คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Vol. 6 - Human like you
Human like you
Vol. 6
9 พ.ค ผมตื่นมาตีห้าครึ่งเช่นเคย กล้ามเนื้อเริ่มออกอาการเมื่อยล้า พาลทำให้คิดถึงวิทยาการที่บ้านเกิดของตน มีตัวยาที่สามารถรักษาอาการเหล่านี้ให้หายไปได้ภายในพริบตาเดียว โดยไม่มีผลข้างเคียงตกค้างอยู่ในร่างกายเหมือนยาบนโลกมนุษย์
ในคราวแรกภารกิจของมิคังมีเพียงการเจรจาให้ชนเผ่าเคลื่อนย้ายไปยังศูนย์อพยพ แต่กลับต้องไปเผชิญหน้ากับอสุรกายที่ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนแห่งนั้นอย่างไม่คาดหมาย เธอจึงต้องเรียกขอความช่วยเหลือจากกองทัพ รวมถึงผมและแพะที่ทำภารกิจของตนเองเสร็จแล้ว
ดูเหมือนจะเป็นการรวมทีมสู้ครั้งแรกของหน่วยพิเศษทั้งสามคน ผม มิคัง และแพะ แน่นอน ผมไม่คิดมาก่อนว่าตนเองจะสามารถต่อสู้ร่วมกับใครได้ แต่ผลปรากฎว่าเราเข้ากันได้ดีเกินคาด แม้หนึ่งในนั้นจะเป็นแพะที่ผมแทบไม่รู้จักตัวตนจริงๆ ของมันเลยก็ตาม
เช่นเดียวกันกับคาเดียและเรเว่น (ชายหนุ่มโดดประชุม หลังจากนั้นก็เลือกที่จะตามคาเดียไปร่วมทำภารกิจด้วย) พวกเขาทำภารกิจเสร็จสิ้นภายในวันเดียวกันกับมิคัง ดังนั้นจึงเหลือเพียงรีน่าที่ยังไม่มีใครสามารถติดต่อเธอได้ จากข้อมูล ภูเขาลูกนั้นอาจจะต้องใช้เวลาปีนมากกว่าสี่วัน แถมยังมีพายุรุนแรง เป็นไปได้ว่าเธอคงจะไม่เห็นการแจ้งเตือนข้อความบนสายรัดข้อมือ
‘ปลอดภัยดีหรือเปล่า’
ผมกดส่งข้อความหารีน่าก่อนออกจากฐานทัพไปทำงานที่ศูนย์บัญชาการ ดำเนินกิจวัตรไปอย่างเชื่องช้าเฉกเช่นวันธรรมดาวันหนึ่ง...เพียงแต่ว่าเมื่อเข้าไปในห้อง บนโต๊ะทำงานของผมกลับมีกล่องสีขาวทรงแบนวางอยู่ผิดจากทุกวัน ด้านบนมีแถบสแกนชิพ ผมยกข้อมือขึ้นทาบเพื่อปลดล็อคกล่อง
ด้านในบรรจุเศษเครื่องแบบที่ขาดวิ่นตอนผมคืนร่างเซิร์ก รวมถึงอาวุธอื่นๆ ที่พกไปในวันนั้น ทหารที่ถูกส่งไปเก็บกวาดพื้นที่คงเป็นผู้นำมาคืนให้ ผมหยิบกางเกงขึ้นมาสำรวจ หินสีเขียวที่ยึดมาจากเยียนตัวหนึ่งยังคงถูกเก็บอยู่ในกระเป๋า ต้องรีบเอาไปส่งคืนกองทัพ ไม่อย่างนั้นคงจะมีโทษไม่ต่างกับคนในหมู่บ้าน
ผมหยิบหินก้อนนั้นมุ่งหน้าไปที่ห้องของเวอกัส ระหว่างยกข้อมือขึ้นมาเตรียมสแกนชิพ ประตูก็พลันเลื่อนเปิดออกพร้อมร่างของปริภูมิที่เดินสวนออกมา เขาหันมองผม ฟาดมือใหญ่ตบลงมาบนไหล่ดังปั่ก “ไงต่างด้าว โดนเวอเรียกมาใช้งานอีกแล้วเรอะ”
“เครื่องรางเยียนติดมากับผมชิ้นหนึ่ง” ผมแจ้งจุดประสงค์พร้อมแบมือออกให้ดู ปริภูมิเลิกคิ้วสูง หยิบปิระมิดสีเขียวสดใสขึ้นไปสำรวจ
“เครื่องรางส่วนมากที่สร้างมาไม่ต่างจากก้อนหินธรรมดา นานๆ จะมีสักชิ้นที่ใช้พลังอะไรได้” ชายหนุ่มพลิกเครื่องรางไปมาบนฝ่ามือ สักพักดวงตาสีเดียวกันก็ประกายวาบเหมือนนึกอะไรสนุกๆ ได้ “สีเขียวรู้สึกว่าจะเป็นพลัง...ลองพิสูจน์ดีกว่า”
