จนกระทั่งพี่โสภียื่นสมุดเล่มเก่าๆ เล่มหนึ่งซึ่งผมจำได้ว่าเป็นของตัวเองที่เคยให้น้องเมย์เอาไว้เขียนนิทานอักษรเบล

             ในช่วงเวลาที่ต้องรอหมอมาผ่าตัดอยู่นั้น ผมก็เลยเปิดสมุดลายผีเสื้อขึ้นมาอ่านเพื่อฆ่าเวลา แล้วก็ต้องพบว่า...ที่หน้าแรกของสมุดมีรอยเลือดจุดเล็กๆ คงเป็นเพราะน้องเมย์เจาะรูพลาดจิ้มนิ้วตัวเองแหงๆ ผมนึกในใจ

             
    และผมก็ต้องยิ้มทั้งน้ำตา

             นิทานเรือ่ง คุนอา พุ่แสนดี

            คุนอาจาพาเมไปเดินเล่นทุกวัน แม้คุนอาเนื่อยแค่ไหนเวลากลับมาก็จะพาเมไปเดินเล่น วันนีอากาดดี เมขอพอนก่อนนอนว่าอยากมองเหน อยากเหนในสิ่งที่คุนอามองเหน อยากมองสิ่งต่างตางที่คุนอาพาไปเดินดู

             วันนี้คุนอาก้พาเมไปเดินเล่น อยากหัยเวลายุดยุแคนี้จังเรย..........................


             นิทานเรื่องนี้แม้จะสั้น และเขียนผิดเยอะ แต่ผมก็เข้าใจดี เพราะเด็กที่เพิ่งหัดเขียน หัดอ่านอักษรเบลในระยะเวลาเพียง 5 เดือน ซึ่งสมองของเธอก็มีปัญหาเรื่องมะเร็ง ....กลับทำได้ตั้งขนาดนี้มันเป็นอะไรที่สุดๆ แล้วล่ะ 

         
      เธอมีพรสวรรค์……

             คงไม่ต้องบอกว่าผมร้องไห้ไหม แต่สิ่งที่ผมกำลังบอกเล่าอยู่นี้มันไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เอ่อล้น ผมรู้สึกเหมือนผมกำลังอ่านนิทานอมตะ เรื่องคุณ
    อาผู้แสนดี ไม่รู้จบ อ่านวนไปวนมา และต้องการให้สมุดเล่มนี้มันมีตัวอักษรเบลเขียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้มันจะจบแต่เพียงเท่านั้น แต่ในใจผมต้องการให้มันมีตอนต่อไปอีก!!

             โดยทุกๆ ครั้งที่ผมเปิดอ่าน ผมจะภาวนาว่าให้มีตัวหนังสือเพิ่ม หรือน้องเมย์มานั่งเขียนขึ้นอีกสักตัวสองตัว

             แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่มี...... และมันเป็นไปไม่ได้

             เวลาที่ผมนั่งร้องไห้หน้าห้องผ่าตัดเหมือนยาวนานนัก แต่มันเพิ่งผ่านไปแค่ 30 นาที คุณหมอออกมาพูดกับผมและพี่โสภีว่า


         "ทางเราไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ เนื่องจากผลของการเอ็กเรย์ชั้นนอกพบแล้วว่า มันลุกลามจนเกินกว่าจะผ่าตัด เราอยากให้คนไข้ไปอย่างสงบ พวกคุณควรเข้าไปดูใจแกครั้งสุดท้ายจะดีกว่า"

               พี่โสภีที่ว่าทำใจแล้วน้ำตายังไหลออกมา พร้อมด้วยสีหน้าแดงก่ำ เธอยกสองมือขึ้นมาปิดปาก ผมเองก็หมดแรงกะทันหันเมื่อได้ยินเช่นกัน

               คำตอบของความเป็นจริงมันโหดร้ายเกินไป

             ผมเองยังคิดว่า น้องเมย์แกล้งผมอีกแล้วหรือเปล่านะ

              แต่แล้ว...

              ผมและพี่โสภีก็ต้องเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด ผมพบน้องเมย์นอนลืมตาอยู่ และมีสายระโยงระยางเต็มตัวไปหมด


         "ไงน้องเมย์ หลานของอารัตน์" ผมกระซิบข้างๆ หูของเธอ ก่อนจะมองผ้าคลุมสีเขียวที่ปิดส่วนศีรษะของเธอเอาไว้ ด้วยความรู้สึกแน่นหน้าอก

               "คุณอารู้ไหม มีผีเสื้อบินเต็มห้องเลย สวยใช่ไหมล่ะ" เด็กน้อยพยายามพูดออกมาจากเครื่องช่วยหายใจ เสียงของเธอแผ่วเบามาก ผมจับมือเธอเอาไว้ ก่อนที่ขาของเธอจะกระตุกเหมือนออกก้าวเดินอีกครั้ง

              และคำพูดสุดท้ายของผม ในห้องพยาบาลที่แสนหดหู่แห่งนั้นก็บังเกิดขึ้น


        "ไปเดินเล่นกันเถอะน้องเมย์"

            มือเรียวบางน้อยๆ ของเธอเกร็งแน่น และค่อยๆ ปล่อยมือจากผมลงช้าๆ

             น้องเมย์ยังคงจำคืนวันเก่าๆ ของเราสองคนได้อยู่ แม้เนื้อร้ายจะลุกลามไปทั่วสมองของเธอจนจวบวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว


           หลังจากนั้น...

           ผมได้งานใหม่ และเป็นงานที่ผมอยากต่อยอดความรู้สึกของหลานสาวที่รักของผม

            และงานชิ้นนั้นคือ

          การเป็นนักเขียน

            แล้วนิยายเรื่องแรกที่ผมแต่ง ก็คือ หลานสาวผู้แสนดี


    -------------------------------------------------------------------------------------------------

       จบอีกเรื่องแล้วเนอะ หวังว่ามันคงจะทำให้หลายๆ คนอยากเป็นนักเขียนกันมากขึ้น เอ้า!!! แรงบันดาลใจเรื่องนี้ได้จากการ นอนดูสารคดีของเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งสมองเจ้าค่ะ

    และ อยากแชร์ให้นักเขียนมือใหม่หลายๆ คนมีกำลังใจ ที่อยากจะเขียนงาน ก็แหม หนูเมย์ยังอยากเขียนเลย ทำไมท่านที่มีตาดีๆ ถึงไม่รีบเขียนล่ะเจ้าคะ

    อ้อ! อ่านกันแล้วก็เม้นต์กันบ้าง จะได้รู้ว่าอย่างน้อยก็เข้ามาอ่านกันน่ะค่ะ (แอบมีดราม่า ห้าๆ)

    ไม่งั้น ไม่รู้ว่าลงไปแล้ว มีคนได้อ่านจริงๆ หรือเปล่า เพราะถ้าไม่มีคงจะหยุดลงเรื่องแล้วเจ้าค่ะ (ตั้งใจว่าจะรวมเล่มขาย ห้าๆๆ พูดเล่นหรอกเน่อ ลงเหมือนเดิมเอาใจนักอ่านเงา แหะๆ)

    ยังไงก็สู้ๆ เข้าไว้นะคะ ท่านนักเขียนทุกท่าน สาธุ ^^

    บทความนี้ได้รับคำแนะนำ และได้แก้ไขให้มีคุณภาพมากขึ้นจาก เซซัง ^^




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×