เขากำมันไว้ในมือ หลับตาลง ฉับพลันร่างตรงหน้าก็พลันค่อยๆ จางลงและเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา ผมเบิกตากว้าง กวาดมองไปรอบๆ อย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ชายหนุ่มไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่างนอกจากยืนเฉยๆ และหลับตา
“ทำหน้าแบบนั้น แสดงว่าหายได้จริงๆ สินะ” เสียงดังขึ้นมาจากอากาศธาตุ ผมเอื้อมมือไปยังความว่างเปล่า รู้สึกถึงการไหวของลมเบาๆ คล้ายมีการขยับตัว “อย่าแตะ! ถ้าโดนตัวพลังก็หายสิฟะ เปิดประตูให้หน่อย”
อะไรของมัน? ผมหันไปสแกนชิพให้ตามคำสั่ง ประตูเปิดออก (เวอกัสตั้งให้ผมสามารถเข้าออกห้องทำงานห้องนี้ได้ตลอดเวลาเหมือนปริภูมิ) ผู้บัญชาการยังคงนั่งประจำอยู่ที่เดิม เขาเหลือบตาขึ้นมามองเล็กน้อย
“มีธุระอะ...เฮ้ย!” เวอกัสร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆ เก้าอี้ที่นั่งอยู่ก็พลันเลื่อนถอยออกมาก่อนจะเอนหลังล้มลงไปทั้งตัว เรียกเสียงหัวเราะดังลั่นจากอากาศธาตุ “ไอ้เชี่ยปริภูมิ!”
หนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขาสบถคำหยาบ แต่ได้เห็นจอมพลในสภาพหงายท้องไม่เป็นท่าแบบนี้ก็ตลกดีเหมือนกัน
“เล่นอะไรของแกวะ” เวอกัสค่อยๆ ขยับตัวลุกออกจากเก้าอี้ พูดกับความว่างเปล่าตรงหน้า
“เครื่องรางเยียนติดมากับไอ้เลี่ยนชิ้นนึง” อากาศธาตุยังไม่หยุดหัวเราะ ท่าทางถูกใจเมื่อแกล้งเพื่อนได้สำเร็จ “สีเขียว ชนิดหายาก พลังคือหายตัวได้”
“รู้อยู่แล้ว เลิกเล่นได้ละ” เวอกัสปัดมือไปมาด้วยความรำคาญ ปริภูมิจึงค่อยๆ ปรากฎกายกลับมา สิ่งที่ปรากฎตรงหน้าไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แน่นอน...เดวาฮาลเองก็ไม่มีปรากฎการณ์อะไรแบบนี้เหมือนกัน
“จะเอาไง ส่งคืนไปรวมกับอันอื่นๆ ปะ?” ชายหนุ่มถามพลางยกเก้าอี้ขึ้นมาตั้งคืนให้เหมือนเดิม
“อืม...” เวอกัสทิ้งตัวนั่งลงก่อนเอนหลังพิงพนัก เสสายตามองมาทางผม “เอาให้เอเลี่ยนเก็บไว้ หมอนั่นจำเป็นต้องใช้มันในอนาคต”
“เอางั้นก็ได้” ปริภูมิรับคำสั่ง ดีดปิระมิดก้อนนั้นมาให้ ผมรีบคว้ารับเอาไว้ “เวลาจะใช้งาน ง่ายๆ แค่หลับตาลงแล้วจินตนาการว่าตัวเองเป็นอากาศ”
“จินตนาการว่าตัวเองเป็นอากาศ” เป็นคำที่ได้ยินแล้วต้องทวนซ้ำ มนุษย์มักจะมีความรู้สึกซับซ้อน อธิบายเป็นคำจำกัดความแน่นอนไม่ได้ การเปรียบเทียบอะไรที่ฟังดูนามธรรมแบบนี้ก็เช่นกัน จะให้จินตนาการว่าตัวเองเป็นอากาศได้ยังไง ในเมื่ออากาศไม่มีชีวิต ไม่มีความรู้สึกนึกคิด
มนุษย์นี่มันมนุษย์จริงๆ
............
ผมเก็บหินก้อนนั้นติดตัวไว้ในกระเป๋าเสื้อ ยังไม่สามารถหาวิธีใช้งานมันได้
11 พ.ค วันนี้ผมหยุดทำงาน เพราะในที่สุดรีน่าก็ตอบรับข้อความมาแล้ว พายุบนยอดเขาสงบลงทำให้สามารถขับยานบินขึ้นไปรับเธอกลับมาได้ เท่าที่สังเกต...มนุษย์บนโลกเกือบทุกคนชอบดอกไม้ ผมจึงแวะเด็ดดอกอาซาเลียที่ขึ้นบริเวณนั้นกลับมาด้วย
“ดอกอาซาเลียนี่นา ขอบคุณมากนะเอเลี่ยน” เป็นไปอย่างที่คิด แม้ว่าเธอจะไม่ใช่มนุษย์แต่เธอก็ชอบดอกไม้ รีน่ายิ้มกว้างออกมาเมื่อผมมอบมันให้เธอ แววตาที่เคยเหนื่อยล้าเปลี่ยนเป็นประกายสดใสทันที ผมไม่รู้ว่าอาการที่หัวใจสูบฉีดเลือดแรงผิดจากปกติขึ้นมานี้คืออะไร เพราะทั่วไปแล้วอาการนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะแค่ตอนเหนื่อยเท่านั้น
อันที่จริง, ผมรู้ดี เพียงแต่เซิร์กไม่มีความรู้สึกแบบนั้นเช่นมนุษย์ เซิร์กไม่มีเพศ ไม่มีการครองคู่ ในแต่ละอาณาจักรจะมีนางพญาทำหน้าที่เพิ่มจำนวนประชากร เพราะฉะนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องมีความรักและสืบพันธุ์ดังเช่นมนุษย์โลก
เซิร์กมีสายสัมพันธ์เพียง ‘สหาย’
ผิดกับมนุษย์โลก สิ่งมีชีวิตที่มากไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกรักโลภโกรธหลง บางครั้งผมอาจจะอยู่ในร่างนี้นานเกินไปจนซึมซับสิ่งเหล่านั้นเข้ามาด้วยก็ได้
12 พ.ค สิบโมงตรง สายรัดข้อมือก็กะพริบแจ้งเตือนข้อความขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังสะสางเอกสารอยู่ในห้องทำงานของปริภูมิ ‘เย็นนี้จะมีงานปาร์ตี้ในฐานทัพ รบกวนให้หาของกินมาคนละอย่าง แล้วก็หาของขวัญมาจับฉลากแลกกันนะคะ’ ด้านล่างข้อความมีปุ่ม ‘สุ่ม’
ว่าไงนะ? นี่ก็เป็นหนึ่งในภารกิจที่ผมจะต้องทำด้วยเหรอ
ผมกดปุ่มสุ่ม ข้อความก็พลันปรากฎขึ้นมาว่าผมต้องนำของขวัญไปให้ ‘มิคัง’ สหายร่วมรบเมื่อคราวก่อน
แล้ว...ของขวัญคืออะไร?
ผมไม่รู้ว่าจะถามคำถามนี้กับใครได้ นอกจากชายหัวสีเทาที่นอนเอกเขนกเล่นเกมอยู่บนโซฟา เขาได้รับข้อความพร้อมๆ กันกับผม ถ้าให้เดา คงเป็นข้อความเดียวกัน
“ปาร์ตี้! ดูท่าหน่วยนี้จะว่างกันเกินไปแฮะ” กล่าวโดยไม่ดูตัวเอง “สุ่มได้โกสต์ว่ะ ใครวะ ใช่ที่เป็นแพะหรือเปล่า”
ปริภูมิก็ต้องร่วมจับของขวัญกับเขาด้วยเหมือนกัน? ตำแหน่งที่ว่าว่างงานที่สุดในกองทัพดูท่าจะไม่ใช่แค่ข่าวลือ (ไม่แน่ใจว่าเขาว่างจริงๆ หรือเพราะงานในตำแหน่งของเขาถูกยัดมาให้ผมจัดการหมดแทนกันแน่)
“น่าจะใช่ครับ” ผมเองก็ยังไม่แคยเจอร่างจริงของโกสต์ที่ว่าเหมือนกัน เจอเพียงแค่ร่างอวตารที่เป็นแพะ เดินร่อนไปร่อนมากินหญ้าอยู่ในฐานทัพ
“อืม...” เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบมวนที่ยี่สิบเจ็ดของวันนี้ “โดดงานไปเดทกันเหอะ!”
ให้ตายสิพับผ่า, เปลืองพลังงานอีกแล้ว
ยานบินส่วนตัวขับมาจอดส่งที่ใจกลางเมืองเขตศูนย์ ยอดตึกสูงตระหง่านเสียดฟ้า ถนนเนืองแน่นคับคั่งไปด้วยผู้คนไม่แพ้ยานยนต์บนอากาศ ผมไม่ค่อยได้มาที่เขตศูนย์เท่าไหร่ กลิ่นมนุษย์ที่นี่ชวนให้รู้สึกอึดอัด สายตาที่มองมายังเครื่องแบบราวกับเห็นตัวประหลาดนั่นก็เช่นกัน
ปริภูมิเดินนำไปที่ตรอกแคบๆ แห่งหนึ่ง ขนาบข้างด้วยบ้านเรือนที่ยังไม่ถูกบูรณะเป็นตึกใหม่ เขาหยุดที่หน้าอาคารเก่าๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นโรงเก็บรถ ชายหนุ่มกดสวิตช์เปิดประตู ประตูแบบพับค่อยๆ เลื่อนขึ้นเผยให้เห็นยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบสองล้อ หน้าตารูปร่างประหลาดตา ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าจะเรียกว่ามอเตอร์ไซด์บิ๊กไบค์ ในยุคสมัยนี้ไม่ค่อยเห็นใครใช้มันแล้ว
“มนุษย์ต่างดาวเคยแว๊นปะ?”
“แว๊นคืออะไร” แน่นอน เจ้าตัวไม่ตอบคำถาม เดินตรงเข้าไปยังมอเตอร์ไซด์สีส้มดำคันใหญ่ ก้าวขาพาดคร่อมก่อนคีบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบ โยนไฟแช็คลงไปในประตูมิติและล้วงหยิบลูกกุญแจออกมาแทน เขาสตาร์ทเครื่อง เรียกเสียงครางกระหึ่มไปทั่วบริเวณ
ชายหนุ่มขยับมือ สร้างแว่นกันลมขึ้นมาสองอันภายในเวลาไม่ถึงสามวินาที โยนให้ผมอันหนึ่ง “สวมแล้วขึ้นมา”
แม้จะไม่ค่อยมั่นใจแต่ก็ต้องปีนขึ้นไปนั่งซ้อนด้านหลังตามคำสั่ง หมอนั่นสวมแว่นก่อนโน้มตัวจับแฮนด์ เพียงบิดข้อมือเบาๆ รถก็พลันออกตัวพุ่งไปด้านหน้าทันที กระบวนการการเผาไหม้เชื้อเพลิงส่งเสียงดังสนั่นอย่างที่ไม่เคยได้ยินจากยานยนต์ไหนมาก่อน ลมหอบพัดตีใบหน้า การเคลื่อนที่ไม่ได้เรียบลื่นเหมือนบินบนอากาศ อีกทั้งยังไม่มีอะไรมาขวางกั้นร่างกายทั้งที่วิ่งด้วยความเร็วระดับนี้ สงสัยว่านี่คงจะเป็นหนึ่งในยานยนต์ที่อันตรายที่สุดชนิดหนึ่งในปัจจุบัน
ปริภูมิเลี้ยวผ่านซอกซอยคดเคี้ยวโดยที่ความเร็วแทบไม่ลดลง ผมเงยหน้า มองผ่านแว่นใส หรี่ตาลงเล็กน้อย เห็นแสงไฟตามป้ายไหลผ่านร่างไปราวกับเป็นเพียงดวงไฟเบลอๆ อยู่ๆ ความคิดก็เริ่มตกตะกอน ผมเข้าใจแล้วว่าหน้าตารูปร่างประหลาดของมันน่าจะถูกออกแบบมาโดยตั้งใจคล้ายกับสัตว์ปีกชนิดหนึ่ง... เหยี่ยวเพเรกริน เจ้าคนข้างหน้าคงกำลังหลอมรวมจิตวิญญาณเข้ากับรถคันนี้ จินตนาการว่าตนเองกำลังโบยบินเป็นเหยี่ยวเพเรกรินอยู่ก็เป็นได้
ผมเริ่มคิดอะไรแบบนี้กับเขาเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเริ่มเข้าใกล้มนุษย์มากขึ้นไปทุกที
เขาลดความเร็วลงเล็กน้อยเมื่อออกมาถึงถนนที่มีผู้คนเดิน ลมที่พัดตีสะบัดเมื่อครู่กลายเป็นโชยเบาๆ เสียงเครื่องยนต์ดังพอจะเรียกความสนใจจากมนุษย์รอบด้าน หากเมื่อพวกเขาหันหน้ามาหายังต้นเสียง เราก็ขับผ่านร่างเหล่านั้นไปจนลับสายตาแล้ว
“กำลังจะไปที่ไหน” ผมเอ่ยถามปริภูมิ ชายหนุ่มตะโกนตอบกลับมา
“เขตสอง”
เขตส่งออกวัตถุดิบขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ มีพื้นที่ติดล้อมกับมหาสมุทร จึงเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องแหล่งท่องเที่ยวและตลาดซื้อขายวัตถุดิบจากทะเลน้ำลึกหายาก ถ้าหากเดินทางโดยยานบินของกองทัพหรือรถไฟความเร็วสูงจะใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบห้านาที แต่ถ้าไปโดยยานยนต์ระบบสองล้อคันนี้ น่าจะหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
“ไปไกลขนาดนั้น ทำไมไม่ขึ้นยานบิน” ผมตัดสินใจถามออกไป เขาขับออกมายังถนนใหญ่เชื่อมระหว่างตัวเมือง ความเร็วพุ่งสูงขึ้นจนผมต้องยึดจับเบาะไว้ เข้าใกล้ยานบินขนาดเล็กที่ใช้คมนาคมในกองทัพแล้ว
“เอ็งนี่ไม่รู้จักอารมณ์สุนทรีย์เลย” เขาตอบมาเพียงแค่นั้น บิดคันเร่ง ถีบตัวเหยี่ยวเหล็กให้พุ่งทะยานยิ่งขึ้น
สุนทรีย์?
ไม่นานก็เริ่มเข้าสู่เขตสอง ผมรับรู้ได้ล่วงหน้าเพราะสัมผัสถึงกลิ่นโซเดียมคลอไรด์, ส่วนประกอบหลักของทรายบริเวณทะเล อาคารก่อสร้างเปลี่ยนรูปแบบเป็นตึกหลายชั้นที่มีลักษณะแออัด ผู้คนสัญจรไปมาหนาแน่นไม่แพ้เขตศูนย์ แผนที่บนสายรัดข้อมือแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งปัจจุบัน เรากำลังเข้าสู่เมืองท่าสวิตช์
ตึกรามบ้านช่องเริ่มลดจำนวนลง ในที่สุดท้องทะเลสีน้ำเงินก็ปรากฎสู่สายตา แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านริ้วเมฆทอประกายระยิบระยับเหนือผิวน้ำ รถมอเตอร์ไซด์วิ่งปะทะกับลมที่หอบกลิ่นอายของทะเลขึ้นมา ผมชะโงกหน้ามองผืนน้ำกว้างใหญ่สุดสายตา หัวใจเต้นแรงโดยไร้สาเหตุ
เหยี่ยวเหล็กก็หยุดจอดเทียบท่าเรือแห่งหนึ่ง ปริภูมิถอดแว่นกันลมออก โยนทิ้งลงไปในประตูมิติ ดับเครื่องที่ครางกระหึ่มก่อนก้าวลงจากรถตามผมมา “เป็นไง นั่งยานบินสนุกแบบนี้ไหม”
เซิร์กรู้จักความสนุกเช่นเดียวกับมนุษย์ หากวิธีในการสร้างความสนุกของเรานั้นต่างกัน เหลือเชื่อ ผมเคยผ่านการขับยานด้วยความไวใกล้เคียงกับแสงมากแล้ว แต่ก้อนเนื้อในอกกลับไม่ได้สูบฉีดเลือดแรงเท่าการหายใจเอาลมผสมกลิ่นเกลือทะเลแบบเมื่อครู่นี้
บางที, กลับเดวาฮาลไปเมื่อไหร่ คงต้องลองสร้างยานยนต์ความเร็วสูงที่ล้อสัมผัสกับพื้นแบบนี้ดูบ้าง
ผมไม่ได้ตอบคำถาม และแน่นอนว่าปริภูมิไม่สนใจ ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาทางจมูก ท่าทางฮึกเหิมเหมือนกำลังจะไปออกรบก็ไม่ปาน
“เอ้า! ออกทะเลได้!”
ตำแหน่งแม่ทัพไม่ได้มีไว้ประดับอกเพียงอย่างเดียว เพียงปริภูมิก้าวขาเดินเข้าไปในท่าเรือ ตะโกนบอก ‘ขอเรือจับปลาสักลำ’ – โดยไม่ต้องรอขั้นตอนดำเนินการใดๆ เราได้สิทธิ์เดินขึ้นเรือที่อยากขึ้นได้แทบจะในทันที
เรือจับปลาส่วนตัวกำลังแล่นออกสู่ทะเล ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ใช้เครื่องจักรในการทำประมง แต่ก็ยังมีบริการให้เช่าเรือสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการตกปลาเป็นงานอดิเรก เราออกมาไกลจนมองไม่เห็นฝั่ง ก่อนกัปตันจะหยุดจอดเหนือบริเวณที่ที่มีปลาชุกชุม ผมสังเกตขั้นตอนของปริภูมิ ตั้งแต่เกี่ยวเหยื่อ เหวี่ยงเบ็ด หมุนคันรอก “จะตกคราเค่นขึ้นมาให้ดู” ชายหนุ่มเสริม ผมพลันนึกแย้งในใจ คราเค่นอาศัยอยู่ในระดับน้ำลึกไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันเมตรเชียวนะ
การส่ายปลายคันเบ็ดไปมา คงเป็นเทคนิคบังคับให้เหยื่อเคลื่อนไหวคล้ายกับมีชีวิตจริง ผมทดลองทำตามดู ไม่ยากมากเท่าไหร่ มนุษย์มีการละเล่นสร้างความหรรษาอยู่เยอะใช่ย่อย อย่างน้อยก็น่าตื่นเต้นกว่าเกมภาพจำลองสามมิติที่ปริภูมิชวนอู้งานมาเล่นบ่อยๆ
ขอตัดข้ามฉากตกปลา ในที่สุดก็หมดไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว ผมและปริภูมิได้ปลามาเต็มถังจนน่าพอใจ ในขณะที่เราตัดสินใจจะดึงกลับเข้าฝั่ง ปลายเบ็ดของผมก็พลันกระตุกและโค้งงอ รับรู้ได้ถึงแรงกระชากอย่างรุนแรงกว่าที่เคย
“ตัวใหญ่แหง” ปริภูมิคาดเดา ผมง้างเบ็ดขึ้น ออกแรงหมุนคันรอกแต่ก็พบว่ามันไม่ได้ออกแบบมาสำหรับตกปลาตัวใหญ่มากแบบนี้
“มีถุงมือไหมครับ” ผมหันไปตะโกนถามกัปตัน ซึ่งเขาก็รีบนำมาส่งให้ ผมฝากคันเบ็ดไว้กับปริภูมิ ได้ยินเสียงชายหนุ่มสบถพรืดเมื่อพบกับแรงดึงมหาศาลของมัน “ปลาหรือช้างวะเนี่ย”
ผมจับเข้าที่เส้นเอ็น เปลี่ยนเป็นใช้วิธีสาวขึ้นมาแทน ดูเหมือนเอ็นจะทำมาจากวัตถุดิบที่มีความยืดหยุ่นสูงจึงไม่ขาดแม้ต้องเจอกับแรงต้านขนาดนี้ “เอเลี่ยนหรือช้างวะเนี่ย” ปริภูมิเปลี่ยนเป้าหมายมาด่าผมแทน
ยิ่งเข้าใกล้ผิวน้ำแรงต้านก็ยิ่งมากขึ้น ผมรวบรวมแรงเฮือกเดียว ดึงกระตุกปลาตัวนั้นขึ้นมา ทันทีที่ร่างนั้นโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำ ละอองน้ำพลันสาดกระเซ็นไปรอบทิศทาง
“มากุโร่นี่หว่า!” สิ้นเสียงปริภูมิ ผมดึงแขนกระชากมันเข้ามาหาตัว ปลายักษ์กระเด็นร่วงลงมาบนเรือ แรงดิ้นส่งผลให้เรือโคลงเคลงไปทั้งลำ กัปตันเป็นคนคว้ามีดมาเชือดคอมันให้สิ้นลมหายใจ
มันมีลำตัวยาวไม่ต่ำกว่าสองเมตร กล้ามเนื้อบึกบึนแข็งแรง ปริภูมิเรียกปลาชนิดนี้ว่ามากุโร่ เพียงแค่ตัวเดียวก็ทำให้เรือทั้งลำแทบไม่มีที่เหลือให้เดิน
“ปกติจะอยู่กันเป็นฝูง เวลาจะจับมากุโร่ ต้องใช้เรือที่มีรอกสำหรับหมุนเชือกขึ้นมาโดยเฉพาะ เพราะคันรอกของเบ็ดธรรมดาสู้แรงมันไม่ไหว” กัปตันอธิบายเพิ่มเติม “แต่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นคนใช้มือสาวมากุโร่ขึ้นมาได้”
“หมอนี่มันไม่ใช่คน” สิ่งที่ปริภูมิตอบไม่ใคร่ไกลไปจากความจริงเท่าใดนัก
เรามุ่งหน้ากลับฝั่ง ปริภูมิยกปลาที่ตกได้ทั้งหมดให้กัปตันและลูกเรือที่รออยู่บริเวณท่า “ได้มากุโร่มาแล้ว ปลาพวกนี้ก็ไม่มีความหมาย” เขาบอก เปิดประตูมิติและส่งปลามากุโร่ยักษ์เข้าไป
เราเดินทางไปที่ร้านขายเนื้อในเมือง ปริภูมิซื้อเนื้อมัทสึซากะมากล่องใหญ่ เนื้อชนิดนี้ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพดีที่สุดในปัจจุบัน เพราะเป็นเนื้อของวัวที่เลี้ยงในฟาร์มจริงๆ ไม่ใช่สังเคราะห์เซลล์สร้างขึ้นมาเหมือนเนื้อชนิดอื่นๆ
มีบริการนำไปจัดส่งให้ถึงที่พัก แต่ปริภูมิโบกมือปฏิเสธ ส่งกล่องเนื้อเข้าไปในประตูมิติเช่นเดียวกับมากุโร่
“ซื้อไรให้แพะดีวะ? ยังไม่เคยคุยกับมันสักคำ” หลังจากเดินออกมาจากร้านชายหนุ่มก็จุดบุหรี่มวนใหม่ขึ้นสูบ เรายืนเก้ออยู่กับที่เพราะไร้จุดหมาย ปริภูมิพ่นควันเป็นทางยาว ก่อนยื่นซองบุหรี่มาให้ผม “สักมวนไหม”
อยากรู้เหมือนกันว่ามีดีอะไรจนเขาไม่ยอมปล่อยให้ห่างปากเกินหนึ่งนาที ผมรับไฟแช็คและบุหรี่มา คาบไว้บนริมฝีปาก จุดไฟเผาไหม้ตรงส่วนปลาย สูดลมหายใจผ่านหลอดเล็กๆ นั้น
ก็ไม่มีอะไรพิเศษ แค่สัมผัสเย็นบริเวณลำคอ และกลิ่นสารเคมีที่น่าจะมีมากกว่าสี่พันชนิด สำคัญคือส่วนมากเป็นสารพิษที่มีอันตรายต่อร่างกายทั้งสิ้น ทำไมมนุษย์คนนี้ถึงต้องพยายามรมควันพิษใส่ปอดตัวเองตลอดเวลาด้วย?
“งั้นแบ่งบุหรี่ไปให้แพะมันไปสักคอตตอนแล้วกัน...เอ้อ แกต้องให้อะไรใครวะเลี่ยน”
“มิคัง” ผมตอบ นึกอะไรที่พอจะเป็นของขวัญได้ไม่ออกสักอย่าง
“อาเจ๊ร้านคินคาเสะนี่เอง” เขาเริ่มออกเดิน “เป็นแม่ครัว...ก็ซื้อเครื่องครัวให้มั้ยล่ะ”
“ไม่มีความเห็นครับ”
“ก็พอจะรู้อะนะ”
จวนเจียนจะถึงเวลางานปาร์ตี้ ในที่สุดผมก็ได้ของที่ต้องการ เรารีบมุ่งหน้ากลับไปยังเขตศูนย์ ปริภูมิเฆี่ยนเหยี่ยวเหล็กเพิ่มระดับความเร็วรุนแรงและโหดเหี้ยมยิ่งกว่าตอนขามา จอดมันเก็บไว้ในรังกลางเขตศูนย์ และเรียกยานบินให้มารับกลับไปยังกองทัพ
“เอาปลาของเอ็งไป” ชายหนุ่มเปิดประตูมิติ ดึงหัวปลามากุโร่ออกมาให้ผมรับช่วงถือต่อ ผมแบกมันไว้บนบ่า น้ำหนักน่าจะมากกว่าสองร้อยกิโลกรัม “เดี๋ยวไปลากไอ้เวอมาก่อน อุดอู้อยู่แต่ในห้องจนจะแต่งงานกับงานอยู่ละ”
ผมพยักหน้าเล็กน้อย เปิดประตูลงจากยานมาพร้อมกับปลาขนาดใหญ่กว่าตัว
ห้าโมง
ห้องครัวกำลังวุ่นวายกับการเตรียมอาหารสำหรับงานปาร์ตี้ ภารกิจสำคัญที่เหมือนจะบังคับให้ต้องเข้าร่วม (ไม่รู้ว่าใครเป็นต้นตอคิดจัดขึ้นมา) มิคังถึงกับอุทานเมื่อเห็นว่าผมหอบอะไรมาบนไหล่ มันใหญ่จนเอาเข้าประตูลำบาก
“ซาชิมิ!” คาร์เดียร้องออกมาด้วยความยินดี
ดูท่าเย็นนี้จะมีอะไรสนุกๆ รอคอยอยู่
หากฉับพลันสังหรณ์ใจของเซิร์กก็ร้องเตือนลั่น...บางสิ่งเลวร้ายกำลังจ้องมองลงมา มันกางกรงเล็บกว้าง เฝ้าคอยจังหวะตะครุบเหยื่อไม่ต่างกัน
............
อ่านฉากปาร์ตี้ได้ที่นี่ - http://my.dek-d.com/poomming/writer/viewlongc.php?id=1153886&chapter=14
ความคิดเห็น